หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

โลกของภูมิศาสตร์ Geography’s Worlds

โลกของภูมิศาสตร์ Geography’s Worlds

 

ข้าพเจ้าเชื่ออย่างจริงจังว่า ยังมีธรรมชาติในจักรวาลที่มองไม่เห็นมากกว่าที่มองเห็นได้ แต่ใครเล่าจะมาอธิบายให้เราฟังเกี่ยวกับกลุ่มธรรมชาติอันมากมายมหาศาลเหล่านี้ ระดับของพวกเขา ความสัมพันธ์ของพวกเขา ลักษณะเด่นและบทบาทของแต่ละกลุ่ม? พวกเขาทำอะไร? และอาศัยอยู่ในสถานที่ใด?’ (Burnet 1692: 68)

ภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่มีเนื้อหาสาระครอบคลุมเกี่ยวกับโลกทั้งทางกายภาพและมนุษย์ อันที่จริง ภาควิชาภูมิศาสตร์แห่งแรกในสหรัฐอเมริกามีจุดมุ่งหมายเพื่อเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและมนุษยศาสตร์เข้าด้วยกัน โดยภาควิชาภูมิศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิคาโกที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1903 มีความตั้งใจจะให้ยืนอยู่ ‘ระหว่างธรณีวิทยา...และประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์การเมือง และชีววิทยา’ (Mikesell 1974: 2) ซึ่งเป็นการรวบรวมเอาทั้งโลกสิ่งแวดล้อม-นิเวศวิทยา และโลกทางวัฒนธรรม-สังคมของภูมิศาสตร์ ซึ่งมีแนวทาง ปรัชญา และจุดมุ่งหมาย ที่หลากหลาย เข้าไว้ด้วยกัน บางมุมมองเน้นไปที่ด้านกายภาพหรือด้านมนุษย์เป็นหลัก หรือไม่ก็เน้นไปทั้งหมดทุกด้าน ในขณะที่มุมมองอื่นๆ ได้รับการเสริมด้วยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสองขอบเขตนี้ และแสดงออกผ่านแนวทางต่างๆ เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ การรับรู้สิ่งแวดล้อม นิเวศวิทยามนุษย์ รวมถึงสถานที่ ภูมิภาค และภูมิทัศน์

สำหรับนักภูมิศาสตร์ ไม่ว่าความเชี่ยวชาญของพวกเขาจะเป็นด้านใด โลกทางกายภาพและมนุษย์ล้วนเป็นแนวเส้นหลักและพุ่งเป้าตรง ซึ่งเป็นเนื้อหาสาระขั้นพื้นฐานของประสบการณ์และความเข้าใจในเชิงพื้นที่ พิจารณาสารัตถะนี้ให้เป็นภาพบนแผนที่ เป็นแผนภาพหนึ่งๆ ที่รวบรวมและเป็นฐานของมุมมองที่ชุมชนของนักภูมิศาสตร์ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ยึดถืออยู่อย่างมั่นคง และพิจารณาบทนี้เป็นเหมือนดัชนีบนแผนที่ ที่จะนำเสนอภาพรวมของเนื้อหาต่อไปในบทนี้

โลกของภูมิศาสตร์มีมากมาย แต่ทุกอย่างในนั้นมีความเป็นหนึ่งเดียว ในด้านวิชาการและปัญญา นักภูมิศาสตร์เห็นโลกจำนวนมากที่ขนานกับมุมมองส่วนบุคคลและรวมกลุ่มของพวกเขา บางโลกของภูมิศาสตร์สามารถมองเห็นและจับต้องได้ ในขณะที่บางโลกกลับซ่อนเร้นและหลบหลีก บางโลกแสดงถึงความเป็นจริงที่มีระเบียบ ตามที่เห็นจากความเห็นร่วมที่ยั่งยืนแต่เปราะบางของวิทยาศาสตร์ ส่วนโลกอื่นๆ เป็นสิ่งชั่วคราว ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์ของจิตใจทางมนุษยศาสตร์ที่มุ่งหวังที่จะเข้าใจและหาความหมายในรูปแบบและกระบวนการทางภูมิศาสตร์ รวมถึงแนวคิดชั่วคราวที่อธิบายถึงปฏิสัมพันธ์ภายในของสังคมและความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพของมัน - ปฏิสัมพันธ์ที่ปรากฏในภูมิทัศน์ที่มองเห็นได้ซึ่งเปิดเผยถึงผู้สร้างของมัน บางโลกของภูมิศาสตร์ประกอบด้วยวัตถุและเหตุการณ์ที่เกิดจากธรรมชาติและสังคม ขณะที่บางโลกมีความหมายในเชิงอัตถภาวะ (existential-meanings) บนความตั้งใจของมนุษย์ (Tuan 1971: 182) อย่างไรก็ตาม ยังมีโลกหนึ่งอยู่ท่ามกลางความหลากหลายของมุมมองนั้น เพราะทั้งหมดมุ่งเน้นที่สังคมและโลกเป็นประสบการณ์ทางภูมิศาสตร์ที่เป็นเอกภาพ

นักภูมิศาสตร์บางคนแสดงให้เห็นโลกของพวกเขาด้วยคำพูด บางคนทำแผนที่ และบางคนชื่นชอบกราฟหรือแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ สิ่งต่างๆ เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นคำพูด แผนที่ และแบบจำลอง ทั้งหมดแสดงให้เห็นปรากฏการณ์และพลังต่างๆ ทางภูมิศาสตร์ที่ปรากฎอยู่ รวมถึงความเข้าใจที่นักภูมิศาสตร์นำมาสู่การจัดประเภทและคำอธิบายของพวกเขา แม้ว่าจะมีมุมมองและการนำเสนอที่แตกต่างกันที่พวกเขาเลือก นักภูมิศาสตร์มีความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งว่ากระบวนการด้านสิ่งแวดล้อมและมนุษย์สร้างความเป็นจริงที่มนุษยชาติอาศัยอยู่ และกระบวนการเหล่านั้นเป็นกุญแจในการเข้าใจความซับซ้อนของสถานที่ต่างๆ

นอกจากนี้ โลกของนักภูมิศาสตร์ยังมีความแตกต่างกันตามความรับผิดชอบในวิชาชีพ การศึกษาในด้านการสอนและการวิจัย การบริการงานภาครัฐ การจ้างงานในภาคเอกชน การมีส่วนร่วมของพลเมือง และกิจกรรมขององค์กรอาสาสมัคร ทั้งหลายทั้งปวงล้วนแล้วแต่สร้างโลกที่แตกต่างกันแต่เสริมส่งกันและกัน จริงอยู่ เพราะทุกคนต้องเดินทางในโครงสร้างที่สร้างขึ้นและเดินทางในสถานที่กลางแจ้งในชีวิตประจำวัน ทุกคนจึงเป็นนักภูมิศาสตร์โดยธรรมชาติ สถานที่ (place) และสถานที่ต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายของมุมมองที่นักภูมิศาสตร์นำเสนอในการค้นหาความเข้าใจและคำอธิบายทางภูมิศาสตร์ ความหลากหลายของมุมมองเหล่านี้ผลิตความอุดมสมบูรณ์ของภูมิศาสตร์อเมริกันสมัยใหม่ ในขณะเดียวกัน โลกหลายใบที่นักภูมิศาสตร์ยืนยันก็อาจทำให้สาธารณชนและนักวิชาการคนอื่นๆ เข้าใจผิดเกี่ยวกับสาขานี้ ความคลุมเครือที่ชัดเจน และดูเหมือนจะมีอยู่โดยธรรมชาติในภูมิศาสตร์เห็นได้ชัดในข้อเสนอของ Robinson (1982: 177) ที่ว่า การเป็นนักภูมิศาสตร์หมายถึงการเข้าร่วมในกิจกรรมทางปัญญาที่มีลักษณะของความสับสนและความตื่นเต้น ซึ่งเกิดจากการขาดหลักการจัดระเบียบที่ชัดเจน

ความหลากหลายของมุมมองที่นักภูมิศาสตร์นำเสนอในการค้นหาความเข้าใจและคำอธิบายทางภูมิศาสตร์ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของภูมิศาสตร์อเมริกันสมัยใหม่ ในขณะเดียวกัน โลกหลายใบที่นักภูมิศาสตร์ยืนยันบางครั้งทำให้สาธารณชนและนักวิชาการคนอื่นๆ เข้าใจผิดเกี่ยวกับสาขานี้ ความคลุมเครือที่ชัดเจนและดูเหมือนจะมีอยู่โดยธรรมชาติในภูมิศาสตร์เห็นได้ชัดในข้อเสนอของ Robinson (1982: 177) ที่ว่า การเป็นนักภูมิศาสตร์หมายถึงการเข้าร่วมในกิจกรรมทางปัญญาที่มีลักษณะของความสับสนและความตื่นเต้น ซึ่งเกิดจากการขาดหลักการจัดระเบียบที่ชัดเจน

