หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2567

สันติภาพลวงเพื่อแอบอ้างสิทธิ์ในดินแดน

สันติภาพลวงเพื่อแอบอ้างสิทธิ์ในดินแดน

พัฒนา ราชวงศ์ นายกสมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย

การนำเสนอในสื่อโทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์เต็มไปด้วยภาพความขัดแย้งระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอล โชคดีสำหรับพวกเราส่วนใหญ่ นั่นคือวิธีที่เราประสบกับสงคราม ผ่านการนำเสนอของสื่อและวาทศิลป์ทางการเมืองที่จัดทำขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อขอการสนับสนุนและความเห็นอกเห็นใจ เมื่อพิจารณาจากคำกล่าวอ้างของวอลเซอร์ที่ว่า สงครามที่ถูกมองว่าไม่ยุติธรรม เป็นสงครามที่ไม่ชอบ และความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัฐที่เกิดขึ้น ด้วยภูมิรัฐศาสตร์ของความขัดแย้งที่มีเป้าหมายการต่อสู้ไปสู่สงคราม ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีเพื่อให้ได้มาซึ่งศีลธรรมอันสูงส่ง แบบนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นการเมืองมากกว่าการปฏิบัติสงครามที่เราประเมินและตอบสนอง

แม้ว่าสารัตถะในบทนี้จะได้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับการบิดเบือนของภาพลักษณ์ความขัดแย้งระหว่างปาเลสไตน์-อิสราเอล แต่ก็ยังคงจะคำนึงถึงความเป็นจริงอันโหดร้ายภาคพื้นดิน ซึ่งเป็นการแสดงออกและการหาเหตุผลของความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่มาให้ สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือลักษณะที่รัฐปาเลสไตน์ถูกนำเสนอให้เป็นรัฐตัวอ่อน (embryonic Palestinian state) มีสภาพล้มเหลวในกิจการสร้างสรรค์นโยบายต่างๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะถูกเข้าใจว่าเป็นรัฐที่มีอธิปไตย ขณะเดียวกันก็เผชิญหน้ากับข้อจำกัดทางภูมิรัฐศาสตร์ ด้วยถูกปฏิเสธความสามารถในการใช้อำนาจ ขณะที่ชาวปาเลสไตน์ถูกปฏิเสธไม่ให้มีสถานะในการปฏิบัติหน้าที่ การจัดตั้งหน่วยงานปาเลสไตน์ทำให้หน่วยงานทางการเมืองที่เป็นตัวอ่อนถูกตราหน้าว่าเป็นคนขี้โกง ที่ไม่เต็มใจที่จะป้องกันการกระทำของการก่อการร้าย กรณีศึกษาที่นำมานี้แสดงให้เห็นว่าภูมิรัฐศาสตร์ภายในรัฐ จากมุมมองของแกรมสเกียนถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการใช้อำนาจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอลงอย่างไร และท้ายที่สุดแล้ว การวิเคราะห์ความขัดแย้งนี้ช่วยให้เห็นได้ว่าพลวัตของสงครามและสันติภาพนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์ทางการเมืองของความขัดแย้งอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีที่ชาวปาเลสไตน์ถูกจำกัดด้วยการละทิ้งภูมิศาสตร์การต่อต้านที่จัดตั้งขึ้น และสร้างพื้นที่อำนาจรัฐท่ามกลางข้อจำกัดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรง

ภูมิรัฐศาสตร์ของการเริ่มต้นสร้างสันติภาพ

ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับดินแดน 3 ประการเพื่อที่จะแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธีระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ได้ถูกนำเสนอและเผยแพร่ไปแล้วนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามอ่าวปี 1991 แต่ถึงแม้จะมีส่วนร่วมของหลายฝ่ายในกระบวนการนี้ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าที่มีความหมายใดๆ ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะเพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในตะวันออกกลางของพวกเขาที่จะเป็น ดินแดนแห่งสันติภาพ” “สันติภาพที่ครอบคลุมและ สันติภาพเพื่อสันติภาพซึ่งแต่สมการที่จินตนาการเอาไว้เหล่านี้ ประกอบด้วยองค์ประกอบดินแดนที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องล้วนตีความแตกต่างกันออกไป

แนวคิดเกี่ยวกับแผ่นดินเพื่อสันติภาพ  (land-for-peace concept) เคยเป็นและยังคงเป็นสูตรสำเร็จที่ได้รับการยอมรับในระดับสูงสุดในประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และชาวปาเลสไตน์ รวมทั้งยังเป็นที่รู้จักกันในนามวิธีแก้ปัญหาของสองรัฐสำหรับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ แนวทางของสูตรสำเร็จที่ว่านี้ คือ อิสราเอลต้องปฏิบัติตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 242 และ 338 ซึ่งเรียกร้องให้อิสราเอลถอนตัวออกจากดินแดนที่ถูกยึดครองโดยกำลังทหารในสงครามเดือนมิถุนายน 1967 ซึ่งก็คือพื้นที่เวสต์แบงก์และฉนวนกาซา รวมทั้งกรุงเยรูซาเลมตะวันออกด้วย น่าสังเกตว่าอิสราเอลละเมิดข้อมติเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรมมาเป็นเวลา 35 ปีแล้ว เมื่ออิสราเอลปฏิบัติตามปณิธานเหล่านี้ การเล่าเรื่องก็เป็นไปตามนั้น ชาวปาเลสไตน์จะได้รับโอกาสในการตัดสินใจด้วยตนเองและรับอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนเหล่านี้ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 23 ของบ้านเกิดของพวกเขา ไม่จำเป็นต้องพูดว่า การแก้ปัญหานี้ถูกมองโดยชาวปาเลสไตน์และความเป็นผู้นำของพวกเขาในฐานะการประนีประนอมดินแดนทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างชัดเจนถึงอธิปไตยของอิสราเอลเหนือพื้นที่ร้อยละ 77 ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือของปาเลสไตน์ ตามที่กำหนดโดยอาณัติอังกฤษแบบเก่า ที่สำคัญ การประนีประนอมครั้งประวัติศาสตร์นี้ เป็นสาระสำคัญของวาทกรรมของประธานาธิบดียัสเซอร์ อาราฟัต ผู้นำชาวปาเลสไตน์ในคำกล่าวซ้ำๆ ของเขาเกี่ยวกับ ความสงบสุขของผู้กล้าที่เขาหวังที่จะสรุปร่วมกับนายกรัฐมนตรียิตซัค ราบิน ของอิสราเอลผู้ล่วงลับไปแล้ว ภายใต้กรอบของข้อตกลงออสโลปี 1993 และ 1995

สำหรับคำว่า สันติภาพที่ครอบคลุมนั้นชี้ให้เห็นว่า เมื่อความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ได้รับการแก้ไขบนพื้นฐานของสูตรสำเร็จว่าด้วยแผ่นดินเพื่อสันติภาพแล้ว อิสราเอลมีแนวโน้มที่จะอยู่ในสถานะที่ดีกว่าในการบรรลุความสัมพันธ์อันสันติอย่างสมบูรณ์และครอบคลุมกับส่วนที่เหลือของประเทศอาหรับ โดยประเทศอาหรับส่วนใหญ่นอกเหนือจากซีเรียและเลบานอนไม่มีข้อพิพาทเรื่องอาณาเขตกับอิสราเอล และการประชุมสุดยอดสันนิบาตอาหรับ 2002 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเบรุตก็ได้ยืนยันอีกครั้งถึงความพร้อมของชาวอาหรับในการยอมรับการดำรงอยู่ของอิสราเอลด้วยสิ่งที่นำเสนอเป็นแผนสันติภาพของซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นแผนที่ได้รับการยอมรับจากประเทศอาหรับส่วนใหญ่

ต่างจากแนวคิดสองประการก่อนหน้านี้ สมการสันติภาพเพื่อสันติภาพได้รับการสนับสนุนเพียงเล็กน้อยในประชาคมระหว่างประเทศ (นอกแวดวงอนุรักษ์นิยมบางแห่งในสหรัฐอเมริกา) และไม่เป็นที่ยอมรับของชาวปาเลสไตน์โดยสิ้นเชิง แนวคิดนี้ไม่เห็นความจำเป็นที่อิสราเอลจะต้องถอนตัวออกจากดินแดนใดๆ ที่ได้รับมาด้วยการบังคับขู่เข็ญชาวปาเลสไตน์ และถือว่าชาวปาเลสไตน์และโลกอาหรับต้องยอมรับหรือยอมจำนนในอำนาจอำนาจของอิสราเอลและการควบคุมดินแดนเหนือปาเลสไตน์ทั้งหมด นับตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนไปจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อิสราเอลจะเสนอสันติภาพให้แก่ชาวอาหรับแต่จะไม่มีผืนแผ่นดินให้ โดยข้ามภารกิจของชาวปาเลสไตน์ในการตัดสินใจด้วยตนเองและมติของสหประชาชาติทั้งหมดไปพร้อมกัน สมการสันติภาพแบบนี้แทบจะกลายเป็นพิมพ์เขียวโดยปริยายของรัฐบาลลิคุดที่เป็นฝ่ายขวาจัดนำโดยอิสราเอลในปัจจุบันในการจัดการกับปัญหาชาวปาเลสไตน์ แม้ว่านายกรัฐมนตรีจะออกแถลงการณ์เป็นครั้งคราวที่ประกาศความพร้อมสำหรับรัฐขั้นต่ำบางประเภทภายใต้เงื่อนไขของอิสราเอล นอกเหนือจากการแก้ปัญหานี้ มีบางภาคส่วนในชนชั้นการเมืองและสาธารณชนของอิสราเอลที่สนับสนุนสถานการณ์ทางเลือกที่เป็นพื้นฐานสุดขั้ว รวมถึงการย้ายชาวปาเลสไตน์ด้วยกำลัง (หรือทางเลือก) จากปาเลสไตน์ไปยังพื้นที่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ณ จุดใดจุดหนึ่งในอนาคต เมื่อพื้นดินทางการเมือง สำหรับการเคลื่อนไหวที่รุนแรงเช่นนี้ได้เตรียมไว้แล้ว และในเวลาก็ดูเป็นมงคลแก่พวกเขา

จุดประสงค์ของการนำเสนอสาระต่างๆ ในบทนี้ คือ เพื่อเน้นย้ำถึงแนวทางปฏิบัติเชิงพื้นที่ของการครอบงำที่ปฏิบัติโดยอิสราเอลร่วมกับประชาชนและผู้นำปาเลสไตน์ และบนพื้นที่ของพวกเขาตั้งแต่ข้อตกลงออสโลครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง (1993 และ 1995) จนถึงปัจจุบัน ยืนยันได้ว่าแม้ว่าแนวคิดของสมการ แผ่นดินเพื่อสันติภาพจะถูกนำมาใช้อย่างเด่นชัดโดยอิสราเอลในฐานะรหัสภูมิรัฐศาสตร์เมื่อเริ่มดำเนินการเจรจาสันติภาพกับองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO: Palestine Liberation Organization) ในปี 1993 ซึ่งการกระทำของอิสราเอลในภาคพื้นดินนับแต่นั้นมา ขัดแย้งกับคำโฆษณาชวนเชื่อนนี้อย่างเห็นได้ชัด โดยได้เปิดตัวและพัฒนานโยบายเชิงพื้นที่ในการยึดที่ดินจากชาวปาเลสไตน์เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้จำนวนผู้ตั้งถิ่นฐานในเขตเวสต์แบงก์เพิ่มขึ้นมากกว่า ร้อยละ 100 ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันก็แบ่งพื้นที่ของชาวปาเลสไตน์ให้กลายเป็นพื้นที่ปะติดปะต่อกัน ซึ่งเป็นนโยบายที่มีจุดมุ่งหมายหลัก คือ ในที่สุดก็ขัดขวางการสถาปนารัฐปาเลสไตน์ที่สามารถดำรงอยู่ได้เมื่อถึงขั้นตอนการเจรจาเพื่อหาแนวทางแก้ไขขั้นสุดท้าย ความเครียดที่เกิดขึ้น ณ ที่นี่อยู่ที่ "การที่จะสามารถปฏิบัติตามเป้าหมายให้ได้" ซึ่งยืนยันได้ว่ารัฐบาลอิสราเอล 5 รัฐบาล ที่ดำรงตำแหน่งอย่างต่อเนื่องกันนับตั้งแต่ปี 1993 (ทั้งยิตชัก ราบิน ชิมอน เปเรส เบนจามิน เนทันยาฮู อิฮัก บารัค และแอเรียล ชารอน) ไม่เคยหลุดออกไปอย่างแท้จริงจากรหัสอุดมการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ของไซออนิสต์ที่มีอายุมากกว่า 100 ปี ที่เรียกร้องให้ทำการบังคับไถ่ถอนดินแดนปาเลสไตน์ในอาณัติทั้งหมด แนวคิดที่เต็มไปด้วยเทววิทยาและสหัสวรรษอันหวือหวานี้ แท้จริงแล้วเป็นรูปแบบที่มีเอกลักษณ์และโดดเด่นของลัทธิไม่เคารพสิทธิ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การเจรจาสันติภาพกับชาวปาเลสไตน์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐบาลเหล่านี้ให้อยู่ในฐานะจุดสิ้นสุด แต่เป็นเครื่องมือในวาทกรรมที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมและรวมอำนาจอำนาจเชิงพื้นที่ของอิสราเอลเหนือพื้นที่ของชาวปาเลสไตน์ (ความไร้เหตุผลทางศาสนาและศาสนาประจำชาติที่สูญหายไปนานแล้ว) และดำเนินการด้วยเป้าหมายที่เหนือกว่าของระเบียบวาระไซออนิสต์ คือ การไถ่ถอนดินแดนเอเรตซ์ของชาวอิสราเอลด้วยการแย่งชิงมาจากการครอบครองของผู้อยู่อาศัยเดิมตรงนี้ที่เป็นมนุษย์ต่างดาวไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง

แน่นอนว่าแม้แต่ผู้นำอิสราเอลบางคน รวมถึงนายกรัฐมนตรีอย่างแอเรียล ชารอน ก็ยังประกาศความพร้อมเป็นครั้งคราวที่จะยอมรับการสถาปนารัฐปาเลสไตน์ แต่การวิเคราะห์การเมืองของการหลอกลวง (politics of deception) แสดงให้เห็นว่า คำประกาศเหล่านี้ไม่สามารถนำมาพิจารณาให้มีคุณค่าใดๆ ได้ สิ่งสำคัญคือสิ่งที่รัฐมีความหมาย องค์กรนี้มีอิสระที่จะดำเนินการเหมือนกับรัฐอื่นๆ ในโลกเกี่ยวกับประเด็นด้านอธิปไตยและการควบคุมดินแดนในที่ดินของตนหรือไม่ ตัวอย่างเช่น ลองพิจารณาข้อเสนออันหนึ่งของรัฐปาเลสไตน์ที่ชารอนจินตนาการไว้หลังการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2003 สภาเคเนสเซตของอิสราเอลออกแถลงการณ์แนวทางที่มีเจตนาให้เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขแผนงานสันติภาพที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ มากกว่า 100 รายการ อย่างเช่น ปาเลสไตน์จะถูกลดกำลังทหารโดยสิ้นเชิง จะได้รับอนุญาตให้รักษากองกำลังตำรวจและกองกำลังรักษาความปลอดภัยภายในประเทศเท่านั้นที่ติดอาวุธเบา อิสราเอลจะควบคุมทางเข้าออกทั้งหมด รวมถึงช่องทางทางอากาศเหนือรัฐ ชาวปาเลสไตน์จะถูกห้ามโดยเด็ดขาดในการสร้างพันธมิตรกับศัตรูของอิสราเอลข้อจำกัดอันหลากหลายที่เหมือนกับมาตุภูมิบันตูเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้นำและผู้เจรจาของอิสราเอลได้พยายามบังคับใช้อย่างเป็นระบบในการกำเนิดรัฐปาเลสไตน์ที่สามารถดำรงอยู่ได้ การแบ่งส่วนแบบไตรภาคีของฉนวนกาซาที่ถูกยึดครองเมื่อเร็วๆ นี้ ถือเป็นการเพิ่มขึ้นอีกในการหมุนสกรูเชิงพื้นที่นี้

เพื่อให้เข้าใจถึงกลยุทธ์ที่เป็นวาทกรรมหลอกลวงเหล่านี้ และให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่าเหตุใดความก้าวหน้าเพื่อสันติภาพจึงถูกขัดขวาง จึงเป็นประโยชน์ที่จะเห็นความซับซ้อนนี้ภายในกรอบแนวคิดที่สามารถอธิบายแนวทางปฏิบัติของอำนาจและการควบคุมที่มีอำนาจเหนือกว่าได้ ในการทำเช่นนั้น ชาซี วาลิด ฟาลาห์ ผู้เขียนงานเรื่อง “Peace, Deception, and Justification for Territorial Claims - The Case of Israel” แสดงความตั้งใจที่จะอยู่เบื้องหลังการก่อสร้างที่เรียบง่ายซึ่งได้ย้ำกันมากในสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล ถึงผลที่ตามมาคือ อดีตนายกรัฐมนตรีอิฮัด บารัค ของอิสราเอลได้ยื่นข้อเสนออย่างเอื้อเฟื้อให้แก่ยัตเซอร์ อาราฟัต ที่แคมป์เดวิด แต่กลับถูกปฏิเสธทันที และจากนั้นชาวปาเลสไตน์ก็หันไปใช้ความรุนแรงและการก่อการร้ายเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ในส่วนของพวกเขา เมื่อองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ตกลงที่จะเข้าร่วมการเจรจาสันติภาพกับอิสราเอล และด้วยเหตุนี้จึงยอมรับการมีอยู่ของอิสราเอล ซึ่งเป็นก้าวทางการเมืองที่มีความสำคัญสำหรับอิสราเอล องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ตกลงที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของความขัดแย้งจากการต่อต้านอย่างรุนแรงเป็นการปกครองชั่วคราว แต่หลังจากปรากฏการณ์อัล-อักซอ อินติฟาดา ณ ในเดือนกันยายน 2000 ความขัดแย้งก็กลับคืนสู่ภาวะที่มีการต่อต้านอย่างรุนแรงของกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งขณะนี้มีส่วนร่วมของมวลชนชาวปาเลสไตน์ในการกบฏต่ออำนาจที่ยึดครอง

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้ ก็ได้มีข้อตกลงออสโลขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เชิงปฏิบัติทั้งหมดซึ่งตายแล้วและเหตุการณ์ต่างๆ ก็เป็นโมฆะ อย่างน้อยสิ่งนี้ก็เป็นจริงสำหรับฝ่ายอิสราเอลหลังจากที่นายกรัฐมนตรีชารอนประกาศซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า เขาไม่ผูกพันกับข้อตกลงเหล่านี้อีกต่อไป และมีคำสั่งของเขาให้รถถังและทหารของอิสราเอลบุกเข้าไปในเขตปกครองตนเองของชาวปาเลสไตน์และทำลายล้างบ้านเรือนและครัวเรือน สัญลักษณ์ของการโจมตีพื้นที่ครัวเรือนครั้งนี้ คือ การปิดล้อมบริเวณบ้านของอาราฟัตในเมืองรามัลลอฮ์ ซึ่งเจาะเข้าไปถึงห้องนอนของเขา การยึดครองของทหารมีผลบังคับใช้อีกครั้ง

ข้อตกลงออสโลและยุทธศาสตร์ควบคุมดินแดนปาเลสไตน์ของอิสราเอล

เนื้อหาในส่วนนี้จะมุ่งเน้นถึงบางแง่มุมของแนวทางปฏิบัติที่มีอำนาจเหนือกว่าที่อิสราเอลใช้ในระหว่างการเจรจากับชาวปาเลสไตน์ แนวทางปฏิบัติเหล่านี้รวมถึงกลยุทธ์ต่างๆ ล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการกิจกรรมเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และเพื่อปฏิเสธและทำให้อีกฝ่ายเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นครั้งคราว เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกฎของกลเกมที่สร้างขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกัน อิสราเอลก็พยายามที่จะแสดงตนว่าเป็นผู้สร้างสันติภาพที่คาดว่าจะแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นอย่างมาก และพร้อมที่จะทำการตัดสินใจที่ต้องยอมเจ็บปวด เพื่อนำสันติภาพครั้งสุดท้ายมาสู่ภูมิภาคนี้

กลยุทธ์เหล่านี้มีขอบเขตทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่กว่า เข้ามาเป็นกุญแจสำคัญจากการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของสหรัฐอเมริกา (ในบทบาทที่มักเรียกตนเองว่าเป็นนายหน้าสันติภาพระหว่างประเทศ) ขณะเดียวกันก็เปิดหน้าต่างสำหรับการเจรจาสันติภาพกับประเทศอาหรับอื่นๆ ส่วนในระดับท้องถิ่นนั้น อิสราเอลยังคงดำเนินยุทธศาสตร์การล่าอาณานิคมโดยผสมผสานดินแดนปาเลสไตน์เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่าข้อเท็จจริงในพื้นที่ ชนชั้นทางการเมืองของอิสราเอลดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่ามาตรการสร้างความเชื่อมั่นว่าควรรวมถึงความพยายามที่จะทำให้ชาวปาเลสไตน์รู้สึกว่าพวกเขาได้รับประโยชน์จากสันติภาพนั้นด้วย เหตุผลของยุทธวิธีเหล่านี้ก็คือ เพื่อเพิ่มภาพลักษณ์ของอำนาจของอิสราเอลในสายตาชาวปาเลสไตน์ และเพื่อแสดงตนต่อชาวปาเลสไตน์ว่าเป็นคู่เจรจาที่แข็งแกร่ง – มีความแข็งแกร่งที่สุดระหว่างคู่เจรจาเรื่องดินแดน - ที่พยายามยึดครองดินแดนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนหน้านี้ และเมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย แนวทางดังกล่าวได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าในการประเมินว่าชาวปาเลสไตน์พร้อมที่จะตกลงในลักษณะที่จะถูกเอารัดเอาเปรียบ ณ ขณะนั้น ในขั้นตอนของการเจรจาชั่วคราวนี้ อิสราเอลเล่นเกมกับชาวปาเลสไตน์ไม่เห็นด้วยในลักษณะ "เอามันออกไปหรือทิ้งไป" สภาพที่เป็นอยู่ก็จะยังคงอยู่เหมือนเดิม ในขณะเดียวกัน อิสราเอลได้เข้าควบคุมดินแดนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยหวังว่าจะใช้เป็นตัวเก็บประจุหรือชิปในการต่อรองของการเจรจาในอนาคต

