หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2567

ภูมิศาสตร์ความเอื้ออาทร

 

ภูมิศาสตร์ความเอื้ออาทร

พัฒนา ราชวงศ์ นายกสมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย

 

สำหรับบทนี้จะได้แสดงให้เห็นว่านักภูมิศาสตร์อภิปรายเกี่ยวกับการให้การ “ดูแลประชาชนที่อยู่ระยะไกล' และ 'ภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบ' โดยเน้นที่การปฏิบัติต่อประเด็นของอคติที่เบี่ยงเบนไปจากจริยธรรมและความยุติธรรม การอภิปรายทั้งหลายในวิชาภูมิศาสตร์มักนำเสนอข้อผูกพันเฉพาะส่วนที่เป็นปัญหาทางศีลธรรมหรือทางการเมือง โดยอ้างว่าเรา โครงร่างว่าการอภิปรายเกี่ยวกับการดูแลประชาชนที่อยู่ระยะไกลและภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบ กำหนดกรอบอคติให้เป็นปัญหาที่จะต้องๆ ได้รับการแก้ไข จึงควรโต้แย้งว่าการมีส่วนร่วมของวิชาภูมิศาสตร์กับปรัชญาทางศีลธรรมนั้น ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ผิดพลาดเกี่ยวกับอิทธิพลต่างๆ ที่ผู้คนจะต้องปฏิบัติตาม (ประการหนึ่ง คือ อภิสิทธิ์จากการมีความรู้เชิงสาเหตุที่เป็นแรงกระตุ้นหลัก) และสมมติฐานที่มีข้อบกพร่องเกี่ยวกับปัญหาที่ต้องมีการให้เหตุผลทางวิชาการที่เป็นบรรทัดฐาน ซึ่งมีไว้เพื่อใช้แก้ไขปัญหา (เช่น สมมติฐานที่ว่าคนเราเห็นแก่ตัวเกินไป และไม่เห็นแก่ตัวจนเกินพอดี) เราใช้หัวข้อเรื่องความเอื้ออาทรเป็นจุดเริ่มต้นจุดหนึ่งเพื่อโต้แย้งว่าอคติและความเด็ดขาดอาจเป็นเงื่อนไขสำหรับโครงการด้านจริยธรรมการเมือง ที่ไม่ได้มีศูนย์กลางของแรงจูงใจหลักอยู่ที่การปฏิบัติด้านอธิปไตยของตนเอง แต่ไปเน้นที่ความสัมพันธ์ที่ตอบสนองและเอาใจใส่ต่อการเผชิญหน้ากับความต้องการของผู้อื่น การทำความเข้าใจต่อความเอื้ออาทรในฐานะที่เป็นรูปแบบหนึ่งของอำนาจ เสนอแนะโปรแกรมปรับปรุงสำหรับการสืบสวนทางภูมิศาสตร์ของจุดตัดระหว่างจริยธรรม คุณธรรม และการเมือง: โปรแกรมที่พิจารณาว่าโอกาสในการจัดการกับความต้องการเชิงบรรทัดฐานในทะเบียนต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบและเปลี่ยนแปลงอย่างไร ในลักษณะที่นิสัยตอบสนองและเปิดกว้างต่อผู้อื่น และโอกาสในการตอบสนองต่ออุปนิสัยเหล่านี้อย่างไร


ภูมิศาสตร์ความเอื้ออาทร

 

ขณะนี้มีงานหลากหลายประเภทที่ยืนยันว่า นักภูมิศาสตร์ควรให้ความสนใจและใส่ต่อทฤษฎีทางจริยธรรมและปรัชญาทางศีลธรรมให้มากขึ้น โดยมีเดวิด สมิธ (Smith 1997) ที่ไปไกลถึงขั้นแนะนำว่า เรื่องนี้กำลังมี 'การพลิกกลับมาให้ความสนใจต่อศีลธรรมมากขึ้น' ซึ่งเอกสารฉบับพิเศษเหล่านี้มีส่วนสนับสนุนชุดของการอภิปรายดังกล่าว โดยที่พวกเขาได้สร้างงานอภิปรายทั้งด้าน 'การดูแลผู้อื่นที่อยู่ห่างไกล' (caring at a distance) (Silk, 1998 2000, 2004; Smith, 2000) และ 'ภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบ’ (geographies of responsibility) (Popke 2003, Massey 2004) ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ ได้กลายเป็นเรื่องสำคัญที่อยู่ห้อมล้อมนักภูมิศาสตร์ให้ได้ทำการอภิปรายถึงความห่วงหาอาทรจากระยะไกลและภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบ เพื่อสร้างกรอบการศึกษาวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์ให้มีในฐานะเหมาะสมกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของงานร่วมสมัยที่เป็นสากลแบบนี้

 

การอ้างสิทธิ์ทั้งหลายในนามของวิชาภูมิศาสตร์เพื่อที่จะทำการโต้แย้งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสมมติฐานเกี่ยวกับวิธีการเชิงบรรทัดฐานที่เชื่อมโยงกับโครงการเชิงทฤษฎีและโครงการเชิงประจักษ์ของวิชานั้นๆ สำหรับรายละเอียดต่างๆ ในบทนี้ บาร์เนตและแลนด์ (Barnet and Land 2007) ได้ทดลองทำการท้าทายสมมติฐานบางข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนเป็นการแสดงความเคารพต่อการเยียวยารักษาการมีอคติต่อจริยธรรมและความยุติธรรม การโต้แย้งกันในเวทีของนักภูมิศาสตร์มักมีการนำเสนอข้อผูกมัดบางส่วนว่าเป็นปัญหาทางศีลธรรมหรือไม่ก็เป็นปัญหาทางการเมือง โดยอ้างว่าพวกเขาจัดลำดับความสำคัญของวิธีการที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นทั้งหลายเอาไว้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน สร้างการกีดกัน และสร้างเงื่อนไขจำกัดทางภูมิศาสตร์ ดังนั้น การมีอคติจึงมักถูกมองว่าเป็นสิ่งกีดขวาง การขยายการดูแล ความเป็นกังวล หรือความยุติธรรม ที่มีพึงมีต่อบุคคลอื่นที่อยู่ห่างไกล เหล่านี้เป็นประเด็นที่จะได้กล่าวถึงถัดไป การอภิปรายเกี่ยวกับความอาทรและการดูแลผู้อื่นที่อยู่ห่างไกลและภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบ ที่จะเป็นตัวกำหนดกรอบความมีอคติที่เป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไข จากนั้นก็ไปต่อในหัวข้อที่ 4 เพื่อใช้หัวข้อเรื่องความเอื้ออาทรเป็นจุดเริ่มต้น หรือในการถกแถลงว่าความมีอคติและความเด็ดขาดอาจเป็นเงื่อนไขสำหรับโครงการทางจริยธรรม-การเมืองใดๆ ก็ตามที่มีทั้งการขยายผลในเชิงภูมิศาสตร์และมีความอ่อนไหวในเชิงภูมิศาสตร์ในคราวเดียว

 

การดูแลบุคคลอื่นที่อยู่ไกล

 

สมมติฐานเริ่มต้นของการอภิปรายเกี่ยวกับ 'การดูแลผู้อื่นที่อยู่ห่างไกล' คือ คุณธรรมประเภทต่างๆ ที่ผู้คนแสดงต่อคนผู้เป็นที่รัก เพื่อนฝูง เพื่อนบ้าน หรือเพื่อนร่วมชาติ ซึ่งดูจะกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นที่จะรักษาสภาพของสิ่งเหล่านั้นเอาไว้เมื่อมีระยะทางห่างกันมากขึ้น การสนทนาเหล่านี้เป็นการนำเอา 'ระยะทางที่ห่างไกลกัน' มาพิจารณาร่วมกับ 'ความแตกต่าง' ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญต่อการดูแลบุคคลอื่นที่อยู่ห่างไกล โดยที่ภาพหลักของการอภิปรายเหล่านี้ คือ คนแปลกหน้าที่อยู่ห่างไกล ระยะทางที่ห่างไกลกันมาก และความแตกต่าง ถูกนำมาพิจารณาว่ามีความสำคัญมาก เนื่องจากว่าการดูแลที่เกิดขึ้นจะเป็นคล้ายๆ กับเป็นภาพเสมือนจริง คุณค่าของความสัมพันธ์ในการดูแลในเชิงปรัชญาศีลธรรมร่วมสมัย ได้มาจากการวิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎีความยุติธรรมที่เป็นสากล ความยุติธรรมที่จับคู่กับการดูแลจะถูกนำมาวางคู่กัน ในทางกลับกันคู่ของความยุติธรรมกับอคติ นักภูมิศาสตร์จะสามารถคาดเดาได้ง่ายว่าแผนที่สากลและแผนที่เฉพาะที่สร้างขึ้นมานั้น มีความสัมพันธ์กันเชิงพื้นที่ของดินแดนที่อยู่ห่างไกลกับพื้นที่อื่นที่เป็นส่วนขยาย โดยที่สถานที่และความใกล้ชิดก็เป็นอีกด้านหนึ่งของคววามสัมพันธ์ที่นักภูมิศาสตร์จะต้องอธิบาย

 

เรื่องนี้มาจากชุดของความคล้ายคลึงกันระหว่างความยุติธรรม ความเป็นสากล ความเป็นกลาง และระยะทาง และอีกด้านหนึ่งเป็นประเด็นเกี่ยวกับการดูแล ความเฉพาะเจาะจง ความลำเอียง และความใกล้ชิด ที่ทำให้เกิดเป็นประเด็นปัญหาสำหรับนักภูมิศาสตร์ในการพินิจพิจารณาการดูแลบุคคลอื่นที่อยู่อห่างไกล และยืดยาวต่อไปจนถึงการวิพากษ์วิจารณ์ความแตกต่างของทฤษฎีความยุติธรรมที่เป็นสากลซึ่งปรับให้เข้ากับความแตกต่างและความหลากหลาย นักภูมิศาสตร์ยังคงเกลียดชังที่จะยอมรับคุณค่าของการดูแลอย่างสุดใจอย่างแม่นยำเพราะการยืนยันโดยนัยถึงลักษณะบางส่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการตัดสินตามหลักจริยธรรมใดๆ และทั้งหมด การดูแลคือ จึงเปรียบเทียบกันง่ายๆ กับการใช้เหตุผล ทั้งทางบวกและทางลบ อันนำไปสู่ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นการโอบรับคุณค่าของการดูแลเอาใจใส่ แนวคิดที่ว่าคุณค่าของการดูแลควรยกระดับเหนือคุณค่านามธรรมของความยุติธรรม ดังที่สมิธ (Smith 2000) บันทึกย่อเอาไว้ว่ามันจะกลายเป็นข้ออ้างสำหรับการแสดงความเอื้ออาทรเฉพาะครอบครัวหรือเพื่อนฝูงหรือบางทีอาจเป็นกลุ่มสมาชิกที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ กลุ่มชาติพันธุ์หรือชาติเดียวกันกับตนเอง อย่างไรก็ตาม ความยุติธรรมก็ดูเหมือนจะขู่ว่าจะตั้งข้อคำถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะคงไว้ซึ่งความอ่อนไหวต่อการแสดงออกถึงความต้องการส่วนตัวที่เป็นตัวเป็นตนซึ่งรับประกันคุณค่าของการดูแล (แตกต่างไปจากความยุติธรรม ซึ่งคุณค่าอยู่ในความเป็นกลาง) ในขณะที่รวมเข้ากับการขยายพื้นที่ทางภูมิศาสตร์และเพื่อคนที่แตกต่างจากตัวเอง

 

มิชาเอล สโลต (Slote 2000) หนึ่งในบุคคลสำคัญที่ไดทำการฟื้นฟูทฤษฎีคุณธรรมจริยธรรมร่วมสมัย เสนอว่าวิธีหนึ่งในการแก้ปัญหาปริศนานี้ คือ การแยกความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์ที่ห่วงใยกันสองประเภท ได้แก่ การดูแลอย่างใกล้ชิด (intimate  caring) ที่แอบอิงความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคนรู้จัก และการดูแลตามหลักมนุษยธรรม (humanitarian  caring) ที่ขยายไปสู่บุคคลอื่นที่ได้รับรู้ถึงความเดือดร้อนที่พึงได้รับการช่วยเหลือหรือการดูแล แต่ความแตกต่างนี้ดูเหมือนจะชี้ให้เห็นถึงกระบวนทัศน์ในการดูแลที่มอบให้อย่างเป็นธรรมชาติในทางใดทางหนึ่ง หลังจากนั้น คำถามเรื่องการขยายผลก็ถูกเพิ่มเสริมเข้ามาเป็นอย่างที่สอง ซึ่งโดยแท้จริงแล้วตามประเพณีอันยาวนานมองว่าการดูแลนั้นมีลักษระชัดเจนเป็นแบบแผนตามธรรมชาติของภาระผูกพัน ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์ที่มีให้เห็นถึงระดับขนาดและขอบเขตของความสัมพันธ์ในครอบครัว ดังนั้น ความแตกต่างในการดูแลอย่างใกล้ชิดกับการดูแลตามหลักมนุษยธรรม จึงเป็นสิ่งตอกย้ำถึงความแตกต่างที่เก่าแก่กว่านั้นระหว่าง 'การเฝ้าดูแล – caring for' และ 'ความห่วงใย – caring about' ความแตกต่างนี้มีรากฐานตามสมมติฐานที่ว่า ‘คุณค่าในการดูแลเกิดจากความสัมพันธ์กับความเป็นอยู่ของบุคคลที่สามารถมองเห็นและซึมซับได้โดยบุคคลอื่น’ การดูแลเอาใส่ใจ หมายถึง ความอ่อนไหวต่อเฉพาะเจาะจงของความต้องการของผู้อื่น ตามคำจำกัดความนี้ คุณค่าของการดูแลจะลดน้อยลง การขยายขอบเขตการดูแลไปยังผู้อื่นที่ไม่ระบุชัด เรียกสั้นๆ ว่า ‘การดูแลผู้อื่น’ มีความจริงใจมากกว่า 'ความห่วงใยผู้อื่น' ที่ส่วนใหญ่เป็นเพราะการดูแลเอาใจใส่โดยตรง ใกล้ชิด เห็นหน้ากัน เป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาก ดังนั้น 'ความห่วงใย' จึงยอมให้ระยะทางที่ห่างไกลกันเข้ามาแทรกแซงความสัมพันธ์เหล่านี้ ทำให้เกิดความสัมพันธ์ทางอ้อมและเป็นความสัมพันธ์แบบมีตัวกลางแทรก

 

มีบางคนกล่าวว่าการอภิปรายของนักภูมิศาสตร์มีสมมติฐานเดียวกันว่า คุณค่าของการดูแลนั้นมาจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด เป็นความสัมพันธ์ที่แอบอิงกับสถานที่และเป็นภาระผูกพันต่อคนแปลกหน้าที่อยู่ห่างไกล แต่บางคนกลับมองเห็นเป็นความอ่อนไหวทางคุณธรรมที่มีการก่อรูปขึ้นในบริบทที่ผูกพันกับสถานที่ ในทางกลับกันวิชาภูมิศาสตร์ที่มีมีระเบียบวิธีที่สามารถทำความเข้าใจการปฏิบัติตามสถานที่ ซึ่งจะต้องมีการโต้แย้งกันถึงกิจกรรมการดูแลที่จะยืดเยื้อออกไป ความสามารถในการดูแลบุคคลอื่นจากระยะไกลนั้น มีความเป็นไปได้ด้วยการมีความสัมพันธ์ที่แอบอิงกับสถานที่นั้นมีลักษณะเป็นสากล ความท้าทายในมุมมองนี้ คือ การจินตนาการถึงวิธีการขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์ จิตวิทยา และการเมืองของกิจกรรมที่เป็นสากลของมนุษย์ออกไป

 

สิ่งที่มีค่าในการอภิปรายเรื่องการดูแลของวิชาภูมิศาสตร์ คือ การยืนยันถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ของอคติในการจูงใจให้ปฏิบัติตามข้อผูกมัดและความห่วงใยในชีวิตประจำวัน แต่การยืนยันนี้ผูกติดอยู่กับการจัดลำดับความสำคัญของความสัมพันธ์แบบอิงสถานที่ ซึ่งขัดแย้งกับความสัมพันธ์ที่มีระยะทางห่างไกลกัน และมีความแปลกแยกแตกต่างกัน  จากการผสมผสานที่ไม่ง่ายนี้ ทำให้เกิดแนวคิดที่ว่าด้วยการดูแลบุคคลอื่นที่อยู่ห่างไกล ที่เป็นประเด็นปัญหาที่จะต้องพิจารณากันต่อไป

 

แทนที่จะสมมติว่าความห่วงใยเป็นเรื่องรอง ที่สืบเนื่องมาจากชุดความสัมพันธ์ของการเฝ้าดูแลที่ดูว่ามีความจริงใจกว่า เราอาจเริ่มจากการสังเกตว่าการดูแลเอาใจใส่ใดๆ ก็ตาม เพื่อที่จะได้รับการเอาใจใส่ จะต้องมีความเอาใจใส่และสนองตอบต่อความปรารถนาต่างๆ ของผู้อื่น โดยที่ศักยภาพที่จะแสดงความห่วงใยนั้นมาจากการจัดลำดับสิ่งที่ต้องปฏิบัติในการดูแล และการดูแลเหล่านั้นจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งของพวกเขา ตามข้อเสนอแนะนี้กำลังดำเนินการตการเน้นย้ำของฟิเชอร์และตรอนโต (Fisher and Tronto 1990) ที่ว่าด้วยปฏิบัติการดูแล 4 กิจกรรม ซึ่งแต่ละกิจกรรมมีความเกี่ยวข้องกับศักยภาพทางศีลธรรมที่โดดเด่น คือ

 

1.    ความสามารถในการเอาใจใส่ต่อความต้องการของผู้อื่น

2.    ความสามารถในการรับผิดชอบสนองความต้องการในการดูแล

3.    ความสามารถในการให้การดูแลได้อย่างแท้จริง

4.    ความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการอย่างต่อเนื่องของผู้รับการดูแล

 

ปฏิบัติการต่างๆ ใความเกี่ยวข้องกับการดูแลและการบูรณาการที่ซับซ้อนของกิจกรรมทั้งสี่นี้ ในทางกลับกันก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับการประสานงานของกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ และช่วงเวลาที่หลากหลาย หรือสิ่งที่แมกกีและคณะ (McKie et al. 2002) อ้างว่าเป็นภูมิทัศน์การดูแล (caring-scapes) แนวความคิดที่ว่าคุณค่าของการดูแลมีอยู่เฉพาะในความคุ้นเคยอย่างเข้มข้นของความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ถูกจำกัดไว้จะไม่ยั่งยืน เมื่อเราตระหนักถึงระดับที่การปฏิบัติการดูแลใดๆ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติที่เข้ามาแทรก ความสัมพันธ์ของความสามารถแบบมืออาชีพ และโครงสร้างพื้นฐานด้านสถาบันและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ

 

เหนือสิ่งอื่นใด ความแตกต่างระหว่างสี่ด้านของการดูแลเอาใจใส่ของฟิเชอร์และตรอนโตบ่งบอกทราบว่า การดูแลเป็นข้อเรียกร้องแบบก้าวหน้า ที่แสดงออกถึงความต้องการของผู้อื่น โดยจำเป็นต้องให้การดูแลและการตอบสนองต่อผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง ความไม่ลงรอยกันของกิริยาเหล่านี้ บอกให้ทราบถึงแง่มุมที่สำคัญของการมีความสามารถในการดูแลที่เกี่ยวเนื่องกับระดับของความห่างไกล ความเฉยเมย และการแยกตัวออกอย่างไม่ใยดี เหล่านี้คือเงื่อนไขสำหรับการได้ยินและรับรู้ถึงการแสดงออกถึงความต้องการที่มาจากผู้อื่น

 

การพึ่งพาการดูแลในทางปฏิบัติบนความสัมพันธ์ที่น่าสนใจของการตอบสนองเป็นเหตุผลหนึ่งที่ควรได้รับปฏิเสธต่อจินตภาพภูมิศาสตร์ที่เชื่อมโยงคุณค่าที่แท้จริงของการดูแลกับความสัมพันธ์แบบอิงสถานที่ และมองเห็นว่าระยะทางที่มีความห่างไกลเป็นอุปสรรคต่อการดูแล จากความเข้าใจนี้ แนวความคิดที่ว่าความสัมพันธ์ทางศีลธรรมหรือการเมืองในวงกว้างต้องได้รับการพิสูจน์ อันที่จริง มีกรณีเชิงบรรทัดฐานที่เข้มงวดในการต่อต้านการเชื่อมโยงคุณค่าของการดูแลด้วยความสัมพันธ์แบบอิงสถานที่ของความใกล้ชิดและความผูกพัน โอนอรา โอนิลล์ (O'Neill  1996) ชี้ให้เห็นว่ามีแนวโน้มสูงที่จะเห็นคุณธรรมบางอย่าง เช่น ความเอาใจใส่ ความไว้วางใจ หรือความเมตตา ที่ฝังตัวแน่นในความสัมพันธ์บางประเภท – โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพื่อนและคนในครอบครัว เธอชี้ให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ ความสัมพันธ์ยังเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้ายต่างๆ เช่น การละเลย ความไม่ปรานี การหลอกลวง และการทรยศ ข้อสรุปที่เธอได้รับจากการสังเกตนี้มีความเกี่ยวข้องกับการหล่อเลี้ยงภูมิศาสตร์การดูแล (geography of care) ให้มีความสำคัญขึ้นมา

 

หากความสัมพันธ์จำนวนมากที่ให้บริบทที่พึงประสงค์สำหรับคุณธรรมต่างๆ ยังคงเป็นเหตุเป็นผลที่ชัดเจนสำหรับสิ่งเลวร้ายที่อยู่ตรงข้ามกัน บริบทต่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่สามารถประกอบขึ้นจากคุณธรรมเหล่านั้นได้ (Barnett 2005)

 

คำยืนยันนี้ใช้กับบริบทเชิงพื้นที่ที่นักภูมิศาสตร์มักนำเสนอเป็นฉากคุณธรรมที่สำคัญต่างๆ เช่นเดียวกับบริบทเชิงสัมพันธ์ที่โอนีลมีในใจ ผ่านความสัมพันธ์ของการเว้นระยะห่าง การกีดกัน หรือการไม่รับรู้ หรือความสัมพันธ์ของความใกล้ชิดที่เป็นลักษณะที่แสดงให้เห็นของศีลธรรม

 

ภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบ

 

แบบจำลองการดูแลที่แบ่งออกเป็น 4 ระดับของฟิเชอร์และตรอนโต ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงแรงจูงใจของการกระทำในสิ่งที่ดีงาม เช่น การดูแลเอาใจใส่ที่ไม่ได้เป็นเพียงการอ้างอิงตัวตนเชิงเดี่ยวเฉพาะแค่ของตนเองเท่านั้น หากแต่เป็นความเอาใจใส่ที่ฝังตรึงอยู่ในความสัมพันธ์ของความเอาใจใส่และการตอบสนอง การกำหนดขอบเขตของภาระหน้าที่หรือความรับผิดชอบนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาเหตุผลและคำนวณเกี่ยวกับผลที่จะตามมาจากการกระทำของตนเองหรือของส่วนรวม ในทางกลับกัน สิ่งนี้หมายความว่า เป็นแรงจูงใจในทางปฏิบัติของการกระทำที่ไม่น่าจะขึ้นอยู่เพียงแค่กับปฏิบัติการที่เป็นการสาธิตและการพิสูจน์เท่านั้น เนื่องจากมีข้อสันนิษฐานในวงกว้างว่าวิชาภูมิศาสตร์มีบทบาทเกี่ยวกับการศึกษาที่พิเศษในการเปลี่ยนแปลงจินตนาการทางศีลธรรมของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป โดยแสดงให้เห็นว่าการกระทำของพวกเขาเข้าไปพัวพันกับเครือข่ายที่ขยายออกไปทั้งทางพื้นที่และกาลเวลาของผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด

 

รูปแบบของอคติที่ทั้งนักทฤษฎีสตรีนิยมที่สนใจการดูแลและนักทฤษฎีชุมชนนิยม มักฝังลึกเอาไว้ในความคิดและความรู้สึกส่วนตัว ที่กระตุ้นการดูแลคนใกล้ชิดและเป็นที่รักที่สุด ดังที่เราได้เห็นข้างต้นแล้วว่า นักภูมิศาสตร์มีความกังวลเกี่ยวกับการค้นหาเหตุผลในการขยายขอบเขตการดูแลอย่างมีมนุษยธรรมไปสู่คนอื่นๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จักกันมาก่อน ซึ่งเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่อยู่ในพื้นที่หรือดินแดนที่ห่างไกลออกไป ในการโต้แย้งเหล่านี้ มีแนวโน้มที่จะถอยกลับไปใช้ความแตกต่างของลัทธิสากลนิยมที่ดูอ่อนแอมาก เพราะวางอยู่บนหลักการบางอย่างของอัตลักษณ์ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หรือความคล้ายคลึงกัน ที่เป็นพื้นฐานสำหรับการดูแลคนแปลกหน้าที่อยู่ห่างไกลออกไป ตรงนี้นี่เองที่เป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการดูแลบุคคลที่อยู่ห่างไกลที่มีความเชื่อมโยงกับการอภิปรายถึง 'ภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบ' ที่นักภูมิศาสตร์ยืนยันว่า ความจำเป็นในการขยายภาระผูกพันออกไปสู่ระยะทางที่ห่างไกลนั้น เกิดจากความซับซ้อนของความสัมพันธ์เชิงสาเหตุซึ่งเชื่อมโยงผู้คนที่อาศัยอยู่ในสถานที่ต่างๆ ผ่านธุรกรรมในตลาด ห่วงโซ่อุปทาน หรือผลกระทบจากการพลัดถิ่น ความนัยของการเชื่อมโยงเหล่านี้ คือ คำยืนยันว่าพวกเราถูกผูกมัดและขมวดเข้าไปเกี่ยวพันกับชีวิตของผู้คนทุกประเภทที่อาศัยอยู่ในสถานที่ต่างๆ ความน่าดึงดูดใจของแบบจำลองความรับผิดชอบนี้จัดอยู่ในแนวคิดที่ว่า วิชาภูมิศาสตร์มีสถานะอยู่ในตำแหน่งที่ดีมากในการจัดหาทรัพยากรการเรียนรู้ที่จะแสดงให้เห็นแก่ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่มีสิทธิพิเศษว่า พวกเขามีความรับผิดชอบในลักษณะเช่นนี้ด้วย การสังเกตเชิงประจักษ์ของการพึ่งพาอาศัยกันของกิจกรรมที่แตกต่างกันเชิงพื้นที่จะถูกนำเสนอเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการขยายขอบเขตของจริยธรรมทางภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบที่เหมาะสมกับโลกยุคโลกาภิวัตน์ คุณค่าของวิชาภูมิศาสตร์ที่เป็นวิชาความรู้เกี่ยวกับผลลัพธ์ของระยะทาง  (knowledge of distant) ควรถูกนำมาใช้เป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับปฏิบัติการต่างๆ ที่มีความรับผิดชอบ

 

มีตัวอย่างมากมายของกระบวนทัศน์ความรับผิดชอบทางภูมิศาสตร์ โดยจุดอ้างอิงประการหนึ่งคือจินตนาการทางภูมิศาสตร์ของฮาร์วีย์ (Harvey 1990) ซึ่งได้ช่วยสร้างงานทั้งหมดในห่วงโซ่สินค้าโภคภัณฑ์ที่ควรจะเป็น โดยแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างสถานที่ผลิต เครือข่ายการจำหน่าย และกิจกรรม การบริโภคที่จะสามารถเปิดเผยผลกระทบที่แปลกแยกของระบบทุนนิยมสมัยใหม่ได้ ทฤษฎีเครือข่ายผู้ปฏิบัติการ (actor-network theory) ก็เช่นกันที่ได้เข้าร่วมในโครงการประเภทเดียวกัน ข้อสันนิษฐานร่วมกันของบัญชีประเภทนี้คือเคล็ดลับในการจูงใจให้เกิดการปฏิบัติจริงคือการช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงความพัวพันของพวกเขาในเครือข่ายที่ซับซ้อนของการบริการและการสะสมสินค้า ในกระบวนการนี้ ทฤษฎีความคลั่งไคล้สินค้าโภคภัณฑ์ที่เลิกใช้ไปแล้วไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าทางศีลธรรมสำหรับยุคสมัยของเราเท่านั้น แต่ไสยศาสตร์ก็ถูกปรับโครงสร้างพื้นฐานใหม่แล้วเนื่องจากขาดความรู้เชิงประจักษ์ ในทางกลับกัน ความรู้ก็กลายเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการวางกลยุทธ์ต่างๆ ในการเชื่อมต่อใหม่

 

การโต้เถียงแบบนี้จะได้ประโยชน์มากขึ้นก็ต่อเมื่อเราเข้าใจประเด็นสำคัญสองประการ ประการแรก เราต้องสันนิษฐานว่าคนธรรมดาไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันมีส่วนร่วมในกิจกรรมการดูแลเอาใจใส่ทุกรูปแบบที่มีความรับผิดชอบ แต่ว่าพวกเขาติดอยู่ในโลกแห่งจินตนาการที่จำกัดและสนใจอยู่เฉพาะแค่เพียงเรื่องของตัวเอง ประการที่สอง ในทางกลับกัน เราต้องสันนิษฐานว่าจินตนาการที่จำกัดนี้เกิดจากการที่พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกแห่งความสัมพันธ์ที่ปิดบัง/ซึ่งซ่อนจากความสนใจและภาระผูกพันที่แท้จริงของพวกเขา มีศีลธรรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับในการทำงานในการอภิปรายเหล่านี้ ข้อสันนิษฐานก็คือว่าโดยธรรมชาติแล้วผู้คนมักจะประพฤติตามความเห็นแก่ตัวเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เว้นแต่จะได้รับแรงจูงใจจากความรู้และเหตุผลในการทำอย่างอื่น บางทีปัญหาที่นี่อาจมาจากการกำหนดแบบตรึงคำศัพท์เกี่ยวกับความรับผิดชอบเอง การพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับความรับผิดชอบทำให้นึกถึงความคิดที่ว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับการกล่าวโทษและสร้างความรับผิดในทันที 'ความรับผิดชอบ' และ 'ภาระผูกพัน' ฟังดูเหมือนเป็นภาระ เป็นสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนทั้งหลายอาจคาดหวังอย่างสมเหตุสมผลว่า/จะพยายามหลีกเลี่ยงให้ห่างหากสามารถทำได้

 

การติดตามผลตามภูมิศาสตร์รับผิดชอบที่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจของการกระทำนั้น/แทบจะไม่สามารถกำหนดสถานที่หรือขอบเขตความรับผิดชอบทางศีลธรรมหรือทางการเมืองได้ การเรียกร้องเชิงบรรทัดฐานของงานเขียนด้านภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบอยู่ในข้อโต้แย้ง/ว่าเราทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องในชุมชนที่ได้รับผลกระทบที่กว้างขวางทางภูมิศาสตร์/ซึ่งขยายขอบเขตของการเมืองที่มีอาณาเขต/และภาระผูกพันในการเป็นพลเมือง แบบจำลองนี้มีรูปแบบต่างๆ ที่แตกต่างกันในวิชาภูมิศาสตร์ แต่ว่าแต่ละแบบจำลองขึ้นอยู่กับการสร้างวงรอบเชิงสาเหตุบางอย่างระหว่างการกระทำและผลที่ตามมา ความเชื่อมโยงอาจเป็นเพียงการยืนยันถึงความรับผิดชอบเชิงสาเหตุ เช่นในการอภิปรายเกี่ยวกับการบริโภคที่ยั่งยืน อย่างที่มักเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าผู้คนในฐานะผู้บริโภค ช่วยกันผลิตซ้ำแนวปฏิบัติที่เป็นการจำลองสิ่งแวดล้อมจากการจับจ่ายซื้อสินค้า ในประเด็นอื่นๆ การสาธิตความเชื่อมโยงอย่างใดอย่างหนึ่งอาจถูกเสริมด้วยการอ้างว่าบางคนได้รับประโยชน์จากการอยู่ในเครือข่ายที่กว้างขวางในเชิงพื้นที่ ดังนั้นจึงมีความรับผิดชอบที่ตามมาจากการมอบให้เป็นรางวัลที่ไม่ค่อยเป็นธรรม นอกจากนี้ การสาธิตความเชื่อมโยงมักจะมาพร้อมกับการเรียกร้องความสนใจตนเอง เช่นในกรณีของการรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมหลายๆครั้ง แคมเปญดังกล่าวมักวางตำแหน่งให้ผู้คนต้องมีความรับผิดชอบ/โดยอ้างว่าเป็นผู้มีความเกี่ยวข้องกับระบบการผลิตและการบริโภคที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งในอนาคตสิ่งเหล่านั้นจะคุกคามต่อตนเองหรือบุตรหลาน ทั้งด้านสุขภาพ การดำรงชีวิต หรือแม้กระทั้งความมั่นคงที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นความรับผิดชอบโดยอ้างอิงถึงปฏิบัติการของผู้กระทำเอง ประการที่สอง แม้ในแง่ของตัวเองสมมติฐานที่ว่าเพียงแค่อธิบายสาเหตุอันเป็นความเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบระหว่างการกระทำโดยไม่เจตนา กับผลที่ตามมาที่ไม่ได้ตั้งใจ ก็สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงปฏิบัติการต่างๆแล้วไม่ได้ยืนหยัดยืนยาว

 

การกำหนดว่าการกระทำหลายๆอย่างทำให้เกิดผลลัพธ์ที่อาจไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากการดำเนินการแบบเป็นตัวกลางของผู้กระทำการที่เป็นมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์/ซึ่งจำเป็นสำหรับการกระทำเหล่านี้จึงจะได้ผลสำเร็จ เป็นวิธีที่ดีในการแสดงให้ผู้คนเห็นว่าการกระทำของตนเองทำอย่างแน่นอน ย่อมมีผลกระทบในวงกว้างอย่างแม่นยำเพราะการแสดงนัยของบุคคล เช่น การแสวงหาประโยชน์จากแรงงานในที่ห่างไกลหรือในสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ทำได้แค่เพียงสร้างการพึ่งพาผลที่ตามมาเหล่านี้ในการดำเนินการไกล่เกลี่ยจำนวนมากเหลือเกิน แล้วพูดแรงกระตุ้นของการสาธิตอย่างเคร่งครัดนั้นไม่แน่นอนอย่างเป็นธรรม มันอาจชักชวนบุคคลให้การกระทำของพวกเขามีส่วนทำให้เกิดอันตรายเหล่านั้นขึ้นอีกเล็กน้อย เป็นไปได้พอๆ กันที่บางคนจะสรุปว่าการมีส่วนร่วมของพวกเขาเป็นการไกล่เกลี่ยอย่างมาก ซึ่งไม่เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้มากเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่านั้น แต่สิ่งนี้ไม่นับเป็นความรับผิดชอบในแง่ที่สมเหตุสมผลเลย นี่คือทางตันที่ทฤษฎีใดๆ ที่ก่อให้เกิดความรับผิดชอบหรือภาระผูกพันจากผลที่ตามมาจากการกระทำของนักแสดงเองจะต้องเผชิญ:

 

บุคคลสามารถรับผิดชอบทางศีลธรรมได้เฉพาะในสิ่งที่เขาทำ แต่สิ่งที่เขาทำเป็นผลจากจินตนาการที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเขาไม่ได้ทำ ดังนั้นเขาจึงไม่รับผิดชอบทางศีลธรรมในสิ่งที่เขาเป็นและไม่รับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำ (Nagel 1979, 34)

 

ประเด็นของนาเกล (Nagel 1979) ในที่นี้ที่เป็นคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับความรับผิดชอบบนหลักการแห่งเหตุความรับผิดชอบบนหลักการแห่งเหตุเพียงอย่างเดียว ที่จะทิ้งทุกสิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับแรงจูงใจในการปฏิบัติจริงออกไป เนื่องจากงานเขียน 'ภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบ' จะสันนิษฐานว่าผู้คนมีความรับผิดชอบโดยอาศัยผลที่ตามมาของการกระทำของพวกเขาเอง อันที่จริงแล้วไม่สามารถทำในสิ่งที่อ้างได้ว่าได้ทำนั่นเพื่อสร้างเหตุผลที่น่าสนใจสำหรับทุกคนที่ต้องรับผิดชอบต่อความทุกข์หรือความทุกข์ที่อยู่ห่างไกล

 