โลกที่นักภูมิศาสตร์สนใจห้าเรื่องสั้นๆ

บนความหลากหลายที่อุดมสมบูรณ์ของโลกทางภูมิศาสตร์ พวกเรามีความสามารถนำมาบ่งบอกได้เพียงแค่ 5 ตัวอย่างเท่านั้น ที่จะเป็นการชี้ให้เห็นถึงความกังวลทางภูมิศาสตร์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสังคมมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม โดยตัวอย่างแรกมุ่งเน้นไปที่บทบาทของน้ำแข็งในกระบวนการทางกายภาพระดับโลกและสิ่งที่มันบอกเราเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตัวอย่างที่สองเกี่ยวข้องกับน้ำที่อยู่ในรูปของเหลว โดยน้ำเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญที่สุดของโลกใบนี้ ซึ่งการจัดสรรน้ำทั้งหมดถูกกำหนดโดยสังคมผ่านทางกฎหมาย ตัวอย่างที่สามแสดงให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตอาหารสำหรับนำมาหล่อเลี้ยงสังคม เช่นเดียวกับแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง ที่ทำจะมามีบทบาททำให้สังคมต้องเผชิญกับอันตรายทางธรรมชาติและเทคโนโลยีในตัวอย่างที่สี่ ซึ่งนักภูมิศาสตร์ได้ให้ความสำคัญต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและสังคมในการวิจัยเกี่ยวกับภัยพิบัติ ตัวอย่างสุดท้าย จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของเมืองถือเป็นผลิตภัณฑ์ของสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นแรงผลักดันระบบเศรษฐกิจและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

จากตัวอย่างเหล่านี้ การอภิปรายจะขยายตัวออกไปเพื่อนำเสนอประเด็นหลักบางประการในภูมิศาสตร์สมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการมีปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม โลกมนุษย์และโลกทางกายภาพในภูมิศาสตร์ และที่สำคัญที่สุดคือความเข้าใจพื้นฐานของนักภูมิศาสตร์เกี่ยวกับการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสังคมและสิ่งแวดล้อม

ภูเขาน้ำแข็งและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่ Alexander von Humboldt ได้ทำแผนที่เส้นหิมะของน้ำแข็งบนภูเขาในความสัมพันธ์กับละติจูด นักภูมิศาสตร์จึงได้ตระหนักว่า น้ำแข็งมีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมในวงกว้าง อย่างไร แท้จริงแล้ว สมมติฐานหลายอย่างที่ทำให้ Louis Agassiz สามารถสร้างเป็นกรอบแนวคิดเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของทวีปน้ำแข็งขนาดใหญ่ได้นั้น มาจากการเปลี่ยนแปลงขอบเขตของภูเขาน้ำแข็ง และมาจากซากของรูปทรงภูมิประเทศที่พบในหุบเขา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปราศจากภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ ปัจจุบันนี้ นักภูมิศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ มองว่าระบบน้ำแข็งและหิมะมีความแตกต่างกัน โดยประมาณร้อยละ 10 ของพื้นผิวโลก มีสภาพต่างๆ ขึ้นอยู่กับฤดูกาล รวมถึงพื้นที่ที่คล้ายกันของภูมิประเทศที่อยู่ข้างเคียงกัน ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ในระดับภูมิภาคและระดับโลกได้เป็นอย่างดี

ในฐานะผู้ช่วยวิจัยระดับปริญญาตรีในปี 1948 Mel Marcus เริ่มศึกษาเรื่องภูเขาน้ำแข็งในเขตน้ำแข็ง Juneau Ice Field ในรัฐอลาสก้าตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการศึกษาดังกล่าวนี้มีอายุยาวนานถึง 4 ทศวรรษ ครอบคลุมการทำวิทยานิพนธ์ของ Marcus ในช่วงที่มีการทำงานทางด้านภูมิฟิสิกส์ในระดับนานาชาติ (International Geophysical Year 1957-1958) งานของนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ และมีส่วนที่เป็นงานศึกษาภาคสนามของเขาเองด้วย ระหว่างปี 1989-1990 (Marcus 1964; Marcus, Chambers & Miller 1990) กลยุทธ์พื้นฐาน คือ การประเมินขนาดและพลศาสตร์ของน้ำแข็ง ผ่านการศึกษาเกี่ยวกับสมดุลมวลในความสัมพันธ์กับสภาพอากาศท้องถิ่นและภูมิอากาศระดับกลางๆ ที่มีผลต่อการผลิตหิมะป้อนเข้าสู่ระบบ การละลาย และการสูญเสียน้ำ (Yarnal 1984) การศึกษาเหล่านี้ดำเนินการโดยการทำแผนที่ภาคสนามและการสำรวจระยะไกล โดยใช้กลยุทธ์การวัดขนาดและปริมาตรแบบเสริม สำหรับภูเขาน้ำแข็งเลมอน ครีก มาร์คัส พบว่า การสูญเสียมวลสุทธิในระยะสี่ทศวรรษนั้นมีความสอดคล้องกันในระดับต่ำ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับน้ำแข็งที่ระดับสูงในทศวรรษที่ผ่านมา การสูญเสียเหล่านี้จะถูกศึกษาในความสัมพันธ์กับรูปแบบภูมิอากาศในท้องถิ่นและระดับภูมิภาค รวมถึงสภาพภูมิอากาศทั่วไป โดยมีความสอดคล้องกันอย่างกว้างขวางของพลศาสตร์น้ำแข็งที่อาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงในสภาพภูมิอากาศของโลก

การศึกษาเกี่ยวกับน้ำแข็งเป็นงานแบบภาคสนามดั้งเดิม ที่ต้องการการทำงานอย่างเข้มข้นของนักภูมิศาสตร์กายภาพ ซึ่งมีความสำคัญทางสังคมด้วย เพราะน้ำแข็งเป็นแหล่งที่มาของน้ำที่สำคัญมากๆ มีส่วนช่วยสนับสนุนทรัพยากรน้ำให้แก่สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ราบลุ่มที่แห้งแล้งที่อยู่ในพื้นที่ที่ต่ำลงไป นอกจากนี้ ภูเขาน้ำแข็งและหิมะ ยังมีประโยชน์ทางสันทนาการที่สำคัญ และอาจนำมาซึ่งอันตราย เช่น การหยุดชะงักของการขนส่ง น้ำท่วม และหิมะถล่ม ที่สำคัญที่สุด ภูเขาน้ำแข็งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิศาสตร์ขยายความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระหว่างปีในมวลน้ำแข็งและพลศาสตร์ในความสัมพันธ์กับกระบวนการทางบรรยากาศในท้องถิ่นและการไหลของพลังงาน รากฐานก็จะถูกวางไว้สำหรับการบันทึกรูปแบบและขนาดของการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศและสภาพภูมิอากาศในระยะยาวที่น้ำแข็งได้บ่งบอกไว้

น้ำและกฎหมาย

น้ำเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงอยู่และโครงสร้างของชีวมณฑลของโลก เนื่องจากบทบาททางชีวภาพและคุณสมบัติทางอุณหพลศาสตร์ที่น่าทึ่ง ทุกชีวิตล้วนผูกพันอย่างลึกซึ้งอยู่กับน้ำ นอกจากนี้ น้ำยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมในฐานะทรัพยากรสิ่งแวดล้อม อีกทั้งสถานที่ตั้งของถิ่นฐานของมนุษย์ก็ยังขึ้นอยู่กับตำแหน่งของน้ำดื่ม ชุมชนที่อยู่ห่างไกลจากน้ำจืดจำเป็นต้องสร้างระบบการถ่ายโอนที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นระบบท่อ คลอง และกนัต (gnats: เป็นระบบชลประทานที่ส่งน้ำจากน้ำบาดาล) หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในการบำบัดหรือต้มกลั่นน้ำ เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำมีให้บริการ ทรัพยากรน้ำเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล แต่ความแปรปรวนตามฤดูกาลสามารถบรรเทาได้ด้วยการจัดตารางกิจกรรมของมนุษย์ให้สอดคล้องกับปฏิทินธรรมชาติหรือตั้งน้ำสำรอง ความแปรปรวนตามฤดูกาลของทรัพยากรน้ำมีอิทธิพลต่อวัฏจักรการเกษตรประจำปีสำหรับประชากรส่วนใหญ่ของโลก แม้ว่าน้ำจะถูกมองว่าเป็นสินค้าฟรีในเศรษฐกิจอเมริกัน แต่การมีส่วนร่วมของมันต่อเศรษฐกิจนั้นไม่สามารถคำนวณได้

แม่น้ำโคโลราโด เป็นทรัพยากรที่สำคัญในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา โดยให้ไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำสำหรับการใช้ในเมืองและการเกษตร และกิจกรรมสันทนาการ ความต้องการน้ำจากแม่น้ำโคโลราโด เกิดขึ้นกับสถานที่ที่ห่างไกลจากแม่น้ำและแม้กระทั่งจากลุ่มน้ำของมันเอง ความแปรปรวนตามฤดูกาลที่สำคัญและความแปรปรวนระหว่างปีของการไหลทำให้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่สามารถพึ่งพาได้ ซึ่งถูกจัดการมากขึ้นเพื่อบรรเทาความเป็นระยะและความไม่แน่นอน (Graf 1985) ความไม่เสถียรภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจะอยู่ในด้านสังคม: การจัดสรรน้ำจากแม่น้ำโคโลราโดในระดับนานาชาติและระหว่างรัฐ ซึ่งถูกกำหนดในช่วงเวลาที่มีการไหลสูงผิดปกติ จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวของการมีทรัพยากรที่สามารถใช้ได้มาก