ส่วนกลุ่มผู้เข้าร่วมเจรจาชาวปาเลสไตน์ซึ่งนำโดยอาราฟัตได้ใช้แนวทางที่แตกต่างออกไป พวกเขาพยายามที่จะได้รับการควบคุมในที่สุดเหนือดินแดนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งอิสราเอลจะตกลงที่จะถอนตัวออกเมื่อถึงขั้นตอนของการแก้ปัญหาขั้นสุดท้าย โดยดินแดนที่จะได้รับการปลดปล่อยนั้นจะมีคุณค่าเฉพาะแค่ทางทหาร หากมีการประกาศฝ่ายเดียวของรัฐปาเลสไตน์ แนวคิดนี้ระบุไว้อย่างชัดเจนในบทความที่โพสต์บนเว็บไซต์ Fateh Online ในปี 1998:

 

พวกเราในขบวนการฟาเตห์ (ขบวนการทางการเมืองของปาเลสไตน์) ถือเอาว่าวันที่ 4 พฤษภาคม 1999 เป็นวันประวัติศาสตร์ที่เราจะตระหนักถึงสิทธิของเรา - - - การประกาศสถานะแห่งชาติของเรา รวมถึงกรุงเยรูซาเล็ม มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของชาวปาเลสไตน์ เรากำลังใช้มาตรการที่เอื้อต่อความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้โดยให้มีการสูญเสียน้อยที่สุด การประกาศสถานะมลรัฐ แม้ว่ากองกำลังแห่งชาติปาเลสไตน์จะควบคุมพื้นที่เวสต์แบงก์เพียงร้อยละ 3 ดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็อ่อนแอกว่าการประกาศที่ทำโดยกองกำลังแห่งชาติปาเลสไตน์ที่ควบคุมร้อยละ 17 นอกเหนือจากที่ดินในเขตพื้นที่ B ซึ่งมีจำนวนอื่นมากถึงร้อยละ 25 ดินแดนเพิ่มเติมจะเห็นได้ชัดว่าทำให้จุดยืนของเราแข็งแกร่งขึ้นในการเผชิญหน้าใดๆ

 

ในเวทีระหว่างประเทศ เป็นเรื่องสำคัญมากที่อาราฟัตจะต้องได้รับความไว้วางใจจากทำเนียบขาว (ในฐานะนายหน้าหลัก) และด้วยเหตุนี้เขาจึงพร้อมที่จะประนีประนอมบางอย่าง ตราบเท่าที่เข้าใจว่าการประนีประนอมเหล่านี้เป็นเพียงการชั่วคราวและไม่เป็นอันตรายต่อชาวปาเลสไตน์ ตำแหน่งการเจรจาในภายหลังในขั้นตอนสุดท้าย กล่าวโดยสรุป กลุ่มผู้เข้าร่วมการเจรจาของอิสราเอลเข้าใจดีถึงความอ่อนแอทางการเมืองของอาราฟัตในสองระดับ คือในสายตาของกรุงวอชิงตันและระดับภายในบ้านท่ามกลางมวลชนชาวปาเลสไตน์ ซึ่งพวกเขาพยายามใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนนี้ ในส่วนหนึ่งของยุทธวิธี พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะลบล้างหรือแก้ไขข้อตกลงที่ลงนามเพื่อให้ฝ่ายปาเลสไตน์ยอมรับการถอนออกจากดินแดนยึดครองของอิสราเอลให้น้อยลงกว่าที่ได้ตกลงกันที่กรุงออสโล

อาเรีย มาร์เซโล กาโควิกซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศออกมาเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงดินแดนอย่างสันติมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่มีการกระจายอำนาจที่ไม่สมดุลระหว่างทั้งสองฝ่าย แต่ไม่สมมาตรจนทำให้เกิดการแก้ปัญหาฝ่ายเดียว อีกมุมมองหนึ่งเกี่ยวกับลักษณะการเจรจาของอิสราเอลกับชาวปาเลสไตน์จะเกิดบริบทบางอย่างขึ้นภายในพลวัตของภูมิศาสตร์ความสัมพันธ์ทางอำนาจ ซึ่งตามความเห็นของเบอร์นาร์ด นิตชมันน์ นักภูมิศาสตร์และมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ชี้ว่ารัฐมีพลังอำนาจมากกว่าชาติไม่เพียงแต่ในการสร้างวาระการประชุมเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการกำหนดกฎหมายระหว่างประเทศด้วย ความสามารถในการสร้างระเบียบวาระการประชุมนั้นก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการไม่ตัดสินใจ ซึ่งฝ่ายหนึ่งสามารถปฏิเสธแม้จะพิจารณาด้วยซ้ำ ข้อเสนอที่ทำโดยอีกฝ่ายหรือแม้กระทั่งปฏิเสธการมีอยู่ของพวกเขา ตัวอย่างเช่น เมื่อลงนามสนธิสัญญาออสโลในปี 1995 ชาวปาเลสไตน์พยายามที่จะแก้ไขปัญหาข้อตกลงทันที แต่สหรัฐอเมริกายืนยันว่าการอภิปรายดังกล่าวจะล่าช้าออกไป ชาวปาเลสไตน์ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องรอไปก่อน

การประลองกำลังครั้งแรกของอิสราเอลในการกำหนดอำนาจเหนือการเจรจาสันติภาพนั้น ได้ถูกจารึกเอาไว้ในข้อตกลงออสโล และพวกเขาสามารถเลื่อนการเจรจาในประเด็นที่เรียกว่ายุ่งยาก 3 ประเด็นออกไป ประกอบด้วย ประเด็นของกรุงเยรูซาเลม สถานะของนิคมชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์ และชะตากรรมของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ จึงมีสิ่งที่ต้องตั้งเป็นคำถามว่า การตัดสินใจแบบไม่ตัดสินใจนี้ถูกนำไปใช้ในพื้นที่อย่างไร? เราควรทราบว่าประเด็นทั้งสามนี้เชื่อมโยงกับพื้นที่ (เช่น อาณาเขต) ซึ่งได้รับการกำหนดให้แบ่งพาร์ติชันหรือใช้ร่วมกันในบางครั้งหลังจากสิ้นสุดระยะเวลาห้าปีที่เรียกว่าช่วงระหว่างกาล แต่การเลื่อนออกไปนั้นถูกแปลเป็นกลยุทธ์ในการหยุดชะงัก ควบคู่ไปกับการแข่งขันกันในการล่าอาณานิคมเพื่อให้ได้มาซึ่งดินแดนมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสร้างความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์ที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ของการตั้งถิ่นฐานที่ขยายออกไป ซึ่งจะค่อยๆ ลดขนาดอาณาเขตลงเพื่อแบ่งปันกับชาวปาเลสไตน์ จากข้อมูลของสตีเฟน ซูนส์ บ่งชี้ว่านับตั้งแต่มีการลงนามในสนธิสัญญาออสโล มีผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์ (ไม่รวมเยรูซาเลมตะวันออก) เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า เป็น 200,000 คน บางส่วนเป็นการตั้งถิ่นฐานใหม่อีก 30 แห่ง และส่วนที่เหลือเป็นการขยายการตั้งถิ่นฐานที่มีอยู่ ผู้ตั้งถิ่นฐานในกรุงเยรูซาเลมตะวันออกเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 ใน 3

รายงานที่ออกโดยบีทีเซเลม องค์กรไม่แสวงผลกำไรในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2002 เกี่ยวกับนโยบายการตั้งถิ่นฐานของอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์ โดยได้เปิดเผยว่า แม้ว่าพื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นของการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวจะมีเพียงร้อยละ 1.7 ของที่ดินในเขตเวสต์แบงก์ แต่ว่าในเขตเทศบาลกลับมีมากกว่านั้น มากกว่าถึงสามเท่า คือร้อยละ 6.8 สภาภูมิภาคของชาวยิวเพิ่มเติมพื้นที่เข้าไปอีกร้อยละ 35.1 ดังนั้น พื้นที่ทั้งหมดร้อยละ  41.9 ในเขตเวสต์แบงก์จึงถูกควบคุมโดยชุมชนชาวยิวและหน่วยงานของรัฐ เรื่องที่พึงจำเอาไว้ก็คือว่า การตั้งถิ่นฐานเหล่านี้ล้วนผิดกฎหมายในสายตาของกฎหมายระหว่างประเทศ คือ อนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 ที่ระบุว่าสำหรับประเทศใดก็ตาม เพื่อโอนย้ายประชากรพลเรือนของตนไปยังดินแดนที่ถูกยึดโดยกำลังทหาร โดยชาวปาเลสไตน์มองกระบวนการขยายการตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องระหว่างการเจรจาที่ขยายออกไปด้วยความน่าตื่นตะลึง เพราะมันลดพื้นที่ที่พวกเขาสามารถเจรจาในกระบวนการพูดคุย ขณะที่การประท้วงทำเนียบขาวของพวกเขา ก็ไม่ได้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย

ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีบิล คลินตัน นโยบายเกี่ยวกับข้อตกลงนี้จัดอยู่ในประเภทการเจรจาทวิภาคีทางการทูตแบบที่ไม่ต้องการให้มีความช่วยเหลือ และภายใต้การบริหารของจอร์จ ดับเบิลยู บุช การขยายนิคมของอิสราเอลแบบนี้ถือว่าเป็นการยั่วยุ วาทศิลป์ที่หลอกลวงและสับปลับที่สุดระหว่างการเจรจาสันติภาพอาจฝังอยู่ในภาษาที่ใช้อธิบายพื้นที่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอล โดยระบุว่าพื้นที่ที่เป็นปัญหาเป็น ดินแดนที่ถูกยึดครองและไม่ใช่ ดินแดนพิพาทซึ่งคำกล่าวเช่นนี้เป็นคำที่ชาวอิสราเอลนำมาใช้กันราวกับอ้างสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ของอิสราเอลที่อิสราเอลถูกขอให้โอนทั้งหมดหรือบางส่วนให้กับชาวปาเลสไตน์ การรับรู้ถึงสถานที่นั้นได้รับการเสริมกำลังในสื่อสารมวลชนของสหรัฐฯ ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากวาทกรรมของอิสราเอล ดังที่โรเบอร์ต ฟิสก์ ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า แนวปฏิบัติของกระทรวงการต่างประเทศในตะวันออกกลาง ซึ่งมักจะเอียงไปทางอิสราเอล โดยถูกนักข่าวชาวอเมริกันส่วนใหญ่ติดตามอย่างประจบประแจง เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่นักการทูตสหรัฐฯ ได้รับคำสั่งให้เรียกเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกอิสราเอลยึดครองว่าเป็นข้อพิพาทดินแดน - แทนที่จะเป็นถูกยึดครอง - นักข่าวอเมริกันก็เริ่มใช้คำเดียวกันนี้อย่างชัดเจนไนเจล แพร์รี ให้ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าการยึดครองของทหารอิสราเอลวัย 35 ปี ในเขตเวสต์แบงก์ (รวมถึงเยรูซาเลมตะวันออก) และฉนวนกาซานั้น ไม่ค่อยมีการกล่าวถึงในรายงาน ราวกับว่ามันเป็นเรื่องของการนำเข้าจริงไม่ได้ ถือเป็นเรื่องหนึ่งในกรณีที่เลวร้ายที่สุด อาชีพนี้จะถูกนำเสนอราวกับว่ามันเป็นเรื่องของการรับรู้ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้พัฒนาสิ่งนี้ให้เป็นรูปแบบศิลปะ โดยพูดถึงสิ่งที่ชาวปาเลสไตน์มองว่าเป็นการยึดครองของทหาร สิ่งนี้ปิดบังความจริงที่ว่าประชาคมระหว่างประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศถือว่าดินแดนของชาวปาเลสไตน์ถูกยึดครอง

น่าสงสัยเหลือเกินว่า ความหมายเหล่านี้จะนำพาไปไหนกัน? พวกเขาพากันพรรณนาถึงอิสราเอลว่าเป็นรัฐที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งกำลังมองหาสันติภาพและเสียสละดินแดน แต่ว่าในทางปฏิบัติ พวกเขาต้องการการผ่อนปรนมากมาย สำหรับการตอบแทนสิ่งที่ได้มาโดยการบังคับ วาทกรรมที่หลอกลวงเกี่ยวกับดินแดนพิพาทนี้ เกิดขึ้นเมื่อประธานาธิบดียัตเซอร์ อาราฟัต ถูกกล่าวโทษอย่างกว้างขวางว่าไม่ยอมรับข้อเสนออันเอื้อเฟื้อของนายกรัฐมนตรีอีฮัด บารัค ที่แคมป์เดวิดสอง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2000 ซึ่งสตีเฟน ซูนส์ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยกล่าวว่า “[e] แม้ว่าอิสราเอลจะตกลงที่จะถอนตัวออกจากพื้นที่ที่ถูกยึดครองของเวสต์แบงก์และฉนวนกาซา รวมถึงเยรูซาเลมตะวันออก และยอมรับสิทธิในการส่งผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์กลับคืนมา แต่ก็ไม่สามารถนำเสนอได้อย่างยุติธรรม เป็นการกระทำที่มีน้ำใจอันยิ่งใหญ่หรือแม้แต่การยอมจำนนมหาศาล เนื่องจากอิสราเอลจำเป็นต้องทำเช่นนั้น

ลองมาทบทวนขอบเขตโดยย่อของการโอนดินแดนของอิสราเอลไปยังการควบคุมและอำนาจของชาวปาเลสไตน์ บนพื้นฐานของข้อตกลง และสิ่งที่ได้นำไปใช้จริงในพื้นที่ ซึ่งมีข้อตกลงสามฉบับที่ควรค่าแก่การทบทวน ประกอบด้วยข้อตกลงออสโลที่สอง ลงนามเมื่อวันที่ 28 กันยายน 1995 บันทึกข้อตกลงแม่น้ำไวย์ (WRM: Wye River Memorandum) ลงนามเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 1998 และบันทึกข้อตกลงชาร์มเอลชีค (SSM: Sharm el-Sheikh Memorandum) ลงนามเมื่อวันที่ 4 กันยายน 1999 แม้ว่าชาวปาเลสไตน์จะยอมรับข้อตกลงออสโลที่สอง แต่ก็ไม่ควรมองว่าเป็นการประนีประนอมอย่างแท้จริงในส่วนของผู้ครอบครอง แต่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไม่สมมาตรระหว่างทั้งสองฝ่ายที่กำลังเจรจา ในเวลานั้น ชุดของเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้สะท้อนถึงอุดมการณ์ของอิสราเอลที่มีมายาวนานว่า ต้องการผืนแผ่นดินตรงนั้น แต่ไม่ต้องการประชาชนที่เคยอาศัยอยู่ตรงนั้นมาก่อนข้อตกลงที่สำคัญ คือ พื้นที่ที่ถูกยึดครองทั้งหมดจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามระดับต่างๆ ของการควบคุมของอิสราเอล พร้อมด้วยสัดส่วน ร้อยละ x ของดินแดนที่จะส่งต่อไปยังการควบคุมของชาวปาเลสไตน์ภายในกรอบเวลาที่กำหนด - แต่ทั้งหมดนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเรียกร้องหลายประการ ซึ่งทางการปาเลสไตน์ได้รับการร้องขอให้ปฏิบัติตามก่อน

โดยสรุป รายการต่อไปนี้ในความตกลงออสโล 2 มีความเกี่ยวข้องกับการอภิปรายในปัจจุบัน

 

    แบ่งเวสต์แบงก์ออกเป็นสามส่วน คือ พื้นที่ส่วน A (หน่วยงานปาเลสไตน์) พื้นที่ส่วน B (หน่วยงานพลเรือนปาเลสไตน์และการควบคุมความมั่นคงของอิสราเอล) และพื้นที่ส่วน C (หน่วยงานของอิสราเอล)

    การถอนตัวของอิสราเอลออกจากเมืองเวสต์แบงก์บางแห่ง (เบธเลเฮม เจนนิน นาบลุส คัลคิลยา รามัลเลาะห์ และตุลล์กาเร็ม) จะเกิดขึ้น 22 วันก่อนการเลือกตั้งปาเลสไตน์ (มกราคม 1996)

    การปรับใช้เพิ่มเติมจากพื้นที่ส่วน C ไปยังพื้นที่ส่วน B จะต้องเกิดขึ้นในสามขั้นตอนในช่วงเวลาหกเดือนหลังการเลือกตั้งปาเลสไตน์

    การเจรจาสถานภาพถาวรจะเริ่มภายในวันที่ 4 พฤษภาคม 1996 ประเด็นสถานะสุดท้าย ได้แก่ กรุงเยรูซาเลม การตั้งถิ่นฐาน พรมแดน และผู้ลี้ภัย

 

ในส่วนแรก พื้นที่ส่วน A ประกอบด้วย ร้อยละ 3 ของอาณาเขตของเวสต์แบงก์ และร้อยละ 60 ในฉนวนกาซา พื้นที่ส่วน B ในเขตเวสต์แบงก์ซึ่งมีการควบคุมร่วมกันประกอบด้วย ร้อยละ 27 ของอาณาเขต และพื้นที่ส่วน C ซึ่งอิสราเอลมีทั้งการควบคุมทางแพ่งและความมั่นคง รวมร้อยละ 70 ของเขตเวสต์แบงก์ อิสราเอลรักษาการควบคุมเยรูซาเลมตะวันออกอย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับร้อยละ 40 ของฉนวนกาซา

การดำเนินการตามข้อตกลงนี้ เริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน 1995 เมื่อกองทัพอิสราเอลถอนตัวออกจากเมืองปาเลสไตน์ 6 เมือง การปรับใช้ซ้ำจากเฮบรอนมีกำหนดในวันที่ 31 มีนาคม 1996 แต่เกิดความล่าช้า จนกระทั่งวันที่ 15 มกราคม 1997 อิสราเอลและหน่วยงานปาเลสไตน์ได้ลงนามในข้อตกลงเฮบรอนซึ่งรับประกันการดำเนินการว่าอิสราเอลจะถอนตัวออกจากเมืองเฮบรอน ร้อยละ 80 พื้นที่อีกร้อยละ 20 ที่เหลือของเมืองยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอล และเป็นที่ตั้งของผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิสราเอลผู้นับถือศาสนาและชาตินิยมจำนวน 400 คน ซึ่งอาศัยอยู่ท่ามกลางประชากรชาวปาเลสไตน์ประมาณ 150,000 คน

การปรับใช้ใหม่เพิ่มเติมตามที่ระบุไว้ข้างต้น ซึ่งวางแผนจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 1997 ไม่เป็นรูปธรรม ชาวปาเลสไตน์จากข้อตกลงออสโลที่สอง ไม่เพียงแต่จะได้รับดินแดนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่จากผู้นำอิสราเอลชุดใหม่ซึ่งปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงนี้ แนวทางปฏิบัตินี้ดำเนินการโดยทั้งนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู และอีฮัดบารัค ซึ่งพยายามแยกตัวออกจากข้อตกลงออสโลที่สอง และกำหนดเงื่อนไขของตนเองในการบิดเบือนผู้นำปาเลสไตน์ และขยายการควบคุมดินแดนปาเลสไตน์ของอิสราเอลอย่างมีประสิทธิผล

จากทางตันนี้ก็มีบันทึกข้อตกลงแม่น้ำไวย์ (ตุลาคม 1998) และบันทึกข้อตกลงชาร์มเอลชีค (4 กันยายน 1999) บันทึกข้อตกลงแม่น้ำไวย์ที่ลงนามเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 1998 เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินการตามข้อตกลงออสโลที่สอง สิ่งที่เรากังวลเป็นพิเศษในที่นี้ คือ ส่วนของการปรับใช้ใหม่เพิ่มเติม โดยบันทึกข้อตกลงแม่น้ำไวย์สัญญาว่าจะโอน พื้นที่ร้อยละ 13 จากพื้นที่ส่วน C ไปยังฝั่งปาเลสไตน์ เพื่อให้สอดคล้องกับการไถ่ถอนการจ้างงานเพิ่มเติมระยะที่หนึ่งและสอง โดยพื้นที่ร้อยละ 13 ดังกล่าวนี้ถูกกำหนดให้โอนร้อยละ 1 ไปยังพื้นที่ส่วน A และอีกร้อยละ 12 ไปยังพื้นที่ส่วน B (ซึ่งร้อยละ 3 จะถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่สีเขียว และ/หรือ เขตอนุรักษ์ธรรมชาติ) นอกจากนี้ บันทึกข้อตกลงแม่น้ำไวย์ยังระบุอีกว่า พื้นที่ร้อยละ 14.2 จากพื้นที่ส่วน B จะกลายเป็นพื้นที่ส่วน A โดยเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการปรับใช้เพิ่มเติมครั้งแรกและครั้งที่สองที่กล่าวมาข้างต้น บันทึกข้อตกลงแม่น้ำไวย์ไม่ได้เอ่ยถึงวันที่หรือขอบเขตอาณาเขตสำหรับการปรับใช้ซ้ำครั้งที่สามที่เรียกว่าในออสโลที่ 2 ที่จะบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 1997 แต่ในทางปฏิบัติแล้ว นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูไม่ได้นำรายการเหล่านี้ไปปฏิบัติในบันทึกข้อตกลงแม่น้ำไวย์

