ภูมิศาสตร์ความเอื้ออาทร
พัฒนา ราชวงศ์
นายกสมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย
สำหรับบทนี้จะได้แสดงให้เห็นว่านักภูมิศาสตร์อภิปรายเกี่ยวกับการให้การ
“ดูแลประชาชนที่อยู่ระยะไกล' และ 'ภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบ' โดยเน้นที่การปฏิบัติต่อประเด็นของอคติที่เบี่ยงเบนไปจากจริยธรรมและความยุติธรรม
การอภิปรายทั้งหลายในวิชาภูมิศาสตร์มักนำเสนอข้อผูกพันเฉพาะส่วนที่เป็นปัญหาทางศีลธรรมหรือทางการเมือง
โดยอ้างว่าเรา โครงร่างว่าการอภิปรายเกี่ยวกับการดูแลประชาชนที่อยู่ระยะไกลและภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบ
กำหนดกรอบอคติให้เป็นปัญหาที่จะต้องๆ ได้รับการแก้ไข จึงควรโต้แย้งว่าการมีส่วนร่วมของวิชาภูมิศาสตร์กับปรัชญาทางศีลธรรมนั้น ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ผิดพลาดเกี่ยวกับอิทธิพลต่างๆ
ที่ผู้คนจะต้องปฏิบัติตาม (ประการหนึ่ง คือ อภิสิทธิ์จากการมีความรู้เชิงสาเหตุที่เป็นแรงกระตุ้นหลัก)
และสมมติฐานที่มีข้อบกพร่องเกี่ยวกับปัญหาที่ต้องมีการให้เหตุผลทางวิชาการที่เป็นบรรทัดฐาน
ซึ่งมีไว้เพื่อใช้แก้ไขปัญหา (เช่น สมมติฐานที่ว่าคนเราเห็นแก่ตัวเกินไป และไม่เห็นแก่ตัวจนเกินพอดี)
เราใช้หัวข้อเรื่องความเอื้ออาทรเป็นจุดเริ่มต้นจุดหนึ่งเพื่อโต้แย้งว่าอคติและความเด็ดขาดอาจเป็นเงื่อนไขสำหรับโครงการด้านจริยธรรมการเมือง
ที่ไม่ได้มีศูนย์กลางของแรงจูงใจหลักอยู่ที่การปฏิบัติด้านอธิปไตยของตนเอง
แต่ไปเน้นที่ความสัมพันธ์ที่ตอบสนองและเอาใจใส่ต่อการเผชิญหน้ากับความต้องการของผู้อื่น
การทำความเข้าใจต่อความเอื้ออาทรในฐานะที่เป็นรูปแบบหนึ่งของอำนาจ
เสนอแนะโปรแกรมปรับปรุงสำหรับการสืบสวนทางภูมิศาสตร์ของจุดตัดระหว่างจริยธรรม
คุณธรรม และการเมือง: โปรแกรมที่พิจารณาว่าโอกาสในการจัดการกับความต้องการเชิงบรรทัดฐานในทะเบียนต่างๆ
ได้รับการจัดระเบียบและเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ในลักษณะที่นิสัยตอบสนองและเปิดกว้างต่อผู้อื่น
และโอกาสในการตอบสนองต่ออุปนิสัยเหล่านี้อย่างไร
ภูมิศาสตร์ความเอื้ออาทร
ขณะนี้มีงานหลากหลายประเภทที่ยืนยันว่า
นักภูมิศาสตร์ควรให้ความสนใจและใส่ต่อทฤษฎีทางจริยธรรมและปรัชญาทางศีลธรรมให้มากขึ้น
โดยมีเดวิด สมิธ (Smith
1997) ที่ไปไกลถึงขั้นแนะนำว่า เรื่องนี้กำลังมี 'การพลิกกลับมาให้ความสนใจต่อศีลธรรมมากขึ้น' ซึ่งเอกสารฉบับพิเศษเหล่านี้มีส่วนสนับสนุนชุดของการอภิปรายดังกล่าว
โดยที่พวกเขาได้สร้างงานอภิปรายทั้งด้าน 'การดูแลผู้อื่นที่อยู่ห่างไกล'
(caring at a distance) (Silk, 1998
2000, 2004; Smith, 2000) และ 'ภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบ’
(geographies of responsibility) (Popke 2003, Massey