ตลอดประวัติศาสตร์ อำนาจในการควบคุมทรัพยากรน้ำเป็นอำนาจในการควบคุมสังคมและรับรองการพัฒนา (Walker & Williams 1982; Worster 1985) การควบคุมเหนือทรัพยากรน้ำมักจะถูกใช้ผ่านกฎหมาย และการบรรจบกันของน้ำ (สิ่งแวดล้อม) และกฎหมาย (สังคมมนุษย์) ในอเมริกาได้รับการสำรวจโดยแมทธิวส์ (Matthews 1984) ซึ่งได้บันทึกว่า หน่วยงานทางกฎหมาย การบริหาร และตุลาการ มีผลต่อการเข้าถึงและการจัดสรรน้ำ ซึ่งเป็นทรัพยากรอุตสาหกรรมสำหรับการบริโภคของมนุษย์ กิจกรรมสันทนาการ การผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรม ไฟฟ้าพลังน้ำ การกำจัดขยะ และการเดินเรือ ซึ่งแต่ละประเภทจะอยู่ภายใต้การควบคุมทางกฎหมายที่หลากหลาย น้ำในสภาพทางน้ำและธรณีวิทยาที่คล้ายคลึงกันในอเมริกาอาจจะหรืออาจจะไม่มีให้เป็นทรัพยากรแก่เจ้าของที่ดินหรือผู้อื่น ขึ้นอยู่กับว่ากฎหมายเกี่ยวกับน้ำของรัฐนั้นอิงตามหลักการการใช้ตามลำน้ำหรือหลักการการจัดสรรก่อนหลังตามลำดับความสำคัญ ประเพณีการใช้ตามลำน้ำที่เก่ากว่าเชื่อมโยงสิทธิในการใช้น้ำกับการเป็นเจ้าของที่ดิน ในขณะที่หลักการการจัดสรรก่อนเป็นที่นิยมในภาคตะวันตกของอเมริกา โดยจะมีการจัดสรรน้ำตามลำดับตามลำดับความสำคัญของการใช้งานครั้งแรก Matthews ยังพิจารณาด้วยว่าหลักการสิทธิในการใช้น้ำผิวดินเหล่านี้ใช้ได้กับน้ำใต้ดินหรือไม่ โดยสังเกตเห็นการพัฒนาหลักการทางกฎหมายเพิ่มเติมที่มีผลต่อภูมิศาสตร์ของทรัพยากรน้ำใต้ดิน

บทบาทของน้ำในการกำหนดหน่วยที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นพรมแดนทางการเมืองหรือขอบเขตกรรมสิทธิ์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่น่าสับสนเช่นกัน ในกระบวนการทางธรรมชาติของการท่วมและการพัฒนาของทางน้ำ แม่น้ำจะเปลี่ยนตำแหน่ง Matthews ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับผลที่เกิดจากความไม่เสถียรภาพของทางน้ำต่อการกำหนดพรมแดน โดยสังเกตเห็นความแตกต่างในแง่ของนานาชาติ ชาติ และกรรมสิทธิ์ที่ดิน ที่เกี่ยวข้องกับการโค้งงอของแม่น้ำ ในกรณีที่แม่น้ำแยกประเทศหรือรัฐ พรมแดนทางภูมิศาสตร์มักจะเปลี่ยนแปลงได้เฉพาะผ่านการแก้ไขสนธิสัญญา โดยพื้นที่ที่ถูกตัดขาดของเขตอำนาจหนึ่งจะถูกแยกออกไปตามช่องทางน้ำใหม่ของแม่น้ำ จนกว่าพรมแดนจะได้รับการปรับปรุง ในทางตรงกันข้าม บรรทัดฐานทางกฎหมายของอเมริกามักมอบที่ดินที่เกิดใหม่ให้กับเจ้าของที่ดินข้างเคียง และเสนอเพียงแต่คำแสดงความเสียใจต่อผู้ถือครองที่ดินเดิมที่ถูกพัดพาไป แผนที่ของทรัพยากรน้ำจะมีความหมายต่อสังคมเมื่อมีการทับซ้อนด้วยแผนที่ของหลักการทางกฎหมายที่ควบคุมการเป็นเจ้าของน้ำและสิทธิในการใช้น้ำ—ซึ่งเป็นความหมายที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์

นิเวศวัฒนธรรมอาหาร

อาหารมีความสำคัญต่อสังคมมนุษย์เช่นเดียวกับน้ำ สิ่งจำเป็นสสำหรับการยังชีพของมนุษย์ผลิตขึ้นผ่านการไหลของน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ และสารอาหารในดิน ที่มีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ซึ่งถูกส่งต่อไปยังสัตว์และผู้คนโดยพืชผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง นักภูมิศาสตร์อเมริกันได้มุ่งเน้นการวิจัยเกี่ยวกับปัญหาการผลิตทางการเกษตรและความมั่นคงของการจัดหาสิ่งอาหารในสังคมที่ไม่ใช่ตะวันตกหลายแห่ง จนกระทั่งถึงทศวรรษ 1960 การมีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างภูมิศาสตร์กับมานุษยวิทยา นั่นเองที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาของนิเวศวัฒนธรรม ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับสังคมมนุษย์ในฐานะระบบที่ปรับตัวเข้ากับความต้องการของสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น สองสาขานี้ให้ความสนใจร่วมกันเกี่ยวกับกลไกการปรับตัวและความรู้เชิงชาติพันธุ์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยมีภูมิภาคแอฟริกาตะวันออกเป็นสถานที่สำคัญสำหรับการวิจัย และ Philip Porter (1965) เป็นนักภูมิศาสตร์อเมริกันที่มีชื่อเสียงในการทำการวิจัยด้านนิเวศวัฒนธรรมที่นั่น Porter ได้ร่วมงานกับทีมมานุษยวิทยาในการศึกษาหลายสังคมในสภาพแวดล้อมทางนิเวศที่แตกต่างกัน เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าการเข้าถึงน้ำฝน ความเป็นฤดูกาล และความแปรปรวน ทั้งหลายเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เข้าใจการผลิตอาหารของสังคมแอฟริกัน (Porter 1976) Porter ได้ปรับใช้ผลการวิจัยเกี่ยวกับระบบน้ำในดินของ C. Warren Thornthwaite (1948) เพื่อสร้างแบบจำลองการเข้าถึงน้ำในดินและความแปรปรวนสำหรับการผลิตทางการเกษตรและความเสี่ยงต่อการเพาะปลูกในพื้นที่ต่างๆ ของแอฟริกาตะวันออก จากแบบจำลองเหล่านี้ เขาสรุปถึงประโยชน์การใช้งานของเทคโนโลยีและกลยุทธ์การเพาะปลูกของแอฟริกา การอธิบายความเป็นหนึ่งเดียวของการเพาะปลูกในแอฟริกาของพอร์เตอร์ถูกมองว่าเป็นการปรับตัวและ ‘ความสอดคล้องทางฟังก์ชันการประเมินและการจัดการสิ่งแวดล้อมของกลุ่มหนึ่ง’ (Porter 1979)

ในขณะที่ผลงานของ Porter ดำเนินไปตลอดหลายฤดูกาลการวิจัยที่ยาวนานในแอฟริกาตลอดทศวรรษ 1970 เขาเริ่มมีวิจารณ์เกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาสมัยใหม่ (Porter 1987) และทฤษฎีพัฒนาการ (Souza & Porter 1974) ในเวลาเดียวกัน เขามีความไม่พอใจกับขอบเขตของนิเวศวัฒนธรรมในฐานะกรอบที่มองว่าสังคมท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสังคมก่อนอุตสาหกรรมในโลกที่สาม เป็นสิ่งที่แยกตัวออกจากแรงผลักดันทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่า ดังนั้น Porter จึงมีส่วนร่วมในการพัฒนาแนวความคิดเกี่ยวกับนิเวศการเมืองหรือเศรษฐศาสตร์นิเวศ (Yapa 1979; Bassett 1988) โดยเขามองว่าการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสังคมท้องถิ่นกับสิ่งแวดล้อมนั้นถูกกำหนด แม้ไม่ถูกควบคุม โดยแรงผลักดันทางการเมืองและเศรษฐกิจภายนอก รวมถึงโครงสร้างภายในที่แน่วแน่ที่ควบคุมการเข้าถึงทรัพยากร (Porter 1979) การผลิตอาหารเป็นจุดเชื่อมโยงที่พื้นฐานที่สุดระหว่างมนุษย์และสิ่งแวดล้อม หากไม่มีอาหารแล้ว สิ่งอื่นใดก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ Porter และผู้อื่นยืนยันว่า ความสัมพันธ์ที่สำคัญเช่นนี้ แม้ในสังคมที่ดูเหมือนจะเป็นแบบดั้งเดิม ก็ไม่สามารถมองว่าเป็นเพียงเรื่องของการทำความเข้าใจและการใช้สิ่งแวดล้อมท้องถิ่นของผู้คน แบบจำลองการปรับตัวของมนุษย์ต่อความไม่แน่นอนของสิ่งแวดล้อมอาจมีความหมายเพียงเล็กน้อยหากไม่รวมเอาแรงผลักดันทางสังคมที่มีอิทธิพลและทรงพลังเข้าไปด้วย