ในฤดูใบไม้ผลิปี 1999 รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของอิฮัก บารัค เข้ารับตำแหน่ง และมีความคาดหวังใหม่ในหมู่ชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์ว่าบารัคจะสามารถกอบกู้กระบวนการสันติภาพ และพยายามบรรลุสิ่งที่ได้เปรียบสำหรับอิสราเอลมากกว่าข้อตกลงไวย์ ให้มีผลบังคับใช้บังคับ บันทึกข้อตกลงชาร์มเอลชีคหรือที่เรียกว่าข้อตกลงแม่น้ำไวย์ฉบับที่สอง หรือ ข้อตกลงแม่น้ำไวย์พลัสกับชาวปาเลสไตน์ แต่ไม่เคยส่งมอบข้อตกลงดังกล่าว ตามข้อตกลงนี้ อิสราเอลได้ทำพันธกรณีต่อไปนี้เกี่ยวกับระยะที่หนึ่งและระยะที่สองของการปรับใช้ซ้ำเพิ่มเติมเพิ่มเติม:


ก.  ในวันที่ 5 กันยายน 1999 ให้โอนพื้นที่ร้อยละ 7 จากพื้นที่ส่วน C ไปยังพื้นที่ส่วน A และพื้นที่ร้อยละ 3 จากพื้นที่ส่วน C ไปยังพื้นที่ส่วน B

ข.  ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1999 ให้โอนพื้นที่ร้อยละ 2 จากพื้นที่ส่วน B ไปยังพื้นที่ส่วน A และพื้นที่ร้อยละ 3 จากพื้นที่ส่วน C ไปยังพื้นที่ส่วน B

ค.  ในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2543 ให้โอนพื้นที่ร้อยละ 1 จากพื้นที่ส่วน C ไปยังพื้นที่ส่วน A และพื้นที่ร้อยละ 5 จากพื้นที่ส่วน B ไปยังพื้นที่ส่วน A

ตามที่ปันดักได้กล่าวเอาไว้ว่า

 

หลายปีที่ออสโลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอิฮัก บารัค ไม่ได้ทำให้ได้เห็นจุดสิ้นสุดของแนวคิดในการดำเนินการของอิสราเอล ไม่ได้ทำให้ชาวปาเลสไตน์สามารถควบคุมพลเมืองของปาเลสไตน์มากกว่าสามล้านคนได้อย่างแท้จริง ไม่ได้ยุติการก่อสร้างในชุมชนต่างๆ หรือการเวนคืนผืนแผ่นดินคนอื่น และไม่ได้ทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจในดินแดนที่เข้าไปยึดครอง นอกจากนี้ คำกล่าวซ้ำๆ ของบารัคที่ว่า เขาเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้โอนแผ่นดินให้กับชาวปาเลสไตน์ ทำให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับความจริงใจของเขา ความสงสัยเพิ่มขึ้นเมื่อชาวปาเลสไตน์เป็นที่แน่ชัดว่าบารัคจะไม่โอนหมู่บ้านทั้งสามแห่งที่อยู่ชานเมืองเยรูซาเลม (อาบูดิส อัล อีซาเรีย และอาหรับซาวาห์รา) ไปยังการควบคุมของปาเลสไตน์ หลังจากที่ทั้งรัฐบาลและสภาเนสเซตได้อนุมัติการโอนแล้ว

 

เมนาเคม ไคลน์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาคณะผู้แทนอิสราเอลประจำแคมป์เดวิดในเดือนกรกฎาคม 2000 กล่าวว่า "ทั้งเนทันยาฮูและชารอน ต่างสนับสนุนข้อตกลงสถานะขั้นสุดท้ายที่จะให้ชาวปาเลสไตน์มีรัฐของพวกเขาเองในพื้นที่เพียงประมาณร้อยละ 40-50 ของเวสต์แบงก์เท่านั้น รัฐปาเลสไตน์ ในการเจรจาส่วนตัวในปี 1999 บารัคเสนอข้อตกลงที่คล้ายกันสำหรับชาวปาเลสไตน์ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเขาในการเจรจาครั้งต่อไป ทั้งบารัคและเนทันยาฮูจึงถือได้ว่ามีแนวคิดเดียวกัน

ดังที่ควรจะเป็นที่ประจักษ์ชัด ก่อนที่เหตุการณ์อัล-อักซอ อินติฟาดา จะปะทุขึ้นเนื่องจากความไม่พอใจของชาวปาเลสไตน์กับกระบวนการที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เลย รัฐบาลอิสราเอลชุดต่อๆ ไป ก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบังควันวาทกรรมแบบหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับ 1) การเสแสร้งอย่างอวดดีในการเจรจาในขณะที่ยังคงยึดมั่นอยู่ ยึดครองดินแดนอย่างมั่นคง และเข้าควบคุมดินแดนได้มากขึ้นผ่านการขยายการตั้งถิ่นฐาน และ 2) การคงอยู่ของตำนานเรื่องดินแดนเพื่อสันติภาพในเวทีระหว่างประเทศ และอิสราเอลในฐานะหุ้นส่วนการเจรจาที่สมเหตุสมผล นี่เป็นหัวใจสำคัญของประมวลภูมิรัฐศาสตร์ของอิสราเอลซึ่งพรรคไซออนิสต์ทั้งหมดปฏิบัติ ดังที่เรียกกันในสำนวนทางการเมืองของอิสราเอล ในเรื่องนี้ ไม่มีความแตกต่างระหว่างขบวนการเสรีนิยมแห่งชาติลิคุด พรรคแรงงาน พรรคชินุอิที่เป็นพรรคชาตินิยมที่เพิ่งประสบความสำเร็จ หรือพรรคศาสนาต่างๆ ในด้านสิทธิทางภูมิรัฐศาสตร์ รัฐบาลใช้ประโยชน์จากความไม่สมดุลมหาศาลของอำนาจ และส่งผลให้เกิดการแก้ปัญหาฝ่ายเดียวว่าไม่มีวิธีแก้ปัญหา ซึ่งการไม่แก้ปัญหาที่จัดทำขึ้นมานานหลายปีนี้ สะท้อนถึงกลยุทธ์พื้นฐานของการไม่ตัดสินใจ ซึ่งมีส่วนสำคัญที่สุดในการเลื่อนประเด็นสำคัญให้ไปอยู่ในสถานะสุดท้าย อันได้แก่ ปัญหาส่วนกลาง แม้กระทั่งการดำรงอยู่ ความสำคัญต่อฝ่ายปาเลสไตน์ การบิดเบือนการรับรู้เกี่ยวกับความขัดแย้งต่อสาธารณชนโดยอิสราเอลในระดับสากลยังคงเป็นส่วนสำคัญในยุทธศาสตร์นี้ ดังที่แสดงไว้ ตัวอย่างเช่น ด้วยความคลุมเครือหลังเดือนธันวาคม 2000 เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าพารามิเตอร์ของคลินตัน ซึ่งอิสราเอลอ้างว่ายอมรับ แต่ไม่ใช่ชาวปาเลสไตน์ การพูดคุยสองครั้งประเภทนี้เป็นส่วนสำคัญของวาทกรรมการเจรจาต่อรองของอิสราเอลและการปั่นป่วนสาธารณะซึ่งวางอยู่บนจุดยืนการเจรจาต่อรองของอิสราเอล

ตามที่ไคลน์ได้เคยรำพึงเอาไว้ว่า

 

ข้อตกลงออสโลเป็นตัวอย่างของข้อตกลงชั่วคราวและการค่อยๆ เคลื่อนไหวไปสู่ข้อตกลงสถานะความล้มเหลวในขั้นสุดท้าย ปัจจุบัน ไม่มีชาวปาเลสไตน์และมีคนจำนวนไม่มากในอิสราเอลที่ยอมรับกระบวนการชั่วคราวอื่น ตอนนี้ทั้งชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์ต่างก็อยากรู้ว่าจุดจบคืออะไร ตัวอย่างเช่น ชาวอิสราเอลต้องการทราบว่าผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์จะเรียกร้องกลับไปยังอิสราเอลหรือไม่? ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องรู้ว่าใครจะเป็นผู้ปกครองเหนือเทมเปิ้ลเม้าต์ และเมืองเก่า ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการเล่นเกมต่อไปโดยต่ออายุการเจรจาที่ทำให้อนาคตไม่ได้รับการแก้ไข แน่นอนว่าชารอนและผู้ตั้งถิ่นฐานต้องการปล่อยให้อนาคตเปิดกว้างเพื่อที่จะได้ควบคุมดินแดนได้มากขึ้น โดยหวังว่าในที่สุดพวกเขาจะสามารถเอาชนะชาวปาเลสไตน์ได้

 

อิสราเอลมองรัฐปาเลสไตน์อย่างคนเอาเปรียบ

เนื้อหาในที่จะกล่าวถึงในส่วนนี้ มุ่งที่จะตรวจสอบลักษณะของรัฐปาเลสไตน์ที่ตกอยู่ภายใตผู้นำอิสราเอลที่คำนึงถึงว่าเป็นผลผลิตจากข้อตกลงออสโลหรือข้อตกลงอื่นใดที่พวกเขาอาจบรรลุร่วมกับชาวปาเลสไตน์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง รัฐปาเลสไตน์ในอนาคตที่จะได้รับอนุญาตให้ตกผลึก จะต้องมีความสอดคล้องกันในอาณาเขต เศรษฐกิจและการเมืองกับรหัสภูมิรัฐศาสตร์อันยิ่งใหญ่ขององค์กรไซออนิสต์ ทั้งในด้านการตั้งถิ่นฐาน การล่าอาณานิคม การไถ่ถอนที่ดิน และการเพิ่มขอบเขตและดินแดนของรัฐ ด้วยมอบสิทธิประโยชน์เพียงเล็กน้อยให้กับรัฐปาเลสไตน์ มิฉะนั้น ผู้นำและประชากรจะถูกประณามและถูกทำลายล้างด้วยข้อหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย และถูกมอบหมายให้เป็นเช่นนั้นอย่างชอบธรรม อิสราเอลต้องการความร่วมมือในอีกด้านหนึ่ง แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่พบชาวปาเลสไตน์ยอมรับสิ่งดังกล่าวเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงเรียกร้องให้มีผู้นำใหม่เกิดขึ้น ยุทธศาสตร์ของอิสราเอลมี 2 ด้าน โดยด้านหนึ่งสร้างสงครามวาทศิลป์ และอีกด้านหนึ่งสร้างสงครามแห่งอำนาจด้วยการใช้อาวุธยิง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มุ่งเป้าไปที่การทำลายโครงสร้างผู้นำในปัจจุบัน

ในสถานการณ์ของความไม่สมดุลของอำนาจที่รุนแรง ชนชั้นการเมืองของอิสราเอลกำลังพยายามที่จะกำหนดอำนาจด้วยการสร้างพลังอันเป็นมหาอำนาจทางการเมืองของตน ซึ่งก็คือพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่เหนือใครของเฮลิคอปเตอร์ บนระดับความสูงต่ำของรัฐปาเลสไตน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การวิเคราะห์ของแอนโทนิโอ แกรมไซ เกี่ยวกับพลังอำนาจของกลุ่มสังคมที่โดดเด่นและวิธีการนำไปใช้ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ดีตรงนี้ เพื่อช่วยให้ความกระจ่างเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติของรัฐบาลอิสราเอลในการมีส่วนร่วมกับชาวปาเลสไตน์ แกรมไซเสนอแนะวิธีที่บรรลุถึงอำนาจเป็นประเทศมหาอำนาจ 3 วิธี คือ ดำเนินการด้วยการบีบบังคับ สร้างความยินยอม และด้วยการสร้างสิ่งชั่วร้ายและฉ้อฉล ซึ่งการบีบบังคับหมายถึงการใช้กำลังหรือการคุกคามอย่างน่าเชื่อถือของการใช้กำลัง ความยินยอมบ่งบอกถึงความเป็นผู้นำทางศีลธรรม ในคำพูดของแกรมไซที่ระบุว่าระหว่างความยินยอมและการใช้กำลังนั้นถือเป็นการสร้างสิ่งชั่วร้าย/ฉ้อโกง (ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสถานการณ์บางอย่างที่ยากที่จะใช้อำนาจหน้าที่เป็นประเทศมหาอำนาจ และเมื่อการใช้กำลังมีความเสี่ยงเกินไป) สิ่งเหล่านี้ประกอบด้วยการสร้างความเสื่อมเสียและทำให้คู่อริเป็นอัมพาต ด้วยการซื้อผู้นำอย่างเปิดเผย ไม่ว่าจะซ่อนเร้นหรือในกรณีอันตรายที่ใกล้จะเกิดขึ้น เพื่อที่จะหว่านสร้างความระส่ำระสายและความสับสนในหมู่ผู้นำ

รัฐบาลอิสราเอลชุดต่อๆ มาซึ่งมีส่วนร่วมในการเจรจาสันติภาพกับชาวปาเลสไตน์ที่มีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมในการบ่อนทำลายการสร้างรัฐปาเลสไตน์ที่เป็นไปได้ใดๆ ก็ตาม กล่าวคือ ทำให้ความชอบธรรมของอีกฝ่ายเป็นโมฆะ สิ่งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการหลอกลวงนับครั้งไม่ถ้วนของอิสราเอลที่ปรากฎในสื่อและแพลตฟอร์มอื่นๆ ต่อผู้นำปาเลสไตน์ ด้วยคิดว่ากองกำลังปาเลสไตน์ไม่สามารถ (หรือไม่เต็มใจ) ที่จะหยุดการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธต่อเป้าหมายของอิสราเอลได้ โดยสรุปแล้ว ผู้นำของรัฐ (และโดยการขยายรัฐบาลของเขา) จะต่อสู้กับการก่อการร้ายได้อย่างไร หากพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้มีรัฐและไม่มีวิธีการที่เหมาะสมในการควบคุมประชากรของเขา อย่างนี้อาจเรียกว่าเป็น catch-22 หรือที่เมนาเคม ไคลน์ เรียกว่า catch-2002 ซึ่งแท้จริงแล้ว ยัตเซอร์ อาราฟัตไม่ได้รับอนุญาตให้มีฐานทัพของรัฐและเขตแดนที่เป็นไปได้สำหรับรัฐหนึ่ง แต่ถูกตัดสินโดยอิสราเอลและฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ราวกับว่าเขาเป็นผู้นำของรัฐที่ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ซึ่งสามารถควบคุมประชากรของตนได้หากต้องการเท่านั้น นี่เป็นการหลอกลวงอย่างร้ายแรง หนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่อิสราเอลทำสงครามวาทกรรมกับชาวปาเลสไตน์ด้วยการทำให้ข้อโต้แย้งและข้อเสนอของพวกเขาดูเหมือนเป็นการฉ้อโกง และผู้นำของพวกเขาไม่ได้มีความน่าเชื่อถือ (ซึ่งตามความหมายที่แท้จริงของอิสราเอล คือ ไม่เปิดโอกาสให้เข้าร่วมเลือก)

หมายเหตุ: catch-22" คือ ปัญหาซึ่งมีทางแก้ไขเดียวเท่านั้นที่ถูกปฏิเสธโดยพฤติการณ์ที่มีอยู่ในปัญหาหรือตามกฎเกณฑ์ ตัวอย่างเช่น การสูญเสียบางสิ่งบางอย่างโดยทั่วไปถือเป็นปัญหาทั่วไป เพื่อแก้ปัญหานี้ เราจะมองหาของที่สูญหายจนกว่าจะพบ แต่หากของที่หายไปคือแว่นตา เราจะมองไม่เห็นเพื่อมองหามัน - catch-22 นอกจากนี้ คำว่า catch-22 ยังใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้นเพื่อหมายถึงปัญหาที่ยุ่งยากหรือสถานการณ์ที่ไม่ชนะหรือไร้สาระ

การพิจารณาองค์ประกอบพื้นฐานที่สร้างรัฐใดรัฐหนึ่งขึ้นมา และดูว่ายังคงขาดองค์ประกอบบางส่วนใดบ้าง (หรือเป็นภาวะที่ไม่สามารถดำรงอยู่ตรงนั้นได้) ในกรณีของปาเลสไตน์ในปัจจุบันนั้นมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างไรบ้าง ทั้งนี้ในหนังสือเรียนภูมิศาสตร์การเมืองมาตรฐานเสนอแนะว่ารัฐจำเป็นต้องมีองค์ประกอบพื้นฐาน 5 ประการ ประกอบด้วย ดินแดน ประชากรผู้มีถิ่นอยู่ถาวร รัฐบาล เศรษฐกิจที่มีการจัดระเบียบ และระบบการหมุนเวียน นอกเหนือจากอธิปไตยเหนือดินแดนของตนและการยอมรับจากนานาชาติ

แต่ว่าการอภิปรายตรงนี้จะจำกัดอยู่เพียงองค์ประกอบของรัฐที่เกี่ยวข้องกับข้อเสนอที่เกี่ยวกับการหลอกลวงครั้งสำคัญๆ ที่แท้จริง โดยมีการกล่าวหาว่าผู้นำปาเลสไตน์ไม่สามารถต่อสู้และปราบปรามการก่อการร้ายในส่วนที่เกี่ยวกับดินแดนได้ ไม่เพียงแต่ความตกลงออสโลและข้อตกลงอื่นๆ ที่ตามมา จะจำกัดอำนาจปาเลสไตน์ให้ใช้การควบคุมเหนือดินแดนจำนวนเพียงเล็กน้อย (พื้นที่ส่วน A) และการแบ่งปันการควบคุมพื้นที่เพิ่มเติมในพื้นที่ส่วน B เท่านั้น อีกทั้งพื้นที่เหล่านี้ยังกระจัดกระจายไปในส่วนต่างๆ เป็นอย่างมาก และมีลักษณะคล้ายวงล้อมภายในพื้นที่ที่ใหญ่กว่ามาก (เช่น พื้นที่ส่วน C) ซึ่งก่อตัวประมาณร้อยละ 70 ของเวสต์แบงก์ และอยู่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอล ขอบเขตของการกระจายตัวดังกล่าวเห็นได้จากภาพที่ 1 ข้างล่างนี้ แม้ว่าพื้นที่ส่วน A คาดว่าจะมีวงล้อม 15 ถึง 20 วง แต่ว่าในพื้นที่ส่วน B กลับมีจำนวนมากกว่า 190 วง วงล้อมเหล่านี้แยกออกจากกันเนื่องจากการมีอยู่ของการตั้งถิ่นฐานและถนนของชาวยิว (เรียกว่า วงล้อมของชาวยิว) ซึ่งนำไปสู่การตั้งถิ่นฐานเหล่านี้ที่ตัดผ่านพื้นที่ส่วน B


เพื่อให้เข้าใจกลยุทธ์การกระจายตัวและการแบ่งส่วนได้ดีขึ้น ลองดูแนวคิดเรื่องการหมุนเวียนของกระแสทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งระบบการหมุนเวียนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดำเนินงานของรัฐ ตามคำกล่าวของมาร์ติน กลาสเนอร์ ที่ว่าในการสั่งให้รัฐดำเนินการ จะต้องมีวิธีการบางอย่างที่เป็นระบบในการถ่ายเทสินค้า ผู้คน และความคิด จากส่วนหนึ่งของดินแดนหนึ่งไปยังอีกส่วนหนึ่งของดินแดน การขนส่งและการสื่อสารทุกรูปแบบถูกนิยามรวมให้อยู่ในคำว่า 'การหมุนเวียน' แต่รัฐสมัยใหม่จะต้องมีรูปแบบต่างๆ ที่ซับซ้อนมากกว่ารูปแบบการวิ่งหรือการส่งโทรเลขของบุช  หากใครก็ตามพิจารณาการแตกแยกของดินแดนปาเลสไตน์ตามที่กำหนดด้วยข้อตกลงออสโลและตามที่จัดทำขึ้นโดยเหตุการณ์ในเวลาต่อมาของอินติฟาดาครั้งที่สอง เป็นที่น่าสังเกตว่ามีการบังคับใช้ข้อจำกัดอย่างเป็นระบบในการเคลื่อนย้ายผู้คนและสินค้าระหว่างฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์ และภายในดินแดนทั้งสองแห่งนี้ ตามที่เว็บไซต์กฎหมายที่ยึดตามรามัลเลาะห์ซึ่งเป็นสมาคมปาเลสไตน์เพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมระบุไว้ว่า ข้อจำกัดของการเดินทางส่งผลกระทบต่อทุกคน ตัวอย่างเช่น นักศึกษายังถูกจำกัดในการเคลื่อนย้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาที่มาจากฉนวนกาซาไม่สามารถได้รับใบอนุญาตที่จำเป็นเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของตนในเขตเวสต์แบงก์ได้กลยุทธ์ประการหนึ่งในการบั่นทอนอำนาจของอีกฝ่ายหนึ่ง คือ การลดอิสระในการเคลื่อนไหวเสรีอย่างไร้สาระ ดังนั้นอำนาจในการยึดครองของอิสราเอลจึงมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดีในการขัดขวางการไหลเวียน เพื่อทำให้การทำงานของเศรษฐกิจ ระบบการเมือง ระบบความมั่นคง การรักษาพยาบาล โรงเรียน และสถาบันอื่นๆ เป็นอัมพาต