ด้วยการสันนิษฐานว่าการแสดงออกเชิงประจักษ์หรือเชิงแนวคิดขอนัยยะเชิงเหตุของความสัมพันธ์ที่ห่างไกลกันสามารถให้เหตุผลและจูงใจให้เกิดการปฏิบัติขึ้นมาได้จริง นักภูมิศาสตร์มักละเลยไม่ให้ความสนใจมากพอกับสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นที่มาของบรรทัดฐานตามที่กอร์สการ์ด (Korsgaard 1996)ได้นำเสนอเอาไว้จากสิ่งนี้ เราอ้างอิงถึงคำถามที่เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดว่า/เพราะเหตุใดจึงจะต้องปฏิบัติตามข้ออ้างอิงเชิงบรรทัดฐาน ทั้งหมดจะดำเนินการให้สอดสัมพันธ์กับบรรทัดฐาน หลักการและค่านิยมได้อย่างไร เพื่อแสดงให้เห็นว่าเหตุใดจึงควรใช้เวลามากขึ้นในการพิจารณาคำถามเหล่านี้ ให้พิจารณาข้อโต้แย้งที่คล้ายคลึงกันของไอริช มาเรียน ยัง (Young 2004) และโอนอรา โอนิลล์ (O'Neill 2000) เกี่ยวกับความยุติธรรมระดับโลก ผู้เขียนทั้งสองเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับภาระผูกพันทางศีลธรรมและการเมืองในวงกว้างตามหลักการทางภูมิศาสตร์ ในแง่ของเนื้อหาสาระทางภูมิศาสตร์นั้น ทั้งคู่สนับสนุนการยืนยันของนักภูมิศาสตร์เกี่ยวกับการยึดถือเอาความรับผิดชอบเหนือเครือข่ายปฏิบัติการที่เป็นโลกาภิวัตน์ อย่างไรก็ตามภายใต้การตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน พวกเขาระดมแง่มุมทางภูมิศาสตร์ของการโต้แย้งโดยสัมพันธ์กับหลักการเชิงบรรทัดฐานที่แตกต่างกันบ้าง เหตุผลในการดำเนินการที่พวกเขาให้ไว้และการสันนิษฐานนั้นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

 

เรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของแรงงานทั่วโลกของยัง (Young 2004) เป็นมากกว่าการบอกเล่าเรื่องภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบที่เรามี/ผ่านการเชื่อมโยงเข้ากับระบบเชิงพื้นที่ที่กว้างขึ้น เป้าหมายของเธอคือเพื่อสร้างหลักการพื้นฐานบางอย่างซึ่งผู้คนสามารถให้เหตุผลเกี่ยวกับการกระทำของพวกเขาได้ คำอธิบายของเธอมุ้งเน้นไปที่คำถามเกี่ยวกับอำนาจและสิทธิพิเศษ/ตลอดจนการเชื่อมโยง และสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างแน่นอน ประเด็นของเราที่นี่/คือ/หลักการเชิงบรรทัดฐานที่ยังชี้นำเอาไว้ กล่าวคือ แนวคิดที่ว่าผู้คนมักจะถูกกระตุ้นโดยข้อกังวลเพื่อหลีกเลี่ยงการผลิตหรือปฏิบัติซ้ำโดยไม่ได้ตั้งใจในสิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อผู้อื่น

 

เราสามารถพบเห็นข้อโต้แย้งที่คล้ายคลึงกันนี้ได้ในงานของโอนิลล์ (O’Neill 2000) และมีข้อโต้แย้งอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นข้อสรุปที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับขอบเขตความรับผิดชอบและภาระผูกพันทางภูมิศาสตร์ที่กว้างออกไป แต่มันตั้งอยู่บนหลักการเชิงบรรทัดฐานที่แตกต่างกัน โอนิลล์แนะนำว่า เราควรจัดวางสถานะทางศีลธรรมของเรากับผู้อื่นที่อยู่ห่างไกลเท่าเทียมกัน/เพราะในกิจกรรมประจำวันของเรานั้น เราเข้าใจและถือว่าสถานะของพวกเขาเป็นตัวแทนทางศีลธรรม ดังนั้นเราจึงต้องมอบความยุติธรรมและจุดยืนทางศีลธรรมให้แก่คนแปลกหน้าที่อยู่ห่างไกลด้วยเฉกเช่นเดียวกับคนที่อยู่ใกล้ชิด

 

หากเราผูกติดอยู่กับความยุติธรรมหรือความกังวลทางศีลธรรมในรูปแบบอื่นที่จะใช้ศักยภาพทั้งหมดที่มีเพื่อปฏิบัติ สร้างประสบการณ์และทนทุกข์แสดงการกระทำต่างๆออกไป เราจะต้องมองคนแปลกหน้าให้เหมือนเป็นคนคุ้นเคย และคนที่อยู่ห่างไกลออกไปให้เหมือนกับว่าเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ๆกับเราด้วยเช่นกัน (O’Neill 2000: 196)

 

จุดสำคัญคือหลักการชี้นำของแรงจูงใจทางศีลธรรมของโอนิลล์ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงอันตรายเช่นเดียวกับคำแนะนำของยัง แทนที่จะเป็นประเด็นสาระแบบโครงสร้างนิยมที่ปรับปรุงตามหลักสากลนิยมของคานต์ ซึ่งผู้ปฏิบัติการทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบจบสวย (ปัญหาไม่ยืดเยื้อคาราคาซัง ไม่มีอะไรให้มองเห็นเป็นปัญหาอีก ส่วนใดส่วนไหนควรอยู่ ควรช่วย ควรพาไป ควรทำลายก็จัดการเสียให้เรียบร้อย) ในตัวของมันเอง

 

จุดที่แตกต่างของโอนิลล์และยังมีสองประการ ประการแรกที่ต้องขอย้ำอีกครั้งว่าทั้งสองคนไม่คิดว่า การสร้างรูปแบบความรับผิดชอบเชิงสาเหตุเชิงภูมิศาสตร์ จะมีพลังจูงใจในตัวของมันเอง นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการอุทธรณ์ในทั้งสองกรณีจึงเกิดขึ้นทั้งในแง่ของผลประโยชน์ส่วนตนและความรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรม เช่นเดียวกับความเชื่อมโยงทางภูมิศาสตร์ ประการที่สอง เน้นเฉพาะเนื้อหาทางภูมิศาสตร์ของประเด็นสำคัญเหล่านี้ บนสมมติฐานที่ว่ามันเป็นความรู้ทางภูมิศาสตร์ที่สามารถและเติมเต็มบทบาทของแรงจูงใจนั้น มีผลที่ซ่อนอยู่ของหลักบรรทัดฐานต่างๆ ที่แสดงบทบาทเหล่านี้อยู่ หลักการดังกล่าวได้แก่ การหลีกเลี่ยงอันตราย การแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หรือการมีเอกราชเป็นของตนเอง สิ่งที่ทั้งยังและโอนิลล์แสดงให้เห็น ก็คือด้วยตัวของมันเอง มีความจริงเพียงข้อเดียวของการผูกสัมพันธ์กับผู้อื่นที่อยู่ห่างไกลไม่ได้เป็นเหตุผลที่น่าสนใจใดๆ ที่สามารถอธิบายหรือกระตุ้นความสัมพันธ์จนทำให้เกิดการดูแล ความกังวล หรือภาระผูกพัน หรือไม่ว่าจะในกรณีใดๆก็ตาม

 

แม้แต่ในกรณีที่สามารถรวบรวมคำยืนยันที่ชัดเจนได้ว่ามีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างปฏิบัติการของเรากับผู้คนและสถานที่ที่อยู่ห่างไกล คำถามเกี่ยวกับแรงจูงใจในทางปฏิบัติจะยุติลงเมื่อประเด็นเรื่องความรับผิดชอบหรือการกล่าวให้ร้ายโดยตรงถูกวางทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับคำกล่าวอ้างประเภทต่างๆที่ว่า ทำไมความเกี่ยวข้องทางภูมิศาสตร์จึงควรนำไปสู่การดำเนินการในทางปฏิบัติทุกประเภท การสร้างความเชื่อมโยงกับปรัชญาทางศีลธรรมและทฤษฎีการเมือง บางทีนักภูมิศาสตร์ควรใช้เวลาอีกเล็กน้อย เพื่อไตร่ตรองสมมติฐานที่เป็นประเด็นสาระทางทฤษฎีต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาเกี่ยวกับแรงจูงใจและอิทธิพลแบบใดที่ผู้คนมีและควรมีความอ่อนไหวต่อสิ่งใด แน่นอนว่าข้อสมมติเหล่านี้สามารถประเมินได้เชิงประจักษ์ แต่ก็อยู่ภายใต้การประเมินเชิงบรรทัดฐานด้วยสิทธิของตนเองด้วย

 

สิ่งที่ทั้งยังและโอนิลล์แสดงให้เห็นก็คือ อย่างน้อยที่สุด เหตุผลที่อาจมีสำหรับการกระทำที่แตกต่างหรือไม่ในแง่ของความรู้เชิงสาเหตุนั้นไม่น่าจะมีเหตุผลของความรู้เพียงอย่างเดียว ประเด็นนี้ทำให้เรากลับมาที่หัวข้อของการเข้าร่วมและตอบสนองต่อผู้อื่น มีการคิดอย่างหนักหน่วงที่จินตนาการว่าความเข้าใจในความรับผิดชอบและภาระผูกพันสามารถมาถึงทางเดียวได้ นอกเหนือจากการพบปะกับผู้อื่น นี่เป็นนิสัยที่สันนิษฐานว่าเป็นไปได้หรือดีกว่าที่จะรับความทุกข์ทรมานของโลก เป็นการเย่อหยิ่งในมุมมองของผู้สังเกตการณ์ที่เป็นกลางโดยไม่ได้ตั้งใจ มีระดับของการแยกตัวโดยนัยโดยการคิดว่าการติดตามผลที่ตามมาและกังวลเกี่ยวกับผลลัพธ์ (ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ) ของการกระทำของคนๆ หนึ่งสามารถหรือควรเป็นเกณฑ์สำหรับการประเมินพฤติกรรมของตนเองในเชิงบรรทัดฐาน ในกรณีของการดูแลและความรับผิดชอบ สิ่งสำคัญในแรงจูงใจของการกระทำมีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมและตอบสนองต่อการแสดงออกและการเรียกร้องของผู้อื่น การยึดติดกับโซ่ตรวนแห่งเวรกรรมจะซ่อนเร้นจากมุมมองว่าการกระทำที่มีความรับผิดชอบและเอาใจใส่นั้นไม่ได้จูงใจไปในการไตร่ตรองภาระหน้าที่ของตนเองเพียงคนเดียว แต่เกิดจากการพบปะกับผู้อื่น

 

ความเอื้ออาทร แรงจูงใจ และการจัดการ

 

นักภูมิศาสตร์มักจะใช้แบบจำลองเฉพาะขององค์กรทางศีลธรรมในการอภิปรายเรื่องการดูแลและความรับผิดชอบซึ่งเป็นแบบจำลองที่แพร่หลายและอาจเป็นรากฐานของความพยายามทางสังคมศาสตร์ทั้งหมดที่มีความสนใจต่อเรื่องนี้ มีการสันนิษฐานว่าองค์กรเป็นพาหะที่ทำให้เกิดการตำหนิ ความอับอาย และความรู้สึกผิด และการอธิบายเชิงสาเหตุนั้นเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการจูงใจให้เกิดการกระทำที่มีความรับผิดชอบ ในทางกลับกัน เป็นการให้ข้อมูลข่าวสารผ่านการสอนต่อๆกันที่สันนิษฐานว่าผู้คนจำเป็นต้องได้รับผลจากการกระทำของตน เพื่อที่จะได้มีแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลง รับผิดชอบ ดูแลโลกรอบตัวให้มากขึ้น การสอนแบบที่ว่านี้ไม่เพียงแต่ดำเนินการตามข้อสันนิษฐานว่าแรงจูงใจดังกล่าวทำงานโดยการติดตามผลของการกระทำที่ตั้งใจมากหรือน้อย ที่น่าเป็นห่วงกว่านั้น คือ ข้อสันนิษฐานที่ว่าผู้คนไม่สนใจอยู่แล้วและไม่ได้ทำหน้าที่อย่างรับผิดชอบอยู่แล้ว การลงทะเบียนที่ตักเตือนของการอภิปรายเรื่องศีลธรรมและการเมืองของภูมิศาสตร์ส่วนใหญ่นั้นสอดคล้องกับอารมณ์ของเวลาอย่างแน่นอน ซึ่งมีข้อสันนิษฐานอย่างกว้างขวางว่าผู้คนมักมีแนวโน้มที่จะเป็นคนเห็นแก่ตัวที่เห็นแก่ตัวสำหรับบางคน (ส่วนใหญ่นิยมลัทธิเสรีนิยมใหม่) คิดว่าลักษณะเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดี และเห็นกันแล้วว่าคนจำนวนมากควรประพฤติเช่นนี้ ในหลายๆ วงกว้างทางการเมือง คิดว่ามีคนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ทำแบบนี้ แต่ว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่ดี เราจึงจำเป็นต้องมีการอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับความเอื้ออาทร เพื่อแนะนำว่าสมมติฐานพื้นฐานเกี่ยวกับความเห็นแก่ตัวและผลประโยชน์ในตนเอง อาจไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการพิจารณาคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติเชิงบรรทัดฐาน และเราอยากจะแนะนำว่า แม้จะมีคุณธรรมแฝงอยู่ก็ตาม แต่ความเอื้ออาทรถือเป็นแนวคิดทางการเมืองเป็นหลัก: ความเอื้ออาทรเป็นรูปแบบของอำนาจที่คล้ายกับการให้อภัยหรือให้สัญญา นั่นคือ เป็นแนวทางปฏิบัติที่ 'ใช้ชีวิตร่วมกันของผู้คน' เป็นประจำอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาและทั่วพื้นที่

 

แซค (Sack 2003) ให้เหตุผลว่าทฤษฎีทางศีลธรรม 'ไม่สามารถบังคับให้เราประพฤติตนได้ดี แต่มันเกลี้ยกล่อมเราด้วยตรรกะและเหตุผลที่มันเปิดเผยวิธีการแสดงที่ดีกว่า' ขณะที่ส่วนแรกของการสังเกตนี้อาจถูกต้อง ขณะที่ส่วนที่สองกลับทำให้เกิดคำถามว่าพลังของการโน้มน้าวใจที่ผู้คนอ่อนไหวนั้น จำกัดอยู่ที่ตรรกะและเหตุผลเพียงอย่างเดียวหรือไม่ ในปฏิบัติการสอน การมีส่วนร่วมของภูมิศาสตร์กับปรัชญาคุณธรรมไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่ที่ตรรกะและเหตุผลเลย เราได้แนะนำไปแล้วว่ามีแบบจำลองเกี่ยวกับแรงจูงใจทางศีลธรรมที่ทำงานในด้านภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งที่เปลี่ยนความคิดที่ว่าผู้คนสามารถถูกย้ายไปดำเนินการตามหลักจริยธรรมได้ด้วยการแสดงให้เห็นเชิงประจักษ์ถึงความหมายของพวกเขาในผลที่ตามมาอันไกลโพ้นด้วยการแสดงความรู้สึกผิด นักภูมิศาสตร์ยังให้ความสำคัญกับการให้เหตุผลในการดูแลมากขึ้นหรือมีความรับผิดชอบมากขึ้น ซึ่งมักจะหมายถึงการขยายการดูแลและความรับผิดชอบในระยะไกล ในปัจจุบัน ความพยายามใดๆ ในการให้เหตุผลในการประพฤติปฏิบัติจริง จำเป็นต้องมีแบบจำลองบางอย่างว่าแรงจูงใจทางจริยธรรมทำงานอย่างไร ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ทฤษฎีจริยธรรมและศีลธรรมที่นักภูมิศาสตร์ได้พัฒนาขึ้นนั้นไม่ได้กล่าวถึงนักวิชาการอื่นๆ เท่านั้น พวกเขาถูกฝังอยู่ในโปรแกรมการสอนที่เผยแพร่ในพื้นที่สาธารณะของการศึกษา วารสาร และแม้แต่ในสื่อยอดนิยม ดังที่นาเกลตั้งข้อสังเกต แนวคิดที่ว่าปัญหาการจูงใจของการปฏิบัติจริงจำเป็นต้องมีหลักการที่เข้มแข็ง โดยที่ผู้คนจะได้รับการเกลี้ยกล่อมอย่างสมเหตุสมผลให้กระทำการสันนิษฐานว่าการพิจารณานี้ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม สามารถเข้าใจได้โดยนักทฤษฎีแล้วจึงสื่อสารผ่าน รูปแบบหรืออื่นๆ ของปฏิบัติการสอน เราแนะนำว่าผู้คนมีแรงจูงใจในทุกวิถีทาง จากสิ่งต่างๆ มากมาย เหตุผลสมมุติใดๆ สำหรับการกระทำทางศีลธรรม 'ต้องอาศัยสมมติฐานเชิงประจักษ์เกี่ยวกับอิทธิพลที่ผู้คนอ่อนไหว' (Nagel 1970) หากสมมติฐานเหล่านี้ไม่เป็นความจริงสำหรับผู้ที่ได้รับการโต้แย้งทางศีลธรรม - เกี่ยวกับผู้ที่ควรจะนำไปใช้ หากไม่เป็นการโน้มน้าวใจโดยตรง - การให้เหตุผลจะ 'ไม่มีความถูกต้องหรือกำลังโน้มน้าวใจ'

 

ดังนั้น คำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นสำหรับเรา ก็คือ 'อิทธิพลจูงใจ' ประเภทใดที่นักภูมิศาสตร์ถือว่าผู้คนอ่อนไหว เราได้แนะนำไปแล้วว่าคำตอบหนึ่งสำหรับเรื่องนี้ คือ มีการลงทุนมากเกินไปในอิทธิพลของความรู้เชิงสาเหตุ แต่อีกคำถามหนึ่งที่เกิดขึ้น ตราบเท่าที่คำตอบแรกนี้ดูเป็นไปได้ เป็นปัญหาที่จูงใจที่นักภูมิศาสตร์กล่าวถึงการดูแลในระยะไกลและภูมิศาสตร์ของความรับผิดชอบมีขึ้นเพื่อแก้ปัญหาอย่างไร สำหรับเราแล้ว ดูเหมือนว่าตลอดช่วงของการอภิปรายที่ทบทวนในสองหัวข้อก่อนหน้านี้มีการสันนิษฐานร่วมกันในวงกว้างว่างานของภูมิศาสตร์ที่มีส่วนร่วมทางศีลธรรมและมุ่งมั่นในเชิงบรรทัดฐาน คือ การเอาชนะแนวโน้มที่ยึดมั่นต่อการกระทำในลักษณะที่ตนเองสนใจและเป็นไปตามขอบเขตของภาระผูกพันที่จำกัดทางภูมิศาสตร์ ความสนใจในตนเองและความเห็นแก่ตัวมักจะสอดคล้องกับจินตนาการทางภูมิศาสตร์ที่จำกัด และถูกตอบโต้กับสินค้าทางศีลธรรม เช่น การเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น ซึ่งสอดคล้องกับขอบเขตทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวางมากขึ้น ตัวอย่างเช่นที่แซคได้ยืนยันว่า 'ความเห็นแก่ผู้อื่นเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการดูแลคนแปลกหน้าที่อยู่ห่างไกล (คนอื่นๆ ที่ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัว และด้วยเหตุนี้จึงไม่มีอะไรจะอ้างสิทธิ์เป็นการส่วนตัว)' (Sack 2003) นอกจากนี้แซคยังอ้างอีกว่าหน้าที่ของภูมิศาสตร์คือการให้ความช่วยเหลือในการให้เหตุผลว่าเหตุใดผู้คนจึงควรให้ความสำคัญกับตนเองน้อยลง และเห็นแก่ผู้อื่นมากขึ้น เหตุใดนักภูมิศาสตร์จึงเข้าใจได้ง่ายว่าผู้คนมักเห็นแก่ตัวโดยธรรมชาติ เหตุใดการเอาใจใส่ มีความรับผิดชอบและการแสดงความห่วงใยต่อคนแปลกหน้า จึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน? และเหตุใดการแสดงด้วยแรงจูงใจที่เห็นแก่ผู้อื่นจึงควรได้รับการพิจารณาว่ามีความขัดแย้งกับความกังวลต่อตนเองโดยสิ้นเชิง

 

แน่นอนว่านี่เป็นคำถามเชิงโวหาร เพื่อที่จะเปลี่ยนความสนใจไปจากสมมติฐานที่ว่าความสนใจในตนเองเป็นอุปนิสัยตามธรรมชาติที่ต้องถูกตอบโต้ และการกระทำทางศีลธรรม เช่น การเห็นแก่ผู้อื่นจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นโดยการให้เหตุผลอันชอบธรรมแบบเหล็กหล่อ เราจึงมุ่งไปที่ประเด็นหลักเกี่ยวกับความเอื้ออาทร (generosity) เราเน้นที่คำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างความสนใจในตนเองและการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น เพราะมันเปิดทางเข้าสู่แก่นเรื่องของความเอื้ออาทรนี้ เป็นความจริงที่รูปแบบการเห็นแก่ผู้อื่นส่วนใหญ่ยังคงมีลักษณะเป็นสิ่งเดียวอย่างแท้จริง พวกเขามักจะให้ความสำคัญกับความเป็นองค์กรทางศีลธรรมอย่างตรงไปตรงมาของผู้ให้ ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นคุณลักษณะเชิงรุกทั้งหมดของอัตวิสัยทางศีลธรรม โดยผู้รับเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุน ซึ่งไม่สามารถทำการโต้ตอบได้ นอกจากนี้ยังมีการลดทอนความถูกต้องของความกังวลเกี่ยวกับเครื่องมือในการจูงใจให้เกิดการกระทำที่เห็นแก่ผู้อื่น ซึ่งแบบจำลองดังกล่าวสันนิษฐานว่าคุณค่าของการกระทำที่เห็นแก่ผู้อื่นสามารถกำหนดได้ทั้งหมด โดยอ้างอิงถึงเจตนาที่อยู่เบื้องหลังโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ของการกระทำดังกล่าว ปัญหาทั้งสองนี้เกิดขึ้นจากการสันนิษฐานว่าการเห็นแก่ผู้อื่นและความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้งนั้นมีความเกี่ยวข้องกันซึ่งมีค่าผลรวมเท่ากับศูนย์ กล่าวคือ การเห็นแก่ผู้อื่นนั้นต้องการสิ่งหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งแรงจูงใจต่างๆ เกี่ยวกับตนเอง แต่เราไม่สามารถอธิบายความประพฤติที่เกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ ได้ หากไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ร่วมกันของการได้มาซึ่งผลประโยชน์ตนเองและการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น เพราะความกังวลที่แท้จริงและความกังวลอันเป็นประโยชน์ สำหรับสิ่งหนึ่งนั้น 'สินค้า' จะมีคุณค่าได้โดยผู้รับหรือผู้รับผลประโยชน์จากการกระทำที่เห็นแก่ผู้อื่น จะต้องนำมาพิจารณาด้วยหลักการความเอื้ออาทร - ซึ่งการกระทำที่เอื้ออาทรทั้งหมดทั้งมวลแล้วหมายถึงการเพิ่มความสามารถและความสามารถของพวกเขา:

 

เราไม่สามารถจินตนาการถึงโลกที่ทุกคนมีแรงจูงใจให้เห็นแก่คนอื่นได้เพียงอย่างเดียว เป้าหมายของผู้เห็นแก่คนอื่น คือ การให้โอกาสแก่คนอื่นเพื่อความสุขของเขา - ความสุขจากการอ่านหนังสือหรือดื่มไวน์หนึ่งขวดที่ได้รับเป็นของขวัญ ไม่ใช่สิ่งที่เราจะพึงพอใจเป็นลำดับแรก ไม่มีใครมีแรงจูงใจที่สูงกว่าความเห็นแก่ตัวเองจนต้องไปเห็นแก่ผู้อื่นได้เช่นกัน (Elster 1989, 53-4)  

 

ปรากฎว่าการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นนั้นจะมีความสมเหตุสมผลก็ต่อเมื่อเกิดความคิดว่าคนอื่นซึ่งเป็นเป้าหมายของความเอื้ออาทรได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากการมีความสุขที่ได้เพิ่มความสามารถของตนเอง หากการพิจารณาที่เน้นผลลัพธ์และมีประโยชน์นี้ลดน้อยลง การกระทำที่เห็นแก่ผู้อื่น เช่น การให้การดูแล ให้ความรู้ หรือมอบวัตถุสิ่งของให้โดยไม่สนใจตัวเองแล้วนั่นจะกลายเป็นการปฏิเสธตนเอง มันคงเป็นมากกว่าการกระทำเพื่อเพิ่มความชอบธรรมทางศีลธรรมของวิชาความเอื้ออาทร

 

ดังนั้น แทนที่จะคิดว่าการเห็นแก่ผู้อื่นและความเห็นแก่ตัวเป็นการต่อต้านความเห็นแก่ตัว เราอาจคิดแทนการอยู่ร่วมกันของมุมมองที่แตกต่างกันสองมุมมองที่รวมกันเป็นอัตภาวะตามหลักจริยธรรม คือ มุมมองส่วนบุคคลบนอัตภาวิวิสัย ซึ่งบุคคลทำหน้าที่เป็นตัวเรา และมุมมองที่ไม่มีตัวตน ซึ่งผู้ดำเนินการพยายามที่จะรับตำแหน่งที่เป็นกลางเกี่ยวกับสถานะของกิจการ เราได้เรียนรู้ที่จะสงสัยอย่างถูกต้องเกี่ยวกับรายละเอียดทั้งหลายที่เป็นนามธรรมและเป็นนามธรรม และตระหนักถึงความถูกต้องของความรัก ความกังวล และเป้าหมายที่ผู้คนได้รับจากมุมมองส่วนตัวบางส่วน แต่เราไม่ควรคิดว่ามุมมองทั้งสองนี้ตรงข้ามกัน หรือคิดว่ามิติส่วนตัวของทัศนคติทางจริยธรรมที่เป็นอัตนัยนั้นไม่เป็นมิตรต่อเหตุผลอย่างเด็ดขาด ความเป็นไปได้ของคุณธรรมที่ไม่มีตัวตน เช่น ความรอบคอบและการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถในการมองตนเองว่าคงอยู่ตามกาลเวลา (ความรอบคอบ) และการตระหนักถึงความเป็นจริงของบุคคลอื่น (ความเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น) แม้ว่าการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นจะขึ้นอยู่กับ การรับรู้ถึงบุคคลอื่นอย่างเต็มที่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการมีแนวคิดเกี่ยวกับตนเองว่าเราเป็นแค่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น มุมมองที่ไม่มีตัวตนนี้มีความสำคัญต่อรูปแบบการตอบสนองของการปฏิบัติจริง เนื่องจากเป็นเงื่อนไขสำหรับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับความต้องการที่ยืนกรานของเหตุผลเชิงปฏิบัติ นั่นคือ การกระทำโดยคาดหวังว่าจะต้องให้คำอธิบายหรือข้อเสนอที่เข้าใจได้ เหตุผลเชิงบรรทัดฐานสำหรับความประพฤติของตนต่อหน้าผู้อื่น สมมุติว่าการกระทำทางศีลธรรมตามแต่มุมมองส่วนตัวของตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นการถือว่าตนเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความเมตตา ทำหน้าที่แจกจ่ายผลประโยชน์เช่นว่านั้น ที่สามารถควบคุมให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ นับไม่ถ้วน ซึ่งตนอาจมีความสัมพันธ์ต่างกันหรือไม่มีเลย ในทางกลับกัน การปฏิบัติที่ตอบสนองและเอาใจใส่ จึงต้องอาศัยความสามารถในการมองตนเองไปพร้อมๆ กันในฐานะที่เป็นตัวเราและฐานะที่เป็นใครบางคน ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ ต่อมาเป็นมุมมอง 'วัตถุประสงค์' ซึ่งอย่างหลังนี้เป็นเงื่อนไขของการปลูกฝังมุมมองของตนเองในฐานะสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในโลกที่กว้างใหญ่ (Nagel 1979) เป็นทัศนะที่สันนิษฐานและต้องการให้บุคคลถูกเรียกร้องให้เสนอเหตุผลระหว่างบุคคลสำหรับการกระทำและมุมมองของคนๆ หนึ่ง ในมุมมองนี้ หลักการกลายเป็นสิ่งสำคัญไม่ใช่ในการดำเนินการพื้นฐานล่วงหน้า แต่ในบริบทที่คุณสมบัติจำกัดที่จำเป็นของการกระทำใดๆ ที่กระตุ้นโอกาสที่จะให้เหตุผลและยืนยันความถูกต้องเหมาะสม

 

รายละเอียดที่คลาสสิกของนาเกลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นบ่งชี้ว่า ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับศีลธรรม จริยธรรม และสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ไม่จำเป็นต้องละทิ้งขอบเขตของการยืนยันที่สมเหตุสมผลเพื่อสนับสนุนการตักเตือนทางศีลธรรม อย่างไรก็ตาม พวกเขาจำเป็นต้องพิจารณาแนวคิดเกี่ยวกับการเจียมเนื้อเจียมตัวของตนเองให้มากขึ้น แหล่งหนึ่งสำหรับการพัฒนาแนวคิดดังกล่าวคืองานเขียนชิ้นล่าสุดเกี่ยวกับความเอื้ออาทร ที่ระหว่างการคิดถึงความสัมพันธ์ของความเอื้ออาทรแสดงให้เห็นตำแหน่งที่แตกต่างกันของผลประโยชน์ส่วนตนกับคุณธรรมอื่นๆ เกี่ยวกับความเห็นแก่ตัวและการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นและยังชี้ไปที่วาระการปฏิบัติที่มากขึ้นสำหรับการคิดผ่านประเด็นเชิงบรรทัดฐานที่เกิดขึ้นในการเปลี่ยนทางศีลธรรมของภูมิศาสตร์ ประเด็นของการให้ การให้ของกำนัล และความเอื้ออาทร มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในระดับปรัชญาทางศีลธรรมกระแสหลักและทฤษฎีทางสังคม เช่นเดียวกับการโต้วาทีที่ผันแปรโดยปรัชญาคอนติเนนตัลหลังรากฐาน งานช่วงนี้แนะนำการทบทวนคำถามเชิงบรรทัดฐานที่อาจหลีกเลี่ยงความเข้มงวดและการกำหนดของสาระสำคัญเหล่านั้นที่การให้เหตุผลอย่างมากสำหรับภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบในรูปแบบต่างๆ

 

ทฤษฎีการให้ของขวัญมักจะถูกนำเสนอเป็นทางเลือกแทนการคำนวณเชิงเศรษฐศาสตร์ของการแลกเปลี่ยนและสัญญา ความเข้าใจนี้ได้มาจากสาขาวิชามนุษย์วิทยาโดยที่ของกำนัลได้รับการสร้างขึ้นตามแนวคิดในรูปแบบของปฏิสัมพันธ์ที่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของค่านิยมของการตอบแทนซึ่งกันและกัน ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปได้ของสังคมและชุมชน ซึ่งมาอูส (Mauss 2002) ได้เคยกล่าวถึงความสัมพันธ์การให้ของขวัญที่เข้าใจกันถึงจุดของห่วงโซ่เความสัมพันธ์ ซึ่งการนำเสนอของกำนัลทำให้ผู้รับต้องเสนอของขวัญเป็นการตอบแทน ด้วยเหตุนี้ การกำหนดการเคลื่อนไหวชั่วคราวที่จะก่อเกิดวัฏจักรที่ยั่งยืน ในวิชามานุษยวิทยา คุณค่าของความสัมพันธ์ระหว่างของขวัญ เกิดมาจากสมมติฐานที่ว่า ความสัมพันธ์ของการแลกเปลี่ยนหรือสัญญาสินค้าโภคภัณฑ์นั้น มีความเห็นแก่ตัวและเป็นตัวของตัวเอง ในขณะที่ของกำนัลนั้นมีความสัมพันธ์แก่กันและกันและมีความเห็นแก่ผู้อื่นเป็นสำคัญด้วยวิธีนี้ เรื่องราวทางมนุษย์วิทยาของของขวัญ จึงมักจะถูกยึดถือเอาไว้เพื่อตอบโต้ข้อโต้แย้งที่ดูเหมือนเป็นเจ้าโลกของทฤษฎีสมัยใหม่เกี่ยวกับการเลือกอย่างมีเหตุผล

 

ทฤษฎีของของกำนัลสามารถเสนอทางเลือกให้กับพวกเห็นแก่ตัวที่อธิบายได้ด้วยแบบจำลองปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่สนใจประโยชน์ส่วนตน (self-interested models of social interaction) เท่านั้น โดยการฝังความเป็นสังคมไว้อย่างแน่นแฟ้นยิ่งภายในวงกลมของความสัมพันธ์ที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วหนังสือ Essai sur le don ของมาอูส (Mauss 1992) ของเดอริดาทำให้เกิดคำถามถึงข้อสมมติที่ว่าความสัมพันธ์การให้ของขวัญนำเสนอแบบจำลองการดำเนินการทางศีลธรรมที่พึงประสงค์ได้อย่างไร เขาแสดงให้เห็นระดับที่ความสัมพันธ์ของการให้และรับของขวัญที่คำนวณได้นั้นเหมือนกันกับระดับปกติที่สงวนไว้สำหรับการแลกเปลี่ยนและสร้างพันธะสัญญาต่อกัน การสาธิตของเดอริดานั้นเรียบง่ายและเด่นชัดเพียงพอ โดยเริ่มจากตำแหน่งที่สืบทอดมาจากมาอูสและคนอื่นๆ ซึ่งการให้ของขวัญนั้นตรงกันข้ามกับการแลกเปลี่ยน เขาแสดงให้เห็นว่าทันทีที่ได้รับของขวัญอย่างรู้เท่าทันว่านั้นเป็นของขวัญ ส่วนเรื่องของความเอื้ออาทรมักจะถูกคาดหวังไว้เสมอ ผลตอบแทนที่ได้รับเครดิตจากของบางอย่างแล้วถ้าหากเป็นเพียงแค่เครดิตของความเอื้ออาทร ความสัมพันธ์ระหว่างการให้และการรับของขวัญนี้จะถูกจารึกไว้ในวงจรการแลกเปลี่ยนกันและกัน ซึ่งควรจะแยกออกไป เนื้อหา 'จริยธรรม' ที่เห็นได้ชัดของการกระทำที่เอื้อเฟื้อจึงถูกยกเลิกในช่วงเวลาที่เกิดปฏิกิริยาเหล่านั้นขึ้น

 

การแยกโครงสร้างของวาทกรรมทางมานุษยวิทยาคลาสสิกของพื้นฐานความเอื้ออาทรนั้นเกิดขึ้นจากความกังวลที่จะเปิดเผยระดับที่ประเภทของการให้เหตุผลทางศีลธรรมที่เป็นแบบอย่างของทฤษฎีของขวัญนั้นขึ้นอยู่กับแนวคิดเรื่องทรัพย์สิน – ของการครอบงำโดยหลักอธิปไตยของตนเอง และสิ่งของอื่นๆ นี่คือ 'จิตไร้สำนึกทางการเมือง' ของทฤษฎีของขวัญ การจัดโครงสร้างแบ่งเบาภาระหน้าที่ทางศีลธรรมผ่านการแสดงท่าทางของการยึดทรัพย์ แสดงให้เห็นว่าความเอื้ออาทรไม่ได้มีความตรงไปตรงมาในของประทานของวัตถุอย่างที่ควรจะเป็น ประเด็นของการสาธิตนี้ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์ทางสังคมทั้งหมดเป็นพื้นฐานความสนใจในตนเอง เป็นการดีกว่าที่จะตั้งคำถามถึงสมมติฐานที่ว่าความสัมพันธ์เพียงอย่างเดียวจำเป็นต้องตั้งอยู่บนหลักการของการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันแบบสมมาตร ซึ่งเป็นข้อสันนิษฐานที่สนับสนุนรูปแบบทางเดียวของการให้เหตุผลทางศีลธรรมซึ่งผู้เข้าร่วมต้องถูกบังคับโดยอ้างอิงถึงการกระทำโดยสมัครใจของพวกเขาเอง ประเด็นของเดอริดาเป็นเพียงว่าความสัมพันธ์ของของขวัญที่บริสุทธิ์นั้นไม่มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติหรือในหลักการ ดังนั้นจึงควรหยุดสมมติว่าควรใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานของการตัดสินที่สำคัญหรือการประเมินเชิงบรรทัดฐาน

 

ควรเน้นย้ำว่าการแตกโครงสร้างของขวัญของเดอริดานั้นเป็นเป้าหมายของการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ ไม่ใช่ฉากของการไม่รับรู้ การไม่แลกเปลี่ยน หรือการกีดกัน เป้าหมายของมันคือฉากที่เป็นแบบอย่างของการรับรู้ซึ่งกันและกันระหว่างอัตวิสัย ซึ่งอาจควรจะเป็นการแสดงความสัมพันธ์เชิงจริยธรรมที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ระหว่างตนเองกับผู้อื่น ความสงสัยอย่างแรงกล้าเกี่ยวกับศีลธรรมของการตอบแทนซึ่งกันและกันนี้ สะท้อนถึงจริยธรรมทางปรากฏการณ์วิทยาของเอ็มมานูเอล เลวินาส (Barnett 2005) ไอริช มาเรียน ยัง (Young 1997) ที่วางทาบอยู่บนแนวความคิดของเดอร์ริดา เลวินาส และอิริการี ที่ได้พัฒนาแนวคิดที่ว่าความสัมพันธ์ทางจริยธรรมมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันแบบอสมมาตร สำหรับคนรุ่นใหม่ ที่ห่างไกลจากการกระทำตามหลักจริยธรรมในตรรกะของการมีภาระผูกพันซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ที่หลีกหนีจากตรรกะของสัญญาและการแลกเปลี่ยนร่วมกันนั้นอาจเหลือบเห็นโหมดของความสัมพันธ์ที่หลุดพ้นจากวัฏจักรและการครอบงำของภาระผูกพันในตนเอง ข้อเสนอนี้ถือเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งในการกำหนดกรอบคำถามเกี่ยวกับความมุ่งมั่น ซึ่งไม่ถือว่าภาระผูกพันนั้นต้องมาจากการสร้างความสัมพันธ์ของการติดค้างชำระระหว่างประเด็นทางศีลธรรมที่ดำเนินอยู่กับเป้าหมายที่ไม่เกี่ยวข้องของความกังวล ตรงกันข้าม มันชี้ให้เห็นว่าการประพฤติตามจริยธรรมเป็นตัวอย่างได้ดีที่สุดจากการปฏิบัติที่เสียสละ การอุทิศตน และความรัก เป็นการปฏิบัติที่อาจเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน

 

เราสามารถหาข้อโต้แย้งที่คล้ายคลึงกันในแนวความคิดอื่นๆ แนวคิดที่ว่าการกระทำที่ไม่เห็นแก่ตัวล้วนเป็นไปได้หรือดีกว่านั้น ตัวอย่างเช่น ถูกถามโดยจอน เอลสเตอร์ (Elster 1989) ในเรื่องราวของเขาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการเห็นแก่ตัวและเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน (self-interested models of social interaction):

 

พฤติกรรมที่ไม่เห็นแก่ตัวที่แท้จริงถูกแสดงออกด้วยการบริจาคแบบที่ไม่เปิดเผยตัวตนเพื่อการกุศลที่ไม่เลือกปฏิบัติ […] ซึ่งเป็นเพียงเฉพาะของกำนัลจากคนที่ไม่เคยรู้จักไปยังคนที่ไม่รู้จักเท่านั้น ที่ไม่ถือความเห็นแก่ตัวอย่างชัดแจ้ง (Elster 1989, 55)

 

เหตุผลที่ว่านี้มีความสัมพันธ์ที่น่าสนใจบางอย่างกับข้อโต้แย้งของเดอริดาว่า มีเพียงการกระทำที่ไม่ยอมรับผลตอบแทนใดๆ ที่ไม่อาจให้อย่างรู้เท่าทันว่าเป็นของขวัญเท่านั้นที่สามารถสอดคล้องกับข้อกำหนดของของกำนัลบริสุทธิ์: ของขวัญบริสุทธิ์ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นของขวัญโดย กลุ่มคนอื่น ประเด็นของเอลสเตอร์ทำให้การแยกแยะของขวัญเป็นมุมมองใหม่ เขาตั้งข้อสังเกตว่าการให้ของขวัญซึ่งเป็นแบบอย่างของความประพฤติที่เห็นแก่ผู้อื่น สามารถให้บริการผลประโยชน์ของผู้บริจาคได้ง่ายเกินไป ดูเหมือนว่าความเอื้ออาทรอาจเป็นวิธีการทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมและการพึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป

 

นี่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเกี่ยวกับความเอื้ออาทรทางร่างกายของโรสาลินด์ ดิปโรส (Diprose 2002) เธอตั้งข้อสังเกตว่าหลายเรื่องราวเกี่ยวกับความเอื้ออาทรนั้น ถือได้ว่าเป็นการแบ่งแยกระหว่างกลุ่มอาสาสมัครที่มีสิ่งของที่จะให้ และกลุ่มอาสาสมัครที่มอบของขวัญให้ ความเอื้ออาทรสามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนจากแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวเพื่อให้เห็นว่าเป็นคนดีและด้วยเหตุนี้จึงอาจนำไปสู่การทำซ้ำเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันในการครอบครองสิ่งต่างๆ ดิปโรสจึงให้ความสนใจต่อขอบเขตความคิดเกี่ยวกับความเอื้ออาทรในฐานะปัจเจกบุคคล ซึ่งคุณธรรมความเห็นแก่ผู้อื่นที่คอยกระตุ้นให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองนั้น ยังคงสันนิษฐานว่าความเอื้ออาทรเป็นคุณธรรมที่สืบทอดทั้งหมดในการใช้อำนาจอธิปไตยเหนือการกระทำของตนเอง

 

ความสำคัญของการยืนยันแบบนี้คือการชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจทางเลือกของความสัมพันธ์ของความเอื้ออาทร สิ่งที่ตามมาจากประเด็นสาระของยังเกี่ยวกับจริยธรรมของการตอบแทนซึ่งกันและกันที่ไม่สมดุล (ethics of asymmetrical reciprocity) คือ ความเอื้ออาทรที่ถูกฝังไว้อย่างถูกต้องในความสัมพันธ์ของการตอบสนองและความเอาใจใส่ต่อผู้อื่น ในทำนองเดียวกัน ดิปโรสแสดงความเอื้ออาทรต่อการจัดการที่เป็นการเปิดกว้าง อันเป็นรูปแบบหนึ่งของความสัมพันธ์ที่ถือว่าตนเองเป็นผู้ก่อผลกระทบและได้รับผลกระทบจากผู้อื่น เมื่อความเอื้ออาทรถูกแยกออกจากการเปิดรับความต้องการของผู้อื่น (นั่นคือเมื่อสันนิษฐานว่าความเอื้ออาทรเป็นภาระหน้าที่ที่มาจากการเผชิญหน้ากับหน่วยงานของผู้รับเรื่องที่ได้รับ) มันก็จะก่อการคุกคามทำให้เกิดอันตรายซ้ำ:

 

ตราบใดที่ใช้ความเอื้ออาทรอย่างไม่เข้าใจตัวเองเพื่อเป็นรากฐานในการเผชิญหน้าอย่างเปิดใจกับบุคคลที่เป็นคนอื่น มันจะแพร่ขยายความมืดบอด การโจรกรรม และลัทธิจักรวรรดินิยมออกไป แม้จะพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม (Coles 1997, 3)

 

แนวคิดเรื่องความเอื้ออาทรที่เปิดกว้างมีขึ้นเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับการคิดเกี่ยวกับจริยธรรมของโคลส์ เป็นที่น่าสังเกตว่าความสัมพันธ์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับระดับของความนิ่งเฉยและการแจกจ่ายวิชาภูมิศาสตร์ทางศีลธรรมในจินตนาการของความสัมพันธ์ระหว่างความใกล้ชิดกับระยะทาง ทำให้ความเอื้ออาทรถูกหล่อหลอมใหม่เป็นวิสัยที่ดำรงอยู่ในปฏิบัติการและเป็นการร่วมมือและโต้ตอบคนอื่น

 

ทั้งสามคน คือ ยัง โคลส์ และดิปโรส ต่างชี้ให้เห็นถึงบรรทัดฐานของความเอื้ออาทรไม่ใช่เป็นอุดมคติเชิงระเบียบ แต่เป็นการฝึกฝนที่เป็นส่วนประกอบของสังคม ชุมชน และการอยู่ร่วมกัน ซึ่งในแง่นี้พวกเขาคิดว่าความเอื้ออาทรถือเป็นรูปแบบหนึ่งของอำนาจ ซึ่งด้วยวิธีการนี้จึงเป็นแนวปฏิบัติการที่ผู้คนสามารถทำร่วมกันเพื่อรักษาความสัมพันธ์ทั้งเวลาและพื้นที่ ความสัมพันธ์ที่บังคับใช้หลักการเชิงบรรทัดฐานนั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบความเห็นแก่ตัวที่ไม่ใช่อธิปไตย นอกจากนี้พวกเขายังกล่าวถึงการเสนอว่าความเอื้ออาทรไม่ใช่แนวคิด 'คุณธรรม' เลย ตราบเท่าที่สิ่งนี้มีขึ้นเพื่อบ่งบอกถึงอุดมคติเชิงระเบียบบางประเภทซึ่งไม่สามารถตัดสินและประเมินความเป็นจริงของการปฏิบัติได้จากตำแหน่งของผู้สังเกตการณ์ที่เป็นกลาง ตามคำจำกัดความ ความเอื้ออาทรคือคุณธรรมบางส่วนที่ไม่สามารถทำให้เป็นสากลได้ เนื่องจากไม่ได้ถูกจัดวางไว้ในการบอกกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมกับคนอื่น ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นสื่อกลางหรือไม่ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าการปฏิบัติด้วยความเอื้ออาทรใดๆ ก็ตามต้องมีความเห็นแก่ตัวมากกว่ามีความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น เช่นเดียวกับคุณธรรมบางส่วนอื่นๆ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ การระงับความเอื้ออาทรถูกฝังอยู่ในโครงสร้างในการแสดงความใจกว้าง ซึ่งความเป็นไปได้ของความเอื้ออาทรนั้นขึ้นอยู่กับความเอื้ออาทรที่บริสุทธิ์เป็นไปได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือความเอื้ออาทรเป็นคุณธรรมบางส่วนที่มีขอบเขตจำกัด เพราะเป็นการปฏิบัติกับบุคคลจึงเป็นธรรมดาหากในชีวิตประจำวันที่นั้นจะดำเนินการร่วมกับคนอื่นๆ

 

เราได้โต้เถียงกันว่าการมีส่วนร่วมของรายวิชาภูมิศาสตร์กับปรัชญาทางศีลธรรมนั้นเป็นไปในทางที่ผิด ตราบใดที่พวกเขาตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ผิดพลาดเกี่ยวกับอิทธิพลประเภทต่างๆ ที่ผู้คนจะต้องปฏิบัติตาม (สิ่งหนึ่งที่ให้สิทธิพิเศษคือความรู้เชิงสาเหตุเป็นแรงกระตุ้นหลัก) และด้วย สมมติฐานที่มีข้อบกพร่องเกี่ยวกับปัญหาประเภทต่างๆ ที่การให้เหตุผลทางวิชาการเกี่ยวกับประเด็นเชิงบรรทัดฐานมีไว้เพื่อแก้ไข (สมมติฐานที่ว่าผู้คนเห็นแก่ตัวเกินไปและไม่เห็นแก่ตัวเพียงพอ) ในทางตรงกันข้าม เราได้แนะนำว่าการกระทำอื่นๆ เป็นเรื่องปกติและทุกวัน และการกระทำที่เป็นผลสืบเนื่องที่จูงใจให้ผู้คนเปลี่ยนความประพฤติไม่ได้เป็นเพียงการกระทำที่เกิดจากตนเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแสดงของนักแสดงคนอื่นๆ ที่เรียกร้องเชิงบรรทัดฐานจากพวกเขาให้สังเกต มีส่วนร่วม และตอบสนองต่อความต้องการของพวกเขาด้วย เหตุผลของเราในการพัฒนาข้อโต้แย้งนี้ไม่ใช่เพื่อนำเสนอความเอื้ออาทรให้เป็นกระบวนทัศน์ของความประพฤติส่วนตัว คุณธรรม หรือจริยธรรมที่สามารถหรือควรเสริมการเมืองในทางใดทางหนึ่ง ปัญหาเชิงบรรทัดฐานของแรงจูงใจที่กล่าวถึงในปรัชญาคุณธรรมนั้นแทบจะไม่จำกัดอยู่ที่จริยธรรมหรือศีลธรรมเพียงอย่างเดียว ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาเร่งด่วนในการกำหนดแนวคิดของการดำเนินการทางการเมืองและความหมายของความยุติธรรม อย่างไรก็ตาม เราคิดว่าเกี่ยวกับการโต้วาทีเกี่ยวกับการเมืองและศีลธรรม ความยุติธรรมและจริยธรรม นักภูมิศาสตร์พร้อมที่จะใช้รูปแบบการให้เหตุผลเชิงเดี่ยวมากเกินไป ซึ่งถือว่าเป็นกุญแจสำคัญในการมีแรงจูงใจให้ดำเนินการให้เหตุผลและให้ความรู้ที่อธิบายได้ แทนที่จะเน้นที่รูปแบบการกระทำ เช่น ความเอื้ออาทรมีการเสนอการดำเนินการที่แตกต่าง ซึ่งกระตุ้นการสำรวจมากยิ่งขึ้น: ในการพิจารณาว่าโอกาสในการจัดการกับความต้องการเชิงบรรทัดฐานในการลงทะเบียนหลายๆสิ่งได้รับการจัดระเบียบและเปลี่ยนแปลง มีการโต้ตอบและยังเปิดกว้างต่อผู้อื่น และโอกาสในการโต้ตอบต่ออุปนิสัยเหล่านี้จึงมีการจัดระเบียบ

 

ภูมิศาสตร์ความเอื้ออาทร

 

เอกสารทั้งหมดที่ทบทวนมาในฉบับนี้ทำให้เกิดการอภิปรายเกี่ยวกับการดูแลบุคคลอื่นที่อยู่ห่างไกลและภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบที่ได้กล่าวถึงพูดคุยแล้วก่อนหน้านี้ โดยแต่ละรายการยังได้พัฒนาการวิเคราะห์แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับความเอื้ออาทรที่แนะนำข้อจำกัดของกระบวนทัศน์ทั้งสองนี้ พวกเขามุ่งเน้นไปที่แง่มุมต่างๆ ของความเอื้ออาทร บ่อยครั้งมีการอ้างอิงเฉพาะเกี่ยวกับวิธีการที่รูปแบบใหม่ของความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ได้รับการประกอบขึ้นผ่านแนวปฏิบัติที่เป็นสื่อกลางของความเอื้ออาทร โดยสังเกตจากประสบการณ์ แต่ละคนมุ่งเน้นไปที่ภูมิศาสตร์ผ่านความเอื้ออาทร ซึ่งรวมถึงการบริจาคเงิน การทำงานแบบอาสาสมัคร หรือการใช้เวลาในการดูแลผู้อื่น ทั้งนี้ในทางทฤษฎีแล้ว สารัตถะของบทนี้ใช้มุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการให้และการรับ การให้การดูแล และการรับการดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำเอาความท้าทายเดียวกับการคิดที่ก้าวข้ามทวิลักษณ์ของการให้อย่างเต็มใจและการรอรับอย่างเดียว โดยการคิดผ่านทั้งรูปแบบของการตอบสนองและการเปิดกว้าง ที่กระตุ้นพฤติกรรมความเอื้อเฟื้อ รวมถึงรูปแบบขององค์กรที่กระตุ้นการตอบสนองดังกล่าว เอกสารทั้งหมดจึงใช้ภูมิศาสตร์เกี่ยวกับแนวปฏิบัติใจกว้าง ที่ไม่ว่าจะหมายถึงสถานที่ที่มีการให้ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หรือวัตถุของมนุษย์และธรรมชาติของความเอื้ออาทร เพื่อตรวจสอบแรงจูงใจที่หลากหลายและซับซ้อนของปฏิบัติการที่มีน้ำใจและเอื้ออาทร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตัดกับโครงการที่กว้างขึ้นของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม

 

มาร์ติน บัตเทิล (Buttle 2007) หันความสนใจไปที่แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับความเอื้ออาทรที่เปิดใช้งาน วางกรอบและส่งเสริมผ่านโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรที่แตกต่างกัน โดยเริ่มจากสมมติฐานที่ว่าผู้คนมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในรูปแบบต่างๆ มากมาย เอกสารของบัตเทิลเน้นที่การมีส่วนร่วมของผู้คนกับคลังทางจริยธรรม ผู้คนได้พิจารณาตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว เพื่อที่จะส่งผ่านความต้องการทั้งหลายไปยังคลังต่างๆ ที่ดำเนินการปฏิบัติการทางจริยธรรม ที่รวมถึงการสร้างโปรแกรมเกี่ยวกับงานการกุศลต่างๆ ขึ้นมา ทั้งนี้บัตเทิลตั้งคำถามว่า คลังดังกล่าวสร้างวาทกรรมด้านจริยธรรมขึ้นมาได้อย่างไร และมีวิธีการใดที่จะจัดการลูกค้าให้มาอยู่ในรูปแบบเฉพาะของความกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของผู้อื่น

 

เห็นแล้วว่า ระยะทางที่ห่างไกลออกไป เป็นประเด็นสำคัญในการอภิปรายเชิงปรัชญาคุณธรรมของภูมิศาสตร์ แนวคิดที่ว่าระยะทางเป็นอุปสรรคต่อการตอบสนองความต้องการของผู้อื่นหรือการดูแลเอาใจใส่ ที่ปรากฏอยู่ในเอกสารสองฉบับถัดมา โดยที่พอล โคลก จอน เมย์ และซาราห์ จอห์นสตัน ล้วนแล้วแต่มุ่งเน้นไปที่รูปแบบอื่นๆ ที่คนเร่ร่อนถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นโอกาสให้ผู้คนมีส่วนร่วมในสิ่งที่เรียกว่า 'การเห็นคุณค่าทางศีลธรรม' กระบวนการเชิงโครงสร้างและอำนาจของหน่วยงานที่ได้เห็นการเพิ่มขึ้นของคนเร่ร่อนที่ถูกเก็บและซ่อนไว้ แต่ว่าสิ่งสำคัญ ก็คือ มันทำให้จำนวนคนเร่ร่อนเพิ่มมากขึ้น แนวทางปฏิบัติในการไกล่เกลี่ยที่ช่วยให้ผู้คนในฐานะอาสาสมัคร มีเวลาและพลังงานมากพอที่จะแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปยังคนเร่ร่อนซึ่งไม่ได้อยู่ห่างไกลนัก แต่ให้รู้สึกว่าพวกเขาอยู่ใกล้ชิดกับเราและสามารถมองเห็นได้ ซึ่งฌอน คาร์เตอร์ (Carter 2007) มองว่า เครือข่ายความเอื้ออาทรและการดูแลที่ยืดเยื้อและความห่างไกลของพื้นที่ ได้รับการพัฒนาและดำรงอยู่ท่ามกลางชุมชนคนพลัดถิ่นที่เป็นผู้อพยพชาวโครเอเชียในดินแดนอเมริกาเหนือในช่วงทศวรรษ 1990 กรณีนี้ ระยะทางที่ห่างไกลจากบ้านเกิดในจินตนาการ เป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการพัฒนาเครือข่ายความช่วยเหลือ ซึ่งผสมผสานสิ่งสนับสนุนทางวัตถุ การเมือง และศีลธรรม ที่ไม่ชัดเจนนัก เรียกโดยย่อว่า ‘ภูมิรัฐศาสตร์ความเอื้ออาทร’ (geopolitics of generosity)

 

เอกสารสองฉบับสุดท้ายที่จะกล่าวถึงในที่นี้ มีความท้าทายอย่างชัดเจนถึงเงื่อนไขที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงทางศีลธรรม ของภูมิศาสตร์ ที่ได้รับการกำหนดเป็นแนวความคิดและถูกสร้างขึ้นเป็นสถาบันเอาไว้อย่างชัดเจน เอียน คุก (Cook 2010) และอีกหลายๆ คน ได้พัฒนาวิพากษ์วิจารณ์การสอนวิชาภูมิศาสตร์อย่างต่อเนื่องในระดับโรงเรียนและระดับอุดมศึกษา โดยได้กำหนดรูปแบบการศึกษาทางศีลธรรมบนพื้นฐานของการเชื่อมโยงความรู้ความเข้าใจระหว่างสถาบัน ณ ที่ตรงนี้และที่ตรงนั้น พวกเขาสรุปแนวทางปฏิบัติทางเลือกของการสอนทางอารมณ์ที่เกินเลยออกไปและท้าทายรูปแบบที่กำหนดไว้ของการทำแผนที่ทางปัญญา (model of cognitive mapping) นอกจากนี้ บทความของไนเจล คลาร์ก (Clark 2007) ยังได้ตั้งคำถามถึงขอบเขตที่องค์กรที่ไม่ใช่มนุษย์สามารถเรียกร้องให้มีการตอบสนองกลับถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีน้ำใจ เขาให้เหตุผลว่าการตอบสนองทั่วของคนทั่วที่มีต่อมหันตภัยสึนามิในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ในเดือนธันวาคม 2004 ถูกกระตุ้นโดยคุณสมบัติของมันในฐานะที่เป็นเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่ง ไม่ใช่เพียงแค่การตอบสนองความต้องการของผู้คนที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น ดังนั้น เอกสารทั้งสองฉบับที่กล่าวนี้ กลับมาที่คำยืนยันที่ร่างเอาไว้ข้างต้น ที่ว่า การคิดเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ความเอื้ออาทรช่วยเปิดโลกทัศน์ใหม่ขึ้นมา เพื่อทำให้มีความเข้าใจความสัมพันธ์ที่เปิดกว้าง สามารถตอบสนอง และเอาใจใส่ ต่อปฏิบัติการทางจริยธรรมที่ถูกกกระตุ้นให้ผุดขึ้นมา

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2567

แรงบันดาลใจและศักยภาพการย้ายถิ่น

 

แรงบันดาลใจและศักยภาพการย้ายถิ่น

รองศาสตราจารย์พัฒนา ราชวงศ์ นายกสมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย

 

รายละเอียดในบทนี้เป็นการอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับกรอบความคิดเกี่ยวกับความสามารถกับแรงบันดาลใจ (aspirationscapabilities framework) เพื่อพัฒนาความเข้าใจของเราเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายของมนุษย์ ในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในวงกว้าง เพื่อให้เข้าใจความหมายต่างๆ ได้มากขึ้นเกี่ยวกับองค์กรและโครงสร้างในกระบวนการย้ายถิ่น กรอบแนวคิดนี้กำหนดแนวความคิดของการย้ายถิ่นฐานเป็นหน้าที่ของแรงบันดาลใจและความสามารถในการโยกย้ายภายในโครงสร้างโอกาสทางภูมิศาสตร์ (geographical opportunity structures) ที่มีการรับรู้ ด้วยการแยกความแตกต่างกันระหว่างมิติด้านผลประโยชน์ (means-to-an-end) และคุณค่าที่แท้จริง (directly wellbeing-affecting) ของการเคลื่อนย้ายของมนุษย์ สิ่งนี้ทำให้เกิดวิสัยทัศน์การมองว่าการเคลื่อนย้ายและการอยู่ในที่นั้นต่อ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากแรงเสริมขององค์กรด้านการอพยพย้ายถิ่น และการเคลื่อนย้ายของมนุษย์ถูกกำหนดให้เป็นไปตามความสามารถของผู้คนในการเลือกว่าจะอาศัยอยู่ที่ไหน รวมถึงทางเลือกที่จะอาศัยอยู่ ณ ที่เดิมมากกว่าที่จะเป็นการย้ายหรือย้ายถิ่นฐานเอง จากแนวคิดของเบอร์ลินเกี่ยวกับเสรีภาพเชิงบวกและลบ ที่แสดงให้เห็นสภาพโครงสร้างที่แตกต่างกันอย่างมากภายใต้การย้ายถิ่นที่เกิดขึ้นนั้น บทความนี้จะเสนอแนวคิดว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างมหภาคนั้นจะส่งผลต่อแรงบันดาลใจและความสามารถในการย้ายถิ่นของผู้คนอย่างไร กรอบแนวความคิดที่เป็นผลลัพธ์จะช่วยให้เข้าใจวิธีการที่ซับซ้อนและวิธีการตอบโต้ตามสัญชาตญาณเกี่ยวกับกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และรูปแบบพัฒนาการของการย้ายถิ่น และช่วยให้สามารถรวมการวิเคราะห์การย้ายถิ่นเกือบทุกรูปแบบภายในกรอบแนวคิดเดียว

 

บทนำ

 

ทฤษฎีการย้ายถิ่นเคยตกอยู่ในสถานะตีบตันมาหลายทศวรรษแล้ว สาขาวิชาที่ทำการศึกษาการย้ายถิ่นยังคงอยู่ภายใต้วิชาที่ทำหน้าที่ไต่สวนทางสังคมเชิงทฤษฎีอย่างน่าประหลาดใจ จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เนื่องจากพวกเราเพียงแค่สามารถพัฒนาความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการย้ายถิ่นได้ดีขึ้นเท่านั้น หากเราไม่แยกแนวคิดออกจากกระบวนการในวงกว้างของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบ ความคิดส่วนใหญ่เกี่ยวกับการย้ายถิ่นยังคงแอบอิงอยู่กับแบบจำลองการผลัก-ดึง (simplistic push-pull model) หรือไม่ก็ผูกพันกับรายได้ส่วนบุคคลแบบคลาสสิกใหม่ (หรือ 'อรรถประโยชน์') ที่จะทำให้สามารถบรรลุสมมติฐานสูงสุดในการศึกษาและอธิบาย แต่ก็จะไม่สามารถอธิบายรูปแบบและกระบวนการในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างชัดแจ้ง แม้ว่าทฤษฎีการย้ายถิ่นก่อนหน้านี้ได้รับการยืนยันความถูกต้องสำหรับสมมติฐานที่ดูจะไม่สมจริงนัก แต่โดยทั่วไปแล้วนักวิจัยสามารถวิเคราะห์และวิจารณ์ทฤษฎีเหล่านี้ได้ดีกว่าการหาทฤษฎีทางเลือกมาใช้เป็นกรอบการศึกษา

 

เพื่อเอาชนะทางตันอย่างที่กล่าวข้างบนนี้ และเพื่อพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการย้ายถิ่นในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและ 'การพัฒนา' ในวงกว้าง บทความนี้จะอธิบายถึงกรอบทฤษฎีที่เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการย้ายถิ่นซึ่งเป็นหน้าที่ของความสามารถและแรงบันดาลใจของผู้คนในการอพยพพภายในกรอบการรับรู้โครงสร้างโอกาสทางภูมิศาสตร์ (geographical opportunity structure) การใช้กรอบความศักยภาพของเซน (Sen 1999) ในอธิบายการย้ายถิ่น บทความบทนี้กำหนดให้การเคลื่อนย้ายของมนุษย์เป็นความสามารถของผู้คน (เสรีภาพ) ในการเลือกสถานที่ที่จะไปอยู่ – รวมถึงตัวเลือกที่จะอยู่ที่เดิม – แทนที่จะเป็นการตอบสนองเหตุและผลเชิงรับแบบอัตโนมัติ มากบ้างน้อยบ้างต่อชุดปัจจัยผลักและดึงให้เกิดการอพยพ บทความนี้ใช้แนวคิดของเบอร์ลิน (Berlin 1969) เกี่ยวกับเสรีภาพเชิงบวกและเชิงลบ (positive and negative liberty) เพื่อสร้างทฤษฎีวิธีที่ซับซ้อนและไม่เป็นลักษณะเชิงเส้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างมหภาคสามารถกำหนดแรงบันดาลใจ และศักยภาพในการย้ายถิ่นได้ดี อีกทั้งยังจะได้ทำการกำหนดหมวดหมู่ของการเคลื่อนย้ายของมนุษย์ตามทฤษฎี และทฤษฎีการย้ายถิ่นเสียใหม่

 

การศึกษาการย้ายถิ่นเป็นสาขาวิชาที่อยู่ภายใต้ทฤษฎีการสืบเสาะทางสังคมเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งแนวโน้มล่าสุดเป็นหนึ่งในการวิเคราะห์ถดถอยเชิงทฤษฎีมากกว่าที่จะเป็นความก้าวหน้าอะไรที่มากกว่านั้น ผลงานก่อนหน้านี้ในสาขานี้ เช่น ทฤษฎีการย้ายถิ่น (theory of migration) ทฤษฎีระบบการย้ายถิ่น (migration systems theory) ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนย้าย (mobility transition theory) งานเขียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านการย้ายถิ่น (migration transitions) ของสเกลดอน (Skeldon 1990) ทฤษฎีการย้ายถิ่นคลาสสิกใหม่ (neo-classical migration theory) ของแฮร์รีสและทอดาโร (Harris and Todaro 1970) ทฤษฎีตลาดแรงงานคู่ (dual labour-market theory) ของปิออเร (Piore 1979) ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ใหม่ของการเคลื่อนย้ายแรงงาน (new economics of labour migration) ของสตาร์ก (Stark 1978, 1991) และทฤษฎีเชิงสาเหตุสะสม (cumulative causation theory) ของมาสเซ (Massey 1990) ถือได้ว่า ทั้งหมดนี้เป็นความพยายามสร้างความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับปรากฏการณ์การย้ายถิ่น ทฤษฎีเชิงระบบของกระบวนการย้ายถิ่นส่วนใหญ่ถูกยกเลิกไปในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ยกเว้นเจ้าของทฤษฎีเพียงไม่กี่คน แต่ว่าโดยรวมแล้วในทฤษฎีการย้ายถิ่นของมาสเซและเพื่อนร่วมงานของเขา (Massey et al. 1993) สรุปเอาไว้ว่า มีความคิดมากมายเกี่ยวกับการย้ายถิ่นที่ 'ยังคงติดหล่มอยู่ในแนวคิด แบบจำลอง และสมมติฐานในศตวรรษที่สิบเก้า' น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

สถานะของความล้าหลังทางทฤษฎีนี้แตกต่างอย่างมากกับจำนวนผลการศึกษาการย้ายถิ่นเชิงประจักษ์ที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก การขาดแคลนทฤษฎีที่เป็นระบบขัดขวางความสามารถของพวกเราในการตีความ 'ข้อเท็จจริง' เชิงประจักษ์อย่างมีความหมาย เพื่อทำความเข้าใจว่าปัจจัยโครงสร้างมหภาคมีบทบาทต่อการกำหนดรูปแบบกระบวนการย้ายถิ่นอย่างไร เช่นเดียวกับการอธิบายความหลากหลายของประสบการณ์การย้ายถิ่นในกลุ่มชาติพันธุ์ เพศสภาพ ทักษะ และชนชั้นที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่การขยายตัวเพิ่มขึ้นของสังคมศาสตร์ 'หลังสมัยใหม่' ในทศวรรษ 1970 และ 1980 การสร้างทฤษฎีการย้ายถิ่นในภาพรวมได้ถูกยกเลิกไปเป็นส่วนใหญ่ ในการตอบสนองต่อการวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง 'ทฤษฎีครอบ' (grand theory) เช่นเดียวกับอคติของรัฐและ 'ลัทธินิยมระเบียบวิธี' ซึ่งมีอยู่ในการวิจัยการย้ายถิ่นจำนวนมาก (ที่ขับเคลื่อนด้วยนโยบาย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จัดทำโดยนักมานุษยวิทยาและนักสังคมวิทยาที่มักมุ่งเน้นไปที่การศึกษาและการสร้างแนวความคิดเกี่ยวกับชีวิต (การก้าวข้ามชาติ ความหลากหลายวัฒนธรรม การพลัดถิ่น ครีโอลิส (ครีโอลิส (creolised) - บุคคลที่มีเชื้อสายยุโรปที่เกิดในหมู่เกาะอินเดียตะวันตกหรือสเปนอเมริกา)) อัตลักษณ์ และประสบการณ์ของผู้อพยพจากมุมมองของ 'อีมิก' (มุมมองแบบเอมิค (emic perspective) คือ มุมมองของคนวงใน มุมมองที่มาจากภายในวัฒนธรรมที่โครงการตั้งอยู่)

 

แม้จะมีข้อดีมากมายของการวิจัยดังกล่าว แต่น่าเสียดายที่สิ่งนี้กลับทำให้เกิดช่องว่างเพิ่มขึ้นระหว่างนักสังคมวิทยานักมานุษยวิทยาและนักภูมิศาสตร์ที่ทำการศึกษาเชิงคุณภาพด้วยการตีความเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้อพยพระดับจุลภาคและการศึกษาในสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา และประชากรศาสตร์ ที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์การถดถอยเชิงปริมาณเพื่อตรวจสอบ 'สาเหตุ' และ 'ผลกระทบ' ของการย้ายถิ่นส่วนใหญ่ตามแนว (โดยนัยหรือชัดเจน) ของแบบจำลอง 'ผลักและดึง-push-pull' ในขณะที่นักวิจัยเชิงคุณภาพมักจะปฏิเสธแนวคิดของทฤษฎีการย้ายถิ่นที่อธิบายได้ทั้งหมดในฐานะผู้คิดบวกแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ แต่แบบแผนเชิงทฤษฎีของวิธีการเชิงปริมาณก็ยังเป็นอะไรที่บอบบางมาก เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วจะไม่ได้ก้าวไปไกลกว่ามุมมองของนักฟังก์ชันทั้งหลายที่มักเน้นแรงผลักและดึง ซึ่งจะมองว่าแรงงานข้ามชาติเป็นผู้แสวงหารายได้สูงสุดหรือต้องการ 'สาธารณูปโภค' วิธีการทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณจึงล้มเหลวในการตรวจจับบทบาทที่สำคัญของปัจจัยเชิงโครงสร้างที่มีความยุ่งยากต่อการหาปริมาณมาแสดงให้เห็นได้อย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นความไม่เท่าเทียมกัน อำนาจ และสถานะในการกำหนดกระบวนการย้ายถิ่น หรือเพื่อพัฒนาแนวคิดที่มีความหมายเกี่ยวกับองค์กรมนุษย์ที่อยู่นอกเหนือจากสมมติฐานโดยสมัครใจของแบบจำลองคลาสสิกใหม่ หรือการพรรณนาถึงผู้อพยพว่าเป็นเหยื่อของกองกำลังทุนนิยมที่ไม่มีความสามารถโต้ตอบได้ในระดับมากหรือน้อย ดังที่เป็นเรื่องการอธิบายอย่างปกติในทฤษฎีประวัติศาสตร์-โครงสร้าง

 

การย้ายถิ่นที่ซับซ้อนเกินไป

 

ปัญหาหลักในการวิจัยด้านการย้ายถิ่น คือ การไม่มีแกนกลางของทฤษฎีที่จะนำมาใช้ในการสรุป กำหนดสารัตถะที่เป็นสากล และจัดระบบข้อมูลเชิงลึก ที่มีการสะสมเอาไว้ของการวิจัยเชิงประจักษ์จำนวนมหาศาล ซึ่งสามารถทำหน้าที่เป็นกรอบอ้างอิงทั่วไปในการตรวจสอบ ตีความ ทำความเข้าใจ และอธิบาย 'ข้อเท็จจริง' และ 'ผลการวิจัย' จากมุมมองของวิชาและกระบวนทัศน์ต่างๆ และสามารถชี้นำการวิจัยในอนาคตได้ ซึ่งมีมีหลายปัจจัยที่ทำให้ขาดความเข้าใจในภาพรวมเรื่องการย้ายถิ่น เป็นต้นว่า

 

·  'อคติของประเทศผู้รับ' และความไม่ร่วมรับรู้ถึงสาเหตุ ผลที่ตามมา และประสบการณ์การย้ายถิ่นจากมุมมองของพื้นที่ต้นทาง นำไปสู่ความเข้าใจด้านเดียว และมีความเข้าใจการย้ายถิ่นที่ลำเอียง

·  การครอบงำจากมุมมองของหน่วยงานภาครัฐ 'ลัทธินิยมระเบียบวิธี' และแนวโน้มที่เกี่ยวข้องในการนำหมวดหมู่ของรัฐไปใช้อย่างไม่มีวิจารณญาณเพื่อจำแนกผู้อพยพและการย้ายถิ่น ซึ่งมักจะรักษามุมมองเชิงอุดมการณ์ที่บิดเบี้ยวเกี่ยวกับการย้ายถิ่นเอาไว้

·       การแบ่งแยกวิชาและระเบียบวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างวิธีการเชิงปริมาณ (ปฏิฐานนิยม) และเชิงคุณภาพ (การตีความ)

·       การแบ่งแยกระหว่างการศึกษาเรื่อง 'การย้ายถิ่นที่ถูกบังคับ' กับ 'การย้ายถิ่นโดยสมัครใจ' และ

·       การแบ่งแยกระหว่างการศึกษาการย้ายถิ่นระหว่างประเทศและการย้ายถิ่นภายในประเทศ

 

นักวิจัยมักโต้แย้งว่าทฤษฎีการย้ายถิ่นแบบครอบคลุมหรือแบบสากลจะไม่มีวันเกิดขึ้นเพราะปรากฏการณ์การย้ายถิ่นที่ซับซ้อนและหลากหลายเกินไป อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งนี้มีความไม่น่าเชื่อถือด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรก จะเป็นการเข้าใจผิดหากจะเสนอแนะว่าเป้าหมายของทฤษฎีสังคมคือการพัฒนาทฤษฎีสากลที่อธิบายได้ทั้งหมด เนื่องจากปรากฏการณ์ทางสังคมจำเป็นต้องเข้าใจเสมอภายในบริบททางประวัติศาสตร์และสังคมที่เฉพาะเจาะจงซึ่งเกิดขึ้นและไม่สามารถจับได้โดย ชุดสูตรอย่างง่าย 'กฎ' แบบจำลองหรือสมการถดถอย ประการที่สอง ความซับซ้อนไม่เคยเป็นเหตุให้ต้องละทิ้งความพยายามในการสร้างทฤษฎีทางสังคมที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ทางสังคมมีความซับซ้อนโดยธรรมชาติ และความซับซ้อนไม่ได้ขัดขวางความก้าวหน้าทางทฤษฎีในด้านอื่นๆ ของการสืบเสาะทางสังคม อันที่จริง เราต้องพลิกข้อโต้แย้ง: ความซับซ้อนซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของกระบวนการทางสังคมเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมเราถึงต้องการทฤษฎีทางสังคม เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจและแยกแยะรูปแบบท่ามกลางความหลากหลายที่น่าตื่นตาในบางครั้ง – และ ประสบการณ์ของมนุษย์และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ดูเหมือนสุ่ม วุ่นวาย และไม่เป็นระบบอย่างเห็นได้ชัด กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทฤษฎีทางสังคมช่วยให้เราเห็นไม้ที่อยู่ในต้นไม้ (เชิงประจักษ์)