ภัยพิบัติและวินาศภัย

เช่นเดียวกับที่ชาวแอฟริกาตะวันออกต้องรับมือกับความแปรปรวนของปริมาณน้ำฝนระหว่างปี มนุษย์ทุกคนก็มีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน เช่น น้ำท่วม พายุทอร์นาโด เฮอริเคน แผ่นดินไหว และอื่นๆ จากการวิจัยที่สร้างสรรค์โดย Gilbert White ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก นักวิชาการหลายชั่วอายุคนได้ศึกษาเกี่ยวกับการตอบสนองของมนุษย์ต่อภัยคุกคามจากสิ่งแวดล้อม โดยมีการประยุกต์ใช้ที่สำคัญต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะของอเมริกาที่มุ่งเน้นไปที่อันตรายจากพื้นที่น้ำท่วมในเบื้องต้น แนวคิดการวิจัยนี้เชื่อมโยงกระบวนการธรรมชาติของน้ำท่วมเข้ากับการรับรู้ของมนุษย์และการพัฒนานโยบายที่เกิดขึ้นต่อมา นอกจากนี้ยังมีการขยายไปยังบริบทระหว่างประเทศและภัยคุกคามจากสิ่งแวดล้อมอื่นๆ (White 1974; Burton, Kates & White 1978) การวิจัยเกี่ยวกับภัยธรรมชาติช่วยสนับสนุนการเกิดขึ้นของการศึกษาเกี่ยวกับการรับรู้สิ่งแวดล้อมในภูมิศาสตร์ ในกรณีน้ำท่วม มีการเสนอแนวคิดเรื่องอาการของภัยธรรมชาติ ซึ่งการรับรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงของน้ำท่วมจะประเมินความเสี่ยงที่แท้จริงต่ำกว่าความเป็นจริงและมีแนวโน้มที่จะเบี่ยงเบนจากความเป็นจริงมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปนับตั้งแต่น้ำท่วม อย่างไรก็ตาม นักวิจัยด้านภัยธรรมชาติพบหลักฐานเกี่ยวกับการตอบสนองที่มีเหตุผลของมนุษย์ภายในขอบเขตของความรู้และการรับรู้ที่จำกัด

มีทิศทางการวิจัยที่สำคัญเกิดขึ้น 2 ประการจากการศึกษาภัยธรรมชาติ ประการแรกมุ่งเน้นไปที่ภัยอันตรายทางเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงการรั่วไหลของสารเคมีและน้ำมัน อุบัติเหตุบนถนน ขยะและการล้มเหลวของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ รวมถึงภัยคุกคามจากสงครามนิวเคลียร์ ที่นี่อีกครั้งจะเน้นไปที่ธรรมชาติของเหตุการณ์ การประเมินความเสี่ยงและการรับรู้และความกังวลของมนุษย์ (Cutter 1984) Zeigler, Johnson & Brunn (1983) ได้มีส่วนร่วมในการวิจัยนี้โดยการระบุรูปทรงและขนาดเชิงเวลาและเชิงพื้นที่ของภัยทางเทคโนโลยี รวมถึงภัยระดับโลก เช่น การสะสมของคาร์บอนไดออกไซด์ การลดลงของชั้นโอโซน และการปนเปื้อนของมหาสมุทร เช่นเดียวกับภัยธรรมชาติ ความสนใจมุ่งเน้นไปที่การอพยพ การวางแผนและการช่วยเหลือฉุกเฉิน นโยบายสาธารณะ และความไม่สอดคล้องกันระหว่างความเสี่ยงที่แท้จริงและความเสี่ยงที่รับรู้ การวิจัยภัยทางเทคโนโลยีและภัยธรรมชาติของนักภูมิศาสตร์และการศึกษาการประเมินและการจัดการความเสี่ยงแบบสหวิทยาการได้พัฒนาแนวคิดที่มีประโยชน์เกี่ยวกับอันตรายของสถานที่และความเสี่ยงที่เกิดขึ้น งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในนิเวศการแพทย์และภูมิศาสตร์การแพทย์มุ่งเน้นไปที่ความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์ การวิเคราะห์ของ Peter Gould (1990) เกี่ยวกับผลกระทบจากการระเบิดของเชอร์โนบิลเป็นตัวอย่างที่ดีของการเชื่อมโยงระหว่างการศึกษาเกี่ยวกับภัยทางเทคโนโลยีและสุขภาพของมนุษย์

ทิศทางการวิจัยประการที่สองที่เกิดขึ้นจากสำนักวิจัยภัยธรรมชาติ โดยมุ่งเน้นไปที่แนวคิดเกี่ยวกับความเปราะบางของสังคมต่อภัยพิบัติ รวมถึงการขยายความเสี่ยงทางสังคมและสาเหตุทางสังคมของความเปราะบางต่อภัยพิบัติ Hewitt (1983a: 24-25) เสนอว่า ภัยพิบัติเหล่านี้ ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหรือขึ้นอยู่กับกระบวนการทางภูมิศาสตร์เฉพาะ การรับรู้และการตอบสนองต่อภัยพิบัติขึ้นอยู่กับโครงสร้างและค่านิยมของสังคม และสาเหตุ ธรรมชาติ และผลลัพธ์ของภัยพิบัติ ต้องมองเห็นได้ในกลไกของสังคมและการเชื่อมโยงลักษณะเฉพาะกับสิ่งแวดล้อม Hewitt และผู้ร่วมงานของเขามองว่า ภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นผลของความเปราะบางของสังคมมนุษย์ที่เกิดจากชีวิตสมัยใหม่ ต่อมา Montz & Gruntfest (1986) ได้บันทึกความเปราะบางนี้ในรูปแบบของความเสียหายจากน้ำท่วมที่เพิ่มขึ้นในอเมริกาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการใช้มาตรการควบคุมการกัดเซาะที่เป็นโครงสร้างอย่างแพร่หลาย เนื่องจากการขยายตัวของการพัฒนาบนพื้นที่น้ำท่วม ตามที่ Watts (1983: 56) กล่าวไว้ว่า การตอบสนองต่อภัยพิบัติ... ขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมของหน่วยที่ตอบสนองและสถานการณ์ของพวกเขาในกระบวนการผลิต แม้แต่ภัยพิบัติทางธรรมชาติเรื้อรังเช่นการกัดเซาะดิน (Blaut et al. 1959; Blaikie 1985; Blaikie & Brookfield 1987) และภัยพิบัติฉับพลันเช่นแผ่นดินไหวก็ต้องมองจากมุมมองของนิเวศการเมืองหรือเศรษฐศาสตร์การเมือง

เมืองและการขยายตัวของเมือง

เมืองนั้นมีลักษณะไม่แตกต่างไปจากน้ำ อาหาร และภัยอันตราย ด้วยเป็นส่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของชีวิตสมัยใหม่ นักภูมิศาสตร์อเมริกันจึงมีความสนใจในโครงสร้างและหน้าที่ของปรากฏการณ์ในเขตเมืองมาอย่างยาวนาน ทั้งส่วนที่เป็นองค์ประกอบ/กลไกภายในเมืองและระหว่างเมือง ตัวอย่างล่าสุดของการวิจัยที่เกี่ยวกับมนุษย์และสิ่งแวดล้อมมุ่งเน้นไปที่มหานครลอสแองเจลิส เมืองที่เป็นแบบอย่างของสังคมเมืองสมัยใหม่ให้กับหลายๆ เมืองทั่วโลก โดยเมืองทั่วไปนั้น สภาพแวดล้อมทางกายภาพถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการก่อสร้างของมนุษย์ ซึ่งห่างไกลจากธรรมชาติและมีลักษณะเป็นสังคมเป็นส่วนใหญ่ การพัฒนาเมืองเข้าใจได้จากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ที่ก่อให้เกิดระบบการผลิต และภูมิทัศน์ที่มองเห็นได้ในพื้นที่เมืองนั้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากอุดมการณ์ทางสังคมและการเมืองไปสู่รูปแบบทางกายภาพ (Duncan 1988: 125)