ในส่วนของการศึกษาและการหยุดชะงัก มุนา ฮามเซห์-มูไฮเซน วาดภาพต่อไปนี้

 

เช่น โรงเรียนทาลิตาในเมืองเบอิต จาลา เป็นต้น โรงเรียนคริสเตียนเอกชนแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ด้านบนของเนินเขาในบริเวณที่เรียกว่าพื้นที่ส่วน C และอยู่ใกล้กับถนนหมายเลข 60 มาก ซึ่งสร้างขึ้นบนที่ดินปาเลสไตน์ที่ถูกยึดเพื่อเชื่อมต่อการตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอลทางตอนใต้ของเฮบรอนกับการตั้งถิ่นฐานของกิโล ในกรุงเยรูซาเล็มตอนใต้ เมื่อใดก็ตามที่อิสราเอลกำหนดให้มีการปิดระหว่างพื้นที่ส่วน A, B และ C ทหารอิสราเอลจะสร้างจุดตรวจห่างจากโรงเรียนไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร เพื่อปิดถนนทางเข้าอื่นๆ ด้วยกองดินสูง หลังจากปิดดังกล่าวเมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา ครูและนักเรียนต่างก็ต้องแอบผ่านด่านเพื่อไปถึงโรงเรียน ส่วนเด็กอนุบาลไม่มีเรียนจนกว่าจะมีการยกเลิกการปิดในวันที่ 15 กันยายน

 

นี่คือการกระจายตัวเชิงรุกและการอุดตันของการไหลเวียนที่เป็นเลิศ

เอกสารรายงาน ห้าปีแห่งออสโล: การตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่องของสิทธิมนุษยชน: บทสรุปของการละเมิดสิทธิมนุษยชนนับตั้งแต่ปฏิญญาหลักการ - Five Years of Oslo: The Continuing Victimisation of Human Rights: A Summary of Human Rights Violations since the Declaration of Principles ที่ออกโดยกฎหมายและลงวันที่ในเดือนกันยายน 1998 ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความผิดปกติของระบบการไหลเวียนในช่วงเวลาของการปิดและปิดล้อมว่า

 

เป็นที่รู้กันว่าทางการอิสราเอลกำหนดสิ่งที่เรียกว่า การปิดล้อม ซึ่งทำให้การเคลื่อนย้ายประชากรปาเลสไตน์แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และการบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรมมักถูกขัดขวาง การปิดล้อมมักมีการบังคับใช้ในวันหยุดและวันที่มีงานเลี้ยงของชาวยิว หลังเหตุการณ์ระเบิด หลังจากการปะทะกับชาวปาเลสไตน์ หรือก่อนการประท้วงที่คาดว่าจะเกิดขึ้น การปิดล้อมมักทำให้เกิดความยากลำบากทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก โดยการปฏิเสธความเป็นไปได้ของคนงานชาวปาเลสไตน์ที่หาเลี้ยงชีพในอิสราเอลจากการได้ไปยังสถานที่ทำงานของตน การปิดและปิดล้อมมักส่งผลให้เกิดการสูญเสียผลผลิตทางการเกษตรของชาวปาเลสไตน์ เช่น ผักและสิ่งที่คล้ายกันเน่าเปื่อย และในกรณีของฉนวนกาซา การห้ามชาวประมงออกทะเลทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะมีรายได้ เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถประกอบอาชีพได้ มีการประมาณกันว่าการปิดร้านมีค่าใช้จ่ายมากกว่า 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน และในปี 1997 ต้นทุนการปิดโดยประมาณทั้งหมดในช่วงเวลานั้นอยู่ที่ประมาณ 230 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สิ่งนี้มีผลกระทบร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมในท้องถิ่น การปิดโรงงานยังขัดขวางการทำงานของหน่วยบริการฉุกเฉินทางการแพทย์อยู่เป็นประจำ ซึ่งทำให้บุคคลไม่ได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน

 

ดังนั้น การปิดจึงกลายเป็นยุทธวิธีที่ถูกกำหนดไว้อย่างผิวเผินด้วยเหตุผลของความมั่นคง ซึ่งเป็นคำขวัญอันยิ่งใหญ่ของชาวอิสราเอล แต่ผลที่ตามมาก็คือ เทคนิคของการกระจายตัวในเชิงรุกที่รุนแรงและการหยุดการไหลเวียนที่ส่งผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แท้จริงแล้ว หัวใจสำคัญของภูมิศาสตร์เศรษฐกิจปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์คือระบอบการปกครองที่มีการกระจายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ควบคู่ไปกับการเวนคืนที่ดินรูปแบบต่างๆ

มีแนวโน้มในหมู่นักวิจารณ์และผู้นำชาวอิสราเอล (โดยเฉพาะเนทันยาฮู) ที่จะสร้างความสับสนให้กับภูมิศาสตร์การแตกเพื่อแบ่งแยก (geography of fragmentation) ที่ถูกสะกดไว้ในข้อตกลงออสโล และชี้ไปที่สัดส่วนร้อยละของประชากรปาเลสไตน์ที่กลายเป็นอิสระ นี่เป็นกลวิธีหลอกลวงอีกอย่างหนึ่ง จากงานของฮามิน กเวิร์ตสแมน นักอุทกวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮีบรู ที่เดวิด มาคอร์สกี เคยอ้างอิงเอาไว้ แสดงให้เห็นแนวโน้มที่ทำให้เข้าใจผิดนี้ในการตรวจสอบผลกระทบของการถอดถอนดินแดนของอิสราเอล ร้อยละ 9-10 ในด้านประชากรศาสตร์และการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเบญจมิน เนทันยาฮู

 

ประมาณร้อยละ 86 ของประชากรปาเลสไตน์ฝั่งตะวันตกจะอาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของกองกำลังปาเลสไตน์ และตัวเลขนี้จะสูงถึงร้อยละ 93 หากรวมฉนวนกาซาด้วย แม้ว่าเนทันยาฮูชอบที่จะอวดอ้างในวันนี้ว่า 98 เปอร์เซ็นต์ของชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์อาศัยอยู่ภายใต้การปกครองตนเอง แต่ตัวเลขนี้ทำให้เข้าใจผิดอย่างมาก เนทันยาฮูหมายถึงเพียงการปกครองตนเองของพลเรือนเท่านั้น ในความเป็นจริง IDF ได้เอาชนะการควบคุมพื้นที่ชนบทเกือบทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วยประมาณร้อยละ 97 ของเวสต์แบงก์ ตามการคำนวณของกเวิร์ตสแมน มีเพียงร้อยละ 37 (588,000 จาก 1,561,000) ของประชากรปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์เท่านั้น ที่อาศัยอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังปาเลสไตน์เต็มรูปแบบในปัจจุบัน

 

หากเรายอมรับคำกล่าวของกเวิร์ตสแมน (อ้างในงานของมาคอฟสกี้) ว่า กองทัพอิสราเอลทำการควบคุมพื้นที่ ร้อยละ 97 ของดินแดนเวสต์แบงก์ และสามารถควบคุมท้องฟ้าและพรมแดนของทั้งเวสต์แบงก์และฉนวนกาซาได้ ร้อยละ 100 นี่จึงเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าอธิปไตยเป็นองค์ประกอบพื้นฐานในการสร้างรัฐขาดไป การไม่มีอำนาจอธิปไตยเพียงอย่างเดียวสามารถนำมาใช้ที่นี่เพื่อชี้แจงว่าการกล่าวโทษอาราฟัตที่ไม่ต่อสู้กับการก่อการร้ายนั้นไม่ยุติธรรม และเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะทำเช่นนั้นแม้จะใช้ความพยายามเต็มร้อยทั้งร้อยแล้วก็ตาม การขาดอำนาจอธิปไตยขัดขวางการควบคุมที่มีประสิทธิผล ซึ่งฝ่ายอิสราเอลเองล้วนรู้เรื่องนี้ดี

อธิปไตยมีความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญกับแนวคิดอื่น กล่าวคือ เรื่องดินแดนและการควบคุมวิธีการใช้ความรุนแรง ในคำจำกัดความของรัฐของเวเบอร์นั้นมีเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบหลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) การมีอยู่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารที่ได้รับการปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอให้เป็นผู้มีความสามารถ 2) ดำรงไว้ซึ่งการเรียกร้องสิทธิในการควบคุมวิธีการใช้ความรุนแรงโดยชอบด้วยกฎหมาย และ 3) เพื่อรักษาไว้ซึ่งการผูกขาดดังกล่าวภายในอาณาเขตที่กำหนดเป็นดินแดน การกระจายพื้นที่ของเวสต์แบงก์และฉนวนกาซาออกเป็นสามระดับของการควบคุมของอิสราเอล และความสามารถทางทหารโดยรวมของอิสราเอลในการรักษาการควบคุมวิธีการใช้ความรุนแรงเหนือประชากรทั้งหมด ซึ่งจำกัดความสามารถของอาราฟัตในพื้นที่ตำรวจที่เขาไม่สามารถเข้าถึงได้ สถานการณ์นี้ชัดเจนยิ่งขึ้นนับตั้งแต่การระบาดของอินติฟาดาครั้งที่สอง เมื่อรถถังของอิสราเอลเคลื่อนเข้ามาและทำให้เมืองต่างๆ ของปาเลสไตน์และเขตเมืองใหญ่ๆ ถูกปิดล้อมและปิดล้อม นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การยึดอำนาจของทหารได้ขัดขวางไม่ให้ตำรวจของอาราฟัตย้ายจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง และลดความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติส่วนใหญ่ลงอย่างมาก ตำรวจก็ถูกขัดขวาง กาซาตกอยู่ภายใต้รูปแบบใหม่ในการกำหนดความรุนแรงและการควบคุมทางทหารที่พยายามทำลายกลุ่มฮามาสใน พื้นที่ต่อต้านรูปที่ 15.2 แสดงภาพประกอบการทำแผนที่เกี่ยวกับการปิดล้อมท้องถิ่นของชาวปาเลสไตน์ อย่างไรก็ตาม บารัคสามารถบอกแมดเดอลีน อัลไบรท์ และฌาค ชีรัค ว่าอาราฟัต สามารถหยุดอินติฟาดะได้ด้วยการโทรศัพท์เพียงสองครั้ง

ก่อนเคยต่อต้านแต่ตอนนี้เปลี่ยนไป

รูปแบบของรัฐบาลที่ข้อตกลงออสโลสร้างขึ้นมา และลักษณะที่ฝ่ายบริหารนี้ถูกกดดันให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องอันไม่มีที่สิ้นสุดจากผู้นำอิสราเอล ถูกจำกัดทางการเมืองโดยความจำเป็นทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ผลกระทบทางภูมิศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของยัสเซอร์ อาราฟัต จากประธานาธิบดีองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO: Palestine Liberation Organization) ไปเป็นหัวหน้ากองกำลังปาเลสไตน์ (PA: Palestinian Authority) การเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในการเมืองของขบวนการแห่งชาติปาเลสไตน์ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์ของการต่อสู้เพื่อการตัดสินใจของชาวปาเลสไตน์ด้วยตัวเอง โดยพื้นที่การต่อต้านของชาวปาเลสไตน์ (Spaces of Palestinian resistance) ได้ถูกแปรสภาพเป็นพื้นที่แห่งอำนาจที่มีประสิทธิภาพ (spaces of effective power)

ในฐานะขบวนการปลดปล่อยแห่งชาติ องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์มีมติที่จะใช้วิธีการต่างๆ ในการต่อสู้กับอิสราเอลและเป้าหมายของอิสราเอลทั้งในดินแดนปาเลสไตน์และต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าผู้นำองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ ไม่สามารถปลดปล่อยปาเลสไตน์จากภายนอกด้วยกำลังทหารได้ ทว่าองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ได้คิดค้นโครงข่ายต่อต้านเชิงพื้นที่ (web of counter spatiality) ที่เป็นภูมิศาสตร์แห่งการต่อต้านขึ้นมา ดังที่สตีพ ไพล์ ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ เหนือสิ่งอื่นใด การต่อต้านเป็นเรื่องของการระดมมวลชนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วการต่อต้านถูกกำหนดโดยการปฏิบัติการ เช่น การนัดหยุดงาน การเดินขบวน การก่อตั้งองค์กรชุมชน และอื่นๆ ทั้งนี้  อุดมการณ์สงครามขององค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์เป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดจากการเรียนรู้การปฏิวัติในแอลจีเรียด้วยการก่อจลาจลของประชาชนที่รับรู้ประสบการณ์มาจากฝรั่งเศสอีกที สิ่งนี้อาจนำไปใช้ได้หากชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดอยู่ภายในปาเลสไตน์เช่นเดียวกับชาวแอลจีเรียที่อยู่ในแอลจีเรีย ดังนั้นความสำคัญของอินติฟาดาทั้งสองครั้งในบริบทของแนวคิดดั้งเดิมขององค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ จึงเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการประท้วงของประชาชนและการสร้างความแข็งแกร่งของภูมิศาสตร์ของการต่อต้าน (geographies of resistance)

. องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ได้สร้างภูมิศาสตร์ของการต่อต้านที่ไม่จำเป็นต้องมีการเผชิญหน้าโดยตรงกับผู้มีอำนาจ แต่เป็นภูมิศาสตร์ที่การต่อต้านกลายเป็นรูปแบบหนึ่งอันเกิดจากการวินิจฉัยอาการของความสัมพันธ์ทางอำนาจที่แตกต่างกัน และเป็นความพยายามค้นหาวิธีต่างๆ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยง หรือดำเนินชีวิตอยู่ร่วม หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น แต่ว่าด้วยข้อตกลงออสโลเป็นยุทธศาสตร์บีบบังคับให้อาราฟัตและองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ต้องออกห่างจากการปฏิบัติทางภูมิศาสตร์แห่งการต่อต้านดังกล่าว นำพาให้เขาก้าวไปสู่พื้นที่ใหม่ที่จะทำให้มีพลังอำนาจเข้มแข็งขึ้นและมีโครงสร้างการควบคุมที่ได้รับการยอมรับและถูกต้องตามกฎหมาย ส่งผลให้ภูมิศาสตร์ของการต่อต้านและพื้นที่ของการต่อต้าน ต้องถูกกระทำให้เป็นโมฆะ ด้วยจัดการการเปลี่ยนแปลงองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์



ดังนั้น กองกำลังปาเลสไตน์ที่มีขบวนการยัตเซอร์ อาราฟัต เป็นผู้นำ และพื้นที่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ส่วน A ที่เป็นรูปแบบหนึ่งของพื้นที่กึ่งปกครองตนเอง กลายเป็นพื้นที่แห่งอำนาจ (space of power) ไม่ว่าอำนาจจะอ่อนแอเพียงใด จากมุมมองนี้ รัฐบาลของปาเลสไตน์ที่ผลิออกมาตามข้อตกลงออสโลจึงมีความอ่อนแอมาตั้งแต่แรกเกิด และถูกมองว่าเป็นพื้นที่แห่งอำนาจที่อ่อนแอที่สุด นี่คือสิ่งที่ชาวอิสราเอลตั้งเป้าไว้ในการอภิปรายและข้อเสนอทั้งหมดของพวกเขา ความชอบธรรมที่เสื่อมโทรมนั้นเล็ดลอดออกมาจากอิสราเอลซึ่งเป็นมหาอำนาจที่มีอำนาจเหนือกว่า เพื่อให้รัฐบาลใหม่นี้มีรูปธรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย อิสราเอลยืนยันว่าองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ต้องเปลี่ยนกฎบัตรของตนและเรียกร้องให้ผู้นำปาเลสไตน์ประณามการก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง และรับประกันว่าเขาและพรรคพวกของเขาเป็นหุ้นส่วนที่แท้จริงเพื่อสันติภาพ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการแบล็กเมล์ทางการเมืองในสถานการณ์ที่ประชากรในดินแดนถูกยึดครองอย่างโหดร้าย

การที่อิสราเอลยอมรับรัฐบาลบางประเภทสำหรับชาวปาเลสไตน์นั้น บอกเป็นนัยว่าจะไม่มีการกำหนดข้อจำกัดต่อข้าราชการและผู้นำของตน อย่างไรก็ตาม จากหัวในเว็บไซต์ลอว์ (Law Web Site) ระบุว่าเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานแห่งชาติปาเลสไตน์จำเป็นต้องได้รับอนุญาตในการเดินทางระหว่างเวสต์แบงก์และฉนวนกาซา ซึ่งอิสราเอลมอบสถานะบุคคลสำคัญระดับวีไอพีให้กับเจ้าหน้าที่อาวุโสจำนวนหนึ่งและสภานิติบัญญัติปาเลสไตน์ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของพวกเขายังคงถูกจำกัดจากความล่าช้าของการดำเนินการและการคุกคาม ณ จุดตรวจ นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งสำหรับสมาชิกระดับสูงของกองกำลังปาเลสไตน์ที่ต้องการเดินทางจากกาซาไปร่วมการประชุมของสภาในเขตเวสต์แบงก์

ความอ่อนแอของรัฐบาลอาราฟัตปรากฏชัดที่สุดในวิกฤตการณ์ปัจจุบันของอินติฟาดาและความขัดแย้งของมัน ในด้านหนึ่ง อิสราเอลยืนยันว่าชาวปาเลสไตน์สามารถจัดการเลือกตั้งได้ แต่ในขณะเดียวกัน สมาชิกของสภาก็ไม่สามารถเข้าถึงสำนักงานใหญ่ของอาราฟัตในรอมัลเลาะห์ได้ ไม่จำเป็นต้องพูดว่าการจำกัดการเคลื่อนไหวของอาราฟัตนอกเมืองรามัลลอฮ์เป็นระยะเวลานานนั้น ส่งผลต่อกลยุทธ์การแช่แข็งการเคลื่อนไหวเชิงพื้นที่ ซึ่งทำให้รัฐบาลของเขาไร้ประสิทธิภาพอย่างขั้นสุดขั้ว เป็นการเข้าใจผิดที่จะกล่าวว่าอาราฟัตและพรรคพวกของเขาเป็นเครื่องมือที่อยู่ในมือของผู้นำอิสราเอลและฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ตรงกันข้าม อาราฟัตและทีมเจรจาของเขาที่แคมป์เดวิดที่สองนั้นเป็นแนวทางที่ดี พวกเขาปฏิเสธที่จะยอมจำนนต่ออำนาจนำของอิสราเอล (ได้รับการสนับสนุนด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของประธานาธิบดีคลินตัน) และไม่พร้อมที่จะยอมรับสถานการณ์ที่การยึดครองของอิสราเอลที่จะดำเนินต่อไปเหนือดินแดนนี้ ซึ่งเป็นที่ซึ่งรัฐปาเลสไตน์ใหม่ถูกจินตนาการให้เกิดขึ้น พวกเขาเข้าใจถึงความขัดแย้งขั้นพื้นฐานที่ว่ารัฐที่พวกเขาดำรงสถานะอยู่นั้น อาจมีสักวันที่อำนาจในพื้นที่นี้จะอ่อนแอลงภายใต้การบงการของผู้อื่นเกือบทั้งหมด และพวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับ

เมรอน เบนเวนิสติ อธิบายเรื่องนี้ว่า ภูมิศาสตร์การต่อต้านของชาวปาเลสไตน์ถูกแบ่งส่วนและกระจัดกระจาย และการหมุนเวียนไปตามพื้นที่เหล่านั้นถูกขัดขวางโดยการปิดและการปิดล้อมพื้นที่ต่างๆ ที่ต้องมีการควบคุมความรุนแรง (spaces of radical control) โดยพื้นที่แห่งอำนาจ (spaces of power) ของชาวปาเลสไตน์ถูกหดตัวหายจนไม่มีอยู่จริง และกลายเป็นพื้นที่แห่งความไร้อำนาจ (spaces of powerlessness) หรือพื้นที่แห่งการตรึงกำลัง (spaces of immobilization) กลยุทธ์อันยิ่งใหญ่ประการหนึ่งของชาวอิสราเอลในการทำให้อินติฟาดาสงบลง คือ การเปลี่ยนพื้นที่ต่อต้านของชาวปาเลสไตน์ให้กลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีอำนาจและความไร้อำนาจอย่างไร้ความปราณี กล่าวอีกนัยหนึ่ง ภูมิศาสตร์แห่งการต่อต้านได้แปรสภาพเป็น ภูมิศาสตร์แห่งการตรึงกำลัง โดยการปิดกั้นการไหลเวียน การแบ่งแยกดินแดน การดำเนินความรุนแรงลงไปจนถึงระดับครัวเรือนแต่ละครัวเรือน การทำลายบริการทางการแพทย์ และการทำลายพื้นที่แห่งการยืนหยัดอีกครั้งให้ได้มากที่สุด ระดับกะทัดรัดของบุคคล ครอบครัว และบริเวณใกล้เคียง