 

ที่สำคัญ แนวคิดเรื่องความซับซ้อนไม่ได้หมายความว่าปรากฏการณ์ทางสังคมและกระบวนการทางสังคมจะวุ่นวายหรือไร้ระเบียบ ไร้รูปแบบ หรือไม่มีโครงสร้าง แต่ความซับซ้อนหมายความว่าสิ่งเหล่านั้นประกอบด้วยหลายส่วนที่ถูกจัดเรียงอย่างซับซ้อนหลายชั้น จากมุมมองเล็กๆ น้อยๆ ความหลากหลายของประสบการณ์การย้ายถิ่นอาจดูน่าสับสน แต่เมื่อเริ่มขยายภาพออกมาให้เห็นชัดขึ้น กฎเกณฑ์และและรูปแบบก็จะปรากฏ สิ่งนี้สะท้อนถึงจุดประสงค์ของทฤษฎีสังคมที่มีไว้เพื่อแยกแยะรูปแบบเพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ตัวอย่างเช่น ตามที่ราเวนสไตน์ (Ravenstien 1885 โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกรณีของสหราชอาณาจักร) และมาบูกันเจ (Mabogunje 1970 โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกรณีของแอฟริกา) ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การย้ายถิ่นเป็นเพียงปรากฏการณ์แบบสุ่มตามการตั้งค่าทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน พวกเขาทั้งสองสังเกตว่าผู้อพยพย้ายถิ่นส่วนใหญ่เคลื่อนที่ไปตามเส้นทางที่กระจุกตัวเชิงพื้นที่ ระหว่างชุมชนเฉพาะในพื้นที่ต้นทางและปลายทาง ทำนองเดียวกัน ในระดับมหภาค เซลิงสกี (Zelinsky 1971) สเกลดอน (Skeldon 1990) และแฮตตันและวิลเลียมสัน (Hatton and Williamson 1998) สังเกตเห็นความสม่ำเสมอในระยะยาวที่ชัดเจนระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางประชากร เศรษฐกิจ และสังคมในด้านหนึ่งและการเกิดขึ้นตามลำดับและการลดลงของรูปแบบเฉพาะของ การเคลื่อนไหวของมนุษย์ทั้งภายในและภายนอก

 

การจำแนกกระบวนทัศน์ของทฤษฎีการอพยพ

 

ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่สิบเก้า ทฤษฎีต่างๆ ได้เกิดขึ้นในสาขาวิชาสังคมศาสตร์หลายวิชา ที่มุ่งทำความเข้าใจกระบวนการขับเคลื่อนการอพยพ ทฤษฎีการย้ายถิ่นในระยะแรกเหล่านั้นสามารถนำมาจัดกลุ่มรวมกันเป็นสองกระบวนทัศน์หลัก คือ ทฤษฎีทางสังคมแบบฟังก์ชันและแบบโครงสร้างประวัติศาสตร์ (functionalist and historical-structural social theory) แม้จะมีต้นกำเนิดจากวิชาที่หลากหลาย แต่ทฤษฎีภายในกระบวนทัศน์หลักทั้งสองนี้ก็มีสมมติฐานพื้นฐานร่วมกันเกี่ยวกับลักษณะของสังคมและวิธีที่สังคมควรจะศึกษา ตัวอย่างเช่น แบบจำลองสมดุลคลาสสิกใหม่ (จากวิชาเศรษฐศาสตร์) แบบจำลองการผลัก-ดึง และทฤษฎีระบบการย้ายถิ่น (ส่วนใหญ่มาจากวิชาภูมิศาสตร์และประชากรศาสตร์) ตลอดจนการตีความหลักทฤษฎีโครงข่ายผู้อพยพ (โดยหลักมาจากวิชาสังคมวิทยา) ที่ล้วนอยู่ในกระบวนทัศน์ของบทบาทนิยมของทฤษฎีสังคม โดยการย้ายถิ่นส่วนใหญ่จะเป็นกลยุทธ์การปรับตัวให้ให้เหมาะสมของบุคคลหรือครอบครัว ที่ทำการคำนวณต้นทุน-ผลประโยชน์ให้ลงตัว

 

ในทำนองเดียวกัน แม้ว่าความแตกต่างในความแตกต่างกันนิดหน่อยและระดับของการวิเคราะห์ ทฤษฎีความขัดแย้งมาร์กซิสต์ใหม่ ทฤษฎีการพึ่งพา (Frank 1966) ทฤษฎีระบบโลก (Wallerstein 1974) ทฤษฎีตลาดแรงงานคู่ (Piore 1979) และทฤษฎีโลกาภิวัตน์ (Sassen 1991) มีการตีความการอพยพในวงกว้างที่คล้ายคลึงกัน เนื่องจากถูกกำหนดโดยโครงสร้างทางเศรษฐกิจและความไม่เท่าเทียมกันของอำนาจ ทั้งภายในและระหว่างสังคม ตลอดจนวิธีการที่การย้ายถิ่นมีบทบาทสำคัญในการเกิดขึ้นซ้ำละเสริมความไม่เท่าเทียมกันดังกล่าว ทฤษฎีทั้งหมดนี้อยู่ในกระบวนทัศน์เชิงโครงสร้างทางประวัติศาสตร์ หรือที่เรียกว่า 'ทฤษฎีความขัดแย้ง' ซึ่งเน้นว่าชนชั้นสูงที่มีอำนาจกดขี่และเอารัดเอาเปรียบคนยากจนและเปราะบาง มีการแสวงหาทุนและผลประโยชน์จากแรงงานอย่างไร และอุดมการณ์และศาสนามีบทบาทเชิงเหตุผลที่สำคัญในการแสวงหาประโยชน์และความอยุติธรรมโดยทำให้สิ่งเหล่านั้นปรากฏออกมาเป็นระบบระเบียบปกติและเป็นธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ได้อย่างไร

 

ทฤษฎีใหม่ๆ ที่เน้นไปที่ประสบการณ์ การรับรู้ และอัตลักษณ์ในชีวิตประจำวันของผู้ย้ายถิ่น เช่น ทฤษฎีการอพยพข้ามชาติ (transnational theory) ทฤษฎีการพลัดถิ่น (diaspora theory) และทฤษฎีวัฒนธรรมใหม่ (creolization theory) การแสดงออกทางวัฒนธรรมใหม่ที่เกิดจากการติดต่อระหว่างสังคมและผู้คนที่ย้ายถิ่นฐานล้วนอยู่ในมุมมองปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ในทฤษฎีทางสังคม ทั้งนี้ เราอาจแยกแยะกลุ่มทฤษฎีระดับกลาง ที่มีลักษณะเป็นลูกผสมมากกว่าเดิมเล็กน้อย ซึ่งเน้นไปที่ความต่อเนื่องหรือ 'พลวัตภายใน' ของการย้ายถิ่น เช่น ทฤษฎีเครือข่าย (network theories) ทฤษฎีระบบการย้ายถิ่น (systems approach to a theory of rural-urban migration) และทฤษฎีสาเหตุสะสม (cumulative causation of migration) ดังนั้น เราจึงสามารถลดสิ่งที่อาจปรากฏเป็นความซับซ้อนทางทฤษฎีที่ค่อนข้างน่าเวียนหัวในตอนแรกได้โดยการรวมทฤษฎีของแต่ละวิชาที่มีอยู่ (ตั้งแต่เศรษฐศาสตร์ไปจนถึงมานุษยวิทยา) เอาไว้ใต้ร่มแนวคิดของกระบวนทัศน์ทฤษฎีสังคม-ทฤษฎีหลักเพื่อความกระชับ และเนื่องจากเป้าหมายของบทความนี้ คือ การพัฒนาความเข้าใจในกระบวนการย้ายถิ่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในวงกว้าง การวิเคราะห์ต่อไปนี้จะเน้นไปที่ความแตกต่างแบบคลาสสิกระหว่างทฤษฎีบทบาทหน้าที่และเชิงประวัติศาสตร์-โครงสร้าง

 

ข้อจำกัดของทฤษฎีบทบาทหน้าที่และโครงสร้างประวัติศาสตร์

 

ทฤษฎีสังคมที่ยึดมั่นอยู่กับบทบาทหน้าที่ (functionalist social theory) มักมองสังคมเป็นระบบ ซึ่งเป็นกลุ่มของส่วนต่างๆ ที่พึ่งพาอาศัยกัน ทั้งตัวบุคคล และผู้แสดงบทบาท ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งที่คล้ายคลึงกับการทำงานของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีแนวโน้มโดยธรรมชาติต่อความสมดุลอยู่ ทฤษฎีสังคมที่ยึดมั่นอยู่กับบทบาทหน้าที่โดยทั่วไปมองว่าการย้ายถิ่นเป็นปรากฏการณ์เชิงบวกที่เอื้อต่อผลผลิต ความเจริญรุ่งเรือง และความเท่าเทียมกันมากขึ้นในสังคมต้นทางและปลายทาง ผ่านการเลื่อนไหลของกระแสทรัพยากรแบบสองทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นเงิน สินค้า และความรู้ โดยพื้นฐานแล้ว นักทฤษฎีแบบนั้นจะตีความการย้ายถิ่นว่าเป็นกลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งบุคคล (และบางครั้งครอบครัวหรือครัวเรือน) ใช้การย้ายถิ่นเพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งรายได้ที่สูงขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น รวมถึงโอกาสในการทำมาหากินอื่นๆ

 

ทฤษฎีการย้ายถิ่นแบบคลาสสิกใหม่ ซึ่งทอดาโร (Todaro 1969) และแฮร์รีสกับทอดาโร (Harris and Todaro 1970) เป็นตัวแทนผู้บุกเบิกที่โดดเด่นที่สุดของทฤษฎีการย้ายถิ่นที่ยึดติดอยู่กับบทบาทหน้าที่ แต่มีกระแสทางทฤษฎีมากกว่าที่สามารถจัดกลุ่มได้ภายใต้กระบวนทัศน์การย้ายถิ่นที่ยึดติดอยู่กับบทบาทหน้าที่ แบบจำลองที่ให้ความสำคัญกับแรงผลัก-ดึงนั้นเป็นต้นแบบของทฤษฎีการย้ายถิ่นแบบคลาสสิกใหม่ เนื่องจากตัวทฤษฎีเหล่านั้นตีความการโยกย้ายถิ่นฐานว่าเป็นหน้าที่ของรายได้และช่องว่างโอกาสอื่นๆ ระหว่างพื้นที่ต้นทางและปลายทาง แบบจำลองที่ยึดติดอยู่กับบทบาทหน้าที่ทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนวางอยู่บนสมมติฐานที่ชัดเจนว่าผู้คนตัดสินใจอย่างมีเหตุผลเพื่อที่จะเพิ่มรายได้หรือ 'อรรถประโยชน์' สูงสุด ข้อยกเว้นที่สำคัญเพียงอย่างเดียวในกฎนี้ดูเหมือนจะเป็นเศรษฐศาสตร์ใหม่ของการย้ายถิ่นของแรงงาน (NELM: new economic of labour migration) ที่บุกเบิกโดยสตาร์ค (Stark 1978, 1991) ซึ่งให้แนวคิดเกี่ยวกับการย้ายถิ่นที่เกิดขึ้นในบริบทของความยากจนสัมพัทธ์และข้อจำกัดในฐานะของครัวเรือนหรือของครอบครัว (แทนที่จะเป็นของปัจเจกบุคคล) กลยุทธ์การประกันภัยร่วมมุ่งเป้าไปที่การกระจายรายได้ (แทนที่จะเพิ่มสูงสุด) ผ่านการกระจายความเสี่ยง แม้ว่าจะยอมรับบทบาทของข้อจำกัดเชิงโครงสร้างในการกำหนดการตัดสินใจการย้ายถิ่น แต่ เศรษฐศาสตร์ใหม่ของการย้ายถิ่นของแรงงานก็มีพื้นฐานอยู่บนสมมติฐานที่ว่าครัวเรือนเป็นผู้ดำเนินการที่มีเหตุผลซึ่งมีส่วนร่วมในกลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว

 

หากพิจารณาในระดับมหภาคด้วยมุมมองของนักทฤษฎีบทบาทหน้าที่ การตัดสินใจบนของบุคคลบนฐานของการได้ประโยชน์สูงสุดคาดว่าจะมีส่วนเข้ามาช่วยจัดสรรปัจจัยการผลิตที่เหมาะสมยิ่งขึ้น ผ่านการถ่ายโอนแรงงานจากพื้นที่ยากจนไปยังพื้นที่ร่ำรวยและประเทศต่างๆ และการไหลย้อนกลับของเงินทุนจากพื้นที่ที่มีคนรวยไปสู่พื้นที่ที่มีคนจน ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างพื้นที่ต้นทางและปลายทางได้ อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบในรูปแบบดังกล่าวมักเพิกเฉยต่อความยากจน ความไม่เท่าเทียมกัน ข้อจำกัดด้านการย้ายถิ่นฐาน การกวดขันและปราบปรามของรัฐบาล และความรุนแรง จะมีส่วนและสามารถป้องกันผู้คนจากการอพยพ ทำให้เกิดการถูกบังคับพลัดถิ่น หรือบังคับให้ผู้อพยพเข้าสู่สภาพการทำงานที่แสวงหาผลประโยชน์ สิ่งนี้อธิบายได้ว่าทำไมผลประโยชน์ทางสังคมและเศรษฐกิจของการย้ายถิ่นจึงมักเพิ่มขึ้นอย่างไม่สมส่วนกับสังคมต้นทางและปลายทางที่ดีกว่าของทั้งผู้อพยพและ "ชาวพื้นเมือง" ที่ไม่ใช่ผู้อพยพ

 

ปัญหาหลักของทฤษฎีการย้ายถิ่นที่ผูกยึดอยู่กับบทบาทหน้าที่ คือ ลักษณะการตัดลดส่วนที่เป็นรายละเอียดให้เหลือเฉพาะสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ (reductionist) การให้เหตุผลตามแรง "ผลัก-ดึง" ซึ่งคำอธิบายเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากสัญชาตญาณ แต่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เพียงพอและมักทำให้เข้าใจผิดอย่างชัดเจนในการทำความเข้าใจกระบวนการย้ายถิ่นในโลกแห่งความเป็นจริง แบบจำลองการผลัก-ดึง (push-pull models) ทั้งหลาย ไม่สามารถอธิบายการโยกย้ายถิ่นฐานเป็นกระบวนการทางสังคม เนื่องจากพวกมันมักจะระบุปัจจัยคงที่จำนวนหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่ามีบทบาท 'บางส่วน' ในการย้ายถิ่น แต่ไม่ได้ระบุบทบาทและปฏิสัมพันธ์ของพวกมัน หรือจัดทำบัญชีโครงสร้างของกระบวนการทางสังคม ขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวของประชากร ดังนั้น สเกลดอน (Skeldon 1990) จึงยืนยันว่าแบบจำลองแรงผลัก-ดึง ทำให้เรามี 'รายการปัจจัยกำหนดการอพยพต่างๆ มากมาย มาสนับสนุนการย้ายถิ่นได้อย่างชัดเจน แต่ไม่มีกรอบการทำงานที่จะนำมารวมกันในระบบอธิบาย' ทำให้เขาสรุปได้ว่า 'ทฤษฎีการผลัก-ดึง เป็นเพียงการพิจารณาอะไรๆ ที่มีแต่ความซ้ำซากจำเจเท่านั้น'

 

หากเราปฏิรูปสมมติฐานของกลุ่มผู้นิยมบทบาทหน้าที่เสียใหม่ว่า 'คนส่วนใหญ่ตัดสินใจอพยพเคลื่อนย้าย ด้วยคาดหวังว่าจะได้พบโอกาสใหม่ที่ดีกว่า ณ ปลายทาง' อาจมีเพียงไม่กี่คนที่ไม่เห็นด้วย แต่ว่าโดยพื้นฐานแล้ว ตามข้อสันนิษฐานนี้ ผู้คนมีเหตุผลที่ดีที่จะย้ายถิ่น เป็นเรื่องทั่วไปจนแทบไม่มีประโยชน์ในการอธิบายธรรมชาติของกระบวนการย้ายถิ่นที่มีรูปแบบทางภูมิศาสตร์และแตกต่างทางสังคม กล่าวอีกนัยหนึ่ง การรู้ว่าอะไรเป็นแรงจูงใจให้แต่ละคนเคลื่อนย้ายไม่ได้ช่วยให้เราอธิบายกระบวนการ รูปแบบ และแรงผลักดันของการย้ายถิ่นในระดับโครงสร้างได้จริงๆ

 

คำถามจริงๆ นั้น มีความซับซ้อนมากกว่าและก็มีคำตอบที่ซับซ้อนกว่า ตัวอย่างเช่น เหตุใดสังคมที่มั่งคั่งและ 'พัฒนาแล้ว' จึงมีแนวโน้มที่จะมีการอพยพเข้าและอพยพออกที่สูงกว่าสังคมที่ยากจนและ 'ด้อยพัฒนา' ในขณะที่แบบจำลองแบบผลัก-ดึง และคลาสสิกใหม่ จะทำนายในลักษณะตรงกันข้าม เราจะอธิบายได้อย่างไรว่าการอพยพส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นจากสังคมที่ยากจนที่สุดไปสู่สังคมที่ร่ำรวยที่สุด เหตุใด 'การพัฒนา' ในประเทศต้นทางมักนำไปสู่แนวโน้มการย้ายถิ่นฐานที่เพิ่มขึ้น? และเหตุใดคนส่วนใหญ่จึงไม่ย้ายถิ่นทั้งๆ ที่มีรายได้และช่องว่างทางโอกาสจำนวนมากภายในและระหว่างประเทศ

 

ปรกติแล้ว ทฤษฎีการย้ายถิ่นของกลุ่มผู้ผูกพันกับบทบาทหน้าที่จะมีปัญหาในการอธิบายลักษณะที่แตกต่างทางสังคมและภูมิศาสตร์ของกระบวนการย้ายถิ่น ซึ่งความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้างและการปฏิบัติไม่เหมือนกันในการเข้าถึงของกลุ่มและชนชั้นทางสังคมเพื่อโอกาสในการย้ายถิ่นที่น่าดึงดูดใจและถูกต้องตามกฎหมาย ในขณะที่ไม่รวมผู้อื่นโดยการกีดกันสิทธิหรือบังคับให้พวกเขาเข้าสู่สถานการณ์ที่แสวงหาประโยชน์ ความสามารถของผู้คนในการตัดสินใจเลือกที่จะย้ายถิ่นโดยอิสระนั้นถูกจำกัดโดยรัฐและโครงสร้างอื่นๆ เช่น ครอบครัว ชุมชน เครือข่าย และวัฒนธรรม ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะเป็นตัวกำหนดทรัพยากรทางสังคม เศรษฐกิจ และทรัพยากรมนุษย์ที่ผู้คนสามารถและเต็มใจที่จะนำไปใช้ในการโยกย้ายถิ่นฐาน ดูเหมือนว่าทฤษฎีบทบาทหน้าที่และแบบจำลองการผลัก-ดึง จะสามารถรวมข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง เช่น 'ความไม่สมบูรณ์ของตลาด' เอามาไว้ในแบบจำลองทางทฤษฎีหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดต้นทุนเพิ่มในการวิเคราะห์การถดถอย อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ทำให้ทฤษฎีแบบนี้ไม่สามารถสร้างแนวความคิดที่ว่าพลังเชิงโครงสร้างจะเข้ามากำหนดรูปแบบกระบวนการย้ายถิ่นได้อย่างไร และมักจะยืนมองอยู่ที่จุดเริ่มต้นของระบบการย้ายถิ่นที่มีขนาดใหญ่

 

ลัทธิล่าอาณานิคม สงคราม การจัดหาแรงงาน นโยบายการย้ายถิ่น การยึดที่ดิน การขับไล่เนื่องจากโครงการโครงสร้างพื้นฐาน (เช่น การก่อสร้างถนนและเขื่อน) และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ล้วนเป็นตัวอย่างของกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างมหภาคที่ซับซ้อนซึ่งไม่สามารถลดลงเป็นปัจจัยหรือตัวแปรได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการย้ายถิ่น ตัวอย่างเช่น การย้ายถิ่นขนาดใหญ่จำนวนมากมีต้นกำเนิดมาจากความพยายามอย่างแข็งขันของรัฐและนายจ้างในการจัดหาแรงงานต่างชาติ แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการกำหนดแนวคิดเกี่ยวกับบทบาทของรัฐ ธุรกิจ ผู้จัดหางาน และตัวกลางการย้ายถิ่นอื่นๆ รวมถึงองค์กรต่างๆ เช่น องค์การข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน หรือองค์กรด้านมนุษยธรรม ในการกำหนดกระบวนการย้ายถิ่นฐานและการสร้างสรรค์รูปแบบการโยกย้ายใหม่ แทนที่จะลดจำนวนตามข้อจำกัดที่เกิดจากการเพิ่มต้นทุนในกระบวนการย้ายถิ่นที่เกิดตามธรรมชาติจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับบทบาทของตัวขับเคลื่อนการอพยพเชิงโครงสร้างดังกล่าวจึงเห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งท้าทายต่อการลดปัจจัยเหล่านี้ในแบบจำลองทางทฤษฎีทางคณิตศาสตร์หรือตัวแปรในแบบจำลองการถดถอยเชิงประจักษ์

 

นอกเหนือจากความสามารถทั่วไปในการกำหนดแนวคิดว่าปัจจัยเชิงโครงสร้างและผู้ดำเนินการเชิงโครงสร้างได้กำหนดรูปแบบกระบวนการย้ายถิ่นอย่างแข็งขันตลอดประวัติศาสตร์แล้ว ทฤษฎีบทบาทหน้าที่ (functionalist theories) ยังมีปัญหาในการอธิบายว่าในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น การย้ายถิ่นสามารถเพิ่มเสริมความไม่เท่าเทียมกันที่มีอยู่ก่อนได้อย่างไร สิ่งนี้ทำให้ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับดุลยภาพพื้นฐานของทฤษฎีบทบาทหน้าที่นั้น บิดเบี้ยวไปตามแรงขับเคลื่อนทางสังคมและตลาด หากปล่อยให้อยู่ในกลไกแบบนี้ จะมีแนวโน้มไปสู่ดุลยภาพโดยอัตโนมัติ และคาดว่าการย้ายถิ่น (อิสระ) จะนำไปสู่การบรรจบกันของรายได้ และในที่สุดแล้วการอพยพย้ายถิ่นก็จะเกิดขึ้นน้อยลง ไมร์ดาล (Myrdal 1957) ยืนยันเรื่องนี้แล้วว่า หากไม่มีการแทรกแซงของรัฐบาล กระบวนการสะสมเหตุทางเศรษฐกิจและสังคม มีแนวโน้มที่จะเสริมสร้างความไม่เท่าเทียมกันระหว่างพื้นที่ยากจนกับพื้นที่ร่ำรวย ในทางเดียวกัน ทฤษฎีประวัติศาสตร์-โครงสร้างยืนยันว่าโครงสร้างมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นซ้ำหรือแม้กระทั่งเสริมความไม่เท่าเทียมกันทั้ง 'แนวตั้ง' ระหว่างกลุ่มทางสังคม (เช่นชนชั้นทางสังคม) และ 'แนวนอน' ข้ามพื้นที่ (เช่นระหว่างพื้นที่ชนบทรอบนอกและเมือง หรือระหว่างประเทศที่ร่ำรวยและยากจน)

 

ตัวอย่างเช่น ในประเทศที่ยากจนที่สุดของแอฟริกาและเอเชีย โอกาสในการย้ายถิ่นตามกฎหมายไปยังยุโรป อเมริกาเหนือ และประเทศที่ร่ำรวยอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นอภิสิทธิ์ของกลุ่มชนชั้นสูงที่มีประกาศนียบัตรที่เหมาะสมในการขอวีซ่าทำงานหรือเพื่อการศึกษาและผู้ที่มีฐานะการเงิน หมายถึงการจ่ายเงินสำหรับการอพยพของพวกเขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีฐานะค่อนข้างดีซึ่งเข้าถึงรูปแบบการย้ายถิ่นตามกฎหมายที่ให้ผลกำไรมากที่สุด ขณะที่กลุ่มอื่นๆ ยังคงติดอยู่ในความไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้หรือถูกผลักไสให้เข้าสู่รูปแบบการแสวงหาประโยชน์จากการย้ายถิ่น สังคมต้นกำเนิด อย่างที่มีการยืนยันว่า การย้ายถิ่นและผลลัพธ์ของการย้ายถิ่นถูกกำหนดโดยทรัพยากรที่ผู้อพยพสามารถรวบรวมได้ และในทางกลับกัน ความสามารถในการระดมทรัพยากรดังกล่าวส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยภูมิหลังหรือชนชั้นทางเศรษฐกิจและสังคม”

 

เหตุผลยืนยันดังกล่าวสอดคล้องกับหลักการทางเศรษฐศาสตร์การเมืองแบบมาร์กซิสต์ใหม่ และทฤษฎีโครงสร้างทางประวัติศาสตร์ ที่เน้นว่าโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมือง เป็นตัวบีบคั้นและชี้นำพฤติกรรมของผู้คนในลักษณะที่ไม่ได้สร้างสมดุลให้เกิดขึ้น แต่เป็นการตอกย้ำความไม่เท่าเทียม ทฤษฎีเหล่านี้เน้นย้ำถึงบทบาทของภาคธุรกิจและรัฐที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ หล่อหลอมการอพยพ และมองแรงงานข้ามชาติทั้งที่ถูกบังคับและโดยสมัครใจว่าเป็นการจัดหาแรงงานราคาถูกและเอาเปรียบได้ ก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่กลุ่มคน แก่พื้นที่ และแก่ประเทศที่ร่ำรวย ทฤษฎีเหล่านี้เน้นย้ำว่าอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองมีการกระจายอย่างไม่เท่าเทียมกัน และความเชื่อทางวัฒนธรรม (เช่น ศาสนาและประเพณี) ตลอดจนแนวปฏิบัติทางสังคมต่างๆ ถูกใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมและทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันดังกล่าว ด้วยมุมมองแบบนี้ จึงเป็นสิทธิพิเศษของสังคมปลายทาง เช่น นายจ้างและกลุ่มชนชั้นสูงที่เป็นเจ้าของทุน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากการย้ายถิ่น

 

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นในกฎการย้ายถิ่นและวาทกรรมทางการเมืองที่สนับสนุนและยกย่องผู้มีทักษะและความมั่งคั่ง แล้วดูหมิ่นผู้อพยพที่มีทักษะน้อย อ่อนแอ แตกต่างทางชาติพันธุ์ และยากจน และผลักไสพวกเขาให้ถูกเอารัดเอาเปรียบไปอยู่นอกระบบ จากมุมมองนี้ เป้าหมายที่แท้จริงของนโยบายต่อต้านการย้ายถิ่นฐานไม่ใช่เพื่อหยุดการอพยพ แต่เพื่อสร้างรูปลักษณ์ของการควบคุม โดยมีวาทกรรมทางการเมืองต่อต้านผู้อพยพที่เกี่ยวข้องซึ่งแสดงเหตุผลทางเศรษฐกิจ การแสวงประโยชน์จากกลุ่มผู้อพยพที่เปราะบางและตำหนิผู้ย้ายถิ่นในปัญหาที่ไม่ได้เกิดจากตัวพวกเขาเอง

 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของมุมมองเชิงโครงสร้างทางประวัติศาสตร์ก็คือการที่พวกเขาแทบไม่เหลือที่ว่างให้มนุษย์ใช้เลย พวกเขามักจะพรรณนาถึงผู้อพยพว่าเป็นเบี้ย ซึ่งถูกกองกำลังมหภาคทั่วโลกผลักและดึง หรือเป็นเหยื่อของระบบทุนนิยมที่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอพยพเพื่อเอาชีวิตรอด การมองว่าการย้ายถิ่นเป็น 'การหลบหนีจากความทุกข์ยากอย่างสิ้นหวัง' หรือที่แสดงให้เห็นภาพผู้อพยพว่าเป็นเหยื่อผู้ลักลอบนำเข้าและค้ามนุษย์ที่ไม่สามารถโต้ตอบใครๆ ได้ ไม่สามารถร้องหาความยุติธรรมได้จากความจริงที่ว่าผู้ย้ายถิ่นส่วนใหญ่ย้ายตามเจตจำนงเสรีของตนเอง อันที่จริง ก็มีหลักฐานการวิจัยจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่าผู้ย้ายถิ่นส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงการดำรงชีวิตผ่านการอพยพภายในและภายนอกประเทศอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การวางเรื่องเล่ากระแสหลักที่แสดงภาพผู้ลักลอบขนสินค้าเข้าเป็น แก๊งอาชญากรที่ไร้ยางอายและโหดเหี้ยมทำให้เกิดการไล่ล่าผู้อพยพที่อ่อนแอและสิ้นหวัง การศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของแรงงานข้ามชาติหลายฉบับ เผยให้เห็นความเป็นจริงเหล่านี้ที่มีความละเอียดยิ่งขึ้น โดยที่ผู้ลักลอบนำเข้ามักทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกด้านการย้ายถิ่นฐาน ซึ่งสามารถเป็นเพื่อนสนิท คนรู้จัก หรือผู้ให้บริการที่อยู่ห่างไกลมากขึ้น

 

มุมมองทางประวัติศาสตร์และโครงสร้างมักมีพื้นฐานอยู่บนสมมติฐานที่ว่าการอพยพจากพื้นที่ที่อยู่ส่วนใต้ขึ้นไปยังพื้นที่ส่วนบน หรือจากพื้นที่ยากจนสู่พื้นที่อุดมพูนสุข เป็นกระบวนการที่ไม่ลงตัวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมักจะไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวผู้อพยพ เนื่องจากพวกเขาจะถูกปิดบังด้วยภาพลวงตาที่มองโลกในแง่ดีเกินจริงเกี่ยวกับชีวิตในต่างประเทศ และถูกหลอกโดยนายหน้า ผู้ลักลอบนำเข้า และการค้ามนุษย์ที่ไม่น่าไว้วางใจ สมมติฐานนี้ยังทำซ้ำในวาทกรรมและนโยบายของทางการตามที่ผู้ย้ายถิ่นฐานควรได้รับการศึกษาเกี่ยวกับความเสี่ยงและต้นทุนของการย้ายถิ่นผ่านการรณรงค์ข้อมูล สิ่งนี้ปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า แม้แต่ผู้อพยพที่มีทักษะน้อยหรือไม่มีเอกสาร การย้ายถิ่นยังคงมีศักยภาพมหาศาลในการปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาวของตนเองและครอบครัว และพวกเขายินดีที่จะอดทนต่อสถานการณ์ของการแสวงประโยชน์และความทุกข์ทรมาน ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ยุติธรรม อาจมาจากมุมมองทางศีลธรรมและจริยธรรม

 

องค์กรการอพยพ

 

เมื่อแรกเห็น เรื่องราวเกี่ยวกับการย้ายถิ่นที่ผูกติดอยู่กับบทบาทหน้าที่และเชิงโครงสร้างทางประวัติศาสตร์ ดูเหมือนจะขัดแย้งกันในความเข้าใจเกี่ยวกับการอพยพ ทั้งในแง่ของสาเหตุทางสังคมและผลที่ตามมาสำหรับพื้นที่ต้นทางและปลายทาง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กระบวนทัศน์ทั้งสองมีเหมือนกันคือ การไร้ความสามารถโดยทั่วไปในการให้ความเข้าใจที่มีความหมายเกี่ยวกับหน่วยงานของมนุษย์ผ่านการแสดงภาพผู้อพยพ ไม่ว่าจะเป็นนักเพิ่มประสิทธิภาพอรรถประโยชน์ส่วนบุคคลที่ไร้วิญญาณ หรือในฐานะเหยื่อที่เฉยเมยของกองกำลังทุนนิยมทั่วโลก การศึกษาจำนวนมากได้เน้นย้ำถึงความสามารถที่จำกัดแต่แท้จริงของแรงงานข้ามชาติในการต่อต้านข้อจำกัดของรัฐบาล การเลือกปฏิบัติ และความหวาดกลัวชาวต่างชาติ โดยการย้ายถิ่นข้ามพรมแดนที่ปิด โดยการซื้อในบริการของนายหน้า ทนายความ ผู้ลักลอบนำเข้า และตัวกลางการย้ายถิ่นอื่นๆ และโดยการปลอมแปลงเครือข่ายและอัตลักษณ์ใหม่ รวมถึงการจัดตั้งชุมชนและโครงสร้างทางเศรษฐกิจของตนเองในสังคมปลายทาง ดังนั้น จึงไม่สมจริงที่จะพรรณนาถึงแรงงานข้ามชาติในฐานะเหยื่อที่กำลังหนีจากสถานการณ์ที่ยากจน การกดขี่ และความทุกข์ยากของมนุษย์ เช่นเดียวกับการพรรณนาว่าพวกเขาเป็นผู้แสดงที่มีเหตุผลและเป็นอิสระโดยสิ้นเชิง ซึ่งทำการคำนวณต้นทุนและผลประโยชน์อย่างมีเหตุผลอย่างต่อเนื่อง นี่แสดงให้เห็นว่าทั้งทฤษฎีเที่เน้นบทบาทหน้าที่และโครงสร้างทางประวัติศาสตร์ ไม่ได้ให้ความเป็นจริงขององค์กรด้านการอพยพย้ายถิ่น ความท้าทายหลักในการทำให้ทฤษฎีการย้ายถิ่นก้าวหน้าจึงเป็นการอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องมือทางแนวคิดที่ปรับปรุงความสามารถของเราในการอธิบายโครงสร้างและหน่วยงานพร้อมกันในการทำความเข้าใจกระบวนการและประสบการณ์ของการย้ายถิ่น โดยไม่ละทิ้งข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญซึ่งกระบวนทัศน์โครงสร้างเชิงโครงสร้างและเชิงประวัติศาสตร์เสนอให้ โดยสิ้นเชิง

 

การผูกขาดทางทฤษฎีกับการผสมผสานแนวความคิด

 

แม้ว่าสมมติฐานของทฤษฎีบทบาทหน้าที่หรือทฤษฎีโครงสร้างเชิงประวัติศาสตร์ จะไม่มีคุณค่าที่เป็นสากล แต่คำอธิบายของทฤษฎีทั้งสองกลุ่มก็ยังมีประโยชน์ในการพัฒนาความเข้าใจในกระบวนการย้ายถิ่นที่เข้มข้นยิ่งขึ้น เหมาะสมยิ่งขึ้น และเป็นไปตามตามบริบท ท้ายที่สุด ทฤษฎีบทบาทหน้าที่ก็อาจมีค่าอธิบายมากกว่าสำหรับรูปแบบการเคลื่อนย้ายของมนุษย์ที่ไม่มีข้อจำกัดบางประเภท เช่น การอพยพภายในและการอพยพของผู้มีทักษะสูง ในขณะที่ทฤษฎีเชิงโครงสร้างอาจมีค่าอธิบายมากกว่าสำหรับรูปแบบการย้ายถิ่นที่ข้อจำกัดของรัฐบาล การแสวงประโยชน์ และการไม่สมัครใจมีบทบาทสำคัญกว่า การย้ายถิ่นฐานสามารถเป็นประสบการณ์ที่เสริมพลังได้มาก แต่ในกรณีอื่นๆ อาจมีรูปแบบการเอารัดเอาเปรียบมากกว่า ดังนั้น แทนที่จะปฏิเสธคำอธิบายชุดใดชุดหนึ่ง ข้อมูลเชิงลึกจากกระบวนทัศน์ทั้งสองจำเป็นต้องรวมเข้ากับกระบวนทัศน์เชิงทฤษฎีใหม่ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐานที่สามารถรวมเข้าด้วยกันได้ แทนที่จะมองว่าทฤษฎีเป็นการอ้างความจริงโดยเฉพาะ เราต้องการวิสัยทัศน์ที่ความถูกต้องของสมมติฐานทางทฤษฎีนั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเฉพาะที่เกิดการอพยพ กลุ่มสังคมและกลุ่มชนชั้นที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ ตลอดจนระดับของการวิเคราะห์ นี่หมายความว่าทั้งกระบวนทัศน์เชิงฟังก์ชันและเชิงโครงสร้างเชิงประวัติศาสตร์สามารถมีพลังในการอธิบายและความเกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงสามารถรวมและบูรณาการในกรอบทฤษฎีเชิงอภิมานที่กว้างขึ้นได้ ซึ่งสามารถรวมหน่วยงานและโครงสร้างในการอธิบายการย้ายถิ่นได้พร้อมกัน และยอมรับว่าแรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดในระดับหนึ่ง แต่ก็มีทางเลือกในระดับหนึ่งเช่นกัน

 

หนทางข้างหน้าไม่ใช่การพัฒนาทฤษฎีใหม่ทั้งหมด แต่เพื่อค้นหาแนวคิดและเครื่องมือวิเคราะห์ที่ช่วยให้เราต่อยอดและเชื่อมโยงข้อมูลเชิงลึกที่มาจากทฤษฎีที่มีอยู่ ไม่เพียงแต่ภายในแต่ยังข้ามกระบวนทัศน์อีกด้วย นี่แสดงถึงการปฏิเสธแนวคิดทั่วไปที่ว่าเราไม่สามารถรวมทฤษฎีทางสังคมที่มีพื้นฐานอยู่บนสมมติฐานเชิงกระบวนทัศน์ที่ขัดแย้งกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรารวมคำอธิบายที่ระดับการวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน

 

ตัวอย่างง่ายๆ อาจใช้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องของข้อมูลเชิงลึกจากทั้งทฤษฎีการย้ายถิ่นที่ผูกพันอยู่กับบทบาทหน้าที่และทฤษฎีการย้ายถิ่นเชิงประวัติศาสตร์ จากมุมมองระดับมหภาค การย้ายถิ่นบางรูปแบบดูเหมือนเป็นการเอารัดเอาเปรียบ เช่น การย้ายถิ่นที่ไม่มีเอกสารจากเม็กซิโกไปยังสหรัฐอเมริกา โมร็อกโกไปยังสเปน มาลีไปยังโกตดิวัวร์ เมียนมาร์มาไทย หรืออินโดนีเซียไปยังมาเลเซีย ซึ่งสถานะทางกฎหมายไม่แน่นอนหรือ 'ผิดกฎหมาย' ทำให้นายจ้างสามารถจ้างและไล่แรงงานต่างด้าวออกได้ตามต้องการและจ่ายค่าจ้างต่ำ ในระดับมหภาครูปแบบการย้ายถิ่นที่ 'เอารัดเอาเปรียบ' ดังกล่าว สามารถเพิ่มช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างพื้นที่ต้นทางและปลายทางโดยการจัดหาแรงงานราคาถูกและส่งเสริมผลกำไรและการเติบโตของรายได้ในพื้นที่ปลายทางซึ่งทรัพยากรไหลย้อนกลับไปยังพื้นที่ต้นทาง เช่น การส่งเงินกลับไม่สามารถชดเชยได้ เงื่อนไขการค้าที่ไม่เท่าเทียมกัน ผลผลิตที่สูงขึ้น และเศรษฐศาสตร์ของขนาดสามารถนำไปสู่การกระจุกตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศปลายทางที่ร่ำรวย ควบคู่ไปกับการย้ายถิ่นของคนงานจากประเทศยากจนเพื่อสนับสนุนพวกเขา อย่างไรก็ตาม ในระดับจุลภาค ยังคงสมเหตุสมผลที่ผู้คนจะย้ายถิ่นหากสิ่งนี้เพิ่มรายได้ของครอบครัวอย่างมาก และช่วยให้พวกเขาสร้างบ้าน จ่ายค่ารักษาพยาบาล ส่งลูกไปโรงเรียนหรือเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็ก ความเข้าใจที่สองไม่ได้พิสูจน์ความผิดครั้งแรก – ในทางกลับกัน

 

สิ่งนี้สอดคล้องกับข้อโต้แย้งของ มาสเซย์ และผู้ร่วมงาน (Massey et al. 1993) ซึ่งระบุว่ามีขอบเขตมากที่จะรวมข้อมูลเชิงลึกจากทฤษฎีต่างๆ:

 

ความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับกระบวนการย้ายถิ่นร่วมสมัยไม่สามารถบรรลุได้ด้วยการพึ่งพาเครื่องมือต่างๆ ของสาขาวิชาเดียว หรือโดยเน้นการวิเคราะห์เพียงระดับเดียว แต่ธรรมชาติที่ซับซ้อนและมีหลายแง่มุมของการอพยพ ทำให้ต้องใช้ทฤษฎีที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นการรวบรวมเอามุมมอง ระดับ และสมมติฐานที่หลากหลายเข้าด้วยกัน

 

นักวิจัยด้านการย้ายถิ่นบางคนได้โต้แย้งแนวคิดนี้ ตัวอย่างเช่น เบกเวลล์ (Bakewell 2010) ที่แย้งว่ามาสเซย์กับคณะ (Massey et al.1993) อ้างว่าไม่มีความจำเป็น ความขัดแย้งโดยเนื้อแท้ระหว่างทฤษฎีต่างๆ นั้นยากที่จะประคับประคอง ‘เมื่อพิจารณาถึงรากฐานทางภววิทยาและญาณวิทยา (ontology and epistemology) ที่แตกต่างกันมากของทฤษฎีการย้ายถิ่น โดยพื้นฐานแล้วนี่คือข้อโต้แย้งของสาวกของโธมัส คูห์น (Thomas Kuhn 1922-1996) เกี่ยวกับความไม่สามารถเทียบเคียงของกระบวนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ ดังที่คูห์น (Kuhn 1962) ได้ยืนยันเอาไว้ในหนังสือ structure of scientific revolutions ผู้เสนอกระบวนทัศน์ที่แตกต่างกันจะอาศัยอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน และใช้คำศัพท์และเกณฑ์ที่แตกต่างกันเพื่อกำหนดความชอบธรรมของปัญหาทั้งสองและแนวทางแก้ไขที่เสนอในแง่ของวิธีการและการวิเคราะห์ แต่ละกระบวนทัศน์จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้สำหรับตนเอง และปฏิเสธคำจำกัดความของปัญหา ตลอดจนเกณฑ์การประเมินที่ใช้โดยกระบวนทัศน์อื่น ที่สำคัญ ทัศนะของกลุ่มผู้มีความศรัทธาต่อคูห์นดังกล่าวขัดขวางการรวมกันหรือการเปรียบเทียบข้ามกระบวนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากผู้มีศรัทธาเกี่ยวกับกระบวนทัศน์ที่แตกต่างกันดูเหมือนจะอาศัยอยู่ในฟองฟูแห่งความเป็นจริงขนาดใหญ่ที่เฉพาะแต่สิ่งที่พบวกตนให้ความสนใจ

 

มุมมองของคูห์นมีค่าอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจการสื่อสารที่จำกัด และการขาดการยอมรับและความชื่นชมในหมู่นักสังคมศาสตร์ที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับการแบ่งแยกกระบวนทัศน์ วิธีการ และระเบียบวินัย ยังมีเหตุผลที่ดีที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับการบังคับใช้หลักการที่เทียบไม่ได้ของกลุ่มผู้มีศรัทธาต่อคูห์นกับสังคมศาสตร์อย่างเต็มรูปแบบ ที่สำคัญคูห์นใช้ข้อโต้แย้งของเขาในการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ทฤษฎีทางสังคมมักมีลักษณะตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ที่จะไม่มีความเป็นสากล แต่มีความเฉพาะเจาะจงสำหรับบริบททางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์โดยเฉพาะ การกล่าวอ้างความเป็นสากลเชิงปฏิฐานนิยมของทฤษฎีวิทยาศาสตร์ธรรมชาติส่วนใหญ่จึงไม่อาจขยายไปถึงสังคมศาสตร์ได้ง่ายๆ โดยที่ทฤษฎีต่างๆ จำเป็นต้องได้รับบริบทและจัดทำเป็นประวัติศาสตร์ เพื่อให้มีความหมายและมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการบังคับใช้เฉพาะ ดังนั้น ในวิชาสังคมศาสตร์ ทฤษฎีและกระบวนทัศน์จึงไม่จำเป็นจะต้องแยกจากกันก่อน แต่เสนอคำอธิบายที่แตกต่างกันของปรากฏการณ์ทางสังคมซึ่งมักจะนำมารวมกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากนำไปใช้กับบริบททางประวัติศาสตร์หรือสังคม กลุ่มสังคมหรือระดับการวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน หรือหากพวกเขามองปรากฏการณ์ทางสังคมเดียวกันจากมุมที่มีเนื้อหาสาระ กรอบวิชา  และระเบียบวิธีการ

 

ดังนั้น จึงเป็นอันตรายที่จะใช้หลักการปลอมแปลงของปอปเปอร์ (Falsification Principle นำเสนอโดยคาร์ล ปอปเปอร์ เป็นวิธีการแบ่งแยกวิทยาศาสตร์ออกจากสิ่งที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เป็นการยืนยันว่าบทฤษฎีที่จะถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์นั้น จะต้องสามารถทดสอบและพิสูจน์ได้ว่าเท็จ ตัวอย่างเช่น สมมติฐานที่ว่า "หงส์ทุกตัวเป็นสีขาว" สามารถถูกปลอมได้โดยการสังเกตหงส์ดำ) แบบสุ่มสี่สุ่มห้าเพื่อวิเคราะห์สังคมโลก ตัวอย่างเช่น หากการวิเคราะห์เชิงประจักษ์ดำเนินการภายในบริบทใดบริบทหนึ่ง แสดงว่า 'ตัวแปรทำนาย' แบบคลาสสิกใหม่ เช่น ความแตกต่างของค่าจ้างไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อรูปแบบการย้ายถิ่นเป็นการเฉพาะ นี่ก็ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะปฏิเสธทฤษฎีดังกล่าวทั้งหมด อาจหมายความได้ว่าทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งอาจมีอำนาจอธิบายเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในบริบทนั้น สิ่งนี้ไม่ได้ให้ใบอนุญาตสำหรับการปฏิบัติที่เลอะเทอะของทฤษฎีเฉพาะกิจ 'อะไรก็ได้' แต่ทำให้กรณีนี้กลับมีความแม่นยำในการวิเคราะห์มากขึ้นในการประเมินการบังคับใช้ของทฤษฎีใดๆ อย่างรอบคอบในการตั้งค่าเฉพาะและในระดับการวิเคราะห์เฉพาะ เนื่องจากทฤษฎีมักจะถูกกำหนดขึ้นเพื่ออธิบายรูปแบบเฉพาะของการย้ายถิ่นที่เกิดขึ้นในบริบททางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์โดยเฉพาะ การตระหนักรู้มากขึ้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของทฤษฎีจึงเป็นสิ่งจำเป็นหากเราต้องเข้าใจข้อเรียกร้องและการบังคับใช้เฉพาะ

 

แทนที่จะ 'ปฏิเสธ' หรือ 'ยืนยัน' สมมติฐานและทฤษฎี การวิเคราะห์ทางสังคมจะมีความลึกซึ้งในการตีความและความเกี่ยวข้องทางทฤษฎี หากสิ่งเหล่านี้บ่งชี้ว่าปัจจัยบริบทใดที่อาจอธิบายการสังเกตเชิงประจักษ์ที่คาดหวังหรือไม่คาดคิดบางอย่างได้ การทดลองครั้งเดียวที่ท้าทายกฎความโน้มถ่วงของนิวตันน่าจะเพียงพอแล้วที่จะปฏิเสธทฤษฎีของเขา อย่างไรก็ตาม ตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ในสังคมศาสตร์มักไม่เกี่ยวกับทฤษฎีหนึ่งที่ 'ถูก' หรือ 'ผิด' ที่เป็นการทดสอบความถูกต้องของทฤษฎีทั้งหมดโดยการเสียบตัวแปรทำนาย 'แทน' ทฤษฎีในแบบจำลองการถดถอย ในบริบทนี้การิป (Garip 2012) ยืนยันความถูกต้องว่านักวิจัยด้านการย้ายถิ่นมักจะ 'ลดทฤษฎีไปยังชุดตัวแปรอิสระที่แข่งขันกัน ... [ซึ่ง] ย่อมนำไปสู่จุดยืนเชิงทฤษฎีอย่างใดอย่างหนึ่ง/หรือเชิงทฤษฎี มากกว่าที่จะเน้นที่ความสมบูรณ์ของทฤษฎีต่างๆ' แทนที่จะยึดมั่นในทฤษฎีเอกสิทธิ์อย่างดื้อรั้น ดังนั้น การสร้างทฤษฎีทางสังคมจึงควรเป็นเรื่องที่ผสมผสานกันอย่างแท้จริง ควรเปิดกว้างเพื่อรวบรวมมุมมองทางทฤษฎีต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามพัฒนาให้ครอบคลุม เหมาะสมยิ่งขึ้น และด้วยเหตุนี้ กรอบแนวความคิดนี้จึงจะมีความสมจริงยิ่งขึ้น

 

สรุปแล้ว ทฤษฎีการย้ายถิ่นสามารถนำมารวมกันได้เป็นมิติการวิเคราะห์ 5 แบบ คือ

 

·       ในการวิเคราะห์ระดับต่างๆ คำอธิบายระดับมหภาค มัจฉิมภาค และจุลภาคของการย้ายถิ่นอาจต้องใช้เครื่องมือแนวคิดที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น รูปแบบของการย้ายถิ่นของแรงงานแสวงประโยชน์ที่ดูเหมือนจะเข้าได้กับกระบวนทัศน์มาร์กซิสต์ใหม่ยังคงมีเหตุผลสำหรับผู้อพยพและครอบครัวของพวกเขา

·  ในบริบทที่แตกต่างกัน (ภูมิศาสตร์ ภูมิภาค ระดับชาติ) ตัวอย่างเช่น ทฤษฎีบทบาทหน้าที่แบบคลาสสิกใหม่อาจทำงานได้ดีกว่าในการอธิบายการย้ายถิ่นที่ไม่มีข้อจำกัดในประเทศที่มั่งคั่งกว่า ขณะที่แนวทางเชิงโครงสร้างทางประวัติศาสตร์อาจมีประโยชน์มากกว่าในการอธิบายการย้ายถิ่นภายในและจากประเทศยากจนหรือประเทศที่กำลังพัฒนา หรือเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขของการกดขี่และความรุนแรง

·  ความแตกต่างของกลุ่มสังคม แม้ในช่วงเวลาเดียวกันและในบริบททางภูมิศาสตร์และความเป็นชาติเดียวกัน การย้ายถิ่นเป็นกระบวนการที่สร้างความแตกต่างทางสังคม ทฤษฏีที่ต่างกันจึงมีแนวโน้มที่จะมีระดับการนำไปประยุกต์ใช้กับอาชีพ ทักษะ รายได้ ชนชั้น หรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น สมมติฐานแบบคลาสสิกใหม่อาจอธิบายการอพยพของผู้อพยพที่มีทักษะสูงกว่าได้ค่อนข้างดี ขณะที่ทฤษฎีมาร์กซิสต์ใหม่อาจมีประโยชน์มากกว่าในการทำความเข้าใจการย้ายถิ่นของผู้ปฏิบัติงานที่มีทักษะต่ำและค่อนข้างยากจน

·       ณ เวลาต่างๆ แรงขับเคลื่อนและพลวัตภายในของกระบวนการย้ายถิ่นมักจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามวิถีที่หลากหลาย และเป็น ขั้นตอนต่อเนื่องของการก่อตัวและการเสื่อมของระบบการย้ายถิ่น ดังนั้นจึงต้องนำเอากลไกทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจมาอธิบายการย้ายถิ่นดังกล่าวด้วย ตัวอย่างเช่นการิป (Garip 2012) ระบุผู้อพยพระหว่างเม็กซิโก–สหรัฐอเมริกามีสี่ประเภทที่แตกต่างกันในช่วงปี 19702000 และยืนยันว่าประเภทต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นมากในช่วงเวลาที่กำหนดขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงในทั้งสองประเทศ

·  จากมุมมองเฉพาะเรื่องหรือสาขาวิชาที่แตกต่างกัน เราสามารถพิจารณาการรวมตัวกันของการย้ายถิ่นจากมุมมองการวิเคราะห์ที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น เราสามารถศึกษาว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมกำหนดรูปแบบกระบวนการย้ายถิ่นไปพร้อมๆ กันได้อย่างไร จากมุมมองทางวัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และประชากร ตลอดจนผ่านการใช้วิธีการและข้อมูลที่หลากหลาย สิ่งนี้ให้มุมมองที่แตกต่างกัน – และโดยทั่วไปประกอบกัน – มุมที่จะศึกษาและอธิบายกระบวนการทางสังคมเดียวกัน

 

สิ่งนี้เน้นให้เห็นถึงศักยภาพในการรวมทฤษฎีต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อปรับปรุงความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการย้ายถิ่นข้ามระดับการวิเคราะห์ (และการรวมกลุ่ม) ข้ามบริบท ข้ามกลุ่มสังคม และช่วงเวลาต่างๆ ด้วยวิธีนี้ สาขาวิชา ทฤษฎี และกระบวนทัศน์จะกลายเป็นกรอบการตีความที่สะท้อนถึงวิธีการมองโลกหรือครอบงำสังคมหรือบางช่วงเวลา มุมมองที่แตกต่างกันดังกล่าวสามารถเสริมกันได้ (เมื่อเน้นถึงมิติที่แตกต่างกันของปรากฏการณ์เดียวกัน) หรืออาจดูเหมือนขัดแย้งกัน (เมื่อสมมติฐานพื้นฐานขัดแย้งกัน) แม้ว่าสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการขัดแย้งของสมมติฐานในตอนแรกอาจสะท้อนถึงการนำไปใช้ในบริบท กลุ่มสังคม และระดับการวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน สิ่งนี้แสดงให้เห็นอันตรายจากการยินยอมให้ขบวนการคิด ซึ่งทฤษฎีต่างๆ สามารถกลายเป็นชุดคำสั่งทางปัญญาได้ง่ายกว่าที่จะเป็นกล่องเครื่องมือเชิงแนวคิด สิ่งนี้ควรบังคับให้เราบรรลุความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับบริบททางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และสังคมที่เป็นรูปธรรมซึ่งเกิดการอพยพขึ้น นอกจากนี้ยังเน้นถึงความจำเป็นในการทำลายนิสัยที่ไม่ดีของสาขาวิชาและระเบียบวิธีที่เน้นการศึกษาประเด็นเล็กๆ แคบๆ แทนที่จะมองแบบกว้างๆ

 

การอพยพในฐานะคุณค่าที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

 

ขั้นตอนสำคัญประการแรกในการแสวงหาความเข้าใจเชิงทฤษฎีให้ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับการย้ายถิ่น คือ การเชื่อมโยงทฤษฎีการย้ายถิ่นเข้ากับทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ทั่วไป สิ่งนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการกำหนดแนวความคิดของการย้ายถิ่นฐานในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างๆ ทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม เทคโนโลยี และประชากร ซึ่งรวมอยู่ในแนวคิดต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การพัฒนา และโลกาภิวัตน์ สิ่งนี้มีภาพลักษณ์อยู่ตรงกันข้ามกับมุมมองทางวิทยาศาสตร์แบบเดิมๆ ที่แสดงภาพการย้ายถิ่นว่าเป็นการตอบสนองต่อการพัฒนาที่ไม่สมดุลหรือเป็นหน้าที่ของปัจจัย 'ผลัก' และ 'ดึง' แบบคงที่ ตลอดจนมุมมองนโยบายที่พรรณนาถึงการย้ายถิ่นว่าเป็น 'ปัญหาที่ต้องแก้ไข' หรือ ในทางกลับกันเพื่อแก้ปัญหา เช่น การสูงวัยของประชากร อย่างไรก็ตาม การย้ายถิ่นเป็นกระบวนการทางสังคมที่ไม่สามารถมองเห็นได้โดยแยกออกไปจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงระดับกว้างของสิ่งที่เป็นองค์ประกอบอยู่ภายในนั้น

 

การขยายตัวของเมือง อาจเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในการแสดงจุดพื้นฐานนี้ นับตั้งแต่เริ่มการปฏิวัติอุตสาหกรรม การอพยพย้ายถิ่นและการขยายตัวของเมืองได้กลายเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงกันภายใน ดังนั้นจึงไม่สามารถแยกแนวคิดทั้งสองออกจากกันได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะทำความเข้าใจกระบวนเติบโตของเมืองสมัยใหม่โดยไม่เข้าใจการย้ายถิ่นจากชนบทสู่เมือง เช่นเดียวกับการทำความเข้าใจการย้ายถิ่นจากชนบทสู่เมืองโดยไม่เข้าใจกระบวนการกลายเป็นเมือง สิ่งนี้เผยให้เห็นข้อสันนิษฐานที่มีข้อบกพร่องซึ่งเป็นรากฐานของความพยายามของรัฐในการควบคุมการย้ายถิ่นจากชนบทสู่เมืองผ่านโครงการพัฒนาชนบท เนื่องจากนโยบายดังกล่าวไม่สามารถหยุดกระบวนการในวงกว้างของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการขยายตัวของทุนนิยมซึ่งบ่อนทำลายวิถีชีวิตเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันมีบทบาทมากในการส่งเสริมการเติบโตของเมือง และเปลี่ยนความคิดเรื่อง 'ชีวิตที่ดี' อย่างไม่เปลี่ยนแปลงในหมู่คนรุ่นใหม่ให้ก้าวไปสู่วิถีชีวิตคนเมืองมากขึ้น

ภาพที่ 1 การอพยพในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงสังคมในภาพกว้าง

 

ในขณะที่กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมระดับกว้างได้ก่อให้เกิดการย้ายถิ่น ผ่านการเกิดผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประชากร และการเมือง การย้ายถิ่นบางส่วนก็ส่งผลกระทบต่อกระบวนการเหล่านี้ด้วยตัวของมันเอง ตัวอย่างเช่น การส่งเงินกลับสามารถเพิ่มความไม่เท่าเทียมกันของรายได้และการกีดกันที่เกี่ยวข้องในชุมชนต้นทาง ดังนั้นจึงเป็นการเพิ่มแรงบันดาลใจในการย้ายถิ่นฐาน ขณะที่การย้ายถิ่นฐานขนาดใหญ่อาจส่งผลต่อโครงสร้างและการแบ่งส่วนตลาดแรงงานในประเทศปลายทาง แม้ว่าความสัมพันธ์นี้จะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน แต่ก็มีแนวโน้มที่จะไม่สมดุลกันอย่างมาก เนื่องจากโดยทั่วไปการอพยพไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างที่ลึกซึ้งของสังคมต้นทางและปลายทาง เว้นแต่จะมีสัดส่วนมหาศาลอย่างแท้จริง หรือผู้ตั้งอาณานิคมปราบปรามประชากรพื้นเมืองผ่านกองกำลังทหาร ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันแต่ไม่สมมาตรระหว่างการย้ายถิ่นและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในวงกว้างได้แสดงไว้ในภาพที่ 1

 

การวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการพัฒนาทางเศรษฐกิจมักจะเป็นสิ่งกำหนดรูปแบบการย้ายถิ่นในรูปแบบที่ซับซ้อน และค่อนข้างขัดแย้งกับสัญชาตญาณ ซึ่งเผยให้เห็นถึงความไม่เพียงพอของทฤษฎีการย้ายถิ่นแบบเดิม ในสังคมที่มีรายได้ต่ำ รายได้ที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย การปรับปรุงการศึกษา การขยายโครงสร้างพื้นฐาน การขยายตัวของเมือง และการเปลี่ยนแปลงร่วมกันจากระบบเศรษฐกิจเกษตรกรรมไปสู่อุตสาหกรรมและการบริการ เหล่านี้จะมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับระดับของการย้ายถิ่นทั้งภายในและระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า เป็นเบื้องต้นของการพัฒนาที่จะนำไปสู่การย้ายถิ่นมากขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว เมื่อสังคมร่ำรวยขึ้นและพื้นที่ส่วนใหญ่กลายเป็นเมืองแล้ว การย้ายถิ่นออกจึงจะมีแนวโน้มลดลงและการอพยพย้ายถิ่นเข้ามาจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น หลังจากนั้นสังคมเปลี่ยนจากการเป็นผู้อพยพสุทธิไปเป็นประเทศที่มีคนเข้าเมืองสุทธิ การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่หรือการย้ายถิ่นดังกล่าวถูกตั้งสมมติฐานครั้งแรกโดยเซลิงสกี (Zelinsky 1971) และอธิบายเพิ่มเติมโดยสเกลดอน (Skeldon 1990, 1997) ในปี 2010 เดอ ฮาส ได้อธิบายคำอธิบายเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับกลไกทางสังคมที่สนับสนุนการเกิดการเปลี่ยนผ่านของการย้ายถิ่น และจากการใช้ข้อมูลใหม่ เดอ ฮาส ได้ทำการทดสอบครั้งแรกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างระดับการพัฒนาและระดับของการย้ายถิ่นฐานและการย้ายถิ่นฐานระดับโลก การวิเคราะห์เชิงประจักษ์เหล่านี้ยืนยันถึงการทฤษฎีเปลี่ยนผ่านการย้ายถิ่น (migration transition theory) และได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติมโดยการศึกษาในภายหลัง การศึกษาทางประวัติศาสตร์ เช่น การอพยพของชาวยุโรปไปยังโลกใหม่ ระหว่างปี 1850-1914 ดูเหมือนจะยืนยันรูปแบบการเปลี่ยนผ่านเช่นกัน

 

ความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นเส้นตรงระหว่างระดับการพัฒนาและการย้ายถิ่นนั้นเป็นประเด็นท้าทายอย่างชัดเจนกับทฤษฎีการอพยพและทฤษฎีการย้ายถิ่นเชิงโครงสร้างทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนแบบจำลองการผลัก-ดึงด้วย ซึ่งทั้งหมดได้แสดงออกมาโดยนัยหรือโดยชัดแจ้งว่า การลดความยากจนและช่องว่างทางเศรษฐกิจ จะทำให้การย้ายถิ่นลดลง โดยทั่วไปแล้ว ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้เน้นให้เห็นถึงความจำเป็นในการกำหนดแนวคิดเรื่องการย้ายถิ่นเป็นกระบวนการทางสังคมตามปกติ ตราบใดที่สังคมเปลี่ยนแปลง (ซึ่งพวกเขาทำอยู่เสมอ) การแบ่งชั้นทางสังคมยังคงมีอยู่ (ซึ่งมีโอกาสเท่าเทียมกัน) และผู้คนต้องผ่านช่วงหนึ่งของชีวิต (ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้) ผู้คนก็จะย้ายถิ่นและตั้งถิ่นฐานกันต่อไป เมื่อสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง การย้ายถิ่นจึงควรถูกมองว่าเป็นกระบวนการปกติ แทนที่จะถูกมองว่าเป็นกระบวนการที่ไม่พึงปรารถนาหรือเป็นที่ต้องการในเชิงบรรทัดฐาน (ในการโต้วาทีในที่สาธารณะ) เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามของการพัฒนา (เช่นในเรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์-โครงสร้าง) หรือตามที่ การตอบสนองชั่วคราวส่วนใหญ่ต่อความไม่สมดุลของการพัฒนา (เช่นมุมมองแบบคลาสสิกใหม่) คำถามเชิงทฤษฎีที่เกี่ยวข้องจึงไม่ใช่คำถามที่ว่า 'เหตุใดผู้คนจึงเคลื่อนย้าย' (ซึ่งมีแนวโน้มที่จะให้คำซ้ำซากทั่วไปและค่อนข้างไม่มีความหมายของประเภท 'ผลัก-ดึง') แต่กลับเป็นคำถามที่ว่ารูปแบบและประสบการณ์ของการย้ายถิ่นถูกหล่อหลอมโดยกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในวงกว้างได้อย่างไร

 

การสร้างกรอบคิดที่เป็นโครงสร้างและองค์กรของกระบวนการอพยพ

 

ปัญหาหลักของการใช้ทฤษฎีการย้ายถิ่นทั่วไปมาอธิบายปรากฎการณ์ที่พบเห็นอยู่ ยังคงไม่สามารถให้แนวคิดที่มีความหมายว่าที่ชัดเจนว่าผู้ย้ายถิ่นแต่ละรายและกลุ่มของผู้ย้ายถิ่นใช้องค์กรภายในข้อจำกัดเชิงโครงสร้างระดับกว้างอย่างไร เนื่องจากความเป็นศูนย์กลางการวิเคราะห์ของเราเอง และเนื่องจากความสับสนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเกี่ยวกับการให้ความหมาย จึงจำเป็นต้องกำหนดเงื่อนไขหลักขององค์กรและโครงสร้าง โดยองค์กรที่ว่านี้สะท้อนถึงความสามารถที่มีอยู่อย่างจำกัดของมนุษย์ (หรือกลุ่มสังคม) ในการตัดสินใจเลือกอย่างอิสระและกำหนดสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น และด้วยเหตุนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่หล่อหลอมและจำกัดโอกาสหรือเสรีภาพของผู้คน โครงสร้างสามารถกำหนดเป็นรูปแบบของความสัมพันธ์ทางสังคม ความเชื่อ และพฤติกรรม ปัจจัยและสถาบันต่างๆ เช่น ชนชั้น ศาสนา เพศสภาพ ชาติพันธุ์ โครงข่าย และตลาด ตลอดจนระบบความเชื่อทางวัฒนธรรม ล้วนแล้วแต่เป็นตัวตรึงความไม่เท่าเทียมกันและลำดับชั้นทางสังคม และจำกัดโอกาสหรือการรับรู้ที่ผู้คนมีอยู่ และทรัพยากรทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมซึ่งพวกเขาสามารถเข้าถึงได้ ดังนั้น จึงเป็นการจำกัดเสรีภาพหรือความเป็นองค์กรอย่างมีนัยสำคัญ รวมไปถึงความคิด ความรู้ และความตระหนักต่อตนเองด้วย

 

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ทฤษฎีเชิงโครงสร้างทางประวัติศาสตร์มีแนวโน้มที่จะพรรณนาให้เห็นว่าแรงงานข้ามชาติเป็นผู้ถูกกระทำหรือตกเป็นเหยื่อ ซึ่งถูกผลักดันด้วยพลังมหภาคของระบบทุนนิยมให้เคลื่อนย้ายไปทั่วโลก เนื่องจากพวกเขามุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมของผู้ย้ายถิ่นแต่ละราย และอาจมองว่าเป็นตัวการมาตั้งแต่แรก ทฤษฎีบทบาทหน้าที่มักจะโต้แย้งในสิ่งเดียวกัน และไม่ได้กำหนดอะไรมากมาย หากมีองค์กรที่แท้จริง และด้วยเหตุนี้ องค์กรจึงมีอำนาจอย่างมากต่อผู้อพยพ แบบจำลองที่ว่าด้วยแรงผลัก-ดึงและแบบจำลองคลาสสิกใหม่ (แบบหลังที่ยืมมาจากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ) โดยทั่วไปจะตั้งสมมุติฐานว่าผู้คนจะย้ายถิ่น หากมีผลประโยชน์ของการย้ายถิ่นเกิดขึ้นเกินต้นทุน สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงข้อสันนิษฐานที่ว่าผู้คนมีแรงจูงใจจากการคำนวณต้นทุนและผลประโยชน์ส่วนบุคคล โดยมุ่งเป้าไปที่การเกิดรายได้หรือประโยชน์ใช้สอยสูงสุด และจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกหรือปัจจัยที่เป็นแรงผลักและดึงแบบอัตโนมัติ  เป็นแบบเดียวกัน และสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ อย่างที่ฝังตรึงอยู่ในความหมายของคำศัพท์ 'ผลัก-ดึง' ซึ่งจำเป็นจะต้องปฏิเสธสิ่งนี้เพื่อที่จะช่วยลดสถานะของการเคยเป็นผู้คนไปสู่การเป็นเพียงแค่วัตถุที่ทำงานอยู่ในสุญญากาศทางสังคม และเป็นผู้ไร้เจตจำนง การรับรู้ และความชอบของตนเอง หากแต่เป็นผู้มีความสามารถในการเลือกอย่างแข็งขันและเป็นส่วนตัวระหว่างตัวเลือกต่างๆ ทฤษฎีบทบาทหน้าที่และการประยุกต์ใช้เชิงประจักษ์ที่เน้นตัวผู้แสดง เช่น แบบจำลององค์กรตัวการ (agent-based model) ควรจะมีความลึกซึ้งเพียงใด ดังนั้นจึงไม่ถูกระบุอย่างผิดพลาดว่าเป็นทฤษฎีองค์กร

 

ทฤษฎีการย้ายถิ่นแบบเดิมๆ มักจะมองข้ามประเด็นสำคัญเกี่ยวกับองค์กรการย้ายถิ่น 5 ประการ ประการแรก การเข้าถึงทรัพยากรทางเศรษฐกิจ (ที่เน้นวัตถุ) สังคม (ที่มีบุคคลอื่นหลายคนเข้ามา) วัฒนธรรม (ความคิด ความรู้ และทักษะ) และทรัพยากรทางร่างกาย (สุขภาพที่ดี สภาพร่างกาย และที่อยู่อาศัย) ทรัพยากรเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดความสามารถในการเคลื่อนย้าย (หรือในทางกลับกัน ความสามารถในการอยู่อาศัย ณ ที่เดิม) ความชอบและแรงบันดาลใจของพวกเขา (จะอยู่หรือไป) ทางเลือกที่เป็นจุดหมายปลายทาง และความสามารถในการได้งาน ที่พักอาศัย การศึกษา และสถานะทางกฎหมาย ในขณะที่จะสามารถปกป้องและคุ้มครองตนเองจากการถูกล่วงละเมิดและการแสวงประโยชน์ เนื่องจากลำดับชั้นทางสังคมและความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้าง การเข้าถึงทรัพยากรการอพยพดังกล่าวจึงกระจายอย่างไม่เท่าเทียมกันภายในและระหว่างชุมชนและสังคม

 

ประการที่สอง การรับรู้ของผู้คนเกี่ยวกับ 'ชีวิตที่ดี' มีความแตกต่างกัน ทำให้แรงบันดาลใจในชีวิตของพวกเขาแตกต่างกันไปตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรม นอกจากนี้ ความทะเยอทะยานดังกล่าวยังมีลักษณะไม่แน่นอนและมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงเมื่อผู้คนดำเนินชีวิตไปตามวิถีทางชีวิตของพวกเขาและเมื่อสังคมเปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับแรงบันดาลใจในชีวิตส่วนตัวของผู้คน รวมถึงการรับรู้เกี่ยวกับโอกาสของบุคคลเกี่ยวกับการอพยพหรือไม่อพยพอยู่ที่นี่และที่นั่นพวกเขาอาจจะหรืออาจจะไม่พัฒนาความปรารถนาที่จะย้ายถิ่นฐาน ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดที่จะสรุปว่ากลุ่มทางสังคมที่ไม่เหมือนกันจะพัฒนาความปรารถนาและแนวโน้มที่คล้ายกันในการอพยพ แม้ว่าจะได้เปิดรับหรือสัมผัสกับปัจจัยภายนอกหรือสิ่งเร้าหรือปัจจัย 'ผลักและดึง' ที่คล้ายคลึงกัน

 

ประการที่สาม ผู้คนจะไม่ย้ายถิ่นออกจากความปรารถนาของการไปให้บรรลุระดับความมั่งคั่งหรือมาตรฐานการครองชีพตามที่ต้องการ แต่อาจเห็นคุณค่าของการย้ายถิ่นด้วยเหตุผลที่แท้จริงมากขึ้น เช่น ความเร่าร้อน ความอยากรู้อยากเห็น และความปรารถนาที่จะหลุดพ้นและค้นพบอะไรใหม่ๆ ที่ตรงขอบฟ้า ซึ่งหมายความว่า ไม่เพียงแค่การทำงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคุณค่าที่แท้จริงที่เป็นอัตตาซึ่งผู้คนกำหนดให้เคลื่อนย้ายควรมีตำแหน่งที่จริงจังอยู่ในทฤษฎีการย้ายถิ่น ในสังคมต่างๆ ตามห้องเวลาในประวัติศาสตร์ คนหนุ่มสาวมักมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะออกจากบ้าน – อย่างน้อยก็ชั่วคราว – ด้วยเหตุผลหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการทางสังคมและจิตวิทยาที่ต้องการจะแยกตัวจากพ่อแม่ของพวกเขา เพื่อพิสูจน์ความเป็นอิสระของพวกเขาและเป็นการสร้างเครื่องหมายแสดงการเปลี่ยนไปสู่วัยผู้ใหญ่ ช่องว่างปี และวันหยุดทำงานไม่จำเป็นต้องเป็นอภิสิทธิ์เฉพาะของเยาวชนตะวันตกที่มีสิทธิพิเศษ แต่ยังสามารถถูกมองว่าเป็นการแสดงออกที่ทันสมัยของความปรารถนาที่แท้จริงที่เป็นสากลมากขึ้นของคนหนุ่มสาวจำนวนมาก ที่จะเคลื่อนย้ายและค้นพบโลกใหม่ – ก่อนที่จะลงหลักปักฐาน แบร์เรียนและคณะ (Berriane et al. 2013) เคยสังเกตว่าผู้อพยพในแถบซับซาฮาราจำนวนไม่น้อยในโมร็อกโกกำหนดกรอบการเดินทางของพวกเขาในแง่ของการผจญภัยและความปรารถนาที่จะทดลองไปใช้ชีวิตในที่อื่น ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ควรถูกรวมให้เข้าไปอยู่ในหมวดหมู่แบบที่เคยจัดเตรียมเอาไว้โดยอัตโนมัติ หรือถูกจัดให้เป็นผู้อพยพทางเศรษฐกิจหรือผู้ลี้ภัยที่เป็นคนชายขอบหรือคนสิ้นหวัง

 