สำหรับ Allen Scott การวิจัยเกี่ยวกับเมืองมีทั้งมิติเชิงประจักษ์และเชิงทฤษฎี Scott ได้ติดตามการพัฒนาเศรษฐกิจเมืองและยุคของพื้นที่ภายในเมืองในฐานะที่เป็นผลิตภัณฑ์ของการแบ่งแยกแรงงานและการทำงานของทุนและตลาดแรงงานในท้องถิ่น เขาเสนอว่าโครงสร้างของเมืองเป็นผลิตภัณฑ์ของระบบทุนนิยมสมัยใหม่ โดยมี ข้อได้เปรียบทางการเปรียบเทียบของภูมิภาคอุตสาหกรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่เสมอไป ... แต่ยังเกิดขึ้นจากสังคมตามตรรกะภายในของการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาค (Scott 1988: 59) อุตสาหกรรมและการเมืองในเมืองเป็นอีกด้านที่มีความเกี่ยวข้องกับการรวมกลุ่มกันของกิจกรรมต่างๆ ซึ่งอิงจากต้นทุนการเชื่อมโยงในการเคลื่อนย้ายสินค้า ข้อมูล แรงงาน และปฏิสัมพันธ์ที่ไม่สามารถสัมผัสได้ การพัฒนาในยุคปัจจุบัน เช่น การแยกตัวทางตั้งของบริษัท การจ้างงานภายนอก และโครงสร้างการเชื่อมโยงภายในอุตสาหกรรม ก่อให้เกิด ความซับซ้อนที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นหนาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้เกิดตลาดแรงงานและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดผ่านการแบ่งแยกแรงงานกับพื้นที่ทางสังคม (Scott  1988: 115) ดังนั้น รูปแบบอุตสาหกรรม การค้า และที่อยู่อาศัยในเมืองจึงมีความสัมพันธ์ที่พึ่งพากันและเกี่ยวข้องเชิงพื้นที่ตามการเข้าถึงของแรงงานต่อการจ้างงาน อย่างไรก็ตาม รูปแบบเหล่านี้จะแยกแยะได้ตามการแบ่งแยกแรงงาน อาชีพ ชั้นสังคม และเชื้อชาติ

เมืองหลวงสมัยใหม่จึงเป็นการรวมกลุ่มของแรงงานและทุนมนุษย์ที่เชื่อมโยงกันผ่านตรรกะของการผลิต การก่อตั้งตลาดแรงงานในท้องถิ่น และพลศาสตร์ของชุมชน (Scott 1988: 231) สิ่งที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้คือกฎเกณฑ์ของทุนนิยมที่แสดงออกผ่านกลุ่มการผลิตในท้องถิ่นและตลาดแรงงาน การวิเคราะห์ของสก็อตต์รวมถึงการใช้แบบจำลองทางแผนที่ สถิติ และกราฟิก การวิเคราะห์เชิงประจักษ์อย่างละเอียด และการสร้างแนวคิดในรูปแบบบรรยาย


เมื่อกระบวนการของการแบ่งแยกแรงงานทางสังคม การเชี่ยวชาญทางอุตสาหกรรม การกระจายตัว และอื่นๆ เข้ามามีบทบาท การพัฒนามักจะเกิดขึ้นได้แม้จะไม่มีฐานทรัพยากรพื้นฐานใดๆ เลย ดังนั้น ภูมิภาคที่ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติอาจเริ่มต้นการเติบโตทางอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วได้ในบางครั้ง หากมีแรงกระตุ้นเบื้องต้น ซึ่งไม่ว่าแหล่งที่มาจะบังเอิญเพียงใด จะดันพวกเขาไปถึงขอบเขตของการก่อตัวที่ซับซ้อน (Scott 1988: 59)

ตัวอย่างเช่น ศูนย์เทคโนโลยีไฮห์คอมเพล็กซ์ในเมืองออเรนจ์ เคาน์ตี้ เกิดขึ้นจากการกระจายตัวออกนอกเมืองของโรงงานขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมอวกาศและอิเล็กทรอนิกส์ แรงผลักดันภายในของเศรษฐกิจการรวมกลุ่มได้ผลักดันการขยายตัวนั้นและสร้างรูปแบบของกิจกรรมทางอุตสาหกรรมและการแบ่งแยกแรงงานที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งเป็นหลักฐานที่ชัดเจนต่อความเฉลียวฉลาดของทุนนิยมในการสร้างและทำลายสภาพทางสังคมและภูมิศาสตร์ที่มีอยู่ของมันในขณะที่แต่ละระบอบการสะสมใหม่และโหมดการควบคุมทางสังคมเกิดขึ้นและหายไป (Scott  1988: 201)

อย่างไรก็ดี Edward Soja (1985) ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์ในเขตเมืองลอสแองเจลิสจากมุมมองของทฤษฎีทางสังคมเชิงวิพากษ์ (critical social theory) ซึ่งได้รับอิทธิพลจากมุมมองเชิงพื้นที่เชิงวิพากษ์ (critical spatial perspective) เช่นกัน สำหรับ Soja ‘วาทกรรมทางประวัติศาสตร์ที่วิพากษ์วิจารณ์ ... ตั้งตัวต่อต้านการสร้างสรรค์ที่เป็นนามธรรมและไม่มีขีดจำกัดทางประวัติศาสตร์ ทำหน้าที่ต่อต้านทั้งแนวความคิดธรรมชาตินิยม ประจักษ์นิยม และปฏิฐานนิยม ที่ประกาศการกำหนดทางกายภาพของประวัติศาสตร์ต่อต้านการถือกำเนิดทางจิตวิญญาณและอุดมการณ์ที่คาดการณ์การกำหนดทางจิตวิญญาณและจุดมุ่งหมาย (Soja 1985: 14-15) คำถามทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ที่สำคัญนั้น มีลักษณะการตีความ ลอสแองเจลิสสมัยใหม่ให้สามารถเข้าใจได้ในภูมิศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์ของทุนนิยมผ่านการวิเคราะห์วิวัฒนาการของรูปแบบเมืองในเมืองที่มีระบบทุนนิยม ก่อประสานตัวกันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมกันภายในรัฐทุนนิยม และการปรับรูปแบบต่างๆ ของการแบ่งแยกแรงงานในเชิงพื้นที่ในระดับนานาชาติ ทั้งหมดนี้ถูกนำเสนอใน จินตนาการทางประวัติศาสตร์ ที่เชื่อมโยงประวัติศาสตร์ ชีวิตประวัติ และลักษณะเชิงพื้นที่ที่ฟื้นฟูจาก Henri Lefebvre และ Michel Foucault รวมถึงผู้อื่นด้วย เช่นเดียวกับที่พื้นที่ เวลา และสสาร กำหนดและครอบคลุมคุณลักษณะที่สำคัญของโลกทางกายภาพ ลักษณะเชิงพื้นที่ เวลา และการมีอยู่ทางสังคมสามารถมองเห็นได้ว่าเป็นมิติที่เป็นนามธรรมซึ่งรวมกันประกอบเป็นทุกด้านของการดำรงอยู่ของมนุษย์ (Soja 1985: 25)

ด้วยมุมมองแบบนี้ทำให้ Soja (1985) มองเห็นมหานครลอสแองเจลิส ว่าเป็น กรณีศึกษาในภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ของการปรับโครงสร้างเมืองและภูมิภาค บทความที่เขียนผ่านการตีความของเขา เริ่มต้นด้วยภาพสั้นๆ ทางประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจของการปรับโครงสร้างของเมือง การลดลงของอุตสาหกรรมและการฟื้นฟูอุตสาหกรรม การแบ่งกลุ่มตลาดแรงงาน และการจัดระเบียบพื้นที่ทางสังคมใหม่ เกิดสิ่งใหม่ที่ Soja เรียกว่า คอมเพล็กซ์อุตสาหกรรมเทคโนโลยี (technopolitan industrial complex) เขาสำรวจการเกิดขึ้นของความไม่เท่าเทียมทางสังคม เศรษฐกิจ และเชิงพื้นที่ที่มากขึ้น โดยตั้งข้อสังเกตอย่างมีไหวพริบว่าศูนย์กลางของเมืองในปัจจุบันกลับกลายเป็นพื้นที่ชายขอบ ซึ่งเป็นที่ตั้งของการถือครองทรัพย์สินจากต่างประเทศ ประชากรผู้อพยพ และโซนการลงทุน เป็นป้อมปราการของทุนข้ามชาติ Soja ชี้ให้เห็นถึงงานก่อนหน้านี้ของ Scott เกี่ยวกับเมืองออเรนจ์ เคาน์ตี้ และมุ่งเน้นไปที่กระบวนการอุตสาหกรรมและการลดลงของอุตสาหกรรมที่คล้ายคลึงกัน รวมถึงการแบ่งแยกแรงงานในเชิงพื้นที่และทางสังคม แต่ Soja หันจากการวิเคราะห์ไปสู่การสร้างภาพให้สามารถมองเห็นได้ (analysis to visualization) เมื่อเขาเริ่มต้นการบรรยายเชิงกราฟิกเกี่ยวกับภูมิทัศน์ทางกายภาพที่มองเห็นได้ ในเนื้อเรื่องที่ปรุงแต่งด้วยการสะท้อนถึงประวัติศาสตร์และความหมาย พร้อมทั้งการตีความจากมุมมองของทฤษฎีวิพากษ์วิจารณ์ ลอสแองเจลิส ซึ่งเขาอ้างว่า มีความท้าทายการนิยามของเมืองและชานเมือง เพราะมันเป็น การจัดเรียงที่สับสน ซึ่งอยู่ภายใต้ ระเบียบทางเศรษฐกิจ โครงสร้างจุดเชื่อมที่เป็นเครื่องมือ และการแบ่งแยกแรงงานเชิงพื้นที่ที่มีลักษณะการเอาเปรียบ (Soja 1985: 245, 246) Soja ยอมรับว่าคำบรรยายและการตีความของเขาเกี่ยวกับเมืองนั้น มีจุดประสงค์ หลากหลาย แตกต่างกัน ไม่สมบูรณ์ และมักขัดแย้ง (Soja 1985: 247) แต่เบื้องหลังการวิจารณ์ทางสังคมของเขาคือมุมมองทางภูมิศาสตร์ที่ชัดเจน ความกังวลของเขาและสก็อตต์ก็เหมือนกัน: รอยประทับของทุนนิยมในเขตเมือง สถานที่จริงก็ยังคงเหมือนเดิม ส่วนลอสแองเจลิสสำหรับ Scott การเข้าใจนั้นอยู่ในเศรษฐศาสตร์การเมืองและระเบียบที่ฝังอยู่ในพลศาสตร์ของทุนนิยม โดยมีเนื้อหาเชิงมนุษยนิยม สำหรับ Soja ความหมายถูกเปิดเผยผ่านวาทกรรมทางมนุษย์ที่วิพากษ์วิจารณ์ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเศรษฐศาสตร์การเมือง เช่นเดียวกับตัวอย่างทั้งสี่ก่อนหน้านี้ มุมมองที่แตกต่างกันมอบข้อมูลเชิงลึกที่แตกต่าง โดยแต่ละมุมมองมุ่งเน้นไปที่โลกเดียวกันและช่วยเสริมสร้างความเข้าใจของเราต่อโลกนั้น