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกลวิธีในการขับเคลื่อนของอิสราเอลในการเปลี่ยนพื้นที่แห่งการต่อต้านให้กลายเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ไร้อำนาจ และเศรษฐกิจที่เหี่ยวเฉาและถูกจำกัดอย่างแท้จริง ด้วยการสร้างความบอบช้ำเชิงพื้นที่ของการไหลเวียน อาวุธดังกล่าวมีพลังต่อพื้นที่เป้าหมายมหาศาลบนภาคพื้นดินและเป็นพลังแห่งการหลอกลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีการบิดเบือนภาพ ระดับนานาชาติ ซึ่งการหลอกลวงที่โดดเด่นที่สุด คือ การตราหน้าผู้ที่ลุกขึ้นเพื่อต่อต้านการยึดครองทางทหารที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งผู้เสียภาษีของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ ต้องจ่ายให้กับชาวปาเลสไตน์ที่ตกเป็นเหยื่อเหล่านี้ นี่เป็นสุรเสียงของอาวุธวาทศิลป์ที่ปรากฎอยู่นี้ดังสะท้อนกึกก้องอยู่ในกรุงวอชิงตัน

ยุทธศาสตร์เกี่ยวกับดินแดนที่ได้รับสัมปทานมาโดยปราศจากอำนาจทางการเมืองในการควบคุมดินแดน ทำให้กองกำลังปาเลสไตน์ดูเหมือนมีอำนาจควบคุมและมีอธิปไตยที่ไม่เป็นจริงอันจับต้องได้ กองกำลังปาเลสไตน์ ได้รับมอบสิ่งแปดเปื้อนที่หลอกว่าดีที่สุด คือ พวกเขาไม่มีประสิทธิภาพที่จะควบคุมกิจกรรมการก่อการร้าย และที่เลวร้ายที่สุดกว่านั้นอีกก็คือมีการสมคบคิดในการกระทำดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กองกำลังปาเลสไตน์ ถูกปฏิเสธการควบคุมปฏิสัมพันธ์ในดินแดนที่เป็นรากฐานทางภูมิศาสตร์ของทุกรัฐ ทำให้ความสามารถในการควบคุมการก่อการร้ายของตำรวจจึงถูกลดทอนลง การเกิดขึ้นและปรากฏตัวของรัฐทำให้กองกำลังปาเลสไตน์ถูกจัดประเภทเป็นองค์กรผู้สนับสนุนการก่อการร้าย ในขณะที่การต่อสู้แย่งชิงดินแดนอย่างต่อเนื่องทำให้ไม่สามารถตรวจตราดินแดนของตนได้ ผลที่ตามมา คือ กิจกรรมการต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างต่อเนื่องทำให้อิสราเอลสามารถควบคุมดินแดนของตนได้อย่างเป็นมรรคเป็นผล

โดยสรุป ความพยายามของอิสราเอลในการบรรลุแก่อำนาจขึ้นเป็นมหาอำนาจโดยอาศัยความยินยอม ประสบความล้มเหลวลงอย่างเห็นได้ชัด และอิสราเอลก็ไม่สามารถทำได้ด้วยการติดสินบนผู้นำปาเลสไตน์ เช่น การทุจริตและการฉ้อโกง ขณะที่อินติฟาดาครั้งที่สองย่างเข้าสู่ระยะเวลากว่า 42 เดือนอันยาวนาน และผู้มีสิทธิเลือกตั้งของอิสราเอลได้ขยับไปทางนักการเมืองฝ่ายขวามากขึ้น มีแนวโน้มว่า อาเรียล ชารอน กำลังวางแผนที่จะบรรลุสู่การเป็นมหาอำนาจโดยการเพิ่มความเข้มข้นของวิธีการบีบบังคับ เขาบอกกับหนังสือพิมพ์ฮาอาเรตซ์ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2002 ว่า "อย่าคาดหวังว่าอาราฟัตจะดำเนินการต่อต้านการก่อการร้ายนี้ เราต้องทำให้พวกเขาบาดเจ็บล้มตายอย่างหนัก และพวกเขาจะรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถใช้การก่อการร้ายเอาชนะความสำเร็จทางการเมืองได้อีกต่อไปนอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกว่าชาวปาเลสไตน์จะต้อง ถูกโจมตีอย่างหนักจนกว่าพวกเขาจะร้องขอความเมตตาเป็นการโจมตีด้วยยุทธศาสตร์ 2 ด้าน คือ การใช้กำลังในพื้นที่ทำลายพื้นที่ที่มีการต่อต้าน พร้อมๆ กับการสร้างพื้นที่แห่งความไร้อำนาจในพื้นที่ที่มีอำนาจของชาวปาเลสไตน์อยู่ และการสร้างสงครามวาทกรรมเพื่อบดบังจินตภาพและวาทศิลป์ของการหลอกลวงในระดับที่สูงขึ้นของข้อพิพาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการบริโภคระหว่างประเทศในสงครามโฆษณาชวนเชื่อที่กำลังดำเนินอยู่

ผลกระทบ

จากประเด็นเชิงพื้นที่ทางการเมืองบางประการของข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัฐบาลอิสราเอลและหน่วยงานแห่งชาติปาเลสไตน์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และวาทกรรมระหว่างอิสราเอลและองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ มีจุดที่น่าสนใจมากๆ กล่าวคือ ส่วนแรกเป็นประเด็นเกี่ยวกับพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายปรารถนาที่จะมีอำนาจควบคุมแต่เพียงผู้เดียว ส่วนที่สอง ความเป็นศูนย์กลางของดินแดนในการสถาปนารัฐที่สามารถดำรงอยู่ได้และวิธีที่รัฐบาลอิสราเอลปฏิบัติในการสร้างข้อเท็จจริงในพื้นที่ ทำให้การสถาปนานั้นไม่ได้เป็นมรรคเป็นผลที่มีประสิทธิภาพสำหรับชาวปาเลสไตน์เลย แม้ว่าแนวทางปฏิบัติเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการระบาดของอินติฟาดารอบที่สองในเดือนกันยายน 2000 แต่จากที่กล่าวในรายละเอียดมาทั้งหมดในบทนี้ ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาโดยปริยาย เพียงแต่ว่าอยู่ในขอบเขตที่มุ่งเน้นสู่ประเด็นและข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพ การอภิปรายเกี่ยวกับอินติฟาดารอบที่สอง ในที่นี้ มีจุดประสงค์เพื่อเน้นย้ำถึงความต่อเนื่องของกระบวนการเชิงพื้นที่บางอย่างจนถึงปัจจุบัน และแสดงให้เห็นว่าอินติฟาดาในภูมิศาสตร์ของการต่อต้านได้กระตุ้นระดับความเข้มข้นใหม่ในกระบวนการเหล่านี้

เนื้อหาสาระของบทนี้เป็นความต้องการที่จะเรียกร้องให้นักวิชาการอ่านคำบรรยายของข้อตกลงออสโลที่กินเวลายาวนานกว่า 30 ปีแล้ว อย่างถูกต้อง เพื่อพิจารณาช่วงเวลานี้และดูว่ามีอะไรวิวัฒนาการมาจากช่วงเวลานั้น และสิ่งที่อยู่บนทางตันในปัจจุบัน และเรียนรู้บทเรียนจากช่วงเวลานี้ อาจฟังดูไร้สาระในเวลานี้ เมื่อการฆ่าผู้บริสุทธิ์กลายเป็นเรื่องสำคัญในการพูดถึงโอกาสที่จะเกิดสันติภาพ อย่างไรก็ตาม หน้าที่ของเราในฐานะนักภูมิศาสตร์และนักวิชาการคือการสร้างความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ และลักษณะเฉพาะของเหตุการณ์นั้นๆ โดยไม่ถูกสื่อหลอกลวงให้เข้าใจผิด

การพิจารณาข้อตกลงออสโลในมุมมองที่ดีขึ้นกว่าที่เคย จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ทั้งนี้ก่อนประกาศข้อตกลงออสโล อิสราเอลและองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์แทบจะอยู่ในสถานะของสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุดจากอินติฟาดาครั้งที่หนึ่ง อิสราเอลสามารถพิสูจน์เหตุผลของการยึดครองเวสต์แบงก์และฉนวนกาซาได้ ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะขาดการยอมรับจากฝ่ายปาเลสไตน์ แต่เหตุผลอื่นๆ หลายประการก็ถูกอิสราเอลโต้แย้งตลอดหลายทศวรรษ เพื่อยึดดินแดนอาหรับที่ถูกยึดไว้ก่อนมีข้อตกลงออสโล มีเหตุผลบางประการที่รวมถึงความจำเป็นทางภูมิศาสตร์และการป้องกันตัวเอง (เช่น พื้นที่ของอิสราเอลแคบหรือเล็ก และดังนั้นจึงเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากภายนอก) ทรัพยากร (อิสราเอลมีแหล่งน้ำไม่เพียงพอ) ประวัติศาสตร์ (การฟื้นฟูขบวนการไซออน) การผจญภัยด้วยภารกิจที่ท้าทาย (ขาดพันธมิตรสันติภาพที่น่าเชื่อถือและเป็นประชาธิปไตย) การต่อต้านชาวยิวของชาวอาหรับ (แม้ว่าจะควรชัดเจนว่าชาวอิสราเอลกำลังทำสงครามกับโลกอาหรับเนื่องจากการล่าอาณานิคม ไม่ใช่อัตลักษณ์ชาวยิวของพวกเขา) จิตวิทยา (เนินเขาและจุดบางแห่งที่อยู่ติดกับชายแดนของอิสราเอลก่อนปี 1967 เตือนชาวอิสราเอลถึงความทรงจำอันเลวร้ายเพราะบ้านของพวกเขาตกเป็นเป้าหมายจากพื้นที่เหล่านี้) และแน่นอนว่ามีประเด็นทางการเมือง (อิสราเอลเป็นประชาธิปไตยที่รู้แจ้ง เป็นรัฐประชาธิปไตยเพียงแห่งเดียวในตะวันออกกลาง และชาวอาหรับมีฐานะดีกว่าภายใต้การปกครองของอิสราเอล) เหตุผลอันหลังนี้หยิบยกขึ้นมาโดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับประชากรชาวซีเรียที่ราบสูงโกลาน และแย้งว่าชาวโกลันชอบที่จะอยู่กับอิสราเอลมากกว่าที่จะกลับไปยังซีเรียในสนธิสัญญาสันติภาพกับซีเรีย

การลงนามในข้อตกลงออสโลระหว่างอิสราเอลและองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ ทำให้เหตุผลหลายประการในการรักษาดินแดนของอีกฝ่ายก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป แล้วเหตุใดรัฐบาลอิสราเอลจึงยังคงยึดดินแดนปาเลสไตน์ หากอ้างว่าตนเห็นพ้องกับสมการว่าด้วย ดินแดนแห่งสันติภาพ และเหตุใด แนวปฏิบัติดังกล่าวจึงดำเนินต่อไปทั้งๆ ที่ตนได้ลงนามในข้อตกลงกับชาวปาเลสไตน์ที่ชี้ชัดแล้วว่าข้อตกลงออสโลและข้อตกลงที่ตามมาทั้งหมด จะต้องนำไปสู่การดำเนินการตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 242 และ 338 ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การสร้างรัฐปาเลสไตน์ถัดจากอิสราเอลในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยสงครามในเดือนมิถุนายน 1967 ?

คำตอบสามารถพบได้ในพฤติกรรมของรัฐบาลอิสราเอลภายใต้กลยุทธ์หลอกลวงหลังจากการลงนามในข้อตกลง ที่แสดงออกว่ามีลักษณะเป็นคนใจกว้างและแสวงหาสันติภาพ และอีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตามการตีความที่แท้จริงของข้อตกลง เมื่ออิสราเอลลงนามในข้อตกลง อิสราเอลพยายามที่จะทำให้ได้รับผลทันทีและในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธข้อเรียกร้องของอีกฝ่ายด้วยกลวิธีขัดขวางและสร้างการตีความใหม่สำหรับสิ่งที่ตกลงกันไว้ นี่คือ การเมืองที่แท้จริงของอิสราเอล ซึ่งเป็นศูนย์กลางของรหัสภูมิรัฐศาสตร์หลัก อิสราเอลได้รับสิ่งที่ปรารถนามานานที่ออสโล คือ การยอมรับอย่างเป็นทางการของชาวปาเลสไตน์ถึงสิทธิที่จะดำรงอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยสำหรับอิสราเอลมากไปกว่าปฏิญญาบัลโฟร์ นี่เป็นการประนีประนอมครั้งประวัติศาสตร์ที่ยอมรับอธิปไตยของอิสราเอลเหนือพื้นที่ที่ถูกพรากไปจากชาวปาเลสไตน์ด้วยกำลังในสงครามปี 1948 และคิดเป็นร้อยละ 77 ของบ้านเกิดของพวกเขา

อิสราเอลใช้ข้อตกลงออสโลเป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงกฎหมายระหว่างประเทศ ชาวปาเลสไตน์ในส่วนของพวกเขาไม่สามารถชักชวนประชาคมระหว่างประเทศให้เข้ามาแทรกแซงและหยุดการละเมิดของอิสราเอลได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ดังที่เว็บไซต์ลอว์ระบุไว้ว่า ประชาคมระหว่างประเทศไม่เต็มใจที่จะบังคับใช้การยอมรับสิทธิขั้นพื้นฐานในดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง ประชาคมระหว่างประเทศมองว่ากระบวนการเจรจาเป็นกระบวนการสองฝ่าย และการมีส่วนร่วมจากรัฐอื่นๆ จะถือเป็นการแทรกแซงข้อตกลงออสโลเป็นฝันร้ายทางการทูตสำหรับชาวปาเลสไตน์ และสิ่งนี้อาจอธิบายได้ในส่วนหนึ่งว่าทำไมผู้เจรจาชาวปาเลสไตน์ มีความกระตือรือร้นที่จะก้าวไปสู่ขั้นตอนสุดท้าย ขณะเดียวกัน พวกเขาก็คัดค้านที่จะข้ามการดำเนินการตามข้อตกลงชั่วคราวที่จะปลดปล่อยอิสราเอลจากพันธกรณีของตน

ในการเจรจาแคมป์เดวิดที่สอง อิฮัก บารัค และฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีบิล คลินตัน พยายามหาทางแก้ไขขั้นสุดท้ายกับชาวปาเลสไตน์ ซึ่งหากประสบความสำเร็จ ก็มีแนวโน้มที่จะถูกนำมาใช้เพื่อแทนที่มติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่เกี่ยวข้อง เพียงแต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว ตลอดกระบวนการสันติภาพทั้งหมด ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ สนับสนุนจุดยืนของอิสราเอล และพยายามที่จะกอบกู้อิสราเอลออกมาจากกับดักของมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเป็นกับดักที่เรียกร้องให้อิสราเอลปฏิบัติตามและถอนตัวออกจากดินแดนยึดครองโดยสิ้นเชิง จุดเดินออกจากเส้นทางเดินนั้นของอิสราเอล คือ ดินแดนที่ถูกยึดครองอยู่ภายใต้การควบคุมที่มีประสิทธิภาพ หากชาวปาเลสไตน์ไม่ตกลงที่จะเลื่อนการเจรจาประเด็นผู้ลี้ภัยออกไปในขั้นตอนสุดท้าย และหากประเด็นดังกล่าวได้รับการหยิบยกขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นการเจรจา อิสราเอลคงจะเข้าใจว่าชาวปาเลสไตน์ยังไม่สละกรรมสิทธิ์ในดินแดนจากมุมมองของชาวปาเลสไตน์ก่อนปี 1967 ปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในการคืนของชาวปาเลสไตน์นั้นไม่สามารถเจรจาต่อรองได้ และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยข้อตกลงที่ทำกันเป็นแพ็คเกจภายในแคมป์เดวิด ออสโล หรือตาบา อันที่จริง ในระหว่างการประชุมสองสัปดาห์ในแคมป์เดวิดที่สอง (กรกฎาคม 2002) เสียงเรียกร้องของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ก็ดังขึ้นทุกแห่ง มันเป็นการกระตุ้นและข่มขู่ต่อผู้เจรจาชาวปาเลสไตน์ว่า อย่ามายุ่งกับคำถามเรื่องสิทธิในการเรียกคืนดินแดน

คำแถลงของอลอง เบน-เมียร์ เกี่ยวกับประเด็นนี้ สะท้อนถึงจุดยืนอย่างเป็นทางการของอิสราเอลในปัจจุบัน คำแนะนำของเขาที่มีต่อชาวปาเลสไตน์ มีดังนี้

 

ชาวปาเลสไตน์ต้องเข้าใจและยอมรับความจริงที่ว่า อิสราเอลไม่สามารถและจะไม่ยอมรับสิทธิในการส่งผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์กลับมา การส่งชาวปาเลสไตน์กลับประเทศจะทำลายล้างอิสราเอลในฐานะรัฐยิว ซึ่งเป็นรัฐที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ที่ใช้ในการลี้ภัยครั้งสุดท้ายของชาวยิว ไม่มีรัฐบาลอิสราเอลใดที่นำโดยพรรคลิคุดหรือพรรคแรงงาน ที่จะยอมรับสิทธิในการส่งคืน สิ่งที่อิสราเอลอาจจะยอมรับได้บ้าง ก็คือ การกลับมาของผู้ลี้ภัยประมาณ 50,000–75,000 คน ในบริบทของการรวมครอบครัว และยังมีส่วนร่วมในความพยายามระดับนานาชาติเพื่อชดเชยส่วนที่เหลือ ถ้อยคำกล่าวเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าอิสราเอลใช้ข้อมูลประชากรและอัตลักษณ์ประจำชาติเพื่อเป็นข้ออ้างในการอ้างสิทธิ์ในดินแดน แต่การกล่าวอ้างที่มีศูนย์กลางอยู่ที่คุณลักณะทางประชากรศาสตร์นั้น โดยเนื้อแท้ตามแนวคิดเรื่องชาติพันธุ์วิทยาแล้ว กลับเต็มไปด้วยการเหยียดเชื้อชาติ พลเมืองชาวปาเลสไตน์ของอิสราเอลถูกมองด้วยสายตาของสังคมชาวยิวอิสราเอลบางกลุ่มอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นภัยคุกคามต่ออัตลักษณ์ของชาวยิว

 

ในทางที่ขัดแย้งกัน ให้พิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันและประชากรศาสตร์ของผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวในเมืองเฮบรอนและที่อื่นๆ ในเวสต์แบงก์และฉนวนกาซา ซึ่งอาศัยอยู่รายล้อมไปด้วยพื้นที่ที่ไม่ใช่ชาวยิวโดยสิ้นเชิง ทำไมพวกเขาถึงไม่อยากอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีเพื่อนชาวยิวอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น? ในอดีต เหตุผลทางประชากรศาสตร์นี้สามารถหักล้างได้ ตามคำกล่าวของติกวา ฮอนิง-พาร์นาสส์ ที่ว่าการกล่าวอ้างดังกล่าวไม่ได้รับการพิจารณาด้วยซ้ำ เมื่อผู้นำไซออนิสต์ยอมรับแผนการแบ่งส่วนดินแดนของคณะกรรมการพิเศษแห่งปาเลสไตน์ของสหประชาชาติ เมื่อ 31 สิงหาคม 1947 ตามแผนนี้ ชาวยิวและชาวอาหรับจำนวนเกือบเท่ากันควรจะได้อาศัยอยู่ในรัฐยิว ผลประโยชน์การจัดสรรดินแดนอย่างไม่ยุติธรรมให้กับรัฐยิว ร้อยละ 55 โดpขณะนั้นทรัพย์สินของชาวยิวในปาเลสไตน์มีไม่เกินร้อยละ 6 ของไซออนิสต์ ได้ลบล้างความปรารถนาของพวกเขาที่จะสร้างให้รัฐที่สะอาดบริสุทธิ์ให้แก่ชาวอาหรับ และจบลงด้วยเสียงข้างมากที่ไม่ใช่ชาวยิวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ควบคู่ไปกับการพูดคุยเรื่องสิทธิในการกลับของชาวปาเลสไตน์ ซึ่งจะต้องได้รับการจัดการไม่ช้าก็เร็วในการริเริ่มใหม่ใดๆ สำหรับการเจรจาสันติภาพต่อ แวดวงบางวงในรัฐบาลอิสราเอลและบุคคลสาธารณะ ขณะนี้กำลังบอกเป็นนัยถึงวิธีแก้ปัญหาที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงโดยใช้การโอนและย้ายถิ่นฐานของประชากรปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ข้ามแม่น้ำจอร์แดน เสียงเหล่านี้ดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมความเงียบอันน่าสยดสยองจากรัฐบาลอิสราเอล จังหวะเวลาของเสียงเหล่านี้ (ซึ่งมาพร้อมกับการระบาดของอินติฟาดา) ที่เรียกร้องให้มีการย้ายชาวปาเลสไตน์จากเวสต์แบงก์และแม้แต่จากกาลิลีด้วยการใช้กำลังและความรุนแรง แสดงให้เห็นว่าภัยคุกคามทางประชากรต่อความเป็นยิวในพื้นที่ยังสามารถใช้เป็นข้ออ้างสำหรับยึดครองดินแดน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชาวปาเลสไตน์ควรยอมรับสิ่งที่อิสราเอลเสนอในขณะนี้ก่อนที่จะสายเกินไปและพวกเขาจะสูญเสียปาเลสไตน์ทั้งหมด

รัฐปาเลสไตน์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร นอกเหนือจากบันตูสถานที่แตกแยกออกไปแล้ว? คำตอบที่ได้ล้วนมาจากการคาดเดา การเลือกตั้งของอาเรียล ชารอน ที่อยู่ทางซีกรัฐบาลอิสราเอลฝ่ายขวา ซึ่งผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีส่วนสำคัญในหมู่ผู้ตั้งถิ่นฐานซึ่งถือเป็นลางไม่ดีสำหรับการแก้ปัญหา คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของอิสราเอลเข้าใจดีว่าแผนการของประธานาธิบดีจอร์จ บุช จะเป็นอะไรก็ได้ตามที่อิสราเอลกำหนดเอาไว้ว่า เต็มใจที่จะยอมรับ ชนชั้นการเมืองของอิสราเอลและผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ของอิสราเอลในขณะนั้นต่างให้ความเคารพต่อพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของกรุงวอชิงตัน และยุทธศาสตร์การหลอกลวง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของประมวลกฎหมายภูมิรัฐศาสตร์ของอิสราเอลและการนำไปปฏิบัติ ได้กลับมาอีกครั้งในฐานะอาวุธหลักที่สำคัญในประมวลกฎหมายภูมิรัฐศาสตร์ฉบับใหม่ของวอชิงตัน เพื่อกำจัดโลกของรัฐโกงออกไป



ที่มา - Ghazi-Walid Falah (2005). Peace, Deception, and Justification for Territorial Claims The Case of Israel. in The Geography of War and Peace: From Death Camps to Diplomats. Edited by Colin Flint. pp.297-320., New York: Oxford University Press.