ประการที่สี่ ทฤษฎีการย้ายถิ่นตามแบบแผนดั้งเดิมที่ประสบกับความล้มเหลวในการรวมการเคลื่อนย้ายและการไม่เคลื่อนย้ายเข้าไว้ในกรอบแนวคิดเดียวกัน นี่เป็นสิ่งจำเป็นเพราะการเคลื่อนย้ายเป็นบรรทัดฐานมากพอๆ กับการใช้ชีวิตอยู่ประจำที่ และหลายคนก็มีประสบการณ์กับทั้งสองสิ่งนี้ตลอดช่วงชีวิตของพวกเขา วิถีชีวิตแบบอยู่ประจำที่สมัยใหม่ถือเป็นการอยู่อาศัย แต่การเปลี่ยนถิ่นที่อยู่ต้องมีการย้ายถิ่นฐาน หมายความว่าจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการย้ายถิ่นภายในกรอบทฤษฎีที่กว้างขึ้น ซึ่งรวมถึงการเคลื่อนย้ายแบบไม่อพยพและความปรารถนาของผู้คนในการย้าย ตลอดจนอยู่นิ่งไม่เคลื่อนย้าย และมีที่ที่สามารถพักอาศัยอยู่ต่อไปได้

 

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด สิ่งสำคัญคือต้องเชื่อมโยงการแบ่งแยกระหว่างการศึกษาการอพยพที่เกิดขึ้นด้วยความสมัครใจและการอพยพที่ถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐาน แม้ว่าแรงงานข้ามชาติแทบทุกคนต้องเผชิญกับข้อจำกัดในระดับหนึ่ง แต่ผู้อพยพที่ถูกบังคับ ก็มีสิทธิ์ในระดับหนึ่งเช่นกัน มิฉะนั้น พวกเขาจะไม่สามารถย้ายถิ่นฐานได้ตั้งแต่แรก ผู้ลี้ภัยใช้สิทธิ์เสรีของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้แม้ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่น่าสยดสยอง ภายใต้เงื่อนไขสุดโต่ง เช่น การเป็นทาสและการเนรเทศ ซึ่งองค์กรอาจถูกลดหย่อนเกือบทั้งหมดหรือทั้งหมด ในทางกลับกัน ผู้อพยพส่วนใหญ่มักถูกมองว่าเป็นความสมัครใจ แต่ก็ต้องเผชิญกับข้อจำกัดมากมายเช่นกัน ตัวอย่างเช่น แรงงานข้ามชาติจำนวนมากที่ส่วนใหญ่ย้ายไปทำงานที่พวกเขาต้องทำเช่นนั้นเนื่องจากต้องเผชิญกับข้อจำกัดที่รุนแรงในการพัฒนาตนเองที่บ้านเกิดเมืองนอน และตัวเลือกในการย้ายถิ่นที่หลากหลายของพวกเขามักจะถูกจำกัดด้วยข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม

 

ความจริงที่ว่าผู้ย้ายถิ่นทุกคนต้องเผชิญกับความท้าทายของข้อจำกัดจากการแบ่งขั้วแบบเดิมระหว่างการย้ายถิ่นแบบที่ถูกบังคับและการย้ายถิ่นแบบสมัครใจ จึงดูเหมาะสมกว่าที่จะนึกถึงความต่อเนื่องที่วิ่งจากข้อจำกัดต่ำถึงสูงภายใต้การโยกย้ายที่เกิดขึ้น แทนที่จะใช้การจำแนกประเภทการบังคับและการย้ายถิ่นโดยสมัครใจไปสู่ความเป็นจริงที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งทุกคนต้องรับมือกับข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง ถึงแม้ว่าจะมีระดับที่แตกต่างกันอย่างมาก ด้วยวิธีนี้ การจำแนกประเภทแบบลดขนาดและการแบ่งแยกระหว่างการย้ายถิ่นแบบที่ถูกบังคับและแบบสมัครใจ สามารถเอาชนะหรือปรับให้เหมาะสมยิ่งขึ้นได้ ในลักษณะที่ทำให้เราสามารถรวมการย้ายถิ่นฐานแทบทุกรูปแบบเข้าไว้ในกรอบแนวคิดที่ครอบคลุมหลายๆ อย่างเอาไว้ภายในเพียงกรอบเดียว

 

การจัดการกับความท้าทายทั้งห้าประการนี้ จำเป็นต้องมีการอธิบายแนวคิดใหม่เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายของมนุษย์เพิ่ม ซึ่งสามารถอธิบายได้ทั้งองค์กรและโครงสร้างพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม การพูดง่ายกว่าการทำอยู่แล้ว และคำถามสำคัญคือแล้วจะต้องทำอย่างไรในทางปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุสิ่งนี้ ต่อไปนี้จะโต้แย้งว่าแนวคิดเชิงทฤษฎีการย้ายถิ่นที่เชื่อมโยงกันตามหน้าที่ของ แรงบันดาลใจและศักยภาพการเคลื่อนย้ายด้วยการ 1) ขยายแนวคิดเชิงทฤษฎีของการเคลื่อนย้ายของมนุษย์ให้ครอบคลุมการเคลื่อนย้ายและการไม่เคลื่อนย้าย 2) ปรับปรุงศักยภาพและความสามารถของเรา เพื่อพัฒนาความเข้าใจที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นและเป็นจริงมากขึ้น เกี่ยวกับวิธีการที่การเปลี่ยนแปลงระดับมหภาคจะส่งผลต่อองค์กรการย้ายถิ่นของผู้คน และ 3) ช่วยให้เราสามารถอธิบายหมวดหมู่การย้ายถิ่นและการเคลื่อนย้ายใหม่ที่เกิดจากทฤษฎีได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้น

 

การอพยพในฐานะที่เป็นบทบาทหน้าที่ของศักยภาพและแรงบันดาลใจ


ในปี 2002 ยอร์เกน คาร์ลิง (Jørgen Carling 1974 - ) ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับบทบาทของแรงบันดาลใจและศักยภาพในกระบวนการย้ายถิ่น เขาแนะนำแนวคิดเรื่อง 'การไม่เคลื่อนย้ายอย่างไม่สมัครใจ' เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่มีความปรารถนาของผู้คนที่จะเข้ามาอาศัยอยู่ในเคปเวิร์ดเพิ่มมากขึ้น (และประเทศที่ยากจนกว่าโดยทั่วไป) แต่กลับไม่มีความสามารถในการอพยพ (Carling 2002) การวิเคราะห์กรณีการอพยพในช่วงสงครามในประเทศโมซัมบิก ลูบเกมันน์ (Lubkemann 2008) ยังใช้แนวคิดเรื่องการไม่สามารถเคลื่อนย้ายแบบไม่สมัครใจเพื่อยืนยันว่า การรวมตัวของการย้ายถิ่นตามปกติด้วยการกระจัดกระจายปกปิดผู้คนจำนวนมากที่ต้องพลัดถิ่นผ่านการตรึงไม่ให้เคลื่อนย้ายแบบไม่สมัครใจ เพราะสงครามจะกักขังพวกเขาเอาไว้ในสถานที่ที่พวกเขาต้องการจะจากไป แม้ว่าแนวคิดนี้จะถูกนำไปใช้กับสังคมต้นทางเป็นหลัก แต่ก็สามารถใช้ได้กับการไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้โดยไม่สมัครใจ เพื่ออธิบายสถานการณ์ในสถานที่ปลายทางเมื่อผู้อพยพที่เดินทางกลับไม่สามารถกลับไปได้ เนื่องจากขาดทรัพยากร การควบคุมชายแดน หรือมีสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยในประเทศต้นทาง นอกจากนี้ ยังอาจอธิบายสถานการณ์ที่ผู้ย้ายถิ่น ระหว่างทางที่ถูกเคลื่อนย้ายไม่ได้ หากพวกเขาต้องติดอยู่ อันเป็นผลมาจากการขาดทรัพยากร ความรุนแรง การควบคุมชายแดน หรือการรวมกันของสิ่งเหล่านี้

 

ความแตกต่างอย่างเป็นระบบระหว่างความสามารถ (หรือศักยภาพ) และแรงบันดาลใจที่จะย้าย ช่วยให้สามารถทำการจัดหมวดหมู่การย้ายถิ่นได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เหมาะสมยิ่งขึ้น และเป็นจริงมากขึ้น สิ่งนี้ยังสอดคล้องกับงานภาคสนามของเดอ ฮาส ในโอเอซิสทางตอนใต้ของประเทศโมร็อกโกระหว่างปี 1993-1994 (de Haas 1995, 1998) และระหว่าง 1998-2000 (de Haas 2003, 2006) ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เดอ ฮาส พัฒนาวิธีการอื่นในการย้ายถิ่นตามทฤษฎี เนื่องจากการย้ายถิ่นแบบธรรมดา ทฤษฎีต่างๆ ทำให้ฉันรู้สึกว่าค่อนข้างไร้ประโยชน์ในการอธิบายพลวัตการย้ายถิ่นที่สังเกตเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการทำงานภาคสนามในหุบเขาทอดกาทางตอนใต้ของประเทศโมร็อกโก (de Haas 2003, 2006) เดอ ฮาส ต้องพบกับปริศนาต่อไปนี้ ที่แม้ว่ารายได้และสภาพความเป็นอยู่ทั่วไปจะดีขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การอพยพออกจากหุบเขาทอดกาไปยังเมืองใหญ่ในโมร็อกโก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอพยพไปยังประเทศต่างๆ ในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นประเทศฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสเปน ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่ลดละ สิ่งนี้ไม่เข้ากันเลยในทฤษฎีการย้ายถิ่นแบบคลาสสิกใหม่และแบบจำลองการผลัก-ดึง ซึ่งคาดการณ์ว่าการย้ายถิ่นฐานจะลดลงอันเป็นผลมาจากมาตรฐานการครองชีพในท้องถิ่นที่ดีขึ้น

 

สิ่งนี้เป็นแรงจูงใจให้เดอ ฮาส นำแนวคิดเกี่ยวกับ “แรงบันดาลใจและศักยภาพ” มาใช้เป็นเครื่องมือทางทฤษฎี ทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังสังเกตได้ดีขึ้น (de Haas 2003, 2006, 2014b) เดอ ฮาส เสนอว่าแม้ว่าสภาพความเป็นอยู่ในท้องถิ่นจะดีขึ้นอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่แรงบันดาลใจในชีวิตโดยทั่วไปของผู้คนก็เพิ่มขึ้นเร็วขึ้น ซึ่งนำไปสู่แรงบันดาลใจในการอพยพย้ายถิ่นฐานที่เพิ่มขึ้น การศึกษาที่ดีขึ้น การเปิดรับสื่อที่เพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับ "แบบอย่าง" ของผู้อพยพที่กลับมาให้พบเห็นเป็นประจำ และการเปิดเผยความมั่งคั่งของพวกเขาล้วนมีส่วนทำให้เห็นถึงความสำคัญของวัตถุนิยมเพิ่มมากขึ้นและเปลี่ยนแรงบันดาลใจทางสังคมของผู้คนที่อาศัยอยู่ในหุบเขาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการย้ายถิ่นฐานระหว่างประเทศมีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับความสำเร็จด้านวัตถุและสังคม จนทำให้เด็กจำนวนมากหมกมุ่นอยู่กับความปรารถนาที่จะเดินทางออกจากบ้านเกิดเมืองนอนออกไป นอกจากนี้ 'วัฒนธรรมการย้ายถิ่น'  ยังมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับแนวคิดเรื่อง 'ชีวิตที่ดี' และความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นกับวิถีชีวิตชาวไร่แบบดั้งเดิม ดังนั้น แรงบันดาลใจที่เพิ่มขึ้นและศักยภาพในการย้ายถิ่น จึงเป็นแรงบันดาลใจและทำให้ผู้คนจำนวนมากเดินทางออกจากหุบเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามของการปรับปรุงที่สำคัญในมาตรฐานการครองชีพ รายได้ และการศึกษาในท้องถิ่น

 

ประเด็นโต้แย้งหลักของบทความนี้ คือ ข้อมูลเชิงลึกที่กระจัดกระจายจากทฤษฎีที่อยู่ในสาขาวิชาต่างๆ สามารถถูกนำมาบูรณาการเข้าไว้ในกรอบทฤษฎีเชิงอภิมานผ่านการสร้างแนวคิดแทบทุกรูปแบบของการย้ายถิ่นตามหน้าที่ของแรงบันดาลใจและศักยภาพในการโยกย้ายภายในชุดของโครงสร้างโอกาสทางภูมิศาสตร์ที่สามารถรับรู้ได้

 

·  แรงบันดาลใจในการย้ายถิ่นเป็นหน้าที่ทั่วไปอย่างหนึ่งของแรงบันดาลใจในชีวิตของผู้คน และเป็นโครงสร้างเกี่ยวกับโอกาสทางภูมิศาสตร์ที่สามารถรับรู้ได้ของผู้คน

·       ศักยภาพในการย้ายถิ่นจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเสรีภาพเชิงบวก (เป็นอิสรภาพในการทำตามความปรารถนาของตนเอง) และเสรีภาพเชิงลบ (เป็นอิสรภาพที่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการ)

 

แนวความคิดเกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการอพยพเป็นการขยายแนวคิดเกี่ยวกับองค์กรการย้ายถิ่นไปสู่ขอบเขตของอัตตภวะ (subjective realm)  ด้วยการกล่าวถึงข้อบกพร่องที่สำคัญของทฤษฎีบทบาทหน้าที่และเชิงโครงสร้างทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสันนิษฐานว่าผู้คนตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกในรูปแบบที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ และสามารถคาดเดาได้ ในมุมมองนี้ แรงบันดาลใจในการอพยพจะสะท้อนถึงความชอบทั่วๆ ไปในชีวิตของผู้คน ตลอดจนการรับรู้ส่วนตัวเกี่ยวกับโอกาสและชีวิตในที่อื่นๆ ดังนั้นทั้งชีวิตทั่วไปและแรงบันดาลใจในการอพยพที่เฉพาะเจาะจงจึงเป็นผลกระทบมาจากวัฒนธรรม การศึกษา นิสัยส่วนตัว การระบุตัวตน สารสนเทศ และภาพที่ผู้คนถูกเปิดเผยออกมา

 

แรงบันดาลใจเป็นประเด็นทางด้านแนวความคิดที่ชัดเจน แม้ว่าในเชิงประจักษ์จะไม่เป็นอิสระจากศักยภาพก็ตาม ตัวอย่างคือ การศึกษาในพื้นที่ชนบท ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยขยายทักษะและความรู้ของผู้คนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความตระหนักของผู้คนเกี่ยวกับทางเลือก รสนิยมการบริโภค วิถีชีวิตในเมือง หรือวิถีชีวิตในต่างประเทศ สิ่งนี้มักจะเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับ 'ชีวิตที่ดี' ของผู้คน และพวกเขาอาจเริ่มปรารถนาที่จะย้ายถิ่นฐานในภายหลัง ส่วนหนึ่งเป็นไปเพราะต้องการเป็นอิสระจากเหตุผลที่เป็นวัตถุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดมาจากบ้าน อย่างไรก็ตาม การศึกษาอาจเพิ่มแรงบันดาลใจในทางที่ต่างออกไป เพราะอาจทำให้วัยรุ่นและคนหนุ่มสาวเริ่มคิดว่าสิ่งเหล่านี้ แท้จริงแล้ว วิถีทางวัตถุและวัฒนธรรมใหม่ๆ อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดเรื่อง 'ศักยภาพแห่งแรงบันดาลใจ (capacity of aspire)

 

ด้วยวิธีนี้ ศักยภาพที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจด้วย โดยทั่วไปแล้ว ความชอบมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลง และความปรารถนาทางวัตถุและการบริโภคมักจะเพิ่มขึ้นพร้อมกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทุนนิยมและความทันสมัย อย่างไรก็ตาม ขอบเขตของการเปลี่ยนแปลงความชอบจะถูกเปลี่ยนไปเป็นแรงบันดาลใจในการอพยพได้ ขึ้นอยู่กับระดับที่ผู้คนรับรู้ความต้องการและความปรารถนาส่วนตัวของพวกเขาว่าจะสามารถบรรลุผลได้ในท้องถิ่นได้หรือไม่อย่างไร ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การเข้าถึงแนวคิดใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นผ่านการศึกษาและการสื่อสารมักจะเปลี่ยนความคิดของผู้คนเกี่ยวกับ 'ชีวิตที่ดี' ในลักษณะที่ทำให้พวกเขาปรารถนาที่จะสำรวจขอบฟ้าใหม่ๆ และย้ายออกจากพื้นที่ชนบทไปสู่เมืองหรือเมืองต่างๆ หรือดินแดนต่างประเทศ

 

คุณค่าที่แท้จริงของแรงบันดาลใจในการอพยพ

 

สิ่งสำคัญ คือ ต้องแยกแยะเครื่องมือและมิติที่แท้จริงของแรงบันดาลใจในการย้ายถิ่นฐาน กล่าวคือ ช่องว่างภายในแต่ละปีและการโยกย้ายตามวิถีชีวิตเป็นตัวอย่างของสิ่งหลัง ขณะที่การย้ายถิ่นของแรงงานและนักเรียนเป็นตัวอย่างของการเคลื่อนย้ายในอดีต แม้ว่าในทางปฏิบัติ แรงบันดาลใจภายในและแรงบันดาลใจด้านเครื่องมือ อาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และมักจะส่งเสริมซึ่งกันและกัน แรงบันดาลใจด้านเครื่องมือได้รับความสนใจมากที่สุดในการวิจัยและเกี่ยวข้องกับการย้ายถิ่นในฐานะที่เป็นบทบาทหน้าที่หรือเครื่องมือที่มีประโยชน์ เพื่อบรรลุผลลัพธ์สุดท้ายที่ต้องการอย่างอื่น เช่น รายได้ที่สูงขึ้น สถานะทางสังคมที่สูงขึ้น การดูแลสุขภาพที่ดีขึ้น การศึกษาที่ดีขึ้น หรือในกรณีการได้รับความคุ้มครองจากการประหัตประหารและความรุนแรงของผู้ลี้ภัย แรงบันดาลใจที่แท้จริง หมายถึง คุณค่าที่ผู้คนอาจยึดถือกับประสบการณ์การย้ายถิ่นในและตัวมันเอง เช่น ความสนุกสนานและความยินดีปรีดาที่ได้จากการค้นหาและค้นพบสังคมใหม่ๆ การได้เห็นแสงสว่างของเมือง หรือประสบบารมีทางสังคมที่เชื่อมโยงกับการพิสูจน์ตนเองและอดทนต่อความทุกข์ทรมานและรับความเสี่ยงที่มักเกี่ยวข้องกับการย้ายถิ่น - ที่จะถูกมองว่าเป็นชาย (หรือหญิง) ที่แท้จริงของโลก หรือสถานะทางสังคม การยอมรับ และความเคารพที่มักจะมา ด้วยความสามารถในการหาเลี้ยงครอบครัว

 

ผู้คนยังสามารถได้รับความเป็นอยู่ที่ดีจากการมีศักยภาพในการเข้าถึงเสรีภาพในการเคลื่อนย้าย โดยไม่คำนึงว่าผู้คนจะใช้เสรีภาพเหล่านี้หรือไม่ก็ตาม แนวความคิดหลักคือ การตระหนักรู้ถึงการมีเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายและการย้ายถิ่นสามารถเพิ่มความพึงพอใจในชีวิตของผู้คนได้ เช่นเดียวกับเสรีภาพในการพูดและศาสนา สิทธิในการจัดเดินขบวนประท้วงหรือลงสมัครรับตำแหน่งสามารถส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนได้ โดยไม่คำนึงว่าพวกเขาจะใช้เสรีภาพเหล่านั้นในที่สุดหรือไม่ ในทางกลับกัน หากผู้คนไม่ได้รับอิสระเช่นนี้ พวกเขามักจะประสบกับสิ่งนี้ในรูปแบบของการกีดกันที่ลดคุณภาพชีวิต ตัวอย่างเช่น ชาวโมร็อกโกอายุน้อยหลายคนอธิบายว่าประเทศของตนเป็น 'คุก' เนื่องจากข้อจำกัดในการอพยพของชาวยุโรป ในแง่ของคาร์ลิง (Carling 2002) พวกเขารู้สึกติดอยู่ในการไม่เคลื่อนย้ายด้วยความไม่สมัครใจ นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอพยพทั้งหมดหากได้รับโอกาส แต่ความรู้สึกของการกีดกันนั้นเป็นเรื่องจริง

 

ดังนั้น กำแพงชายแดนหรือข้อจำกัดด้านการย้ายถิ่นอื่นๆ อาจกระตุ้นให้เกิดความปรารถนาไปอีกด้านหนึ่ง โดยสร้างความหลงใหลในการออกไปทันทีที่มีโอกาส ในขณะที่สิทธิในการเคลื่อนย้ายโดยสมบูรณ์อาจทำให้ความปรารถนาดังกล่าวลดลงอย่างขัดแย้งกัน ก่อนที่สเปนจะเปิดตัววีซ่าท่องเที่ยวสำหรับชาวโมร็อกโกในปี 1991 เป็นเรื่องปกติที่คนหนุ่มสาวชาวโมร็อกโกจะเดินทางเข้าไปใช้เวลาสองสามเดือน (ฤดูร้อน) หรือหลายปีในสเปน ซึ่งมักเป็นไปตามแรงจูงใจที่หลากหลายทั้งการท่องเที่ยว ความเพลิดเพลิน และการทำงาน การมีข้อแนะนำในการขอวีซ่าเดินทางส่วนใหญ่ตัดการหมุนเวียนอิสระ สร้างตลาดสำหรับการลักลอบนำเข้า และเพิ่มแนวโน้มที่จะอยู่ได้นานขึ้นสำหรับผู้ที่ยังคงสามารถเข้ามาได้ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการตั้งถิ่นฐานของชาวโมร็อกโกในสเปนอย่างถาวรมากขึ้น ในขณะที่การศึกษาเชิงประจักษ์จำนวนมากได้ระบุว่าคนส่วนใหญ่ชอบที่จะอยู่บ้าน และผู้อพยพจำนวนมากต้องการเดินทางกลับไปยังประเทศต้นทาง แต่ที่น่าแปลกก็คือการกีดกันเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายหรือความคาดหวังของระบอบการย้ายถิ่นที่เข้มงวดขึ้นในอนาคตอาจสนับสนุนให้-ผู้ไม่ต้องการอพยพย้ายถิ่น (ก่อนจะสายเกินไป) และให้ผู้ย้ายถิ่นยกเลิกแผนการเดินทางกลับ (เพราะกลัวว่าจะย้ายไปไม่ได้อีก)

 

นี่คือสิ่งที่เวซโซลี (Vezzoli 2015) สังเกตเห็นในการเปรียบเทียบรูปแบบการย้ายถิ่นจากซูรินาเม กิอานา และเฟรนช์ กิอานา สามประเทศเพื่อนบ้านที่ตั้งอยู่ในอเมริกาใต้ กิอานาและซูรินัม ได้รับอิสรภาพจากสหราชอาณาจักรและเนเธอร์แลนด์ในปี 1966 และ 1975 ตามลำดับ เฟรนช์ กิอานา เป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส และด้วยเหตุนี้ ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ของฝรั่งเศส ตรงนี้จึงเป็นพลเมืองฝรั่งเศสเต็มรูปแบบ ความขัดแย้งคือมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรของกายอานาและซูรินาเมอาศัยอยู่ต่างประเทศ - หรือส่วนหนึ่งเป็นเพราะ - ข้อจำกัด ด้านการย้ายถิ่นที่กำหนดโดยอดีตอาณานิคมและประเทศปลายทางอื่นๆ เนื่องจากสิ่งนี้มีส่วนทำให้เกิดความหลงใหลในการออกไป ตรงกันข้าม ชาวฝรั่งเศสกายอานามีแนวโน้มที่จะมีทัศนคติที่ผ่อนคลายมากขึ้นต่อการย้ายถิ่นฐาน เนื่องจากในฐานะพลเมืองฝรั่งเศส พวกเขามีสิทธิในการเคลื่อนย้ายอย่างเต็มที่ นอกเหนือจากการประกันสังคมและสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้ว ส่วนนี้อธิบายได้ว่าทำไมการอพยพยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ

 

จริงๆ แล้ว แรงบันดาลใจในชีวิตมักจะรวมถึงเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายในฐานะที่เป็นสิทธิ ประสบการณ์ และความตระหนัก ที่มีคุณค่าและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี มิติที่แท้จริงของแรงบันดาลใจในการย้ายถิ่นฐานนี้ไม่ได้นำมาพิจารณาอย่างจริงจังในงานวิจัยเกี่ยวกับการย้ายถิ่นตามบทบาทหน้าที่ที่เด่นๆ หรือถูกแยกออกมาเป็นหมวดหมู่ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงและโดยพื้นฐานแล้วของการย้ายถิ่น เช่น การย้ายถิ่นตามวิถีชีวิต (lifestyle migration) ที่ทราบจากการวิจัยเชิงประจักษ์ว่าแรงจูงใจด้านการผจญภัยและวิถีชีวิตที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่อภิสิทธิ์ของชาวยุโรปหรือชาวอเมริกาเหนือที่มีสิทธิพิเศษ แต่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในกลุ่มผู้อพยพอื่นๆ เช่น ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารในอังกฤษ หรือผู้อพยพชาวแอฟริกันข้ามทะเลทรายซาฮารา สิ่งนี้เน้นให้เห็นถึงความจำเป็นในการนำมิติที่แท้จริงของเสรีภาพในการเคลื่อนไหวมาใช้เป็นศูนย์กลางเมื่อสร้างทฤษฎีการย้ายถิ่น

 

เสรีภาพของการย้ายถิ่น

 

แม้ว่าจะไม่ได้รับการพัฒนาเพื่อวิเคราะห์การย้ายถิ่น แต่การวิเคราะห์ศักยภาพของอมาตยา เซน (Amartya Sen 1933 - ) ซึ่งเขาเสนอให้ปรับแนวคิดการพัฒนาใหม่ ให้เป็นเครื่องมือเชิงแนวคิดที่มีประโยชน์ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการวิเคราะห์การย้ายถิ่นได้เป็นอย่างดี ช่วยให้เข้าใจมิติของคุณประโยชน์และคุณค่าที่แท้จริงของศักยภาพและแรงบันดาลใจในการย้ายถิ่นไปพร้อมๆ กัน ตลอดจนการพิจารณาว่าแนวคิดการย้ายถิ่นมีส่วนสำคัญของการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้อย่างไร จากการวิพากษ์วิจารณ์ของเขาเกี่ยวกับคำจำกัดความของการพัฒนาแบบแคบๆ ที่เน้นเฉพาะแค่เพียงรายได้ เซน (Sen 1999) ได้กำหนดแนวคิดการพัฒนาเป็นกระบวนการเพิ่มพูนเสรีภาพที่สำคัญที่ทำให้ผู้คนเกิดความเพลิดเพลิน เขาได้ดำเนินการสิ่งนี้ผ่านแนวคิดเรื่องศักยภาพของมนุษย์ โดยกำหนดให้ศักยภาพเป็นความสามารถของมนุษย์ในการดำเนินชีวิต โดยพวกเขาเหล่านี้มีเหตุผลในการให้คุณค่าและเพิ่มทางเลือกที่สำคัญที่พวกเขามี เซนยืนยันว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ไม่ควรเป็นกระดาษทดสอบลิตมัสสำหรับนักทฤษฎีการพัฒนา แต่คำถามที่ว่าศักยภาพ (หรือเสรีภาพ) ของผู้คนเป็นตัวควบคุมชีวิตของตนเองได้ถูกขยายความออกไปหรือไม่ เซนตั้งข้อสังเกตว่าเสรีภาพเป็นศูนย์กลางของกระบวนการพัฒนาด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรก เสรีภาพของมนุษย์มีความสำคัญโดยแท้จริงในการเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง ซึ่งต้องแยกความแตกต่างจากคุณค่าของเสรีภาพ ประการที่สองที่เป็นคุณประโยชน์ และมีส่วนทำให้เกิดความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและมนุษย์ด้วย

 

ตอนแรกเดอ ฮาส ใช้แนวทางศักยภาพของเซนในการศึกษาการย้ายถิ่นเพื่อประเมินผลกระทบการพัฒนาของการย้ายถิ่นและการส่งเงินกลับไปยังชุมชนต้นทาง ซึ่งไม่เพียงแต่ในแง่ของรายได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงในแง่ของการปรับปรุงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามมาตรฐานการครองชีพด้วย กระนั้น เดอ ฮาส ก็ค้นพบว่าวิธีการศักยภาพยังเป็นแนวคิดที่มีคุณค่าในการทำความเข้าใจว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการพัฒนาสังคมว่าเป็นอย่างไร การเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมืองในพื้นที่ต้นทางอาจส่งผลต่อแนวโน้มการย้ายถิ่นที่แตกต่างกันสองประการ ประการแรก การเติบโตทางเศรษฐกิจและการปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพมีแนวโน้มที่จะเพิ่มศักยภาพในการย้ายถิ่นของผู้คนโดยช่วยเพิ่มความสามารถในการรับต้นทุนและความเสี่ยงของการย้ายถิ่น ประการที่สอง ขอบเขตที่โอกาสในท้องถิ่นอนุญาตให้ผู้คนดำเนินชีวิตที่พวกเขาอย่างมีคุณค่า (ซึ่งสะท้อนถึงคำจำกัดความของการพัฒนาของเซน) ที่บ้าน ก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อแรงบันดาลใจในการอพยพของพวกเขาด้วยเช่นกัน

 

ดังนั้น ด้วยการใช้วิธีการตามศักยภาพของเซนในการย้ายถิ่น ทำให้สามารถเรียนรู้ที่จะเพ่งมองการย้ายถิ่น โดยไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของผู้คน แต่ยังเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีได้ด้วยตัวของมันเอง นี่พาดพิงถึงมิติที่แท้จริงของการย้ายถิ่น (ที่ไม่ใช่คุณประโยชน์และไม่ใช่อรรถประโยชน์) ของการย้ายถิ่น และในระดับปรัชญาสิ่งนี้ยังช่วยขยายความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายไม่มากเท่ากับการเคลื่อนย้ายหรือศักยภาพในการเคลื่อนย้าย แต่เป็นความสามารถในการตัดสินใจที่จะอยู่ รวมถึงทางเลือกที่จะอยู่บ้าน ตามคำจำกัดความนี้ ผู้คนอาจเพลิดเพลินกับเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายโดยไม่ต้องใช้เสรีภาพ ขณะที่การย้ายถิ่นจะถูกมองว่าเป็นการเสริมสร้างและเสริมความเป็นอยู่ที่ดีอย่างแท้จริง หากผู้คนยังมีทางเลือกที่จะอยู่ต่อโดยไม่เคลื่อนย้าย ความแตกต่างระหว่างมิติของคุณค่าที่แท้จริงและคุณประโยชน์ของการย้ายถิ่น ช่วยให้สามารถไปได้ไกลกว่ามุมมองแบบบทบาทหน้าที่ทั่วไป ที่มองเพียงแค่ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการย้ายถิ่น

 

·  มิติของคุณค่าที่แท้จริงของการย้ายถิ่นคือการมีส่วนร่วมโดยตรงของเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน โดยไม่คำนึงว่าพวกเขาจะย้ายหรือไม่ก็ตาม (การย้ายถิ่นเป็นเสรีภาพ) ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนหนุ่มสาวโดยเฉพาะ ที่จะมีความปรารถนาที่จะออกไปผจญภัยมาตั้งแต่กำเนิด ปรารถนาที่จะค้นหา และต้องการแยกตัวจากบ้าน (ออกจากอ้อมอกพ่อแม่) เป็นระยะเวลาสั้นหรือนานๆ ตลอดจนถึงความเป็นอยู่ที่ดีที่แท้จริงที่ได้มาจากการรับรู้ถึงการมีอิสระในการเลือกที่จะเคลื่อนไหว เสรีภาพดังกล่าวไม่จำเป็นต้องส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวที่แท้จริงเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลิน: เป็นการตระหนักรู้อย่างยิ่งว่ามีตัวเลือก – หรืออิสระ – ที่จะอยู่หรือไปในที่ที่ต้องการซึ่งสำคัญที่สุด

·  มิติที่เป็นประเด็นของคุณประโยชน์ เป็นหน้าที่ที่เป็นเป้าหมายสุดท้ายของการย้ายถิ่น ที่สะท้อนบทบาทของการย้ายถิ่นเพื่อบรรลุเป้าหมายส่วนตัวหรือครอบครัวอื่นๆ เช่น รายได้ที่เพิ่มขึ้น การศึกษา มาตรฐานการครองชีพ หรือในกรณีของผู้ลี้ภัย บุคคล ความปลอดภัย ในขณะที่ผู้คนต้องการศักยภาพในระดับหนึ่งเพื่อให้สามารถย้ายถิ่นได้ การย้ายถิ่นสามารถช่วยเพิ่มศักยภาพดังกล่าวได้อีกทางหนึ่ง สิ่งนี้ยืนยันความคิดที่ว่าการย้ายถิ่นมักเป็นการลงทุนของครอบครัวและบุคคลในอนาคตที่ดีกว่าการหลบหนีจากความทุกข์ยากอย่างสิ้นหวัง เนื่องจากวาทกรรมที่โดดเด่นเกี่ยวกับการย้ายถิ่นมักมีแนวโน้มที่จะสร้างกรอบ

 

โดยปกติ องค์กรการอพยพย้ายถิ่น (migration agency) จะเกี่ยวข้องกับการย้ายถิ่นและการตั้งถิ่นฐานในที่หรือประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นมุมมองด้านเดียว เนื่องจากท้ายที่สุดแล้ว องค์กรที่แท้จริงยังเกี่ยวข้องกับตัวเลือกที่จะไม่ดำเนินการ ตราบใดที่มีตัวเลือกที่แท้จริงอยู่ มุมมองที่เป็นตัวแทนอย่างแท้จริงต่อการย้ายถิ่นควรจับทั้งพฤติกรรมที่ไม่อพยพและการย้ายถิ่นฐาน การโต้เถียงกันมานานในงานเขียนเรื่องการย้ายถิ่นว่าการย้ายถิ่นหรือพฤติกรรมการอยู่ประจำเป็นเรื่องปกติหรือไม่ ข้อโต้แย้งแรก คือ การย้ายถิ่นเป็นส่วนที่เป็นประสบการณ์ของมนุษย์ที่เป็นสากล และมักจะมีการบิดเบือนความจริงอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสังคมในอดีตว่าส่วนใหญ่เคลื่อนที่ไม่ได้ โดยการย้ายถิ่นเป็นรูปแบบปกติ ข้อโต้แย้งที่สอง คือ หากเลือกได้ คนส่วนใหญ่ชอบอยู่บ้าน และการย้ายถิ่นนั้นในความเป็นจริงค่อนข้างจำกัดในด้านปริมาณมากน้อย หากเราพิจารณาความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจทั่วโลก

 

ทว่าจากมุมมองทางทฤษฎี การอภิปรายนี้ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ ประการแรก มุมมองที่เป็นตัวองค์กรอย่างแท้จริงเกี่ยวกับการอพยพไม่ได้ถือเอาว่าการเคลื่อนย้ายหรือการไม่เคลื่อนย้ายเป็นบรรทัดฐาน แต่ยอมรับว่าเป็นสองด้านของเหรียญแห่งเสรีภาพในการเคลื่อนย้าย ประการที่สอง ทั้งในระดับภาคปฏิบัติและระดับแนวความคิด การย้ายถิ่นเป็นเพียงหมวดหมู่ที่มีความหมายและเกี่ยวข้องในบริบทของรูปแบบการใช้ชีวิตอยู่ประจำ (เนื่องจากแนวคิดของการย้ายถิ่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัย) วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของนักล่า พรานผู้ทำหน้าที่รวบรวม และชนเผ่าเร่ร่อนมักมีลักษณะเฉพาะของการเคลื่อนย้ายแบบถาวรและการไร้ที่อยู่อาศัยแบบถาวร ซึ่งทำให้ประเภทเช่นการอพยพค่อนข้างล้าสมัยและไม่มีความหมาย ดังนั้น การย้ายถิ่นถือว่าอยู่นิ่งพอๆ กับการอยู่ประจำที่สันนิษฐานได้ว่ามีการย้ายถิ่น วิถีชีวิตการอยู่อาศัยของทั้งสังคมเกษตรกรรมและสังคมอุตสาหกรรมทุนนิยม จึงมีความจำเป็นในการย้ายถิ่น เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเปลี่ยนผ่านของสังคมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ประการที่สาม เมื่อพิจารณาว่าผู้คนตัดสินใจเรื่องการย้ายถิ่นในฐานะสมาชิกของกลุ่มสังคม พฤติกรรมการย้ายถิ่นฐานและการอยู่ประจำที่มักจะสัมพันธ์กัน ตัวอย่างเช่น จุดแข็งประการหนึ่งของเศรษฐศาสตร์ใหม่เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายของแรงงาน คือ แนวคิดที่ว่าการย้ายถิ่นเป็นกลยุทธ์ของครัวเรือนในชนบทที่จะกระจายพอร์ตรายได้ของพวกเขาผ่านการอพยพของสมาชิกในครอบครัวหนึ่งหรือสองสามคน ซึ่งหมายความว่ามักมีการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างสมาชิกในครอบครัวที่ไม่ใช่ผู้อพยพกับสมาชิกในครอบครัวผู้อพยพ นี่หมายความว่า ส่วนใหญ่แล้วการย้ายถิ่นมีความสำคัญต่อทุกๆ คน ไม่ว่าจะย้ายหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าจะมีเพียงร้อยละ 3 ของประชากรโลกที่อพยพข้ามพรมแดนและประมาณร้อยละ 12 อพยพภายในชายแดน คนส่วนใหญ่ในโลกล้วนได้รับผลกระทบจากการอพยพทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะผ่านทางครอบครัวและด้านอื่นๆ ความสัมพันธ์ทางสังคมหรือผ่านผลกระทบของการย้ายถิ่นต่อสังคมต้นทางและปลายทางโดยทั่วไปมากขึ้น