มุมมองทางภูมิศาสตร์

มีคำถามที่ควรใส่ใจว่า อะไรคือสิ่งที่เหมือนกันในวิธีที่นักภูมิศาสตร์ศึกษาเรื่องราวที่หลากหลาย ซึ่งแสดงได้ด้วยตัวอย่างทั้ง 5 ตัวอย่างที่เลือกมากล่าวแล้วนี้? สังคมทุกแห่งต้องตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางชีวภาพและสังคม และทุกสังคมประสบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่และเวลา ทรัพยากรถูกกระจายอยู่ตามพื้นที่ ในขณะที่มนุษย์และการตั้งถิ่นฐานของพวกเขาเป็นจุดเมื่อเปรียบเทียบ การมีอยู่ของทรัพยากรอาจมีความเข้มข้นในช่วงเวลา เช่น ฤดูกาลเก็บเกี่ยว ในขณะที่ความต้องการของมนุษย์ โดยเฉพาะสำหรับอาหาร มีความต่อเนื่องตลอดเวลา ความท้าทายเหล่านี้ต้องการการจัดระเบียบเชิงพื้นที่และเวลาเพื่อนำทรัพยากรและสังคมมารวมกันในพื้นที่และเวลา การจัดระเบียบเชิงพื้นที่จะต้องตอบสนองต่อวัฏจักร (ฤดูกาล) และความผิดปกติหรือ ในกรณีที่รุนแรง อาจถึงขั้นภัยพิบัติ สังคมอาจถูกมองว่าเป็นระบบที่ปรับตัวได้ซับซ้อนซึ่งพฤติกรรมใหม่และเปลี่ยนแปลงได้ถูกทดสอบผ่านการเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงได้

ทั้งนี้ สังคมมนุษย์มีความแตกต่างกันในด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้

· การใช้ทรัพยากรที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้หรือทรัพยากรทางการเงิน ซึ่งอาจถูกดึงมาใช้ (มีผลกระทบเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับฐานทรัพยากร) หรือขุดเจาะ (มีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในฐานทรัพยากร)

·  ลักษณะและความเข้มข้นของเทคโนโลยีของพวกเขา

·  การใช้พลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้กับทรัพยากรที่ไหล

·  ขนาดเชิงพื้นที่ของการพึ่งพาทรัพยากรของพวกเขา

·  ระยะเวลาในการส่งผลกระทบจากการใช้สิ่งแวดล้อม

·  ความซับซ้อนหรือความเรียบง่ายของการผลิตหลักของพวกเขา

·  ความพึ่งพาอาศัยกันระหว่างภูมิภาคและสังคมอื่นๆ

·  ระยะทางของบุคคลจากทรัพยากรที่สามารถทำให้ดำรงอยู่ได้ และ

·  ความซับซ้อนของการควบคุมการตัดสินใจในการใช้ทรัพยากร

รายการที่กล่าวข้างบนนี้ เป็นความเหมือนและความแตกต่างในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับสิ่งแวดล้อมที่อาจจะยังไม่ครบถ้วน แต่ให้รสชาติของความสัมพันธ์ที่มนุษยชาติเป็นเจ้าของ ปัญหาหลายด้านเกี่ยวกับสังคมและสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญต่อภูมิศาสตร์สมัยใหม่ รวมถึงการผลิตทางการเกษตรและความมั่นคงด้านอาหาร การเติบโตของประชากร การรับรู้และพฤติกรรมของมนุษย์ในสิ่งแวดล้อมทั้งธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น การประเมินและการจัดการทรัพยากร การวางแผนด้านสิ่งแวดล้อมและภูมิภาค การศึกษาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการพักผ่อน การแพทย์ทางภูมิศาสตร์ ภูมิทัศน์ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและอุดมการณ์ สาเหตุทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมของการเสื่อมสภาพของสิ่งแวดล้อม และการวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์เกี่ยวกับสาเหตุและผลที่ตามมาของการเปลี่ยนแปลงทั่วโลก เราสามารถกล่าวได้ว่า แทบจะมีองค์ประกอบใดๆ ของความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงมนุษย์และสังคมเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่มีการแสดงออกทางภูมิศาสตร์ ซึ่งมีความน่าสนใจในเชิงภูมิศาสตร์ที่มีศักยภาพ

โลกของมนุษย์

ในบทความภูมิสถาปัตย์ที่น่าสนใจมากๆ เรื่อง ‘The Beholding Eye’ ผู้เขียนคือ Donald Meinig (1976) เสนอแนะว่า ภูมิทัศน์สามารถมองได้จากมุมมองที่แตกต่างกัน ภูมิทัศน์อาจเป็นตัวแทนของธรรมชาติ สถานที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ผลิตผลจากกิจกรรมของมนุษย์ ระบบ ปัญหา การสะท้อนถึงความมั่งคั่ง การแสดงออกถึงอุดมการณ์ ประวัติศาสตร์ สถานที่ หรือความจริงเชิงสุนทรียะ เรยกว่าเป็นอะไรก็ได้ มุมมองที่หลากหลายของ Meinig สร้างขึ้นเป็นระบบย่อยๆ ทางวัฒนธรรม แต่ละอันมีความหมายหรือเป้าหมายของตนเอง และมีวิธีการตัดสินใจที่เฉพาะเจาะจง (Farness 1966) ยกตัวอย่างเช่น ภูมิทัศน์ในฐานะธรรมชาติต้องการการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นกลางและปราศจากอารมณ์ในการค้นหาความจริงเชิงประจักษ์ ภูมิทัศน์ในฐานะระบบเรียกร้องการออกแบบและปรับปรุงอย่างมีสติในความพยายามที่จะหาความมีประสิทธิภาพ ภูมิทัศน์ในฐานะอุดมการณ์ก่อให้เกิดภาพของการเมือง กฎหมาย และนิติศาสตร์ โดยมีเป้าหมายของความเท่าเทียม ความเป็นระเบียบ และความยุติธรรม ทั้งหมดนี้มาจากการตีความเชิงอารมณ์และประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภูมิศาสตร์มนุษย์ กระบวนการนวัตกรรมและการแพร่กระจายเกิดขึ้นตลอดเวลา และได้รับการกำหนดอย่างเข้มงวดโดยมิติของพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ความหลากหลายของมุมมองทางภูมิศาสตร์เกิดจากความซับซ้อนลึกซึ้งของโลกมนุษย์ นอกจากนี้ ยังชี้ให้เห็นว่าการเข้าใจแต่ละโลกจะต้องมองจากมุมมองที่แตกต่างกัน แต่ก็อาจเป็นมุมมองที่เสริมกัน และการแสดงออกถึงความเข้าใจจะมีหลายรูปแบบของการสนทนา ไม่ว่าจะมีรากฐานมาจากลัทธิประจักษ์นิยมที่โดดเด่น ปรากฏการณ์มนุษยนิยม (รวมถึงปรากฏการณ์วิทยาหรือสุนทรียศาสตร์) มาร์กซิสต์หรือความคิดแบบหัวรุนแรง มุมมองที่เน้นบทบาทของชายหญิง หรือกรอบคิดอื่นๆ แต่ละโหมดของความคิดเสนอวิธีการและคำถามที่แตกต่างกันในระดับที่แตกต่างกัน และแต่ละโหมดเปิดเผยความเป็นจริงที่แตกต่างกัน