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2567

อภิภูมิศาสตร์ว่าด้วยโครงสร้างการแบ่งทวีป

 

อภิภูมิศาสตร์ว่าด้วยโครงสร้างการแบ่งทวีป

รองศาสตราจารย์พัฒนา ราชวงศ์  นายกสมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย


ทวีปต่างๆ ที่มีอยู่บนโลกของเราใบนี้ ความเข้าใจร่วมสมัยของพวกเราล้วนรับรู้กันว่ามีขนาดใหญ่ มีบางส่วนที่ต่อเนื่องกัน และมีผืนแผ่นดินที่แยกออกจากกัน โดยแยกออกจากกันด้วยการมีผืนน้ำที่กว้างใหญ่กลางกั้น แม้ว่าจะมีต้นกำเนิดมาแต่โบราณ การรับรู้และยอมรับร่วมกันแบบนี้มีทั้งความไม่แน่นอนทางประวัติศาสตร์และการตรวจสอบอย่างน่าประหลาดใจ ไม่เคยกำหนดขนาดที่ต้องการและระดับการแยกทางกายภาพที่จำเป็น เห็นได้จากระบบทวีปทั้งเจ็ดในระบบการรเรียนรู้วิชาภูมิศาสตร์ในชั้นประถมศึกษาอเมริกัน ที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาเป็นรูปแบบสุดท้าย จนกระทั่งช่วงกลางทศวรรษของศตวรรษปัจจุบัน

 

แบบอย่างคลาสสิก

 

ตามคำกล่าวของ Arnold Toynbee ความแตกต่างของทวีปดั้งเดิมนั้น ได้รับการคิดค้นขึ้นโดยกะลาสีเรือชาวกรีกโบราณ ซึ่งตั้งชื่อทวีปยุโรปและเอเชีย ให้กับดินแดนทั้งสองฝั่งของทางน้ำภายในที่ซับซ้อน ที่ไหลจากทะเลเอเจียนผ่านช่องแคบดาร์ดาแนล ทะเลมาร์มารา และช่องแคบบอสพอรัส ทะเลดำ และช่องแคบเคิร์ช ก่อนถึงทะเลอะซอฟ เส้นทางน้ำนี้กลายเป็นแกนหลักของระบบทวีปเมื่อนักปรัชญากรีกยุคแรกสุด ชาวไอโอเนียนแห่งไมลิทัสได้กำหนดให้บริเวณนี้เป็นเขตแดนระหว่างสองทวีปอันยิ่งใหญ่ของโลก ต่อมาไม่นาน ลิเบีย หรือแอฟริกาก็ถูกเพิ่มเติมเข้ามาเพื่อสร้างโครงสร้างสามทวีป (three-continent scheme) นั่นจึงทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทะเลเอเจียนจะถือเป็นหัวใจสำคัญของแนวคิดเรื่องโลกของชาวกรีก โดยพื้นฐานแล้ว เอเชีย (Asia) หมายถึงดินแดนทั้งหลายที่อยู่ทางทิศตะวันออก ยุโรป (Europe) หมายถึงดินแดนทั้งหลายที่อยู่ทางทิศตะวันตกและเหนือ ส่วนลิเบีย (Libya) หมายถึงดินแดนทั้งหลายที่อยู่ทางทิศใต้

 

ความผิดปกติที่ดูเหมือนของโครงสร้างสามทวีปนี้ คือ ตำแหน่งตรงกลางโครงสร้างของชาวกรีกเอง ซึ่งมีอารยธรรมทอดยาวทั้งไปตามชายฝั่งตะวันตกและตะวันออกของทะเลเอเจียน Toynbee แย้งว่าชาวกรีซตอนกลางใช้เขตแดนเอเชีย-ยุโรป เพื่อแสดงการดูหมิ่นญาติพี่น้องชาวไอโอเนียน (หมายถึง ผู้คนที่อยู่ทางตะวันออกของฝั่งทะเลเอเจียน เป็นกลุ่มอนาโตเลียหรือตุรกีในปัจจุบัน) ที่ยอมจำนนต่อการปกครองแบบเอเชีย (เปอร์เซีย) ซึ่งตรงกันข้ามกับการมีเสรีภาพแบบประจบประแจงของชาวยุโรปอย่างพวกเขา อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่นักคิดชาวกรีกทุกคนที่ระบุตนเองว่าเป็นชาวยุโรป ดูเหมือนว่าบางคนใช้คำยุโรปเป็นคำพ้องสำหรับดินแดนทางเหนือแห่งทราเซีย อีกรูปแบบหนึ่ง ดินแดนยุโรปหมายความรวมถึงแผ่นดินใหญ่ของกรีซด้วย โดยไม่ได้รวมเอาดินแดนที่เป็นหมู่เกาะหรือคาบสมุทรเพโลพอนเนซัสเอาไว้ด้วย ส่วนคนอื่นๆ โดยเฉพาะ Aristotle ได้แบ่งแยกเชื้อชาติของชาวกรีกออกจากโครงสร้างสามทวีปโดยสิ้นเชิง โดยให้เหตุผลว่าคุณลักษณะของกรีกเป็นเฉกเช่นเดียวกับดินแดนกรีกเอง คือ ครอบครองอยู่ ณ ตำแหน่งตรงกลางระหว่างยุโรปและเอเชีย อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นความเห็นหรือคำยืนยันของใครหรือในกรณีใดๆ ก็ตาม ข้อพิพาทเหล่านี้ค่อนข้างเป็นเรื่องทางเทคนิค เนื่องจากชาวกรีกมีแนวโน้มที่จะมองว่าแต่ละทวีปเป็นหน่วยที่มีสภาพทางกายภาพแบบเดียวกัน โดยมีเนื้อหาทางวัฒนธรรมหรือการเมืองผสมอยู่บ้างเพียงเล็กน้อย เมื่อพวกเขาให้ข้อสรุปเกี่ยวกับผู้อยู่อาศัยในทวีปต่างๆ พวกเขามักจะจำกัดการสนทนาไว้เพียงความแตกต่างระหว่างชาวเอเชียและชาวยุโรป ทำให้เห็นได้ชัดว่าลิเบียนั้นมีขนาดเล็กและแห้งแล้งเกินกว่าจะนำมาพิจารณาให้เป็นสาระ

 

เห็นได้ชัดว่าโครงสร้างทวีปของชาวกรีกที่มีสองขั้วหรือสามขั้วนั้นมีประโยชน์บางประการสำหรับผู้ที่กำหนดขอบเขตทางภูมิศาสตร์โดยไม่ได้ขยายออกไปไกลกว่าทะเลเอเจียน ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก และทะเลดำ มากนัก แต่ลักษณะการกล่าวอ้างตามอำเภอใจแบบนี้ปรากฏชัดให้เห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริตสกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Herodotus ที่ตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับระบบโครงสร้างสามทวีปแบบเดิมแม้ในขณะใช้งานก็ตาม ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์การวางแนวทางทฤษฎีที่มากเกินไปของนักภูมิศาสตร์ชาวกรีก ที่พยายามเข้าใจโลกผ่านแบบจำลองทางเรขาคณิตที่สวยงาม Herodotus จึงยืนยันเรื่องนี้ว่าการทำแผนที่เชิงประจักษ์ที่เห็นกันอยู่นั้นได้มาจากการสำรวจและการเดินทาง อย่างอื่นที่ยังคงเป็นปัญหาของภูมิศาสตร์ที่ Herodotus วิพากษ์วิจารณ์ คือ การแบ่งเอเชียและแอฟริกาตามแนวแม่น้ำไนล์ ซึ่งเป็นเขตแดนที่ทำลายเอกภาพที่ชัดเจนของอียิปต์ ดังที่เขาตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้วเอเชียและแอฟริกาอยู่ติดกัน รวมทั้งเชื่อมต่อกับยุโรปด้วย ‘อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้งง คือ เหตุใดจึงควรตั้งชื่อเป็นนามของสตรีที่แตกต่างกันถึงสามคนให้กับดินแดนที่ทั้งหมดทั้งมวลเป็นทวีปเดียวกัน และเพราะเหตุใดด้วย แม่น้ำไนล์และฟาซิส - หรือตามที่บางคนกล่าวไว้คือแม่น้ำเมโอติค ทาไนส์ และช่องแคบซิมเมอเรียน - ควรได้รับการแก้ไขเป็นเขตแดน และก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า ใครเป็นผู้กำหนดเขตแดนเป็นคนแรก หรือที่ใด พวกเขาได้ชื่อมาจากไหนกัน

 

ความคิดเห็นที่คล้ายกัน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความตระหนักอย่างต่อเนื่องว่าสิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเป็นหมวดหมู่ สะท้อนให้เห็นตลอดยุคคลาสสิก Strabo ซึ่งเขียนเอาไว้เมื่อศตวรรษแรกก่อนคริตสกาล ให้ข้อสังเกตว่ามี ข้อถกเถียงกันมากเกี่ยวกับทวีปโดยนักเขียนบางคนถือว่าทวีปนั้นเป็นเกาะ ส่วนอื่นๆ เป็นเพียงคาบสมุทรเท่านั้น นอกจากนี้ เขายังยืนยันว่า ‘การตั้งชื่อให้กับทั้งสามทวีป ชาวกรีกไม่ได้คำนึงถึงโลกที่สามารถอยู่อาศัยได้ทั้งหมด คำนึงถึงแต่เพียงประเทศของพวกเขาเอง และดินแดนที่อยู่ตรงกันข้ามเท่านั้น ...’

 

ภายใต้จักรวรรดิโรมัน โครงสร้างการแบ่งทวีปยังคงถูกนำมาใช้ในวาทกรรมทางวิชาการ และบางครั้งมีการใช้ป้ายกำกับยุโรปและเอเชียในความหมายที่ไม่เป็นทางการ เพื่อกำหนดส่วนตะวันตกและตะวันออกของจักรวรรดิ ในเรื่องทางการทหาร คำว่า ชาวยุโรปถูกนำมาใช้กับพื้นที่ฝั่งตะวันตกค่อนข้างแม่นยำกว่า ส่วนพื้นที่ฝั่งเอเชียยังคงถูกใช้ในความหมายเฉพาะของท้องถิ่น เพื่ออ้างถึงการแบ่งเขตทางการเมืองของจักรวรรดิโรมันในอนาโตเลียตะวันตกเท่านั้น

 

การก่อสร้างในยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

 

เป็นเวลาเกือบสองพันปีหลังจาก Herodotus การแบ่งโลกออกเป็นสามส่วนยังคงนำทางจินตนาการทางวิชาการของชาวยุโรปต่อไป โครงสร้างพื้นที่ที่มีการแบ่งทวีปได้รับการเสริมกำลังในสมัยโบราณตอนปลายเมื่อนักเขียนคริสเตียนยุคแรกได้เชื่อมโยงเรื่องราวของผู้สืบทอดตำนานโนอาห์เอาไว้บนนั้นด้วย ตามคำบอกเล่าของนักบุญ St.Jerome (เสียชีวิตราวปี 420) ผู้แปลพระคัมภีร์วัลเกตเอาไว้ว่า โนอาห์ได้มอบบุตรชายทั้งสามของเขาเป็นมรดก คือ เชม ฮาม และยาเฟธ ซึ่งเป็นตัวแทนหนึ่งๆ ในสามส่วนของโลก และสิ่งเหล่านี้ก็คือ เอเชีย แอฟริกา และยุโรป ตามลำดับ’ แนวความคิดทางเทววิทยาใหม่นี้ มีข้อดีในการอธิบายถึงพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ของทวีปเอเชียโดยอ้างอิงถึงต้นกำเนิดของเชม นอกจากนี้ยังทำให้การแบ่งแยกโลกไตรภาคีของชาวกรีกมีความสำคัญทางศาสนาด้วย แบบจำลองทวีปอันศักดิ์สิทธิ์นี้จะคงอยู่ต่อไปโดยมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจนกระทั่งถึงต้นยุคสมัยใหม่

 

ยุโรปในยุคกลางจึงสืบทอดแนวความคิดทางภูมิศาสตร์ของโลกคลาสสิกเอาไว้อย่างต่อเนื่อง แต่มาในรูปแบบที่กลายเป็นการก่อตัวของหินปูนและมีตำนานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่นักภูมิศาสตร์ชาวกรีกที่เก่งที่สุดได้ตระหนักถึงธรรมชาติทั่วไปของทวีปต่างๆ และยืนยันว่าทะเลแดง เป็นขอบเขตที่เหมาะสมมากๆ ในการแบ่งเขตระหว่างเอเชียและแอฟริกา เหมาะสมมากกว่าแม่น้ำไนล์เยอะ เพียงแต่ว่าความงดงามดังกล่าวเหล่านั้น ต้องสูญหายมลายไปจากทวีปอื่นๆ ในตอนปลายยุคโบราณและตอนต้นของยุคกลาง การรวบรวมความรู้ของ Martianus Capella ได้กลายเป็นตำรามาตรฐานในยุคกลาง ซึ่งถือเป็นข่าวประเสริฐที่ว่าโลกถูกแบ่งออกเป็นยุโรป เอเชีย และแอฟริกา โดยแม่น้ำไนล์เป็นเส้นแบ่งที่ช่วยแยกทวีปทั้งสองออกจากกัน โดยนักสารานุกรมผู้มีอิทธิพลคนอื่นๆ ในยุคนั้น รวมถึง Orosius of Seville และ Isidore of Seville ต่างก็มีความคิดเห็นที่คล้ายคลึงกัน

 

ในทางตรงกันข้าม ในยุคสมัยจักรวรรดิการอแล็งเฌียง (Carolingian period, 800-887 AC) กรอบภูมิศาสตร์กรีกที่สืบทอดมาเริ่มถอยห่างจากสายตา คำว่ายุโรปบางครั้งใช้เพื่ออ้างถึงอารยธรรมที่เกิดขึ้นใหม่ในดินแดนแฟรงก์ส่วนใหญ่ของคริสต์ศาสนาละติน ซึ่งบางครั้งอาจแตกต่างกับเอเชียที่เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ ทางตะวันออก ในความเป็นจริง ผู้เสนอลัทธิจักรวรรดินิยมแบบการอแล็งเฌียงและออตโตเนียน (เยอรมัน) ตลอดจนพระสันตปาปา ต่างก็ใช้แนวคิดของยุโรปว่าเป็น การจัดหมวดหมู่คุณลักษณะอย่างหนึ่ง อย่างเช่นการแบ่งกลุ่มลักษณะทางวัฒนธรรม แต่จนกระทั่งถึงยุคกลางตอนปลาย การอ้างอิงถึงโครงการทวีปที่เป็นทางการที่ใหญ่กว่านั้นส่วนใหญ่จำกัดอยู่ที่การพิจารณาทบทวนการศึกษาทางภูมิศาสตร์อีกครั้ง โดยแทบไม่มีที่ว่างในวาทกรรมทางวิชาการทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งทวีปแอฟริกาไม่ได้มีความสำคัญในตำนานการเดินทางและนิทานของชาวยุโรปในยุคกลาง โดยทวีปทางตอนใต้ในขณะนั้นถูกมองว่าด้อยกว่า เนื่องจากเข้าใจผิดว่ามีขนาดเล็กและถูกครอบงำด้วยทะเลทรายเกือบทั้งหมด

 

แน่นอนว่าการศึกษาทางภูมิศาสตร์เชิงวิชาการก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่นี่ โลกทัศน์แบบไตรภาคของชาวกรีกยังคงอยู่ แต่ถูกเปลี่ยนไปสู่การนำเสนอแบบจำลองจักรวาลวิทยาเชิงนามธรรม โดยละทิ้งการเสแสร้งจอมปลอมทั้งหมดไปเพื่อสร้างความถูกต้องเชิงพื้นที่ขึ้นมา แผนที่ ‘T-O map’ ที่มีชื่อเสียงมากๆ ในยุคกลาง เป็นตัวแทนของโลกตามรูปแบบของไม้กางเขน เป็นการสะท้อนมุมมองทางเทววิทยาอย่างลึกซึ้งของยุคสมัย สัญลักษณ์ไม้กางเขนที่เป็นรูปตัว T อยู่ภายในวงกลมโลก แสดงถึงแหล่งน้ำที่คาดว่าจะเป็นแนวแบ่งแยกยุโรป เอเชีย และแอฟริกา ออกจากกัน ในแง่หนึ่งผืนดินเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นพื้นหลังซึ่งมีการจารึกสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ไว้ ในกรณีส่วนใหญ่แม่น้ำไนล์ยังคงเป็นเส้นแบ่งระหว่างแอฟริกาและเอเชีย ลำดับความสำคัญแบบคลาสสิกเข้าร่วมที่นี่พร้อมกับความจำเป็นทางเทววิทยา โดยแปลงการบิดเบือนเชิงประจักษ์เป็นการแสดงออกของลำดับจักรวาลวิทยาได้อย่างลึกซึ้ง

 

ด้วยการฟื้นตัวของการเรียนรู้ภาษากรีกและโรมันในยุคเรอเนซองส์ โครงสร้างพื้นที่ที่มีการแบ่งทวีปแบบเก่าก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาเช่นกัน ด้วยอำนาจและบทบาททางวิทยาศาสตร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน Sebastian Munster นักภูมิศาสตร์ชาวเยอรมันผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆ ในศตวรรษที่ 16 ได้กล่าวถึง ‘การแบ่งโลกแบบเก่าในสมัยโบราณออกเป็นสามภูมิภาค โดยใช้แม่น้ำดอน ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และแม่น้ำไนล์’ แม้จะมีการสั่งสมความรู้มากมายตลอดหลายศตวรรษนับตั้งแต่ Herodotus แต่ก็ยังมีนักวิชาการยุคเรอเนซองส์สองสามคนตั้งคำถามด้วยความสงสัยถึงขอบเขตที่กำหนดไว้ในสมัยโบราณ โดยช่วงเวลานี้เองที่โครงสร้างการแบ่งทวีปกลายเป็นกรอบอ้างอิงที่เชื่อถือได้ในการแยกแยะความแตกต่างระหว่างสังคมมนุษย์ต่างๆ

 

การยกระดับโครงสร้างการแบ่งทวีปไปสู่ระดับความจริงที่ยอมรับได้นั้น ส่วนหนึ่งถูกกำหนดโดยช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญในศตวรรษที่ 14 และ 15 เช่นเดียวกับที่งานเขียนคลาสสิกที่ได้รับการประเมินใหม่ ภูมิศาสตร์ของศาสนาคริสต์ก็เปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กันในหลายๆ ด้าน การรุกคืบเข้ามาพิชิตพื้นที่ตรงขอบตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกีทำให้ชุมชนคริสเตียนที่เหลืออยู่ในเอเชียไมเนอร์ต้องล่าถอย ในขณะที่การพิชิตและการเปลี่ยนใจเลื่อมใสของคริสเตียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกำลังเอาชนะการยึดครองลัทธินอกรีตครั้งสุดท้ายในภูมิภาคบอลติก ขณะเดียวกัน การผงาดขึ้นของลัทธิมนุษยนิยม (humanism) กำลังท้าทายความสามัคคีทางวัฒนธรรมของโลกคาทอลิกจากภายใน สถานการณ์ทางประวัติศาสตร์เหล่านี้หลอมรวมเข้าด้วยกันเพื่อทำให้โครงสร้างการแบ่งทวีปของกรีกมีความโดดเด่นขึ้นมาใหม่ อีกด้านหนึ่ง ขณะที่คริสต์ศาสนาถอยร่นไปทางตะวันออกเฉียงใต้และก้าวหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ขอบเขตของคริสต์ศาสนาก็เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม แต่ก็ใกล้เคียงกับขอบเขตของยุโรปของชาวกรีก ในทางกลับกัน นักวิชาการด้านมนุษยนิยมเริ่มค้นหาการกำหนดตนเองทางโลก ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ศตวรรษนี้ยุโรปเริ่มเข้ามาแทนที่คริสต์ศาสนจักรในฐานะแหล่งอ้างอิงหลักสำหรับสังคมตะวันตก

 