 

นิยามใหม่การเคลื่อนย้ายของมนุษย์

 

ความจริงแล้วการย้ายถิ่นและการอยู่ประจำที่มีความเชื่อมโยงถึงกันและกัน จึงจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายของมนุษย์ที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวและไม่เคลื่อนย้ายได้พร้อมกัน ตามข้อโต้แย้งทั่วไปของเซนเกี่ยวกับคุณค่าที่แท้จริงของการยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีจากการมีเสรีภาพของมนุษย์ ดังนั้นจึงควรสร้างแนวความคิดเกี่ยวกับความสามารถในการอพยพเคลื่อนย้าย ให้อยู่ในฐานะเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ด้วย และเพื่อตรวจจับแนวคิดเรื่องการย้ายถิ่นให้อยู่ในประเด็นเสรีภาพในสิทธิของตนเอง จึงไม่ควรนิยามการเคลื่อนย้ายของมนุษย์ตามเกณฑ์ของการเคลื่อนย้ายที่เกิดขึ้นจริง แต่ให้เป็นไปตามศักยภาพของผู้คน (เสรีภาพ) ในการเลือกสถานที่ที่จะอยู่อาศัย – โดยมีการอพยพเป็นบทบาทหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้โดยพื้นฐานแล้ว การเคลื่อนย้ายของมนุษย์รวมถึงเสรีภาพในการอยู่อาศัย ซึ่งเราสามารถจำแนกได้ว่าเป็นการไม่เคลื่อนย้ายโดยสมัครใจ ซึ่งตรงกันข้ามกับแนวคิดของคาร์ลิง (Carling 2002) เรื่องการไม่เคลื่อนย้ายโดยไม่ได้สมัครใจ

 

ถือเป็นแนวคิดเกี่ยวกับศักยภาพที่แตกต่างกัน 2 ประการ ประการแรก ผู้คนจำเป็นต้องเข้าถึงทรัพยากรทางสังคม (คนอื่น) วัฒนธรรม (ความคิด ความรู้ และทักษะ) และเศรษฐกิจ หากพวกเขาต้องการใช้องค์กรด้านการอพยพย้ายถิ่น ภายใต้สภาพความยากจนและการกดขี่ที่มีข้อจำกัดอย่างสูง ผู้คนมักขาดทรัพยากรที่จะเอื้อให้สามารถเดินทางออกไปได้ ประการที่สอง ถ้าผู้คนไม่มีทางเลือกจริงที่จะคงอยู่ – เช่น ผ่านสงคราม การกดขี่ข่มเหง การเนรเทศ หรือการขับไล่โดยรัฐบาล – หรือหากพวกเขาถูกกดดันจากครอบครัวให้ไปทำงานในต่างประเทศ พวกเขาอาจรู้สึกว่าขาดเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายในฐานะที่เป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นทางเลือกที่มีอยู่ ในทางกลับกัน หากผู้คนรู้สึกว่าขาดความสามารถในการเคลื่อนย้าย ความคับข้องใจจากการถูกกักขังอยู่ อาจเติมเชื้อเพลิงให้กับแรงบันดาลใจในการอพยพย้ายถิ่น และอาจถึงขั้นหมกมุ่นอยู่กับการที่จะหาทางออกไปสู่โลกกว้าง

 

ตารางที่ 4.1 เป็นภาพร่างกรอบศักยภาพ-แรงบันดาลใจ ที่ช่วยอธิบายการจัดหมวดหมู่ทางทฤษฎีของประเภทการเคลื่อนย้ายส่วนบุคคลในอุดมคติ 5 ประเภท ตามคำจำกัดความใหม่เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายในฐานะที่เป็นศักยภาพของผู้คน (เสรีภาพ) ที่จะเลือกว่าจะอยู่อาศัย ณ ที่แห่งใด รวมถึงตัวเลือกในการอยู่อาศัย ณ ที่จุดเดิม การจัดหมวดหมู่ประเภทการเคลื่อนย้ายนี้ยังรวมถึงการไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ในรูปแบบต่างๆ สิ่งนี้เป็นการรวบรวมทั้งการเคลื่อนย้ายและการไม่เคลื่อนย้ายตามทฤษฎีเอามาไว้ในกรอบแนวความคิดเดียวกัน เป็นการแสดงให้เห็นทั้งสองด้านของเหรียญเสรีภาพในการเคลื่อนย้าย

 

การจัดหมวดหมู่นี้สร้างขึ้นจากแนวคิด 'ความไม่เคลื่อนย้ายแบบไม่สมัครใจ' (involuntary immobility) ของคาร์ลิง (Carling 2002) แต่ขยายออกไปด้วยรูปแบบการเคลื่อนย้ายอื่นๆ อีก 4 ประเภท การยอมรับความจริงที่เป็นเรื่องของความชอบ แรงบันดาลใจ และศักยภาพ ได้รับผลกระทบอย่างมากจากปัจจัยโครงสร้างมหภาค จึงเป็นไปได้ที่จะกล่าวถึงความสมัครใจของการเคลื่อนย้ายหรือการไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ก็ต่อเมื่อมีตัวเลือกที่เหมาะสมที่จะอยู่ นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้ลี้ภัยและกลุ่มผู้อพยพที่ประสบความทุกข์ยากอื่นๆ ไม่มีองค์กรใดๆ (มิฉะนั้น พวกเขาจะไม่สามารถย้ายได้ตั้งแต่แรก) แต่การอพยพของพวกเขาถูกบีบบังคับจนถึงขนาดที่พวกเขาถูกลิดรอนเสรีภาพในการเคลื่อนย้าย พวกเขาไม่มีทางเลือกจริงๆ ที่จะทนอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น เพราะนั่นจะทำให้พวกเขาไม่มีอันตรายร้ายแรงจากการถูกข่มเหง ได้รับบาดเจ็บ หรือถูกสังหาร สำหรับผู้ลี้ภัย การย้ายถิ่นเป็นหลักประกันที่ช่วยตอบสนองต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นที่บ้านมากกว่าเป็นการตอบสนองเชิงบวกต่อโอกาสอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าเมื่อตัดสินใจลาจากแล้ว โอกาสดังกล่าวจะมีบทบาทในการตัดสินใจว่าจะไปอย่างไร เมื่อไร และไปที่ไหน และผู้คนจะพยายามใช้สิทธิ์เสรีของตนให้มากที่สุด แม้ว่าจะไม่สามารถกำหนดแนวคิดเป็นเหตุผลหลักในการย้ายถิ่นได้ ดังนั้น ผู้ลี้ภัยจึงถูกบังคับให้อพยพเพราะพวกเขาไม่มีทางเลือกที่จะอยู่ต่อ ณ ที่ที่พวกเขาเคยอยู่

 

ตารางที่ 1 แรงขับจากแรงบันดาลใจและศักยภาภของบุคคลในการอพยพย้ายถิ่น

 

ศักยภาพการย้ายถิ่น (migration capabilities)

ต่ำ

สูง

แรงบันดาลใจให้ย้ายถิ่น (migration aspirations)จากที่เป็นคุณค่าแท้จริง และคุณประโยชน์

สูง

การไม่เคลื่อนย้ายโดยไม่สมัครใจa (involuntary immobility)

ทำให้รู้สึกเหมือนถูกกักขัง

การเคลื่อนย้ายแบบสมัครใจ (voluntary mobility)

การอพยพส่วนใหญ่เกิดขึ้นด้วยเหตุนี้

ต่ำ

การเคลื่อนย้ายที่พอจะรับได้b (acquiescent immobility)

การไม่เคลื่อนย้ายแบบสมัครใจ (voluntary immobility)

และการเคลื่อนย้ายแบบไม่สมัครใจ (involuntary mobility)

เช่น ผู้ลี้ภัย การถูกผลักดันออกไปอย่างนุ่มนวล c

ที่มา a Carling (2002); b Schewel (2015, 2020) และ c Boersema et al. (2014)

 

ในทำนองเดียวกัน ผู้ย้ายถิ่นที่อาจจัดว่าเป็นผู้อพยพที่เดินทางกลับโดยสมัครใจ (voluntary return migrants) โดยรัฐบาลหรือองค์กรระหว่างประเทศ พวกเขาอาจเพียงแค่ 'เต็มใจ' ที่จะไม่กลับมา โดยไม่ได้เกิดจากความปรารถนาที่แท้จริงที่จะทำเช่นนั้น แต่เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกทางสังคมและที่พักอาศัย หรือพวกเขาเสี่ยงต่อการถูกจำคุก ความรุนแรง และการล่วงละเมิดอื่นๆ (เช่น การพลัดพรากจากบุตรหลาน) ในประเทศปลายทาง ภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียดและกดดันอย่างรุนแรง ในที่สุดแรงงานข้ามชาติอาจตัดสินใจกลับมาถิ่นฐานเดิม และถูกบังคับให้ลงนามในแบบฟอร์มยืนยันความยินยอมให้ส่งตัวกลับประเทศโดยสมัครใจ แม้ว่าจะขัดต่อความชอบหรือความปรารถนาที่แท้จริงของตนเองก็ตาม ลักษณะเช่นนี้โบร์เซมาและคณะ (Boersema et al. 2014) เรียกหมวดหมู่ของการเคลื่อนย้ายแบบนี้ว่าเป็นการถูกผลักดันให้ออกไปอย่างนุ่มนวล (soft deportation) จากมุมมองทางทฤษฎี เราสามารถจำแนกสิ่งนี้เป็นการเคลื่อนย้ายโดยไม่สมัครใจ (involuntary mobility) แม้ว่าแรงงานข้ามชาติดังกล่าวจะไม่ได้ถูกบังคับให้ย้ายตามตัวอักษร (กล่าวคือ โดยวิธีการรุนแรงผ่านการเนรเทศ) พวกเขาอาจรู้สึกถูกบังคับให้ย้ายถิ่นภายใต้การคุกคามอย่างร้ายแรง แม้ว่าจะขัดต่อความต้องการที่แท้จริงของตนอย่างร้ายแรงก็ตาม หมวดหมู่การเคลื่อนย้ายโดยสมัครใจ (voluntary mobility) และการไม่สามารถเคลื่อนย้ายโดยสมัครใจ (voluntary immobility) ใช้ได้เฉพาะกับผู้ที่มีความสามารถในการย้าย แต่ยังมีตัวเลือกที่สมเหตุสมผลที่จะอยู่ต่อโดยไม่เคลื่อนย้ายออกไป (ด้วยคำว่า 'สมเหตุสมผล' หมายความว่าสถานการณ์แบบจะไม่ทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย ถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างมาก หรือเป็นอันตรายถึงชีวิต) และสำหรับผู้ที่ตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่นั้น ได้รับผลกระทบจากแรงบันดาลใจในการย้ายถิ่นฐาน (ด้วยคุณประโยชน์หรือคุณค่าที่แท้จริง) เป็นหลัก

 

หมวดสุดท้ายเกี่ยวข้องกับผู้ที่มีศักยภาพและมีแรงบันดาลใจที่จะย้ายถิ่นค่อนข้างต่ำ ถือเป็นจัดประเภทบุคคลที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ไม่สามารถย้ายถิ่นได้ และไม่เคยคิดที่จะทำเช่นนั้น จากแนวคิดที่ว่าศักยภาพจะส่งผลต่อแรงบันดาลใจ อาจกล่าวได้ว่าบุคคลกลุ่มนี้ขาดศักยภาพที่จะสร้างแรงบันดาลใจและศักยภาพในการเคลื่อนย้าย สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามเชิงปรัชญาว่าเราจะเรียกรูปแบบการไม่เคลื่อนย้ายนี้ว่าเป็นไปโดยสมัครใจ ได้มากน้อยเพียงใด ดังนั้น เชเวล (Schewel 2015, 2020) จึงเสนอหมวดหมู่ของการไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้เพื่ออธิบายสถานการณ์ที่ผู้คนไม่สามารถย้ายถิ่นหรือปรารถนาที่จะทำเช่นนั้นได้ โดยเชเวลยินยันว่าเนื่องจากการยินยอม หมายถึง การยอมรับข้อจำกัด (คำว่า acquiescent มีต้นกำเนิดมาจากภาษาละตินของคำว่า 'อยู่นิ่ง') นี่อาจเป็นคำที่เหมาะสมในการอธิบายหมวดหมู่การเคลื่อนย้ายแบบนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีความต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมที่ชัดเจนขึ้น เกี่ยวกับการก่อตัวของแรงบันดาลใจที่จะเคลื่อนย้ายหรือยังอยู่ที่เดิมต่อไป และในขอบเขตการตัดสินใจที่จะอยู่ต่อนั้นถูกมองได้ว่าเป็นความยินยอมหรือค่อนข้างจะสะท้อนถึงการกีดกันการเคลื่อนไหว

 

เสรีภาพเชิงลบและบวกภายใต้สถานการณ์เชิงโครงสร้าง

 

ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น วิธีการด้านศักยภาพทำให้สามารถกำหนดแนวความคิดเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายของมนุษย์ (เสรีภาพของผู้คนในการเลือกสถานที่ที่จะอยู่อาศัย) ได้ว่าเป็นเรื่องของศักยภาพหรือความสามารถในการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี อันเป็นสิทธิของบุคคลอยู่แล้ว (การย้ายถิ่นเป็นเสรีภาพ) เพื่อที่จะทำความเข้าใจเพิ่มเติมว่าศักยภาพและแรงบันดาลใจในการย้ายถิ่นของแต่ละบุคคลเหล่านี้ ถูกกำหนดขึ้น/โต้ตอบกับกระบวนการโครงสร้างมหภาค (macro-structural processes) อย่างไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากที่ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างเสรีภาพเชิงบวกและเชิงลบที่นำเสนอโดยไอซาห์ เบอร์ลิน (Isaiah Berlin 1909-1997) และนำไปประยุกต์ใช้กับการศึกษาการย้ายถิ่นในบทความสี่เรื่องเกี่ยวกับเสรีภาพ โดยเบอร์ลิน (Berlin 1969) ได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างพื้นฐานระหว่างเสรีภาพเชิงลบและบวก (negative and positive liberty) ซึ่งแนวคิดเรื่องเสรีภาพเชิงลบ หมายถึง การไม่มีอุปสรรค สิ่งกีดขวาง หรือข้อจำกัด เรื่องนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับวิธีสร้างอิสรภาพที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งมักจะเน้นที่บทบาทของรัฐในการจำกัดเสรีภาพของประชาชน หรือแม้กระทั่งก่อการที่เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของผู้คนโดยตรง เช่น กฎระเบียบ การกดขี่ ความรุนแรง หรือสงคราม ขณะที่เสรีภาพเชิงบวก หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการควบคุมชีวิตและทำให้บรรลุจุดประสงค์พื้นฐานของตน ดังที่เบอร์ลินยืนยันว่า เสรีภาพเชิงบวกเกิดขึ้นจากความปรารถนาของปัจเจกบุคคลที่จะเป็นนายของตนเอง แม้ว่าคำยืนยันของเบอร์ลินจะเน้นที่บทบาทของผู้คนในการเลือกผู้ปกครองสังคม แนวคิดนี้ก็ใช้ได้กับความสามารถหรือองค์กรของผู้คนในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของชีวิตด้วยตัวเอง ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงจะเห็นได้ว่าแนวคิดเรื่องเสรีภาพเชิงบวกของเบอร์ลินมีลักษณะใกล้เคียงกับแนวคิดเรื่องศักยภาพของเซนมาก โดยเป็นศักยภาพของผู้คนในการปรับปรุงทางเลือกที่สำคัญที่พวกเขามีอยู่ในตัวเอง

 

แนวความคิดทวิลักษณ์เกี่ยวกับเสรีภาพเชิงลบและบวกเป็นการเชื่อมโยงแนวคิดที่มีประโยชน์ระหว่างเงื่อนไขเชิงโครงสร้างมหภาคซึ่งกำหนดรูปแบบเสรีภาพต่างๆ เหล่านี้ให้มาอยู่ในมือข้างหนึ่งให้เข้ากับแรงบันดาลใจและศักยภาพของแต่ละคน เป็นแนวคิดที่สามารถรวบรวมทางเลือกและองค์กร แต่ในที่สุดก็จะถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขโครงสร้างเหล่านี้จากบุคคลอื่น ในมุมมองนี้ การไม่มีข้อจำกัดภายนอก (เสรีภาพเชิงลบ) ไม่ได้เป็นเงื่อนไขเพียงพอที่จะใช้องค์กรด้านการอพยพ เนื่องจากบุคคลต้องการเสรีภาพเชิงบวก ในระดับหนึ่งเพื่อที่จะช่วยให้มีเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายอย่างแท้จริง ซึ่งหมายถึงความจริงที่ว่าด้วยการเลือกว่าจะอาศัยอยู่ที่ไหน ตัวอย่างเช่น รัฐอาจให้เสรีภาพในการเคลื่อนย้ายบ้างเพียงเล็กน้อย แต่คนยากคนจนอาจยังขาดเสรีภาพเชิงบวกในรูปแบบของความสามารถและการเข้าถึงทรัพยากรที่จะทำให้พวกเขาสามารถใช้เสรีภาพเชิงลบดังกล่าวได้จริง

 

ผู้คนอาจมีความปรารถนาที่จะหนีออกจากสถานการณ์ความยากจน ความทุกข์ยาก และภาวะที่เป็นอันตราย แต่พวกเขายังต้องการเสรีภาพเชิงบวก (ศักยภาพ) บางอย่างในรูปของทรัพยากร เช่น เงิน ความสัมพันธ์ทางสังคม ความรู้ และความสามารถทางกายภาพ เพื่อให้สามารถหลบหนีออกไปได้ ดังนั้น ประชากรที่เปราะบางที่สุดจึงไม่มีทางเลือกที่จะหลบหนีและอาจติดอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเหล่านั้น คนยากคนจนมักจะอพยพออกเมื่อถูกบีบบังคับจากความขัดแย้งหรือภัยพิบัติ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะย้ายในระยะทางสั้นๆ – ในขณะที่คนที่อ่อนแอที่สุดมักจะถูกกีดกันออกไปจากความเป็นไปได้ที่จะเคลื่อนย้าย ตัวอย่างเช่น เมื่อพายุเฮอริเคนแคทรีนาเข้าโจมตีเมืองนิว ออร์ลีนส์ ในปี 2005 คนยากจนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวจำนวนมากถูกขังอยู่ในเมือง ขณะที่ความขัดแย้งกลางเมืองที่ปะทุขึ้นในประเทศลิเบียเมื่อปี 2011 ทำให้แรงงานต่างด้าวที่ถูกต้องตามกฎหมายหลายแสนคนจากอนุภูมิภาคทะเลทรายซาฮาราถูกขังอยู่ในประเทศ และต้องเผชิญกับการล่วงละเมิด ความรุนแรง การจำคุก และการฆาตกรรม พวกเขาถูกตรึงไว้ที่นั่น เนื่องจากขาดทรัพยากรและความเชื่อมโยงที่จะย้ายออก ตรงกันข้ามกับผู้อพยพที่มีทักษะสูงจากยุโรปหรือรัฐที่มีอำนาจอื่นๆ ข้อมูลเชิงลึกนี้มีความสำคัญต่อวิธีวิเคราะห์การย้ายถิ่น ตัวอย่างเช่น สถานการณ์ที่คาดการณ์การย้ายถิ่นระหว่างประเทศจำนวนมากที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นค่อนข้างไม่สมจริง ส่วนหนึ่งเนื่องจากพวกเขาเพิกเฉยต่อหลักฐานที่แสดงว่าประชากรกลุ่มเปราะบางที่สุดที่มีความเสี่ยงมากที่สุดที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทั่วไปขาดทรัพยากรที่จะเคลื่อนย้ายออกไปในระยะทางไกล อันที่จริง การกีดกันที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นตัวขับเคลื่อน (เช่น ภัยแล้ง หรือน้ำท่วม) อาจทำให้ประชาชนที่เปราะบางขาดความสามารถในการเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่อื่นๆ และทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ภายในพื้นที่ต้นทางด้วย


ภาพที่ 2 กรอบแนวความคิดเกี่ยวองค์กรการย้ายถิ่นตามศักยภาพแรงบันดาลใจ

 

ด้วยมุมมองแบบนี้จะช่วยให้เข้าใจวิธีการที่ซับซ้อน ที่มักจะไม่เป็นเชิงเส้น และมักจะขัดแย้งกับสัญชาตญาณ ซึ่งกระบวนการเชิงโครงสร้างมหภาคของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจะเป็นตัวกำหนดแนวโน้มและรูปแบบของการย้ายถิ่น เนื่องจากเสรีภาพเชิงลบและบวกมักส่งผลจะกระทบด้วยวิธีที่ต่างกัน และบางครั้งก็มีทิศทางตรงกันข้าม ขึ้นอยู่ตามแรงบันดาลใจและศักยภาพในการย้ายถิ่น สิ่งนี้ทำให้การวิเคราะห์ผลกระทบของเงื่อนไขเชิงโครงสร้างมหภาคต่อรูปแบบการย้ายถิ่นนั้นไม่เป็นแบบตรงไปตรงมา แม้ว่าการลิดรอนเสรีภาพเชิงลบและบวก และการตระหนักรู้ถึงโอกาสที่ดีกว่าในที่อื่นๆ อาจเพิ่มแรงบันดาลใจในการย้ายถิ่นของผู้คนก็ตาม การกีดกันของเสรีภาพเชิงลบหรือบวกแบบเดียวกันโดยสมบูรณ์ หรือทั้งสองอย่าง อาจกีดกันไม่ให้ประชาชนใช้องค์กรย้ายถิ่น ในทางกลับกัน แม้ว่าเสรีภาพเชิงลบและบวกที่บทบาทเพิ่มขึ้น อาจเป็นการเพิ่มเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายของผู้คน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องนำไปสู่การย้ายถิ่นมากขึ้นเสมอไป เนื่องจากภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว ผู้คนจำนวนมากอาจตระหนักถึงความชอบที่แท้จริงของตนที่จะอยู่ตรงนั้นต่อไปด้วยการมีศักยภาพที่เพิ่มมากขึ้นในการตอบสนองชีวิตของตน ในทำนองเดียวกัน การมีเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายเพิ่มมากขึ้นผ่านการเปิดระบอบการย้ายถิ่นเสรีอาจลดความขัดแย้งในระยะยาวและการย้ายถิ่นฐานถาวร เนื่องจากอาจขจัดความหมกมุ่นของผู้คนในเรื่องของ 'การออกไปเผชิญโลกกว้าง'

 

แรงบันดาลใจและศักยภาพการเคลื่อนย้าย

 

ภาพที่ 5.2 แสดงให้เห็นวิธีการที่แรงบันดาลใจและศักยภาพในชีวิตได้รับผลกระทบจากเสรีภาพเชิงบวกและลบที่กำหนดโครงสร้าง และผลกระทบเหล่านี้อาจส่งผลต่อเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายและการตัดสินใจย้ายถิ่นของผู้คน เสรีภาพเชิงลบส่งผลต่อทั้งแรงบันดาลใจและศักยภาพการดำเนินชีวิตของผู้คน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเหล่านี้อธิบายผลลัพธ์การย้ายถิ่นที่ซับซ้อน ซึ่งบางครั้งตอบโต้โดยสัญชาตญาณ ตัวอย่างเช่น แม้ว่าดูเหมือนว่าการกดขี่ทางการเมืองและความรุนแรงจะเพิ่มแรงบันดาลใจในการอพยพ แต่ปัจจัยเดียวกันอาจกีดกันผู้คนจากศักยภาพการเคลื่อนย้าย เช่น จำกัดทางออก หรือกระตุ้นให้พวกเขาอยู่ต่อ เพื่อที่พวกเขาจะได้ปกป้องครอบครัวและสมาชิกในชุมชน แนวความคิดของเสรีภาพเชิงลบและบวก จึงทำให้เกิดการรวมตัวของบทบาทนโยบายของรัฐในทฤษฎีการย้ายถิ่น จากมุมมองนี้ การกีดกันการเคลื่อนย้ายอาจเกิดขึ้นได้ทั้งผ่านการกีดกันเสรีภาพเชิงลบ เช่น เมื่อรัฐเผด็จการลิดรอนสิทธิพลเมืองของตนในการเดินทางออกนอกประเทศ หรือการกีดกันเสรีภาพเชิงบวก เมื่อผู้คนไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจที่จำเป็นสำหรับการก่อเกิดแรงบันดาลใจอพยพย้ายถิ่นได้

 

เสรีภาพเชิงบวกส่วนใหญ่ส่งผลกระทบต่อศักยภาพของผู้คนในรูปแบบของการเข้าถึงทรัพยากรทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม หรือทุนทางอ้อม และใช้แนวคิดเกี่ยวกับศักยภาพที่จะสร้างแรงบันดาลใจ ทำให้ได้เห็นการมีศักยภาพเพิ่มขึ้นที่ส่งผลให้เกิดแรงบันดาลใจเพิ่มขึ้นด้วยการทำให้ผู้คนตระหนักถึงโอกาสและวิถีชีวิตทางเลือก และการทำให้ผู้คนเชื่อว่าการโยกย้ายถิ่นฐานนั้น อยู่ในขอบเขตที่พวกเขาสามารถทำได้จริง ตัวอย่างเช่น การได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัยไม่เพียงแต่จะเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับโอกาสในที่อื่นๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นการปลูกฝังความเชื่อและความมั่นใจในตนเอง ว่ามีความเป็นไปได้จริงที่จะหางานทำได้ จะอาศัยอยู่ในสถานที่แปลกๆ หรือสามารถขอวีซ่าได้

 

ในวิถีชีวิตที่ทันสมัยมากขึ้น ความต้องการทางวัตถุจะเพิ่มขึ้นพร้อมๆ กัน สิ่งนี้จะกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะย้ายถิ่น หากผู้คนเชื่อว่าเป้าหมายชีวิตของพวกเขาไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จในท้องถิ่นในอนาคตอันใกล้ และหากพวกเขาเชื่อว่าในสถานที่อื่นๆ จะมีโอกาสที่ดีกว่า คำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมมติฐานทางออกหรือเสียง (exit or voice) ของเฮิร์ชแมน (Hirschman 1978) ทำให้สามารถยืนยันได้ว่าหากผู้คนไม่พอใจ ก็สามารถลองเปลี่ยนสถานการณ์เหล่านี้ (ด้วยการขึ้นเสียง) ว่าจะยินยอม หรือจากไป ดังนั้นโอกาสที่จินตนาการไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ณ ตรงนั้น และความเชื่อของผู้คนเกี่ยวกับอำนาจและภาระผูกพันทางศีลธรรมของตนเอง ในการมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะส่งผลต่อขอบเขตของแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตที่เพิ่มขึ้น โดยจะแปลเป็นแรงบันดาลใจในการอพยพ แรงบันดาลใจในชีวิตส่วนตัวกับเงื่อนไขที่บ้านไม่ตรงกัน จึงไม่จำเป็นต้องแปลว่าเป็นการอพยพ: พวกเขายังสามารถเติมเต็มชีวิตที่บ้านได้ เช่น การเริ่มต้นธุรกิจ การศึกษา การเข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือแม้กระทั่งการจับอาวุธ นี่เป็นแรงบันดาลใจการอพยพเฉพาะกับหากผู้คนขาดหรือสูญเสียความเชื่อในการเปลี่ยนแปลงอนาคตของตนเองในท้องถิ่น

 

เพื่อที่จะหลอมรวมโครงสร้างและองค์กรในทฤษฎีการย้ายถิ่นไปพร้อมๆ กัน เราจำเป็นต้องเชื่อมโยงทั้งแนวความคิดและสร้างแนวความคิดเชิงวิภาษในเรื่องนี้ ในแง่นี้ โครงสร้างจะถูกมองว่าเป็นชุดของข้อจำกัดเพียงฝ่ายเดียว อย่างไรก็ตาม นี่เป็นมุมมองที่จำกัดเกินไป โดยพื้นฐานแล้ว โครงสร้างเป็นเรื่องเกี่ยวกับรูปแบบหรือความสม่ำเสมอ และความซ้ำซากในความสัมพันธ์ทางสังคมและพฤติกรรมทางสังคม โครงสร้างจึงจำกัดการย้ายถิ่นของกลุ่มสังคมบางกลุ่มไปพร้อมๆ กัน ขณะเดียวกันก็อำนวยความสะดวกในการอพยพของกลุ่มอื่นๆ ตามเส้นทางทางภูมิศาสตร์และสังคมเฉพาะ ตัวอย่างเช่น ในประเทศต่างๆ และนโยบายของรัฐเหล่านั้นจะมีผลกระทบเชิงโครงสร้างที่แข็งแกร่งต่อการย้ายถิ่น หมายความว่า พวกเขาสามารถอำนวยความสะดวกและกระตุ้นอย่างแข็งขัน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการสรรหา) การเคลื่อนย้ายของกลุ่มบางกลุ่ม (ระดับชาติ อายุ เพศ ทักษะ ชนชั้นและชาติพันธุ์) พร้อมๆ กับขัดขวางการเคลื่อนย้ายของผู้อื่นด้วย

 

นโยบายของรัฐ การรับเข้ามา และปัจจัยโครงสร้างมหภาคอื่นๆ จึงมีบทบาทกำหนดเส้นทางที่แตกต่างกันทางสังคม และรวมกลุ่มทางภูมิศาสตร์ หรือที่เรียกว่าระเบียงการอพยพ (migration corridors) ที่เชื่อมโยงกลุ่มสังคมและสถานที่บนพื้นที่หนึ่งพื้นที่ใดเป็นการเฉพาะ เมื่อมีการกำหนดรูปแบบเริ่มต้นดังกล่าวแล้ว เครือข่ายผู้อพยพที่เป็นกระบวนการป้อนกลับที่เรียกว่าสาเหตุสะสม (cumulative causation) (Massey 1990) และพลวัตภายใน (internal dynamics) อื่นๆ (de Haas 2010b) มีแนวโน้มที่จะทำให้กระบวนการย้ายถิ่นเกิดขึ้นด้วยพลังของมันเอง และด้วยเหตุนี้จึงมีการผลิตรูปแบบดังกล่าวซ้ำๆ ทำให้เกิดการย้ายถิ่นบน “โครงสร้างทางภูมิศาสตร์ที่สามารถระบุตัวตนได้บนกาลเทศะที่เอื้ออำนวย” (Mabogunje 1970) อย่างไรก็ตาม โดยไม่คำนึงถึงความสำคัญของพลวัตภายในดังกล่าวในการย้ายถิ่นอย่างต่อเนื่องและการรวมระบบการย้ายถิ่น จุดสำคัญคือรัฐ นายจ้าง และผู้จัดหางานที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบการย้ายถิ่นในขั้นต้นซึ่งจะมีการทำซ้ำบนพื้นที่ในช่วงเวลาหนึ่งๆ

 

ชุดสถานการณ์ที่ต้นทางและปลายทางการย้ายถิ่นในจินตนาการ เป็นสิ่งที่สร้างโครงสร้างโอกาสที่ซับซ้อนให้บุคคลและกลุ่มทางสังคมที่แตกต่างกันได้มีเสรีภาพเชิงลบและบวกที่หลากหลาย โดยสภาพโครงสร้างเหล่านี้ส่งผลต่อศักยภาพและแรงบันดาลใจของผู้คน และวิธีที่ผู้คนได้รับรู้เงื่อนไขเหล่านี้ผ่านมุมมองทางสังคม วัฒนธรรม และส่วนบุคคล ที่อาจทำให้หรือไม่ทำให้พวกเขาตัดสินใจย้ายถิ่นฐาน ในทางกลับกัน องค์กรการย้ายถิ่นดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสภาพโครงสร้างเหล่านี้ผ่านผลกระทบจากผลป้อนกลับต่างๆ ซึ่งอาจกระตุ้นการย้ายถิ่นมากขึ้นบนเส้นทางที่ผู้อพยพกลุ่มแรกที่เป็นผู้บุกเบิกเอาไว้

 

กรอบแนวความคิดเกี่ยวกับแรงบันดาลใจและศักยภาพ ช่วยให้สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือ 'การพัฒนา' มีความเกี่ยวข้องกับระดับการย้ายถิ่นเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากภูมิภาคหรือประเทศใดได้รับการเปลี่ยนจากสถานะผู้มีรายได้น้อย เกษตรกรรม และชายขอบไปอยู่ในสถานะดินแดนที่มีรายได้ปานกลาง อุตสาหกรรม และกลายเป็นเมือง นั่นทำให้ทั้งแรงบันดาลใจและศักยภาพในการย้ายถิ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่เป็นการอธิบายความขัดแย้งของการเติบโตอย่างรวดเร็วกับการย้ายถิ่นฐานที่ขับเคลื่อนโดยการพัฒนาได้ชัดเจนว่า ตราบใดที่ความคิดเกี่ยวกับชีวิตที่ดีของผู้คน (โดยทั่วไปจะห่างไกลจากวิถีชีวิตชาวไร่ชาวนาแบบดั้งเดิม) และการเติบโตที่เกี่ยวข้องในแรงบันดาลใจทางวัตถุเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าและเอาชนะโอกาสในท้องถิ่น สิ่งนี้มักจะนำไปสู่แนวโน้มการย้ายถิ่นฐานที่จะเพิ่มมากขึ้น

 

ตารางที่ 2 รูปแบบการอพยพเชิงทฤษฎีที่แบ่งตามประเภทของเสรีภาพเชิงและลบ

 

เสรีภาพเชิงบวก (positive liberty - freedom to; capabilities)

ต่ำ

สูง

เสรีภาพเชิงลบ (negative liberty - freedom from; external constraints)

ต่ำ

Precarious migration – อพยพที่ล่อแหลม

โดยทั่วไปแล้ว คนในระยะทางสั้น ๆ มักมาจากภายใน โดยคนที่ค่อนข้างยากจนหรือยากจนซึ่งเสี่ยงต่อการถูกแสวงประโยชน์ กล่าวคือ ผู้ย้ายถิ่นจากชนบทสู่เมืองที่ยากจน แรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสาร ผู้ขอลี้ภัย 'ล้มเหลว' ผู้พลัดถิ่นภายใน) (ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง: โครงสร้างทางประวัติศาสตร์ แรงงานคู่- ตลาด)

Distress migration – อพยพด้วยความทุกข์ยาก

การกีดกันเสรีภาพในการเคลื่อนไหวเนื่องจากไม่มีทางเลือกที่เหมาะสมที่จะอยู่ต่อ ใช้กับผู้ลี้ภัยที่หนีจากสภาวะที่อาจคุกคามชีวิต แต่มีทรัพยากรที่จะย้ายไปต่างประเทศและได้รับสถานะทางกฎหมาย (ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง: โครงสร้างทางประวัติศาสตร์ เครือข่าย เศรษฐศาสตร์ใหม่ของการย้ายถิ่นของแรงงาน)

สูง

Improvement migration – อพยพที่ต้องปรับปรุง

ภายในและระหว่างประเทศ มักจะผ่านเครือข่าย การจัดหาและการรวมทรัพยากรของครอบครัว (ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง: เศรษฐศาสตร์ใหม่ของการย้ายถิ่นของแรงงาน เครือข่ายและพลวัตภายใน สาเหตุสะสม ตลาดแรงงานคู่ การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนย้าย)

Free migration – อพยพอิสระ

การเคลื่อนย้ายที่ค่อนข้างไม่มีข้อจำกัดในและระหว่างประเทศที่ร่ำรวยหรือโดยคนร่ำรวย แรงงานมีฝีมือ ผู้ย้ายถิ่น 'ไลฟ์สไตล์' (ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง: คลาสสิกใหม่; ทุนมนุษย์; การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหว)

 

มีเพียงแต่ในระยะยาวเท่านั้น ที่โอกาสในท้องถิ่นเริ่มสอดคล้องตรงกับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ที่จะทำให้คาดหวังได้ว่าแนวโน้มการย้ายถิ่นฐานลดลง แม้ว่าศักยภาพและแรงบันดาลใจดังกล่าวจะแสดงออกมาในระดับบุคคล แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ถูกกำหนดโดยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างมหภาค เช่น การขยายโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และสื่อ   สิ่งนี้เผยให้เห็นถึงศักยภาพของวิธีการแรงบันดาลใจ-ศักยภาพ เพื่อเชื่อมโยงกระบวนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างระดับมหภาคกับการรับรู้ ประสบการณ์ และองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจย้ายถิ่น

 

การแบ่งประเภทการย้ายถิ่นใหม่

 

แนวคิดของเสรีภาพเชิงบวกและลบ มีประโยชน์ในการดำเนินการภายใต้เงื่อนไขโครงสร้าง ซึ่งจะช่วยให้สามารถจัดประเภทการย้ายถิ่นได้เป็น 4 รูปแบบ ตามที่แสดงเอาไว้ในตารางที่ 5.2 ซึ่งเป็นการจัดหมวดหมู่แบบทั่วไปในอุดมคติที่อยู่ภายในกรอบที่สัมพันธ์กับระดับความแตกต่างกันของเสรีภาพเชิงบวกและลบ มากหรือน้อย ตารางที่ 5.2 ยังระบุถึงความเกี่ยวข้องที่อธิบายได้ของทฤษฎีการย้ายถิ่นหลักบางประการสำหรับหมวดหมู่การย้ายถิ่นตามบริบทที่แตกต่างกันเหล่านี้