โลกทางกายภาพ

ภูมิศาสตร์ทางกายภาพมีรากฐานทางปัญญาอยู่ภายใต้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่มีความเป็นกลาง บวกเข้ากับการเป็นวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์ และมีรากฐานที่สำคัญในความเก่าแก่ของความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์เกี่ยวกับธรรมชาติ ภูมิศาสตร์ทางกายภาพที่มีรากฐานล่าสุดในวิทยาศาสตร์ธรรมชาติของศตวรรษที่ 18 และ 19 ด้วยหลักคิดแบบเอกรูปนิยม (uniformitarianism) ที่เป็นมรดกตกทอดจากการชื่นชมอย่างยิ่งของดาร์วินเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงตามเวลา และจุดสุดยอดของการสำรวจที่นำพายุโรปไปค้นพบดินแดนและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ มากมาย ได้เข้ามามีส่วนสำคัญต่อความพยายามที่จะสร้างความู้ความเข้าใจสิ่งแวดล้อมของโลกผ่านวิธีการเชิงประจักษ์ การศึกษาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นประจักษ์เพื่อพัฒนาและทดสอบสมมติฐานเป็นพื้นฐานสำหรับทฤษฎีหรือกฎได้รับการเปรียบเทียบกับภูมิศาสตร์มนุษย์ในยุคหลังทศวรรษ 1950 ที่มองหากฎที่คอยทำหน้าที่ควบคุมกระบวนการทางพื้นที่ ขอบเขตการศึกษาค้นคว้าของภูมิศาสตร์ทางกายภาพมีการแทรกซึมผ่านเข้าไปทั้งต่อปัจเจกบุคคลและการแพร่กระจายของแนวคิดในวิทยาศาสตร์โลกและชีววิทยา ด้วยแกนกลางทางวิทยาศาสตร์ที่มุ่งเน้นการศึกษากระบวนการที่ผิวโลก ภูมิศาสตร์ทางกายภาพจึงมุ่งเน้นการมุ่งเน้นที่จะทำความเข้าใจสิ่งแวดล้อมที่มีความสัมพันธ์กับสังคม รวมถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนการและรูปแบบของสิ่งแวดล้อมโดยมนุษย์ และพื้นฐานทางกายภาพสำหรับการประเมินและการจัดการสิ่งแวดล้อม Emel & Peet (1989: 49) เสนอแนะว่า ‘เอกภาพของภูมิศาสตร์ไม่มีวันใกล้จะบรรลุผลได้มากไปกว่าภูมิศาสตร์ทรัพยากร’ ภูมิศาสตร์กายภาพมีบทบาทนำในการพัฒนาวิธีการทางภูมิศาสตร์ รวมถึงทฤษฎีระบบ การสำรวจระยะไกล ภูมิสารสนเทศ และการประยุกต์ใช้แบบจำลองเชิงปริมาณ

สังคมและสิ่งแวดล้อม

ในงานเขียนที่สำคัญของ Clarence Glacken (1967) เรื่อง Traces on the Rhodian Shore ได้ติดตามพัฒนาการของคำถามที่มีมาอย่างต่อเนื่อง 3 ประการ โดยสองคำถามแรกมีต้นกำเนิดจากสมัยโบราณ ถามว่า โลกถูกออกแบบมาโดยเจตนาหรือไม่?’ และ ลักษณะของโลกมีผลกระทบต่อธรรมชาติทางศีลธรรมและสังคมของบุคคลและวัฒนธรรมหรือไม่?’ จนถึงกลางศตวรรษที่ 19 แนวคิดเกี่ยวกับโลกที่ถูกออกแบบได้ (designed earth) ถูกเข้ามาแทนที่ด้วยการเติบโตของวิทยาศาสตร์ คำถามเกี่ยวกับอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมต่อพฤติกรรมทางศีลธรรมและสังคมมีการแข่งขันกับคำถามที่ 3 ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 ซึ่งถามว่า มนุษยชาติได้เปลี่ยนแปลงโลกอย่างไร?’

พิจารณาให้ดีจะเห็นว่าคำถามที่สอง เป็นคำถามที่เป็นต้นกำเนิดของการตีความเกี่ยวกับการแข่งขันกันภายใต้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม แนวความคิดที่ว่าสภาพแวดล้อมเป็นตัวกำหนด (environmental determinism) เป็นผลที่ตามมาอย่างมีเหตุผลจากแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการและวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์ที่มีอิทธิพลในปลายศตวรรษที่ 19 รูปแบบต่างๆ ของแนวความคิดที่ว่าสภาพแวดล้อมเป็นตัวกำหนดยังคงมีอยู่ในปัจจุบันในรูปแบบของความคิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่อาจดูเบาบางลง ซึ่งรวมถึงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสิ่งแวดล้อมต่อมนุษย์ อันตรายจากสิ่งแวดล้อม และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทั่วโลกต่อสังคม เช่น การเปลี่ยนแปลงผลผลิตทางการเกษตร หรือการเพิ่มระดับน้ำทะเล ซึ่งตามความหมายที่ตีความกันแบบร่วมสมัย สิ่งแวดล้อมถูกมองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลกระทบ ซึ่งอาจได้รับการกันออกหรือเน้นย้ำจากการกระทำของมนุษย์ และสามารถแก้ไขได้ด้วยกลไกบรรเทาผลกระทบต่างๆ การเปลี่ยนแปลงมุมมองจากการครอบงำของสิ่งแวดล้อมไปสู่การเป็นผู้นำของสังคมนั้นแสดงให้เห็นได้ว่ามาจากแนวคิดที่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมีโอกาสเป็นไปได้ (possibilism) ทั้งนั้น โดยแนวความคิดโอกาสเป็นไปได้นี้ ให้ข้อเสนอแนะมีทางเลือกอยู่ในสังคมที่อยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่คอยเป็นตัวกำหนดสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่เกิดขึ้น และชี้ให้เห็นว่าสิ่งแวดล้อมที่คล้ายกันอาจมีการปรับตัวของมนุษย์ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ รูปแบบหนึ่งของความเป็นไปได้ คือ ความน่าจะเป็น (probabilism) ที่บ่งบอกให้ทราบว่า สำหรับสังคมหนึ่งที่ต้องอยู่ภายใต้ทางเลือกหนึ่งในหลายๆ ทางเลือก มันมีความเป็นไปได้มากกว่าหรือมีความน่าจะเป็นมากกว่าที่จะยอมจำนนอยู่กับทางเลือกที่เหมือนไม่ได้เลือกนั้นๆ นอกจากนี้ ยังมีแนวความเทคโนโลยีวัตถุนิยม (technological materialism) ที่กำหนดให้เทคโนโลยีเป็นปัจจัยที่โดดเด่นที่คอยเข้ามากำหนดทั้งการใช้สิ่งแวดล้อมของสังคม และความซับซ้อนทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งก็เป็นอย่างที่ได้เห็นกันมาแล้วว่า สำหรับนักภูมิศาสตร์มนุษย์หลายคน โลกของพวกเขา คือ สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยการรับรู้ ตั้งใจ และพฤติกรรมของมนุษย์

นักภูมิศาสตร์ในปัจจุบันมองเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมจากมุมมองของระบบ ซึ่งมีส่วนประกอบต่างๆ ปฏิสัมพันธ์กันและเป็นเหตปัจจัยต่อกันและกัน จริงๆ แล้ว รากฐานของมุมมองนี้สามารถพบได้ในนิเวศวิทยาและแนวคิดของ Sauer (1925) ที่แสดงเอาไว้เกี่ยวกับภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม อันเป็นที่ยอมรับกันถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับสิ่งแวดล้อม ภูมิศาสตร์ของ Sauer มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับมานุษยวิทยาวัฒนธรรมสมัยใหม่ (Solot 1986) ขณะที่มานุษยวิทยาพยายามทำความเข้าใจต้นกำเนิด การแพร่กระจาย และการกระจายตัวของลักษณะทางวัฒนธรรมของมนุษย์ในบริบทของสิ่งแวดล้อม ภูมิศาสตร์ของมนุษย์ (anthropogeography) เองก็มุ่งเน้นที่ภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นสิ่งที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสิ่งแวดล้อมนี้เป็นทั้งสาเหตุที่มีผลกระทบต่อสังคม และเป็นผลลัพธ์จากกิจกรรมของสังคม