ในศตวรรษที่ 15 คริสเตียนตะวันตกเริ่มเรียกตัวเองว่าชาวยุโรป โครงสร้างการแบ่งทวีปโดยรวมก็ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย แต่ไม่นานก่อนที่ความพอดีของการแบ่งส่วนทางภูมิศาสตร์ใหม่ในพื้นที่บางส่วนระหว่างยุโรปและคริสต์ศาสนจักรจะถูกปรับปรุงอีกครั้ง ในที่สุดการรุกคืบพิชิตของตุรกีอย่างต่อเนื่องเมื่อรวมเข้ากับการแยกประเพณีคริสเตียนตะวันออกและตะวันตกออก ก็ดึงยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ออกจากวงโคจรของอารยธรรมยุโรปที่ระบุตัวตนชัดเจนไปเกือบหมด

 

โลกเก่า ทวีปใหม่

 

เมื่อชาวยุโรปข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสำเร็จ พวกเขาค่อยๆ ค้นพบว่า ระบบการแบ่งทวีปออกเป็นสามทวีปของพวกเขา ไม่ได้มีความเหมาะสมสำหรับการสร้างแบบจำลองโลกอีกต่อไป หลักฐานที่เป็นสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะมีทวีปของโลกใหม่เกิดขึ้นมาแล้วอย่างเดียวที่มีจึงต้องนำมาพิจารณา อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านจากโครงสร้างสามทวีปเป็นโครงสร้างสี่ทวีปไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังจากการค้นพบของ Christopher Columbus ประการแรก ทวีปอเมริกาจะต้องถูกค้นพบและยืนยันด้วยสติปัญญาให้เป็นผืนแผ่นดินที่แตกต่างออกไป เป็นผืนดินที่สามารถมองเห็นได้ในเชิงภูมิศาสตร์ ไม่ใช่แค่เชิงวัฒนธรรม และก็ต้องเทียบเท่ากับทวีปอื่นๆ ได้ด้วย ตามการกล่าวอ้างของ Eviatar Zerubavel ยืนยันว่าการปรับแนวความคิดใหม่นี้ใช้เวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันกระตุ้นให้เกิดการตกตะลึงครั้งใหญ่อย่างรุนแรงระดับจักรวาลเลยทีเดียว ด้วยเหตุว่าเป็นเวลานานแล้วที่ชาวยุโรปจำนวนมากเลือกที่จะเพิกเฉยต่อหลักฐาน อย่างเช่นช่วงปลายปี 1555 ที่พวกเขายังคงยอมรับกับข้อความภูมิศาสตร์ฝรั่งเศสยอดนิยมภายใต้ชื่อที่เรียกกันว่า La division du monde ซึ่งประกาศก้องว่าโลกประกอบด้วยเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา ไม่ได้เอ่ยถึงทวีปอเมริกาเลย จินตนาการของจักรวรรดิสเปนยืนกรานที่จะปฏิเสธสถานะของทวีปต่ออาณานิคมข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกอีกต่อไป ตามคำกล่าวของ Walter Mignolo แนวคิดของแคว้นคาสตีลเกี่ยวกับอินเดียยังคงอยู่จนกระทั่งสิ้นสุดจักรวรรดิอาณานิคม ส่วนอเมริกาเริ่มถูกนำมาใช้โดยปัญญาชนอิสระในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เท่านั้น ทว่าเมื่อถึงต้นศตวรรษที่ 16 Duarte Pacheco นักเขียนจักรวาลวิทยาชาวโปรตุเกส และ Martin Waldseemuller เพื่อนร่วมงานชาวเยอรมันของเขา ได้จัดทำแผนที่ด้วยการยกดินแดนอเมริกาขึ้นเป็นทวีป แม้ว่าการทำแผนที่ตามแบบแผนในยุคนั้นจะทำให้ทวีปใหม่อย่างแอฟริกาด้อยกว่าเอเชียและยุโรปอย่างเห็นได้ชัด แต่ภูมิศาสตร์ทั่วโลกเกือบทั้งหมดในช่วงศตวรรษที่ 17 อย่างน้อยก็ยอมรับว่าทวีปอเมริกาเป็น 1 ใน 4 ของดินแดนผืนใหญ่ของโลก

 

ดังที่เรื่องราวสั้นๆ นี้ ชี้ให้เห็น การยอมรับการมีอยู่ของทวีปแดนไกลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกนั้น ต้องการมากกว่าแค่การเพิ่มชิ้นส่วนใหม่ให้กับแบบจำลองทวีปที่มีอยู่ ดังที่ Edmundo O'Gorman แสดงให้เห็นได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการยอมรับการมีอยู่ของดินแดนที่ไม่เคยมีใครเคยรู้จักมาก่อน จำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างพื้นฐานของจักรวาลวิทยาของยุโรป สำหรับแนวคิดเก่าๆ ที่ว่ายุโรป แอฟริกา และปลายสุดที่เอเชีย มักถูกมองว่าเป็นเกาะโลกเพียงแห่งเดียวที่เชื่อมต่อถึงกัน หรือที่เรียกกันตามฐานคิดแบบกรีกโบราณว่า orbis terrarum การมีอยู่ของเกาะดังกล่าวอีกแห่งหนึ่งในบริเวณขั้วตรงกันข้ามของซีกโลกใต้ - orbis alterius - นั่นมักถูกตั้งสมมติฐานไว้แล้ว แต่ก็จะสันนิษฐานว่าบริเวณนั้นประกอบกันเป็นโลกที่แยกส่วนออกจากกัน และเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาสายพันธุ์อื่นที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในทางตรงกันข้าม คนอเมริกันดูเหมือนจะมีลำดับชั้นแบบเดียวกันกับมนุษย์คนอื่นๆ โดยเสนอว่าบ้านเกิดของพวกเขาจะต้องเป็นหนึ่งในสี่ของโลกมนุษย์เรานี่แหละ ไม่ใช่โลกอื่นที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริง ดังนั้นข้อมูลทางมานุษยวิทยาจึงเป็นตัวการบ่อนทำลายการจัดลำดับจักรวาลที่เคยมีมาก่อน

 

 


ในระยะยาว การค้นพบประชากรมนุษย์ที่อยู่ห่างไกลออกไปแต่เป็นที่รู้จักในอเมริกา จะทำให้แนวความคิดที่ว่าด้วยเกาะโลกแหลกสลายอย่างไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้ ตลอดเวลาหลายศตวรรษถัดมา ความสัมพันธ์พื้นฐานระหว่างทวีปหลักๆ ของโลกถูกมองว่าเป็นการแยกออกจากกัน ไม่ใช่อยู่ติดกัน ในปี 1570 Ortelius ได้แบ่งโลกออกเป็น 4 ส่วน แต่แผนที่โลกของเขาไม่ได้เน้นการแบ่งแยก และบางครั้งแผนที่ระดับภูมิภาคของเขาก็ขยายการแบ่งส่วนของทวีปออก อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 17 แผนที่โลกส่วนใหญ่แยกแยะทวีปหลักของโลกเอาไว้ได้อย่างชัดเจน และจำแนกแผนที่ระดับภูมิภาคทั้งหมดตามนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง แนวคิดของชาวกรีกเกี่ยวกับภูมิประเทศของมนุษย์ที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวถูกแยกออกเป็นทวีปๆ ประกอบกอบกัน ซึ่งปัจจุบันการแยกตัวโดยสัมพันธ์กันได้ถูกแปลงให้กลายเป็นลักษณะที่กำหนดอย่างแดกดัน แม้ว่าความเป็นไปได้ของ orbis alterius จะไม่ได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังอีกต่อไป แต่ขอบเขตที่แบ่งดินแดนที่รู้จักจะถูกสร้างขึ้นในแง่ที่สมบูรณ์มากกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต แม้ว่าความแม่นยำของการทำแผนที่จะดีขึ้นอย่างมากในช่วงเวลานี้ แต่แนวความคิดของการแบ่งส่วนทั่วโลกก็ยังแข็งแกร่งขึ้น จนทำให้เกิดความเสื่อมถอยของแนวความคิดบางประการ

 

การแบ่งส่วนใหม่ของโลก

 

เมื่อความรู้ทางภูมิศาสตร์มีเพิ่มมากขึ้น และเมื่อพลังอำนาจของจักรวรรดิกรีกลดน้อยลง สถาปัตยกรรมของภูมิศาสตร์โลกก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงที่มีความลึกซึ้งมากขึ้นเช่นกัน หากการมีตัวตนของทวีปต่างๆ เป็นการแบ่งส่วนทางภูมิศาสตร์ที่มีความหมายในภูมิศาสตร์มนุษย์ แทนที่จะเป็นเพียงภาพสะท้อนของแผนการจักรวาลที่กำหนดไว้ แม่น้ำไนล์และแม่น้ำดอนก็ก่อให้เกิดขอบเขตที่ไม่เหมาะสมอย่างเห็นได้ชัด นักวิชาการทั้งหลายจึงค่อยๆ เลือกทะเลแดง อ่าวและคอคอดสุเอซ เป็นเขตแบ่งแยกระหว่างแอฟริกัน-เอเชีย ในทำนองเดียวกัน เมื่อถึงศตวรรษที่ 16 นักภูมิศาสตร์เริ่มตระหนักว่ายุโรปและเอเชียไม่ได้แยกออกจากกันด้วยคอคอดแคบ แม่น้ำดอนไม่ได้กำเนิดที่ใดก็ได้ใกล้ๆ ทะเลอาร์คติก และทะเลอะซอฟนั้นก็เล็กกว่าที่เคยจินตนาการเอาไว้ แม้ว่ามุมมองแบบเก่าจะคงอยู่อย่างน่าทึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ขอบเขตใหม่สำหรับทั้งสองทวีปก็จำเป็นต้องกำหนดให้ชัดเจนเช่นกัน

 

ปัญหาคือไม่มีสิ่งขวางกั้นที่เห็นได้ชัดเจนเหมือนกับทะเลแดงที่ทำหน้าที่กั้นกลางระหว่างยุโรปกับเอเชีย การตอบสนองเบื้องต้นคือการระบุความเชื่อมโยงที่แม่นยำระหว่างแม่น้ำที่ไหลไปทางทิศใต้และทิศเหนือผ่านที่ราบรัสเซีย ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 กลยุทธ์ประการหนึ่งคือการแบ่งยุโรปออกจากเอเชียตามแนวแม่น้ำดอน โวลก้า คามา และออบ อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นปัญหาทางภูมิศาสตร์ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข และนักภูมิศาสตร์ก็แข่งขันกันเพื่อค้นหาเส้นแบ่งที่เหมาะสมที่สุด เฉพาะแค่ศตวรรษที่ 18 นายทหารชาวสวีเดน Philipp-Johann von Strahlenberg ยืนยันว่าเทือกเขาอูราลเป็นสิ่งขวางกั้นที่สำคัญที่สุด ข้อเสนอของ von Strahlenberg เกี่ยวข้องกับโครงการสร้างความเป็นตะวันตกของปีเตอร์มหาราช (Peter the great's westernization program) ได้รับการสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นจากปัญญาชนชาวรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Vasilii Nikitich Tatishchev ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นเพราะความสะดวกทางอุดมการณ์ การเน้นย้ำถึงการแบ่งแยกตามแนวเทือกอูราล ชาวรัสเซียตะวันตกสามารถเน้นย้ำถึงธรรมชาติของยุโรปในแก่นแท้ทางประวัติศาสตร์ของรัสเซีย ขณะเดียวกันก็จัดให้ไซบีเรียอยู่ในตำแหน่งของอาณาจักรเอเชียต่างด้าวที่เหมาะสมสำหรับการปกครองอาณานิคมและการแสวงประโยชน์ แท้จริงแล้ว ตำราภาษารัสเซียหลายฉบับในเวลานี้ทิ้งชื่อไซบีเรียไปแทนชื่อ great tartary ที่ฟังดูมีความเป็นเอเชียมากกว่า อย่างไรก็ตาม การโต้เถียงยังคงดำเนินต่อไปในแวดวงภูมิศาสตร์ของรัสเซียและเยอรมัน โดยนักวิชาการบางคนพยายามที่จะผลักดันขอบเขตออกไปทางตะวันออกจนถึงแม่น้ำออบ หรือไม่ก็เลยออกไปที่แม่น้ำเยนิเซย์ ในขณะที่คนอื่นยืนยันว่าน่าจะอยู่แถวๆ แม่น้ำดอนมากว่า

 

ในที่สุดตำแหน่งที่ Tatishchev และ von Strahlenberg ระบุเอาไว้ก็ได้รับการยอมรับไม่เพียงแต่ในรัสเซียแต่เป็นไปทั่วทั้งยุโรป เมื่อนักภูมิศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชื่อดัง M. Malte-Brun ได้ให้การรับรองแนวแบ่งเขตดังกล่าวในศตวรรษที่ 19 เขตแดนเทือกเขาอูราลก็ได้รับการยอมรับจนเกือบเป็นสากล อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวนี้จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติม เนื่องจากเทือกเขาอูราลไม่ได้ขยายออกไปทางใต้หรือตะวันตกมากพอที่จะสร้างพรมแดนที่สมบูรณ์ ในแผนที่ของศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 การแบ่งแยกแบบเก่าและแบบใหม่มักถูกควบรวมเข้าด้วยกัน โดยจะแสดงให้เห็นว่ายุโรปถูกแยกออกจากเอเชียด้วยแม่น้ำดอน แนวยาวของแม่น้ำโวลกา และเทือกเขาอูราล แต่ว่านับจากกลางทศวรรษ 1800 เป็นต้นมา วิธีแก้ปัญหานี้คือการแยกเอเชียออกจากยุโรปด้วยแนวเส้นที่ค่อนข้างซับซ้อนทอดไปทางทิศใต้ผ่านเทือกเขาอูราล กระโดดไปทางทิศใต้ไปยังแม่น้ำอูราล โดยทอดยาวผ่านไปประมาณสองในสามของทะเลแคสเปียน และเลี้ยวเป็นมุมแหลมเพื่อวิ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือไปตามยอดเทือกเขาคอเคซัส อันที่จริง เมื่อไม่นานมานี้ในปี 1994 กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ได้ให้การรับรองแผนการแบ่งแบบนี้อย่างเป็นทางการ การใช้แม่น้ำดอนแบบเก่านั้น แม้ว่าจะเป็นไปตามอำเภอใจก็ตาม แต่ว่าอย่างน้อยก็จำเป็นต้องมีการวาดภาพที่บิดเบี้ยวน้อยกว่า ยิ่งไปกว่านั้น แผนการแบ่งแบบใหม่ยังสร้างความอยุติธรรมต่อภูมิศาสตร์วัฒนธรรมมากกว่าแผนการแบ่งแบบเก่า เนื่องจากแผนการแบ่งแบบใหม่ได้รวมกลุ่มชนที่ไม่ใช่ชาวยุโรปเอาไว้ภายในทวีปยุโรปด้วย เช่น ชาวพุทธมองโกลที่พูดภาษาคาลมีกส์

 

แม้ว่าการแบ่งขอบเขตทางภูมิศาสตร์ระหว่างยุโรปกับเอเชียในปัจจุบันแทบจะไม่มีการตั้งคำถาม และมักถูกมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติหรือไม่สำคัญเกินกว่าจะกังวล แต่ประเด็นนี้ยังคงกระตุ้นให้เกิดความสนใจเป็นครั้งคราว ตัวอย่างเช่นในปี 1958 นักภูมิศาสตร์ชาวรัสเซียกลุ่มหนึ่งแย้งขึ้นมาว่าการแบ่งแยกที่แท้จริงควรเป็นไปตาม ‘ความลาดชันทางตะวันออกของเทือกเขาอูราล และการยืดออกไปของเนินเขามูกอดชาร์ แม่น้ำเอมบา ชายฝั่งทางตอนเหนือของทะเลแคสเปียน หุบกูโม-มานิชกายา วพาดินา และช่องแคบเคอร์เชนสกี้ ไปยังทะเลดำ’ ส่งผลให้เทือกเขาอูราลคงอยู่ภายในทวีปยุโรป และคอเคซัสอยู่ภายในทวีปเอเชีย นักเขียนคนอื่นๆ เลือกที่จะเพิกเฉยต่อแนวทางที่เป็นทางการโดยสิ้นเชิง โดยวางขอบเขตระหว่างทวีปทั้งสองส่วนเอาไว้ทุกที่ที่เห็นสมควร ตัวอย่างเช่น สารานุกรมบริแทนนิกา ฉบับปี 1963 ให้คำจำกัดความย่านสวาทที่อยู่ทางตอนเหนือของปากีสถานว่าเป็นภูมิภาคที่มีพรมแดนติดกับยุโรปและเอเชีย หรือว่าจะให้ทวีปยุโรปหมายถึงทุกหนทุกแห่งทุกพื้นที่ที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชเสด็จพระราชดำเนินไปถึง ในทางกลับกัน Halford Mackinder ก็เลือกใช้เกณฑ์เชื้อชาติเพื่อแบ่งยุโรปออกจากแอฟริกา และด้วยเหตุนี้จึงขยายขอบเขตไปทางทิศใต้ ‘อันที่จริง พรมแดนทางใต้ของยุโรปเคยเป็นและเป็นทะเลทรายซาฮารา แทนที่จะเป็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพราะเป็นดินแดนทะเลทรายแห่งนี้ได้แบ่งคนผิวดำออกจากคนผิวขาว

 

การทำโครงสร้างการแบ่งทวีปที่ต่อเนื่อง

 

แม้จะมีการแบ่งส่วนพื้นโลกในสมัยโบราณและแพร่หลายออกไปเป็นทวีปยุโรป เอเชีย และแอฟริกา โดยมีทวีปอเมริกาเพิ่มเติมในภายหลัง แต่ว่าส่วนต่างๆ ของโลกดังกล่าวไม่จำเป็นต้องให้คำจำกัดความอย่างชัดเจนว่าเคยเป็นทวีปมากก่อนปลายศตวรรษที่ 19 แม้ว่าคำว่าทวีปซึ่งเน้นถึงลักษณะที่ต่อเนื่องกันของผืนแผ่นดินดังกล่าว มักใช้ในการแปลแนวคิดภาษากรีกและละตินเกี่ยวกับการแบ่งแยกพื้นที่ทั่วทั้งโลกให้อยู่ในแบบไตรภาคี แต่ก็ยังใช้ในลักษณะที่ไม่เป็นทางการมากกว่ามาก ในความเป็นจริง ในภาษาอังกฤษสมัยใหม่ตอนต้น พื้นที่ขนาดใหญ่พอสมควรหรือแม้แต่กลุ่มเกาะก็อาจถือเป็นทวีปได้ ตัวอย่างเช่น ในปี 1599 Richard Hakluyt กล่าวถึงหมู่เกาะอินเดียตะวันตกว่าเป็นทวีปที่ใหญ่และอุดมสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม นักภูมิศาสตร์ค่อยๆ แยกหมู่เกาะและผืนดินขนาดเล็กออกจากหมวดหมู่นี้ โดยปฏิบัติตามมาตรฐานการแยกเชิงพื้นที่ที่เข้มงวดมากขึ้นเช่นกัน ในปี 1752 Emanuel Bowen เป็นผู้ที่สามารถกล่าวนิยามเรื่องนี้ได้อย่างเด็ดขาดว่า ทวีป คือ พื้นที่ขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยพื้นที่ที่แห้ง ครอบคลุมหลายประเทศเข้าด้วยกัน โดยไม่มีส่วนที่ปกคลุมด้วยน้ำมาแยกออกจากกัน ดังนั้น ยุโรป เอเชีย และแอฟริกา แต่ละแห่งเหล่านี้จึงเป็นทวีปที่ยิ่งใหญ่ ขณะที่อเมริกาก็เป็นอีกทวีปหนึ่ง

 

การแบ่งโลกออกเป็นสองทวีปอย่างแน่นอนบังคับให้เราต้องตระหนัก เช่นเดียวกับเมื่อหลายศตวรรษก่อนที่ Herodotus พิจารณาว่ายุโรป เอเชีย และแอฟริกา ไม่ได้ถูกแยกออกจากกันในความหมายที่แท้จริงใดๆ แท้จริงแล้ว นักภูมิศาสตร์ที่ฉลาดมักจะประสบปัญหากับการแบ่งทวีปแบบนี้มาโดยตลอด ในช่วงต้นปี 1680 ผู้เขียนหนังสือ The English Atlas ให้ความเห็นว่า การแบ่งทวีปแบบนี้ดูไม่สมเหตุสมผลนัก ทวีปเอเชียนั้นมีขนาดใหญ่กว่าอีกทั้งสองทวีปมาก และทวีปยุโรปก็ไม่ได้มีขนาดสมดุลกับทวีปแอฟริกา นักภูมิศาสตร์ชาวเยอรมันที่มีชื่อเสียงหลายคนในศตวรรษที่ 19 ทั้ง Alexander von Humboldt และ Oskar Peschel ต่างก็ยืนยันว่ายุโรปเป็นเพียงส่วนขยายของทวีปเอเชีย ขณะที่ชาวสลาฟรัสเซียที่ทรงอิทธิพลทางความคิดจำนวนมากซึ่งมักเป็นฝ่ายตรงข้ามตลอดกาลของชาวตะวันตกมาก ก็เห็นพ้องต้องกัน อย่างไรก็ตาม การใช้เหตุผลอันเฉียบแหลมเช่นนี้ยังไม่อาจเอาชนะความคิดความเชื่อแบบเดิมๆ ได้ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 พื้นที่ส่วนต่างๆ ของโลกเก่าได้รับการตั้งชื่ออย่างแน่ชัดให้เป็น ทวีป โดยการแยกระหว่างทวีปยุโรปและทวีปเอเชียยังคงเป็นศูนย์กลางของโครงสร้างการแบ่งส่วนพื้นที่ครั้งนี้ พจนานุกรมภาษาอังกฤษออกซ์ฟอร์ดซึ่งได้รวบรวมฐานข้อมูลต่างๆ ในหลายทศวรรษของช่วงเปลี่ยนผ่านของศตวรรษที่ 20 อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงเอาไว้ดังนี้ เมื่อก่อนมีการแบ่งทวีปเป็นสองทวีป คือ ทวีปเก่าและทวีปใหม่ ทวีปแรกหรือทวีปเก่าประกอบด้วยยุโรป เอเชีย และแอฟริกา ซึ่งรวมกันเป็นหนึ่งเดียวต่อเนื่องกันเป็นแผ่นดินใหญ่ ต่อมาทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ จึงเกิดขึ้นมารวมถึงทวีปอื่นๆ ด้วย โดยสองทวีปนี้มีลักษณะเป็นเกาะอย่างชัดเจน ต่างกันแค่ขอบเขตเท่านั้น ตามปกติแล้วปัจจุบันจะนับทวีปเป็น 4-5 ทวีป ได้แก่ ยุโรป เอเชีย แอฟริกา อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ รวมถึงมีเกาะออสเตรเลียขนาดใหญ่ที่บางครั้งก็ถูกมองว่าเป็นอีกเกาะหนึ่ง