 

การจัดหมวดหมู่ที่แสดงในตารางที่ 5.2 ถือได้ว่าเป็นข้อมูลเบื้องต้น และจะมีประโยชน์มากขึ้นเมื่อมีการพิจารณารายละเอียด การตรวจสอบความถูกต้อง และการปรับแต่งเพิ่มเติม โดยจุดประสงค์หลักของความพยายามนี้ไม่ใช่เพื่อเสนอการจัดหมวดหมู่การย้ายถิ่นที่ชัดเจนเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่ากรอบแนวคิดเชิงอภิมาน ที่นำเสนอในบทความนี้มีประโยชน์อย่างไรในการพัฒนาวิธีการทำจัดบริบทของสมมติฐานในทฤษฎีต่างๆ ที่เป็นระบบมากขึ้น และการทำเช่นนั้นจะทำให้เกิดความแม่นยำมากขึ้นเมื่อนำไปบังคับใช้กับทฤษฎีต่างๆ นี่เป็นตัวอย่างจุดยืนของเดอ ฮาส ที่ว่าสมมติฐานทางทฤษฎีควรถูกมองว่าเป็นข้อความเชิงบริบท (หรือลักษณะทั่วไป) มากกว่าความจริงที่ไม่เกิดการกล่าวอ้างร่วมกัน

 

ดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ทฤษฎีคลาสสิกใหม่มีความเกี่ยวข้องอย่างมากต่อการอธิบายการอพยพอย่างเสรีของผู้คนที่ฐานะค่อนข้างดี โดยเสรีมากหรือน้อย ภายใต้เงื่อนไขที่ค่อนข้างไม่มีข้อจำกัดซึ่งมีระดับของเสรีภาพเชิงบวกและลบในระดับสูง ในทางกลับกัน ทฤษฎีมาร์กซิสต์ใหม่และทฤษฎีโครงสร้างทางประวัติศาสตร์อื่นๆ อาจมีประสิทธิภาพมากกว่าในการสร้างความเข้าใจและตีความการอพยพที่ล่อแหลมซึ่งเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่จำกัดอย่างสูง เช่น การจำกัดการย้ายถิ่นหรือการขาดการคุ้มครองของรัฐต่อการละเมิดและการเลือกปฏิบัติ ข้อจำกัดดังกล่าวลดองค์กรการอพยพ ทำให้พวกเขาเสี่ยงที่จะถูกเอาเปรียบจากนายจ้าง นายหน้า ตัวแทนของรัฐ หรือผู้ลักลอบนำเข้า และมักขัดขวางความพยายามของพวกเขาในการบรรลุประโยชน์จากการเคลื่อนย้ายทางเศรษฐกิจและสังคมผ่านการศึกษาและการทำงาน สิ่งที่กล่าวมานี้สามารถใช้ได้กับทั้งแรงงานข้ามชาติที่ยากจนและคนส่วนใหญ่ที่ถูกบังคับให้ต้องพลัดถิ่นจากความขัดแย้ง ภัยพิบัติ หรือการประหัตประหาร ซึ่งขาดวิธีการและการติดต่อเพื่อเคลื่อนย้ายในระยะทางไกล แม้ว่าพวกเขาจะมีทรัพยากรและ 'เสรีภาพเชิงบวก' ที่จะออกไป แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะติดกับดักหรือเคลื่อนที่ไม่ได้โดยไม่ได้ตั้งใจ ตลอดการเดินทางหรือที่จุดหมายปลายทางจะปราศจากทรัพยากรและเสรีภาพในการเดินทางต่อหรือเดินทางกลับ

 

ในหมวดของการย้ายถิ่นที่มีการปรับปรุงแล้ว ผู้คนจะมีระดับเสรีภาพเชิงบวกค่อนข้างต่ำ (เช่น แสดงออกโดยทรัพยากรทางการเงินที่จำกัด) แต่ต้องเผชิญกับเสรีภาพเชิงลบที่ค่อนข้างสูง (เช่น แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์จากการเข้าถึงโอกาสในการย้ายถิ่นที่ถูกต้องตามกฎหมายและอาศัยอยู่ในประเทศที่ร่ำรวยกว่า) ซึ่งสร้างเงื่อนไขที่การย้ายถิ่นก่อให้เกิดผลสำเร็จและบรรลุเป้าหมายการเคลื่อนย้ายทางสังคมและเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น โครงการจัดหางานให้คนยากจนสามารถเข้าถึงได้ในต่างประเทศในอดีต ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีตลาดแรงงานคู่ (dual-labour market theory) (Piore 1979) ส่วนในสถานการณ์อื่นๆ สมาชิกในครอบครัวมักรวบรวมทรัพยากรเพื่อเป็นทุนในการย้ายถิ่นของสมาชิกของครอบครัวคนหนึ่งหรือมากกว่า ดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกับสมมติฐานของเศรษฐศาสตร์ใหม่ของการย้ายถิ่นของแรงงาน (new economics of labour migration) ซึ่งให้แนวคิดเรื่องการย้ายถิ่นเป็นกลยุทธ์การแบ่งปันความเสี่ยงโดยครัวเรือนที่มีเป้าหมายเพื่อกระจายความหลากหลายของรายได้ สร้างระบบการโอนเงิน และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของครอบครัวให้ดีขึ้นในระยะยาว ทั้งนี้ทฤษฎีเกี่ยวกับพลวัตภายในของกระบวนการย้ายถิ่น จะช่วยอธิบายว่าการย้ายถิ่นมักอำนวยความสะดวกในการย้ายถิ่นต่อไปผ่านผลกระทบจากเครือข่ายที่ลดต้นทุนและลดความเสี่ยงได้อย่างไร สิ่งนี้อธิบายการยืดอายุตนเองบางส่วนของการอพยพดังกล่าวแม้ว่าการจัดหางานจะหยุดลงและสาเหตุดั้งเดิมของการย้ายถิ่น เช่น ความต้องการแรงงานลดลง คำอธิบายเชิงทฤษฎีชุดนี้ดูเหมือนจะใช้ได้กับ 'แรงงานที่ได้รับเชิญ' (guest workers) ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งในขั้นต้นได้รับคัดเลือกให้ทำงานในประเทศยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือในทศวรรษหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เช่นเดียวกับแรงงานอพยพชาวเม็กซิกันที่ได้รับคัดเลือกให้ทำงานในสหรัฐอเมริกา ผ่านโปรแกรม Bracero ระหว่างปี 1942-1964

 

ในสถานการณ์อื่นๆ ผู้คนอาจเผชิญกับข้อจำกัดภายนอกค่อนข้างสูง (เสรีภาพเชิงลบ เช่น ผ่านการกดขี่ ข่มเหง หรือความขัดแย้งรุนแรง) แต่ยังคงสามารถอพยพเข้าถึงทรัพยากรทางการเงิน สังคม และทรัพยากรมนุษย์ (เสรีภาพเชิงบวก) ตัวอย่างของหมวดหมู่นี้อาจรวมถึงผู้ลี้ภัยที่มีทักษะสูง และ/หรือ มีทักษะค่อนข้างดี ซึ่งสามารถเดินทางไปยังประเทศอื่น ๆ และได้รับการต้อนรับ ณ ถิ่นที่อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หมวดหมู่นี้ ซึ่งเดอ ฮาส ได้ตั้งชื่อกว้างๆ เอาไว้ว่าเป็นการอพยพด้วยความทุกข์ยาก (distress migration) เป็นรูปแบบหนึ่งของการย้ายถิ่นแบบที่ถูกบังคับ ซึ่งต้องการการอธิบายเพิ่มเติมให้ละเอียดยิ่งขึ้น เนื่องจากทฤษฎีการย้ายถิ่นที่มีอยู่ดูเหมือนจะใช้กับหมวดหมู่นี้ได้น้อย สะท้อนถึงอำนาจการอธิบายที่ทฤษฎีการอพยพย้ายถิ่นมีอยู่ค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตาม ตามคำจำกัดความของการเคลื่อนย้ายของมนุษย์ที่หมายถึงศักยภาพในการเลือกสถานที่ที่จะอยู่อาศัย ผู้ลี้ภัยจึงถูกบังคับให้ย้ายถิ่นเพราะพวกเขาไม่มีทางเลือกที่เหมาะสมที่จะอยู่ต่อ ณ ที่ตรงนั้นต่อไป แม้ว่าจะมีสิทธิอันเป็นเสรีในการมีทรัพยากรและความศักยภาพที่จะหลบหนี เพื่อโยกย้ายไปประเทศอื่น และเลือกว่าจะไปที่ไหนที่ดีกว่า

 

ดูเหมือนจะมีสองวิธีพื้นฐานในการสร้างแนวความคิดการเคลื่อนย้ายที่ถูกบีบบังคับ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำอย่างมีสติเพื่อหนีภัยคุกคามภายนอกและการกดขี่ (การกีดกันเสรีภาพเชิงลบ) หรือความไม่มั่นคงในการดำรงชีวิตและความยากจน (การกีดกันเสรีภาพเชิงบวก) หรือเป็นการบังคับเคลื่อนย้ายอย่างแท้จริง เช่น ผ่านการขับไล่ การเนรเทศ หรือการเป็นทาส ในกรณีแรก แรงงานข้ามชาติยังคงมีองค์กร และการย้ายถิ่นสามารถทำได้โดยสมัครใจตามคุณประโยชน์และคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตที่จะได้รับ ส่วนกรณีหลัง องค์กรถูกตัดบทบาททิ้งไปโดยสิ้นเชิง สำหรับผู้อพยพที่ทุกข์ยาก (distress migrants) การดำรงอยู่ของเสรีภาพเชิงบวกบางประการ เช่น การพูดภาษาประเทศเจ้าบ้าน การมีครอบครัวที่พำนักอยู่ในประเทศนั้น การมีเงินจ่ายค่าเดินทางไกลจากบ้าน จะยิ่งเพิ่มพูนทั้งแรงบันดาลใจและศักยภาพการย้ายถิ่นให้มากยิ่งขึ้น ในขณะที่ผู้อพยพที่ทุกข์ยากมีระดับของเสรีภาพเชิงบวกและองค์กร (หรือศักยภาพ) ในระดับหนึ่งที่พวกเขาเลือกที่จะเดินทางออกไปเป็น 'ผู้ย้ายถิ่นที่ล่อแหลม' (precarious migrants) กลับขาดแคลนทรัพยากรเหล่านั้น ทำให้สามารถอพยพเคลื่อนย้ายได้ในระยะทางสั้นๆ มีแนวโน้มที่จะติดอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้แบบไม่สมัครใจและเสี่ยงต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบและกรรโชกโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ นายจ้าง หรือผู้ลักลอบขนย้ายแรงงาน

 

แม้ว่าตารางที่ 4.2 จะระบุว่าทฤษฎีการย้ายถิ่นใดมีความเกี่ยวข้องมากที่สุด และเหมาะสมที่สุดสำหรับอธิบายหมวดหมู่การย้ายถิ่นเหล่านี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่ละทฤษฎีจะใช้ได้เฉพาะกับหมวดหมู่นั้นเท่านั้น แต่เป็นการอธิบายที่ซึ่งดูเหมือนจะมีคำอธิบายที่มีพลังชัดเจนที่สุด ดังที่เดอ ฮาส ได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ จึงมีความเป็นไปได้มากที่จะรวมทฤษฎีเหล่านี้เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้กับการวิเคราะห์ในระดับต่างๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น แม้ว่าการย้ายถิ่นจำนวนมากของแรงงานที่มีทักษะน้อย อาจดูเหมือนเป็นการเอารัดเอาเปรียบตามมุมมองของโครงสร้างระดับมหภาค (เหมาะสมตามทฤษฎีประวัติศาสตร์-โครงสร้าง) แต่ก็มักจะยังคงเป็นประโยชน์จากมุมมองของผู้อพยพแต่ละคนและครอบครัวของพวกเขา (เหมาะสมตามทฤษฎีคลาสสิกใหม่หรือเศรษฐศาสตร์ใหม่ของการย้ายถิ่นของแรงงาน) ผู้อพยพข้ามชาติจำนวนมากอาจเปลี่ยนหมวดหมู่เมื่อเวลาผ่านไป ตัวอย่างเช่น หากนโยบายที่เข้มงวดหรือการเหยียดเชื้อชาติที่เพิ่มมากขึ้นก็จะไปเปลี่ยนการย้ายถิ่นที่ปรับปรุง (improvement migration) ให้เป็นการย้ายถิ่นที่ล่อแหลม ในทางกลับกันอาจกรณีที่ผู้ย้ายถิ่นที่ล่อแหลมเข้าถึงสถานะทางกฎหมายผ่านแคมเปญการทำให้เป็นมาตรฐาน การบังคับใช้การจัดหมวดหมู่เหล่านี้ยังขึ้นอยู่กับประเภทของการย้ายถิ่นด้วย ตัวอย่างเช่น คนๆ เดียวกันอาจมีเสรีภาพเชิงบวกและลบที่ทำให้สามารถย้ายถิ่นฐานภายในได้ แต่ขาดทรัพยากรและการเข้าถึงเอกสารสำคัญที่จะทำให้สามารถย้ายข้ามพรมแดนได้

 

บทส่งท้าย

 

ทั้งหมดที่กล่าวยืดยาวในบทความนี้ เป็นคำอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับกรอบความคิดและความสามารถเพื่อพัฒนาความเข้าใจใหม่ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายของมนุษย์ในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในวงกว้าง จากงานก่อนหน้า (Carling 2001, 2002; de Haas 2003, 2009) ที่เคยนำเสนอเกี่ยวกับแรงบันดาลใจและศักยภาพ บทความนี้ได้ขยายแนวคิดเหล่านี้และบรรจุลงในมุมมองทางทฤษฎีที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับศักยภาพที่นำเสนอโดยเซน (Sen 1999) รวมทั้งข้อเสนอเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างเสรีภาพเชิงลบและบวกของเบอร์ลิน (Berlin 1969) แม้ว่าทั้งเซนและเบอร์ลินจะไม่ได้พัฒนาแนวคิดเหล่านี้เพื่ออธิบายการย้ายถิ่น แต่บทความนี้ก็ได้นำวิเคราะห์จนสามารถประยุกต์ใช้ทำความเข้าใจกระบวนการย้ายถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนทางแนวคิดและประโยชน์ทางทฤษฎีของการตั้งครรภ์ในฐานะส่วนแท้จริงของกระบวนการในวงกว้างของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม แนวความคิดดังกล่าวจำเป็นต้องมีการฝังการวิเคราะห์การอพยพเข้าสู่ทฤษฎีทั่วไปของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยไม่ย้อนกลับไปเป็นการกำหนดเชิงสาเหตุจากบนลงล่างของทฤษฎีการย้ายถิ่นตามแบบแผน (เชิงประวัติศาสตร์-โครงสร้างหรือเชิงฟังก์ชัน)

 

ยกเว้นเพียงสถานการณ์ที่รุนแรง อย่างการเป็นทาสและการเนรเทศ การอพยพทั้งหลายไม่ใช่อาสาสมัครแล้วก็ไม่ใช่ผู้กระทำการที่ตอบสนองปัจจัยผลักและดึงอัตโนมัติและสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นพลังมหภาคของระบบทุนนิยมโลก ช่องว่างของค่าจ้าง ความรุนแรง หรือความเครียดจากสิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดการโยกย้าย ต่อการย้ายถิ่นนั้นผู้คนจำเป็นต้องมีการตัดสินใจเชิงรุกและต้องมีทรัพยากรเพียงพอที่จะทำเช่นนั้น ในขณะที่ทฤษฎีโครงสร้างเชิงประวัติศาสตร์มักจะวาดภาพผู้อพยพว่าเป็นเบี้ยรับมือหรือตกเป็นเหยื่อของพลังของทุนนิยมโลก ทฤษฎีการย้ายถิ่นแบบคลาสสิกใหม่และเชิงบทบาทหน้าที่อื่นๆ ก็อ้างว่าเป็นความชอบของผู้คน ด้วยเหตุนี้ แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตจึงคงอยู่ทั่วทั้งสังคมตลอดเวลา ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาการเดือดดานจะผ่อนลงมากๆ เมื่อบุคคลมีรายได้หรืออรรถประโยชน์สูงสุด สิ่งนี้เผยให้เห็นว่าทฤษฎีการย้ายถิ่นแบบบทบาทนิยม แม้ว่าจะเป็นแบบจำลองที่เน้นการเป็นผู้กระทำก็ตาม ก็ยังปราศจากความรู้สึกที่เป็นจริงทางสังคมที่ว่ามีองค์กรเป็นส่วนสนับสนุนบุคคลให้คาดเดาถึงผลลัพธ์ที่เป็นกำไร จากการวิเคราะห์ต้นทุนกไรของปัจเจกบรฐานความชอบพึงพอใจที่คงที่

 

ข้อบกพร่องที่สำคัญของการคิดแบบนี้ คือ สมมุติฐานที่ว่าการรับรู้และความชอบของผู้คน 1) ถูกขับเคลื่อนโดยการเพิ่มอรรถประโยชน์สูงสุดของแต่ละบุคคล ซึ่งมีลักษณะ 2) ความชอบพึงพอใจของผู้คนเหมือนกันทั้งสังคม และ 3) ความชอบพึงพอใจนั้นมีลักษณะเป็นไปแบบคงที่ ดังนั้น ทฤษฎีการย้ายถิ่นแบบดั้งเดิมทั้งหมด จึงมองว่าผู้อพยพย้ายถิ่นเป็นบุคคลที่ถูกดึงและผลักราวกับอะตอม ด้วยแรงแห่งเหตุทางเศรษฐกิจ การเมือง ประชากร หรือสิ่งแวดล้อม ที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม สิ่งนี้จึงดูเหมือนเป็นการละเลยความจริงที่ว่าปัจจัยต่างๆ เช่น วัฒนธรรม การศึกษา และการเปิดรับสื่อ รวมถึงภาพ ความคิด และความรู้อื่นๆ ที่จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อ 1) ความชอบพึงพอใจและแนวคิดของผู้คนในเรื่อง 'ชีวิตที่ดี' ซึ่งทำให้เกิดความทะเยอทะยานในชีวิต และ 2) ความรู้ ความตระหนัก และการรับรู้ถึงโอกาสที่จะได้รับจาก 'ที่นี่' และ 'ที่นั่น'

 

บทความนี้เป็นการโต้แย้งว่าเราสามารถบรรลุความเข้าใจที่มีความหมายมากขึ้นเกี่ยวกับองค์กรในกระบวนการย้ายถิ่น โดยการสร้างแนวคิดเรื่องการย้ายถิ่นให้เป็นหน้าที่ของแรงบันดาลใจและความสามารถในการโยกย้ายภายในชุดของโครงสร้างโอกาสที่รับรู้ (opportunity structure) บนพื้นฐานนี้ เราสามารถกำหนดการเคลื่อนย้ายของมนุษย์ว่าเป็นความสามารถของผู้คน (เสรีภาพ) ในการเลือกว่าจะอาศัยอยู่ที่ไหน รวมถึงการเลือกที่จะอยู่ ณ ที่เดิม มากกว่าที่จะเคลื่อนย้าย การย้ายถิ่นและการอยู่ที่เดิมต่อกลายเป็นสิ่งแสดงเสริมขององค์กรด้านการย้ายถิ่นเดียวกัน การสร้างแนวความคิดเช่นนี้ ช่วยให้เราสามารถก้าวข้ามการอภิปรายอันเปล่าประโยชน์ที่ว่าพฤติกรรมการย้ายถิ่นหรือการยังคงอยู่ที่เดิมต่อไปเป็นบรรทัดฐานหรือไม่ เนื่องจากมุมมองที่แท้จริงของการย้ายถิ่นไม่ได้สันนิษฐานว่าการย้ายหรืออยู่ต่อเป็นบรรทัดฐาน แต่ยอมรับว่าเป็นเสรีภาพสองด้านคล้ายกับเหรียญที่มีสองด้าน สิ่งนี้ช่วยให้เราสามารถเอาชนะการจำแนกประเภทสองขั้วและแบบง่ายได้ เช่น การอพยพที่ถูกบีบบังคับและการอพยพโดยสมัครใจ และบูรณาการการวิเคราะห์รูปแบบการเคลื่อนย้ายแบบย้ายถิ่นฐานส่วนใหญ่ให้มาอยู่ภายในกรอบแนวคิดที่มีความสอดสัมพันธ์กัน

 

การประยุกต์ใช้ในการศึกษาการย้ายถิ่นตามมุมมองด้านศักยภาพของอมาตยา เซน (Sen 1999) ที่ได้ประยุกต์เอาศักยภาพมาใช้ในการศึกษาการย้ายถิ่น ด้วยการสร้างพื้นที่แนวคิดเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับบทบาทของความสามารถในการกำหนดแรงบันดาลใจที่มีต่อการย้ายถิ่น รวมทั้งเพื่อสร้างความแตกต่างในการวิเคราะห์ด้วยมิติของประโยชน์และคุณค่าแม้จริงจากการเคลื่อนย้าย เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างเป็นระบบมากขึ้นเกี่ยวกับข้อวิภาษเชิงโครงสร้างและเชิงองค์กรในกระบวนการย้ายถิ่น ก่อนหน้านี้เบอร์ลิน (Berlin 1969) ได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเสรีภาพเชิงบวกและลบไว้เป็นเครื่องมือทางทฤษฎีสำหรับขยายมุมมองแบบมีโครงสร้าง เป็นระบบ และมีสารัตถะมากขึ้น เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างมหภาค ที่จะส่งผลต่อแรงบันดาลใจและศักยภาพของผู้คนในการย้ายถิ่นที่ซับซ้อน ไม่เป็นเชิงเส้น และมักขัดแย้งกับสัญชาตญาณ

 

กรอบคิดที่เป็นผลลัพธ์ช่วยสร้างขอบเขตที่สำคัญสำหรับการสังเคราะห์ทางทฤษฎีที่ดีขึ้น โดยการรวมทฤษฎีการย้ายถิ่นต่างๆ เข้าด้วยกันภายใต้ร่มแนวคิดที่สอดสัมพันธ์กัน แทนที่จะแยกจากกัน ภายในวิสัยทัศน์ทางเลือกแบบนี้ ทฤษฎีการย้ายถิ่นต่างๆ มีพลังในการอธิบายเพื่อทำความเข้าใจรูปแบบของการย้ายถิ่นที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไข กลุ่มสังคมและกลุ่มผู้ย้ายถิ่น และการวิเคราะห์ระดับต่างๆ ได้ค่อนข้างดี นี่เป็นตัวอย่างข้อโต้แย้งที่กว้างขึ้นของบทความนี้ ซึ่งวางตัวว่า ในทฤษฎีการย้ายถิ่นและทฤษฎีทั่วไปทางสังคม สมมติฐานทางทฤษฎีควรถูกมองว่าเป็นสาระเชิงบริบทมากกว่าที่จะเป็นการอ้างความจริงที่ไม่ได้เกิดขึ้นร่วมกัน

 

แม้ว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในความพยายามที่จำเป็นอย่างยิ่งในการอธิบายทฤษฎีการเคลื่อนไหวของมนุษย์ที่ครอบคลุม บริบท และบูรณาการมากขึ้น แต่งานด้านแนวคิดเพิ่มเติมที่สำคัญยังคงต้องดำเนินการ ตัวอย่างเช่น ความก้าวหน้าทางทฤษฎีจำนวนมากสามารถทำได้โดยการฝังการศึกษาการย้ายถิ่นเพิ่มเติมไว้ในทฤษฎีที่กว้างขึ้นของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ตัวอย่างเช่น สามารถทำได้โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกจากสาขาต่างๆ เช่น จิตวิทยาสังคมและเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม การวิจัยในสาขาดังกล่าวได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและปัจจัยของผู้คน (มักไม่สมเหตุสมผล) และปัจจัยที่อาจส่งผลต่อแรงบันดาลใจในการอพยพย้ายถิ่น แต่ไม่ค่อยถูกนำมาประยุกต์ใช้กับการศึกษาการย้ายถิ่น ความก้าวหน้าที่สำคัญสามารถทำได้โดยการบูรณาการวิธีการทางสังคมศาสตร์และประวัติศาสตร์เพื่อการศึกษาการย้ายถิ่น ในขณะที่มุมมองทางสังคมแบบวิทยาศาสตร์ (social-scientific perspective) เกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐานอาจได้ประโยชน์จากการสร้างประวัติศาสตร์ที่ดีขึ้นและการนำมุมมองของการศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงยาวที่กินเวลาหลายศตวรรษ หรือ longue durée มาใช้ การศึกษาทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการย้ายถิ่นอาจได้รับประโยชน์จากการนำมุมมองและทฤษฎีทางสังคมศาสตร์มาปรับใช้เพื่ออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับแนวโน้มการย้ายถิ่นในอดีตที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น เช่น การนำวิธีการทางประวัติศาสตร์เปรียบเทียบมาใช้ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อความเป็นจริงขิงโลกและความเป็นจริงทางสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทฤษฎีทางสังคมใดๆ จะไม่มีทางสิ้นสุด เนื่องจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องนั้น จะสร้างความจำเป็นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเชิงทฤษฎีอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกที่มีต่อความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงไปเหล่านี้และวิธีการที่หลากหลายซึ่งผู้คนให้ความหมายกับพวกเขา

 

งานเชิงทฤษฎีในอนาคตสามารถช่วยเราไขปริศนาแนวความคิดที่ยังหลงเหลืออยู่อีกหลายข้อ ตัวอย่างเช่น เราอาจสงสัยว่าจริงๆ แล้วเราสามารถแยกจากแรงบันดาลใจในการย้ายถิ่นที่แท้จริงออกไปได้มากน้อยเพียงใด เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มักดูเหมือนสับสนในทางปฏิบัติ ท้ายที่สุด สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความปรารถนาที่แท้จริงและความปรารถนาตามอัตวิสัยสำหรับการผจญภัย และค้นพบขอบฟ้าใหม่ อย่างน้อยก็อาจบรรลุตามบทบาทหน้าที่ ในกระบวนการแบ่งแยกทางจิตวิทยาของวัยรุ่นและคนหนุ่มสาว อย่างน้อยก็สามารถทำได้ ด้วยการได้รับความรู้ใหม่ ได้พบปะกับหุ้นส่วนในอนาคต สามารถหางานใหม่ได้ และสร้างความเป็นอิสระให้กับชีวิตได้ ในทางกลับกัน สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นการย้ายไปยังต่างประเทศเพื่อหารายได้มากขึ้นนั้น ยากต่อการแยกออกจากศักดิ์ศรีทางสังคมที่การย้ายถิ่นที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเริ่มต้นเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความกล้าหาญที่สำคัญ โดยเฉพาะในชุมชนที่การย้ายถิ่นกลายเป็นพิธีการ (rite de passage) และถูกหล่อหลอมด้วยบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมเชิงบวก

 

แนวความคิดที่เป็นปริศนาอีกประการหนึ่ง คือ ความสมัครใจ กล่าวคือ จะสามารถจัดประเภทการย้ายถิ่นเป็นความสมัครใจได้มากน้อยเพียงใด หากผู้ย้ายถิ่นไม่ได้มีความปรารถนาจะย้าย แต่ต้องจำใจทำเพื่ออนาคตทางเศรษฐกิจระยะยาวของครอบครัว บางทีอาจโต้แย้งได้ว่าผู้อพยพดังกล่าวไม่มีความปรารถนาที่แท้จริงที่จะย้าย แต่การตัดสินใจย้ายยังคงเกิดจากการตัดสินใจด้วยตนเองและความเต็มใจที่จะเสียสละความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลในระยะสั้นถึงระยะกลาง (เช่น การพลัดพรากจากคนที่รักหรือการอยู่ร่วมกัน โดยปราศจากความสัมพันธ์ทางเพศหรือประสบการณ์ที่แปลกแยกจากการใช้ชีวิตในสังคมที่แปลกและบางครั้งก็เป็นศัตรู) จากความปรารถนาที่จะปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาวของครอบครัว (ที่เกิดจากการสันนิษฐานว่าหลังจากการกลับมาหรือการรวมตัวของครอบครัว) อย่างไรก็ตาม จะเกิดอะไรขึ้นหากสมาชิกในครอบครัวถูกกดดันอย่างหนักจากสังคมให้ย้ายถิ่นโดยขัดต่อความต้องการที่แท้จริงของพวกเขา ตัวอย่างนี้อาจนำไปใช้กับแรงงานข้ามชาติที่ย้ายไปทำงานในต่างประเทศ เนื่องจากความคาดหวังทางสังคมของครอบครัว แม้ว่าพวกเขาจะไม่พอใจในเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวก็ตาม แต่ก็สามารถนำไปใช้กับวัยรุ่นที่พ่อแม่ที่ร่ำรวยส่งไปโรงเรียนประจำในต่างประเทศได้

 

ดังนั้น จึงพูดอย่างไรเกี่ยวกับเด็กและวัยรุ่นที่มักไม่ค่อยมีส่วนร่วมตัดสินใจเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายของพ่อแม่ และพวกเขาอาจรู้สึกว่าต้องย้ายไปย้ายมาราวกับว่าเป็นกระเป๋าเดินทาง นั่นจึงไม่ควรที่จะเพิกเฉยต่อความเครียดทางอารมณ์และต้นทุนทางสังคมที่ต้องสูญเสียเพื่อน สภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย ความแปลกแยก และความต้องการอย่างต่อเนื่อง ในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ แม้ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างมีสิทธิพิเศษทางวัตถุก็ตาม สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่าจะสามารถสร้างเป็นแนวความคิดเกี่ยวกับเด็กๆ ที่ถูกบังคับให้ย้ายถิ่นเหล่านี้ ได้บ้างหรือไม่

 

สิ่งนี้เน้นให้เห็นเส้นแบ่งที่ไม่ชัดเจนระหว่างแนวคิดของการย้ายถิ่นโดยสมัครใจและการย้ายถิ่นที่ถูกบังคับ มีความคล้ายคลึงกันกับการอภิปรายที่คล้ายกัน เช่น ความยากลำบากในการกำหนดแนวคิดเกี่ยวกับการแต่งงานแบบถูกบีบบังคับกับการแต่งงานโดยความสมัครใจของคู่บ่าวสาว ในสถานการณ์เช่นนี้ มักมีความขัดแย้งระหว่างความปรารถนาที่จะเป็นสมาชิกของกลุ่มสังคมด้วยเหตุผลด้านจิตวิทยาและความมั่นคงทางสังคมในด้านหนึ่ง กับแรงผลักดันส่วนบุคคลไปสู่ความเป็นอิสระในอีกด้านหนึ่ง สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเครื่องมือเชิงแนวความคิดที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ละเอียดยิ่งขึ้นของการโต้ตอบระหว่างโครงสร้างและองค์กรในการดำเนินการทางสังคม อีกทั้งยังชี้ให้เห็นว่ากรอบคิดเกี่ยวกับแรงบันดาลใจและศักยภาพที่พัฒนาขึ้นในบทความนี้ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาสาระสำคัญอื่นๆ ของทฤษฎีทางสังคมได้เป็นอย่างดี

 

บรรณานุกรม

 

Bakewell, O. 2010. Some reflections on structure and agency in migration theory. Journal of Ethnic and Migration Studies, 36(10), 1689–1708.

Berlin, I. 1969. Four essays on liberty. London/New York: Oxford University Press.

Berriane, M., Aderghal, M., Idrissi Janati, M., & Berriane, J. 2013. Immigration to Fes: The meaning of the new dynamics of the Euro-African migratory system. Journal of Intercultural Studies, 34(5), 486–502.

Boersema, E., Leerkes, A., & van Os, R. 2014. What drives soft deportation? Understanding the rise in assisted voluntary return in the Netherlands (Wolfson College Paper given to the DEMIG conference, 23–25 September). Oxford: University of Oxford.

Carling, J. 2001. Aspiration and ability in international migration: Cape Verdean experiences of mobility and immobility. Oslo: University of Oslo, Centre for Development and the Environment.

Carling, J. 2002. Migration in the age of involuntary immobility: Theoretical reflections and Cape Verdean experiences. Journal of Ethnic and Migration Studies, 28(1), 5–42.

Cohen, R. 1997. Global diasporas: An introduction. London: University College London Press.

Cohen, R. 2007. Creolization and cultural globalization: The soft sounds of fugitive power. Globalizations, 4(3), 369–384.

de Haas, H. 1995. Oasen: Zand Erover? Een Milieugeografische Studie naar Maatschappij en Landgebruik in een Marokkaanse Oase: Agadir-Tissint, Provincie Tata (unpublished MA dissertation). Amsterdam: Unversiteit van Amsterdam, Instituut voor Sociale Geografie.

de Haas, H. 1998. Socio-economic transformations and oasis agriculture in southern Morocco. In L. de Haan, & P. Blaikie (Eds.), Looking at maps in the dark (pp. 65–78). Utrecht/Amsterdam: KNAG/FRW UvA.

de Haas, H. 2003. Migration and development in southern Morocco: The disparate socio-economic impacts of out-migration on the Todgha Oasis Valley (PhD thesis). PhD thesis. Nijmegen: Radboud University.

de Haas, H. 2006. Migration, remittances and regional development in southern Morocco. Geoforum, 37(4), 565–580.

de Haas, H. 2009. Mobility and human development. New York: United Nations Development Programme.

de Haas, H. 2010. The internal dynamics of migration processes: A theoretical inquiry. Journal of Ethnic and Migration Studies, 36(10), 1587–1617.

de Haas, H. D. 2014. Migration theory: Quo Vadis? (IMI working papers, no. 100). Retrieved from https://www.migrationinstitute.org/publications/wp-100-14.

Faist, T. 2000. The volume and dynamics of international migration and transnational social spaces. Oxford: Oxford University Press.

Garip, F. 2012. Discovering diverse mechanisms of migration: The Mexico–US stream 1970–2000. Population and Development Review, 38(3), 393–433.

Harris, J. R., & Todaro, M. P. 197). Migration, unemployment and development: A two-sector analysis. American Economic Review, 60(1), 126–142.

Hatton, T. J., & Williamson, J. G. 1998. The age of mass migration: Causes and economic impact. New York: Oxford University Press.

Hirschman, A. O. 1978. Exit, voice, and state. World Politics, 31(1), 90–107.

Kuhn, T. S. 1962. The structure of scientific revolutions. Chicago: University of Chicago Press.

Lee, E. S. 1966. A theory of migration. Demography, 3(1), 47–57.

Lubkemann, S. C. 2008. Involuntary immobility: On a theoretical invisibility in forced migration studies. Journal of Refugee Studies, 21(4), 454–475.

Mabogunje, A. L. 1970. Systems approach to a theory of rural-urban migration. Geographical Analysis, 2(1), 1–18.

Massey, D. S. 1990. Social structure, household strategies, and the cumulative causation of migration. Population Index, 56(1), 3–26.

Massey, D. S. 2009. The perils of seeing twenty-first century migration through a twentieth-century lens. International Social Science Journal, 68(227–228), 101–104.

Massey, D. S., Arango, J., Hugo, G., Kouaouci, A., Pellegrino, A., & Taylor, J. E. 1993. Theories of international migration: A review and appraisal. Population and Development Review, 19(3), 431–466.

Myrdal, G. 1957. Rich lands and poor: The road to world prosperity. New York: Harper.

Piore, M. J. 1979. Birds of passage: Migrant labor and industrial societies. Cambridge: Cambridge University Press.

Ravenstein, E. G. 1885. The laws of migration. Journal of the Royal Statistical Society, 48, 167–227.

Sassen, S. 1991. The global city: New York, London, Tokyo. Princeton: Princeton University Press.

Schewel, K. 2015. Understanding the aspiration to stay: A case study of young adults in Senegal (International Migration Institute IMI working paper no. 107). Oxford: University of Oxford.

Schewel, K. 2020. Understanding immobility: Moving beyond the mobility bias in migration studies. International Migration Review, 54(2), 328–355.

Sen, A. 1999. Development as freedom. New York: Anchor Books.

Skeldon, R. 1990. Population mobility in developing countries: A reinterpretation. London: Belhaven Press.

Skeldon, R. 1997. Migration and development: A global perspective. Essex: Longman.

Skeldon, R. 201). Migration transitions revisited: Their continued relevance for the development of migration theory. Population, Space and Place, 18(2), 154–166.

Stark, O. 1978. Economic–demographic interactions in agricultural development: The case of rural-to-urban migration. Rome: FAO.

Stark, O. 1991. The migration of labor. Cambridge and Oxford: Blackwell.

Todaro, M. P. 1969. A model of labor migration and urban unemployment in less developed countries. The American Economic Review, 59(1), 138–148.

Vezzoli, S. 2015. Borders, independence and post-colonial ties: The role of the state in Caribbean migration. Maastricht: Boekenplan.

Wallerstein, I. 1974. The modern world system I: Capitalist agriculture and the origins of the European world economy in the sixteenth century. New York: Academic.

Wallerstein, I. 1980. The modern world system II: Mercantilism and the consolidation of the European world-economy, 1600–1750. New York: Academic.

Zelinsky, Z. 1971. The hypothesis of the mobility transition. Geographical Review, 61(2), 219–249.