ความไม่พอใจที่ต่อแนวความคิดที่ว่าสภาพแวดล้อมเป็นตัวกำหนด ยังถูกแสดงออกในแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้สิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมทางปัญญา พิจารณากันแบบง่ายๆ จะพบว่าสิ่งแวดล้อมมีผลกระทบต่อมนุษย์ผ่านทางความคิดของมนุษย์ สิ่งแวดล้อมอาจถูกรับรู้และใช้งานโดยสังคมและบุคคลต่างๆ ในลักษณะที่แตกต่างกัน (Brookfield 1969) แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับนิเวศวัฒนธรรม (cultural ecology) ได้รับการนำมาใช้โดยนักภูมิศาสตร์หลายคน โหมดของการทำความเข้าใจในนิเวศวัฒนธรรมส่วนใหญ่เป็นการอธิบายเชิงหน้าที่ เช่น ในการศึกษาของ Bishop (1990) เกี่ยวกับส่วนประกอบเชิงพื้นที่และเชิงเวลาในระบบนิเวศวัฒนธรรมที่ซับซ้อนในภูมิภาคหิมาลัยของประเทศเนปาล Bishop ได้สร้างแบบจำลองระบบการยังชีพในแม่น้ำการ์นาลี โดยเสนอว่าการเสื่อมโทรมของที่ดินเกิดจากความเครียดในระบบการเกษตรที่สามารถเพาะปลูกได้และระบบการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งความเครียดนี้เกี่ยวข้องกับแรงกดดันจากการเติบโตของประชากรและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองและเศรษฐกิจตั้งแต่ทศวรรษ 1950 ขณะที่น้านนิเวศการเมือง (political ecology) สังคมและสิ่งแวดล้อมมีปฏิสัมพันธ์กันผ่านการจัดระเบียบแรงงาน พื้นที่ และทรัพยากรในระบบการผลิต นักภูมิศาสตร์ได้มีส่วนร่วมในการตีความประเด็นระหว่างสังคมกับสิ่งแวดล้อมในลักษณะมาร์กซิสต์หรือในแบบเร่าร้อน เช่น การเติบโตของประชากร มลพิษ ภัยแล้ง การอนุรักษ์ การใช้ที่ดิน นโยบายสาธารณะ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สำหรับนักภูมิศาสตร์เหล่านี้ ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอุดมการณ์ทางการเมืองและสังคม รวมถึงกระบวนการทางเศรษฐกิจ

ภาพที่ 2.1 กรอบแนวความคิดเชิงเส้นแสดงปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม  บางส่วนของแผนภาพนี้ได้แก่ที่มาจาก Bennett (1976: 165)

แนวคิดเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมบางส่วนที่กล่าวถึง มีลักษณะเป็นเชิงเส้น (ภาพที่ 2.1) ขณะที่แผนผังอื่นๆ เป็นเชิงระบบ (ภาพที่ 2.2) แนวความคิดที่ว่าสภาพแวดล้อมเป็นตัวกำหนด (2.1A) ถือว่าสิ่งแวดล้อมที่มีความกระตือรือร้นเป็นสาเหตุและสังคมที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นผลกระทบ ความคิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างเบาบาง (mild environmentalism) ซึ่งมีความสนใจอย่างต่อเนื่องต่อผลกระทบของเหตุการณ์ทางสิ่งแวดล้อมต่อสังคม มองว่าทางสิ่งแวดล้อมมีอำนาจน้อยกว่า (2.1B) ส่วนความคิดที่ว่าทุกอย่างมีโอกาสเป็นไปได้ (2.1C) และความน่าจะเป็น (2.1D) เสนอทางเลือกที่มีโอกาสเท่ากันหรือลดลง นอกจากนี้ลัทธิเทคโนโลยีวัตถุนิยม (2.1E) มุ่งเน้นที่เทคโนโลยีในฐานะตัวกลางในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับสิ่งแวดล้อม ขณะที่แนวคิดเชิงระบบ การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสังคมและสิ่งแวดล้อมจะสร้างภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม (2.2F) ส่วนในความิดที่ว่าด้วยพฤติกรรมทางปัญญา การรับรู้ของมนุษย์ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างสิ่งแวดล้อมกับสังคม (2.2G) การเชื่อมต่อที่แสดงถึงทั้งผลกระทบและกลไกตอบสนอง โดยแนวความคิดเกี่ยวกับนิเวศวัฒนธรรม เชื่อมั่นในความเป็นระบบที่มีปฏิสัมพันธ์กันของสิ่งแวดล้อม สังคม และเทคโนโลยี (2.2H) สังคมสร้างและคงไว้ซึ่งเทคโนโลยีที่ยั่งยืนซึ่งในทางกลับกันกำหนดทรัพยากรและดึงทรัพยากรเหล่านั้นจากสิ่งแวดล้อมเพื่อการใช้งานของมนุษย์ โดยมีผลกระทบต่อชีวภาพ การสร้างรอยประทับทางกายภาพต่อสิ่งแวดล้อม นิเวศการเมืองเน้นความสำคัญของเทคโนโลยีและแรงงานในการสร้างความมั่งคั่งและอำนาจในสังคม ซึ่งในทางกลับกันจะกำหนดการเป็นเจ้าของและการเข้าถึงทรัพยากร (2.21) สุดท้าย โครงสร้างระบบที่ปรับตัวได้ (adaptive systems framework) จะรวมถึงส่วนประกอบที่คุ้นเคย นอกจากนี้ยังมี กระบวนการป้อนกลับและการป้อนข้างหน้า (feedback and feedforward processes) และกลไกและกลยุทธ์ในการปรับตัวที่พัฒนาขึ้นตามเวลา (2.2J)

สิ่งแวดล้อมของนักภูมิศาสตร์

สำหรับนักภูมิศาสตร์แล้ว  สภาพแวดล้อม คือ ทรัพยากร อันตราย และที่สำคัญที่สุด คือ สถานที่ เมื่อกล่าวถึงสภาพแวดล้อมในฐานะทรัพยากร นักภูมิศาสตร์ต้องการที่จะเข้าใจสภาพแวดล้อมทางกายภาพธรรมชาติจากมุมมองของวิทยาศาสตร์ แต่ก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการอนุรักษ์ การรักษา และการจัดการสภาพแวดล้อม ในฐานะทรัพยากรซึ่งได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ทางสังคม เช่น ขนบธรรมเนียม กฎหมาย อำนาจ ความมั่งคั่ง ความงาม และความหมาย ในทางนิเวศวิทยา ทุกสิ่งล้วนเกี่ยวพันกัน ซึ่งก็ใช้ได้กับภูมิศาสตร์เช่นกัน นักภูมิศาสตร์นั้นไม่ว่าจะเป็นนักภูมิศาสตร์โดยธรรมชาติและโดยการเพาะบ่มมาเป็นอย่างดี ล้วนแล้วแต่เป็นคนชอบหลากหลาย อยากรู้อยากเห็น และมีความคิดแบบองค์รวม สำหรับนักภูมิศาสตร์ การหาความเป็นระเบียบในความยุ่งเหยิงที่ดูเหมือนจะเกิดจากความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ที่เชื่อมโยงมนุษย์และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันต้องอาศัยมุมมองที่หลากหลาย การตั้งคำถามเกี่ยวกับความท้าทายของสังคมในบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงนั้นได้รับการเสริมด้วยความเหมือนกันในจุดมุ่งหมายและความหลากหลายของมุมมองของเรา ในฐานะนายกสมาคมภูมิศาสตร์นานาชาติ Akin Mabogunje (1984) ยืนยันว่า ภูมิศาสตร์เป็นสะพานเชิงตรรกะระหว่างสังคมศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติในการเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน เขามองว่าภูมิศาสตร์กายภาพเป็นผู้สร้างสะพานนั้น โดยมีภูมิศาสตร์มนุษย์ให้ความช่วยเหลือ ซึ่งมองภูมิทัศน์เป็นผลงานของการโต้ตอบระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม Mabogunje ยืนยันว่า ภูมิศาสตร์จะได้รับการพัฒนาขึ้น เมื่อมีการมุ่งเน้นไปที่ ‘ความเข้าใจที่ได้รับการปรับปรุงเกี่ยวกับวิธีทำให้โลกเป็นบ้านที่ดีกว่าสำหรับมนุษย์’ สิ่งที่ลึกซึ้งที่สุด คือ สิ่งแวดล้อมเป็นสถานที่ โดยเป็นสถานที่ที่มีเนื้อหา มีตัวตนทางกายภาพ และมีความละเอียดอ่อนทางสังคม เป็นสถานที่ที่สามารถสัมผัสได้โดยผู้มีชีวิต และมีความรู้สึกทั้งในมิติทางวัสดุและวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรหรือสถานที่ สิ่งแวดล้อมจะมีอยู่ในทุกสิ่งที่นักภูมิศาสตร์ศึกษา ทั้งอย่างชัดเจนและอย่างไม่ชัดเจน สภาพแวดล้อมทั้งมนุษย์และกายภาพคือโลกของนักภูมิศาสตร์ ดังที่ Yi-Fu Tuan (1971: 181) กล่าวไว้ว่า ‘ความรู้เกี่ยวกับโลก ช่วยให้เข้าใจโลกของมนุษย์ การรู้จักโลก คือ การรู้จักตนเอง


ภาพที่ 2.2 แนวคิดระบบในการโต้ตอบระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม บางส่วนของแผนภาพนี้ได้แก่ที่มาจาก Bennett (1976: 165), Price (1977: 72) และ Bennett & Chorley (1978: 100)


แปลและเรียบเรียงจาก Knight, C. Gregory (1992). Geography’s World. In Geography’s Inner Worlds: Pervassive Themes in Conteporary American Geography. Edited by Ronald F. Alber, Melvin G. Marcus and Judy M. Olson., pp. 9-26. New Jersey: Rutgers University Press.