หากไม่คำนึงถึงคำที่ใช้เพื่อแสดงถึงสิ่งเหล่านี้ หมวดหมู่มาตรฐานของโบราณวัตถุที่มีการเพิ่มโลกใหม่เข้ามา จะยังคงประกอบด้วยกรอบการทำงานพื้นฐานที่ทำให้เกิดภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์โลก แต่ยังคงมีความขัดแย้งเล็กน้อยเกี่ยวกับจำนวนหน่วยที่แน่นอนที่ควรนับ โดยทั่วไปแล้วในแผนที่โลกสมัยศตวรรษที่ 18 และ 19 จะพิมพ์หน่วยหลักๆ ของโลกด้วยหมึกสีต่างๆ กัน เราอาจพบรูปแบบการแบ่งพื้นที่ออกเป็นสี่ส่วนบ้าง ห้าส่วนบ้าง และหกส่วนบ้าง อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้อาจนับเป็นหนึ่งหรือสองหน่วยก็แล้วแต่ ขณะที่ออสเตรเลียหรือนิวฮอลแลนด์บางครั้งถูกแต่งแต้มให้เป็นส่วนหนึ่งของเอเชีย บางครั้งก็แยกออกเป็นทวีป และบางครั้งก็ให้เป็นเพียงเกาะเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งที่พิจารณาแล้ว ดูเหมือยว่าโครงสร้างการแบ่งทวีปสี่ส่วนจะมีชัยเหนือการแบ่งแบบอื่นในช่วงทศวรรษ 1800

 

ไม่ว่าจะใช้แผนที่รูปแบบใด การแบ่งโลกออกเป็นทวีปใหญ่ๆ ได้กลายมาเป็นแนวคิดอภิภูมิศาสตร์ (metageographical concept) ที่มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในศตวรรษที่ 18 และ 19 ซึ่งเรื่องนี้ Montesquieu นักคิดทางภูมิศาสตร์สมัยฟื้นฟูวิทยาการชั้นแนวหน้าของฝรั่งเศส ได้วางรากฐานทฤษฎีทางสังคมของเขาเพื่อแบ่งแยกยุโรปตามลักษณะทางภูมิศาสตร์อย่างสมบูรณ์แบบออกจากเอเชีย ซึ่งเป็นแก่นแท้ของโครงสร้างการแบ่งโลกเป็น 4 ทวีป เช่นเดียวกับ Carl Ritter นักภูมิศาสตร์มนุษย์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ก็ได้ยืนยันในทำนองเดียวกันด้วยรูปแบบเทววิทยาอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาว่า ทวีปแต่ละทวีปเหมือนมีตัวมันเองเพียงลำพัง ... แต่ละทวีปได้รับการวางแผนและก่อรูปขึ้นมาเพื่อให้มีหน้าที่พิเศษสำหรับช่วยสร้างความก้าวหน้าของวัฒนธรรมมนุษย์นอกจากนี้ Ritter ยังพยายามที่จะวางรากฐานโครงสร้างทั้งหมดในกรอบของมานุษยวิทยากายภาพ เขามองว่ายุโรปเป็นดินแดนของคนผิวขาว แอฟริกาเป็นดินแดนของคนผิวดำ เอเชียเป็นคนผิวเหลือง และอเมริกาเป็นคนผิวแดง นับเป็นแนวคิดที่เป็นอันตรายที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในจินตนาการของสาธารณชน

 


ด้วยการที่ Arnold Guyot นักวิชาการชาวสวิสที่เป็นผู้นำเอาแนวความคิดทางภูมิศาสตร์ในเวอร์ชันของ Ritter มาสู่สหรัฐอเมริกาในช่วงกลางทศวรรษที่ 1800 นั้น ทำให้ความคิดต่างๆ ที่จำเป็นต้องมีการแบ่งทวีปนั้นมาถึงจุดสุดยอด Guyot มองเห็นมือของความก้าวหน้าที่จะอุบัติขึ้นในกาลข้างหน้าที่จะมีการรวมตัวกันของทวีป ตลอดจนการพิจารณาในโครงร่างและโครงสร้างทางกายภาพของแต่ละทวีป ทวีปต่างๆ จึงเป็นแกนหลักในการนำเสนอทางภูมิศาสตร์ของ Guyot โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเปิดเผยการมีอยู่ของกฎทั่วไปและเปิดเผยการจัดการที่ล้วนมีวัตถุประสงค์ อีกทั้งยังไม่น่าแปลกใจเลยที่จุดประสงค์ของ Guyot ที่มองเห็นการจัดการของทวีปต่างๆ บนโลกนี้นั้น นำมาซึ่งการเปิดเผยที่ก้าวหน้าของความเหนือกว่าที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับทวีปยุโรปและชาวยุโรป บนตำแหน่งหน้าที่ของเขาในมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน Guyot ทำให้สามารถเผยแพร่ความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เป็นเวลาหลายปีต่อเนื่อง ซึ่งล้วนมีอิทธิพลต่อครูและนักเขียนชาวอเมริกันหลายชั่วอายุคน

 

เมื่อระบบการแบ่งทวีปถูกทำให้เป็นทางการในศตวรรษที่ 19 หมวดหมู่ของระบบก็ถูกแปลงคุณสมบัติภายในมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถูกมองว่าไม่ใช่เป็นผลจากจินตนาการของมนุษย์ที่เข้าใจผิด แต่เป็นหน่วยงานทางภูมิศาสตร์ที่แท้จริงที่ถูกค้นพบผ่านการสืบค้นเชิงประจักษ์ (empirical inquiry) Edward H. Bunbury นักศึกษาชั้นนำด้านประวัติศาสตร์ความคิดทางภูมิศาสตร์แห่งยุควิกตอเรียที่สังคมแบ่งชนชั้นกันชัดเจน ได้ตีตรา Homer ว่าเป็นนักภูมิศาสตร์ดึกดำบรรพ์ เนื่องจากเขาล้มเหลวในการรับรู้ถึงการแบ่งโลกออกเป็นสามทวีป ขณะเดียวกัน Bunbury ก็ยังยอมรับว่า Herodotus ต้องรับผิดชอบต่อความคิดที่ผิดพลาดของเขาที่เคยว่าชี้ยุโรปมีขอบเขตพื้นที่ขยายไปถึงด้านตะวันออก-ตะวันตกมากกว่าขอบเขตของทวีปเอเชียกับลิเบีย (แอฟริกา) รวมกัน อย่างไรก็ตาม Herodotus เคยข้อสรุปนี้เอาไว้แล้ว ว่าไม่ใช่เพราะแนวความคิดเชิงพื้นที่ของเขามีความแม่นยำน้อยกว่าแนวคิดอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน แต่เป็นเพราะเขาเลี่ยงการใช้แนวเส้นทาไนส์ (ดอน) ที่พาดตามแนวเหนือ-ใต้เป็นพรมแดนทวีป โดยเลือกใช้แม่น้ำที่ไหลจากทิศตะวันออกและตะวันตกแทน คือ ไฟส์และอแรกเซส์ในภูมิภาคคอเคซัส (phais & araxes in the caucasus) สำหรับ Bunbury แล้ว เขาถือว่านี่ไม่ใช่ประเด็นที่ผู้มีการศึกษาอาจไม่เห็นด้วย สิ่งที่นักภูมิศาสตร์ในศตวรรษที่ 19 สูญเสียไปคือความรู้สึกของ Herodotus ที่ว่าเหตุผลเดียวในการแบ่งยุโรปและเอเชียตามแนวเหนือ-ใต้แทนที่จะเป็นแกนตะวันออก-ตะวันตก คือ ระเบียบแบบแผนที่เป็นทางการ ในความเป็นจริง ตามเงื่อนไขทางวิทยาศาสตร์ Herodotus อาจมีข้อโต้แย้งที่ดีกว่า แน่นอนว่าในแง่ของลักษณะทางกายภาพนั้น ไซบีเรียมีความคล้ายคลึงกับทางตอนเหนือสุดของยุโรป ซึ่งเป็นบริเวณเขตแดนที่ Herodotus ควรจะวางไซบีเรียเอาไว้ภายใน มากกว่าที่จะไปจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับโอมานหรือกัมพูชา

 

เข้าสู่ศตวรรษที่ยี่สิบ

 

นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 18 สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดสำหรับนักภูมิศาสตร์ทั่วโลก คือ จะสามารถการจำแนกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ได้อย่างไร การแบ่งส่วนพื้นที่ครั้งใหม่เริ่มปรากฏขึ้นจากส่วนนี้ของโลกทีละน้อย ตามผลงานประวัติศาสตร์โลกยุควิคตอเรียที่ได้รับความนิยมชิ้นหนึ่ง ระบุว่า เป็นเรื่องปกติจนถึงศตวรรษปัจจุบันที่จะพูดถึงการแบ่งส่วนต่างๆ ของโลกออกเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย ยุโรป เอเชีย แอฟริกา และอเมริกา ขณะเดียวกันก็มีการยืนยันต่ออีกว่า การกระจายทางวิทยาศาสตร์ของพื้นแผ่นดินของโลกจะต้องผนวกเอาออสเตรเลียและโพลินีเซีย โดยให้เป็นเขตพื้นที่แยกกันออกไป โดยปกติแล้วในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ออสเตรเลียจะถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่แยกออกไป ทั้งๆ ที่มักจะเชื่อมโยงกับหมู่เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่ก็ตาม แนวความคิดที่จะจัดให้โอเชียเนียมีฐานะเป็นส่วนที่ห้าหรือที่หกของโลก (หากทวีปอเมริกาถูกแบ่งแยก) เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อนักทำแผนที่หลายคนทำเครื่องหมายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แยกออกไปจากเอเชีย และผนวกเข้ากับดินแดนส่วนที่เป็นเกาะต่างๆ รายรอบ

 

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หนังสือเรียนภูมิศาสตร์โลกที่ตีพิมพ์ในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เกือบจะใช้ระบบการแบ่งทวีปเป็นกรอบการจัดระเบียบการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้โดยทั่วไปแล้วจะอุทิศหนึ่งบทให้กับแต่ละหน่วยแสดงคุณลักษณะตามธรรมชาติเหล่านี้ รูปแบบนี้อาจพบได้ในผลงานในโลกธรรมชาติและในงานที่เกี่ยวข้องกับภูมิศาสตร์มนุษย์ เมื่ออ่านตำราเรียนเหล่านี้แล้ว จะพบว่ามีการเบี่ยงเบนไปจากแบบจำลองมาตรฐานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตัวอย่างเช่นหนังสือ the international geography ที่เรียบเรียงโดย Hugh Robert Mill ได้รวมเอาดินแดนอเมริกากลางและอเมริกาใต้ไว้ในบทเดียว ขณะเดียวกันก็อุทิศอีกบทหนึ่งให้กับภูมิภาคที่เป็นบริเวณขั้วโลก รวมถึงงานเขียนของ Leonard Brooks เรื่อง a regional geography of the world ก็ดำเนินตามแบบแผนเดิมนี้เช่นกัน โดยมีบทต่อเนื่องกันในยุโรป เอเชีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แอฟริกา และออสเตรเลีย แต่อุทิศบทเพิ่มเติมให้กับเกาะอังกฤษเพียงแห่งเดียว ลัทธิจัดให้ยุโรปเป็นศูนย์กลางโลก (eurocentrism) นี้ ส่งเสริมและทำให้เกิดลัทธิจัดให้อังกฤษเป็นศูนย์กลางโลก (britanocentrism) มีความภาคภูมิใจ ซึ่งบ่งบอกถึงการเกิดขึ้นของทวีปเสมือนใหม่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ

 

แต่ไม่ใช่ว่าผู้เขียนทางภูมิศาสตร์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ทุกคนจะมองว่าทวีปต่างๆ เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้และการแบ่งแยกของโลกอย่างไม่มีปัญหา ตัวอย่างเช่น ในงานเขียนเรื่อง geography of 1937 ของ Van Loon ที่ได้รับความนิยมมาก ผู้เขียนบรรยายถึงโครงสร้างการแบ่งทวีปด้วยถ้อยคำที่เบาและแทบจะตลกขบขัน โดยสรุปว่าคนๆ หนึ่งอาจใช้ระบบมาตรฐานเช่นกันตราบใดที่เราจำรากฐานที่เป็นไปตามอำเภอใจของมันได้ Van Loon มองว่าข้อตกลงมาตรฐานนี้ทำให้โลกมีปริมณฑลครอบคลุม 5 ทวีป ได้แก่ เอเชีย อเมริกา แอฟริกา ยุโรป และออสเตรเลีย แม้ว่าอาจดูน่าประหลาดใจที่พบว่าอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ยังคงรวมกันเป็นทวีปเดียวในหนังสือที่ตีพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาในปี 1937 แต่แนวคิดดังกล่าวยังคงพบเห็นได้ทั่วไปจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่แนวคิดนี้รองรับการออกแบบภูมิรัฐศาสตร์ของอเมริกาในขณะนั้น ซึ่งแสวงหาการครอบงำทั้งซีกโลกตะวันตกและแยกตัวออกจากทวีปในโลกเก่า ของยุโรป เอเชีย และแอฟริกา

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษ 1950 นักภูมิศาสตร์ชาวอเมริกันแทบทุกคนออกมายืนกรานว่าทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกันอย่างโดดเด่นชัดเจน สมควรให้แยกออกจากกัน ซึ่งนี่เป็นช่วงเวลาที่ทวีปแอนตาร์กติกาถูกเพิ่มเข้าไปในรายชื่อทวีปบนโลก แม้ว่าจะไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ก็ตาม และเมื่อโอเชียเนียที่เคยมีฐานะเป็นการแบ่งแยกอันยิ่งใหญ่ถูกแทนที่ด้วยทวีปออสเตรเลียพร้อมกับหมู่เกาะทั้งที่อยู่ห่างไกลและติดทวีปหลายแห่ง ระบบโครงสร้างการแบ่งเป็นเจ็ดทวีปที่เกิดขึ้นนั้นได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา ช่วงทศวรรษ 1960 อันรุ่งเรืองของการปฏิวัติเชิงปริมาณทางภูมิศาสตร์ โครงสร้างแบบนี้ได้รับการจัดทำให้ถูกต้องตามกฎทางวิทยาศาสตร์รูปแบบใหม่โดยนักวิชาการผู้ตั้งใจจะคำนวณจำนวนที่แน่นอนของทวีปต่างๆ ในโลกผ่านสมการทางคณิตศาสตร์ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ คำตอบที่เขาคิดมาได้นั้นเกือบจะตรงกับรายการที่เคยมีมาก่อนแล้ว คือ ทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย แอฟริกาโอเชียเนีย (ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์) และแอนตาร์กติกา

 

แม้จะมีอคติแบบยุโรปโดยนัยต่อโครงสร้างการแบ่งทวีป แต่การจุติสิ่งใหม่กว่านั้นได้ถูกส่งออกไปยังส่วนอื่นๆ ของโลก เท่าที่เราทราบ โดยไม่ได้กระตุ้นให้เกิดการตอบสนองที่สำคัญหรือการปรับเปลี่ยนในท้องถิ่นใดๆ ในกรณีของญี่ปุ่นนั้น โครงสร้างแบบสี่ทวีปที่ได้มาจากยุโรปได้ถูกนำมาใช้ในช่วงทศวรรษ 1700 และแพร่หลายในห้วงเวลากลางทศวรรษ 1800 การเปลี่ยนแปลงที่ตามมาในแนวความคิดเกี่ยวกับโลกของญี่ปุ่นเกิดขึ้นตามมาอย่างใกล้ชิดกับการเปลี่ยนแปลงของยุโรป โดยมีข้อแตกต่างที่บ่งบอกว่าเอเชียมักจะได้รับการจัดอันดับให้เป็นทวีปแรกเสมอ ขณะที่นักภูมิศาสตร์ในอาณาจักรอิสลามได้นำโครงสร้างการแบ่งโลกออกเป็นสามส่วนจากชาวกรีกมาใช้ก่อนหน้านี้มาก แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วทวีปต่างๆ จะมีบทบาทอย่างไม่มีนัยสำคัญในแนวความคิดเกี่ยวกับลำดับโลกก่อนศตวรรษที่ 20 ชาวเอเชียใต้และคนอื่นๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากความเชื่อทางศาสนาของอินเดียใช้ระบบโครงสร้างการแบ่งทวีปแบบดั้งเดิมที่แตกต่างกันมาก โดยมีความเกี่ยวพันกับจักรวาลวิทยามากกว่าที่จะเป็นการแบ่งส่วนตามลักษณะทางภูมิศาสตร์กายภาพ อย่างไรก็ตาม ด้วยชัยชนะของลัทธิจักรวรรดินิยมยุโรป ทัศนะร่วมสมัยของยุโรปเกี่ยวกับการแบ่งแยกส่วนต่างๆ ของโลกก็ได้รับการยอมรับจนเกือบเป็นสากล นักวิชาการจากประเทศต่างๆ อาจไม่เห็นด้วยกับจำนวนทวีปที่แน่นอน (เช่น ในยุโรปส่วนใหญ่ยังคงนิยมการแบ่งแบบห้าทวีปมากกว่าเจ็ดทวีป) แต่ระบบพื้นฐานที่มาที่ไปก็ไม่มีใครทักท้วงเลย

 

ในทางตรงข้าม เกือบจะทันทีที่ระบบโครงสร้างการแบ่งเป็นเจ็ดทวีปที่เป็นแบบแผนในปัจจุบันเกิดขึ้น ระบบนี้ก็เริ่มถูกละทิ้งโดยผู้ที่มีส่วนได้เสียมากที่สุดในการเผยแพร่ระบบ นั่นคือนักภูมิศาสตร์มืออาชีพ ขณะที่หนังสือเรียนภูมิศาสตร์โลกระดับมหาวิทยาลัยในอเมริกาเกือบทั้งหมดในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง สะท้อนให้เห็นค่อนข้างชัดเจนถึงการแบ่งผืนแผ่นดินบนโลกออกเป็นทวีป แต่ในช่วงทศวรรษ 1950 หนังสือเรียนส่วนใหญ่มีการจัดโครงสร้างตามภูมิภาคของโลก ทว่าการแบ่งส่วนต่างๆ ของโลกออกเป็นทวีปที่เก่ากว่ายังคงยืนหยัดอย่างเหนียวแน่นในสื่อสารมวลชนยอดนิยม ในหลักสูตรประถมศึกษา ในงานอ้างอิง และแม้แต่ในศัพท์เฉพาะของภูมิภาคโลกเอง ใครก็ตามที่สงสัยเกี่ยวกับสถานะร่วมสมัยของโครงสร้างการแบ่งทวีป ก็สามารถหาคำตอบได้เพียงแค่มองผ่านชั้นวางเกมเขียนแผนที่และผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับเด็กเท่านั้น และการเรียนการสอนดังกล่าวไม่ได้มุ่งเป้าไปที่เยาวชนอย่างจริงจัง ผลงานของ Kenneth C. Davis ที่ได้รับการตีพิมพ์เมื่อปี 1801 ซึ่งออกแบบมาเพื่อผู้ใหญ่เป็นหลัก ซึ่งมีชื่อว่า don't know much about geography ระบุตำแหน่งประเทศต่างๆ ในโลกเอาไว้ตามตำแหน่งทวีปของแต่ละประเทศ โดยผู้เขียนแจ้งให้เราทราบเพิ่มเติมว่านักทำแผนที่คิดออกเพียงแค่ว่าออสเตรเลียเป็นทวีปที่หก และการกล่าวอ้างที่คุ้นเคยซ้ำๆ ของเขาที่ว่าออสเตรเลียเป็น ทวีปที่เล็กที่สุดในโลกและเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด ก็เป็นการยืนยันอีกเช่นกันถึงความต่อเนื่อง การมองไม่เห็นของเกาะโลกที่เคยครอบคลุมดินแดนหลักทั้งสาม - ยุโรป เอเชีย และแอฟริกา


ที่มา Martin W. Lewis and Karen E. Wigen. (1997). The Myth of Continents: A Critique of Metageography. Berkeley: University of California Press.