2004) ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ ได้กลายเป็นเรื่องสำคัญที่อยู่ห้อมล้อมนักภูมิศาสตร์ให้ได้ทำการอภิปรายถึงความห่วงหาอาทรจากระยะไกลและภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบ
เพื่อสร้างกรอบการศึกษาวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์ให้มีในฐานะเหมาะสมกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของงานร่วมสมัยที่เป็นสากลแบบนี้
การอ้างสิทธิ์ทั้งหลายในนามของวิชาภูมิศาสตร์เพื่อที่จะทำการโต้แย้งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสมมติฐานเกี่ยวกับวิธีการเชิงบรรทัดฐานที่เชื่อมโยงกับโครงการเชิงทฤษฎีและโครงการเชิงประจักษ์ของวิชานั้นๆ
สำหรับรายละเอียดต่างๆ ในบทนี้ บาร์เนตและแลนด์ (Barnet and Land 2007)
ได้ทดลองทำการท้าทายสมมติฐานบางข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนเป็นการแสดงความเคารพต่อการเยียวยารักษาการมีอคติต่อจริยธรรมและความยุติธรรม
การโต้แย้งกันในเวทีของนักภูมิศาสตร์มักมีการนำเสนอข้อผูกมัดบางส่วนว่าเป็นปัญหาทางศีลธรรมหรือไม่ก็เป็นปัญหาทางการเมือง
โดยอ้างว่าพวกเขาจัดลำดับความสำคัญของวิธีการที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นทั้งหลายเอาไว้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
สร้างการกีดกัน และสร้างเงื่อนไขจำกัดทางภูมิศาสตร์ ดังนั้น
การมีอคติจึงมักถูกมองว่าเป็นสิ่งกีดขวาง การขยายการดูแล ความเป็นกังวล
หรือความยุติธรรม ที่มีพึงมีต่อบุคคลอื่นที่อยู่ห่างไกล เหล่านี้เป็นประเด็นที่จะได้กล่าวถึงถัดไป
การอภิปรายเกี่ยวกับความอาทรและการดูแลผู้อื่นที่อยู่ห่างไกลและภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบ
ที่จะเป็นตัวกำหนดกรอบความมีอคติที่เป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไข จากนั้นก็ไปต่อในหัวข้อที่
4 เพื่อใช้หัวข้อเรื่องความเอื้ออาทรเป็นจุดเริ่มต้น หรือในการถกแถลงว่าความมีอคติและความเด็ดขาดอาจเป็นเงื่อนไขสำหรับโครงการทางจริยธรรม-การเมืองใดๆ
ก็ตามที่มีทั้งการขยายผลในเชิงภูมิศาสตร์และมีความอ่อนไหวในเชิงภูมิศาสตร์ในคราวเดียว
สมมติฐานเริ่มต้นของการอภิปรายเกี่ยวกับ
'การดูแลผู้อื่นที่อยู่ห่างไกล' คือ คุณธรรมประเภทต่างๆ
ที่ผู้คนแสดงต่อคนผู้เป็นที่รัก เพื่อนฝูง เพื่อนบ้าน หรือเพื่อนร่วมชาติ ซึ่งดูจะกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นที่จะรักษาสภาพของสิ่งเหล่านั้นเอาไว้เมื่อมีระยะทางห่างกันมากขึ้น
การสนทนาเหล่านี้เป็นการนำเอา 'ระยะทางที่ห่างไกลกัน'
มาพิจารณาร่วมกับ 'ความแตกต่าง' ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญต่อการดูแลบุคคลอื่นที่อยู่ห่างไกล โดยที่ภาพหลักของการอภิปรายเหล่านี้
คือ คนแปลกหน้าที่อยู่ห่างไกล ระยะทางที่ห่างไกลกันมาก และความแตกต่าง
ถูกนำมาพิจารณาว่ามีความสำคัญมาก เนื่องจากว่าการดูแลที่เกิดขึ้นจะเป็นคล้ายๆ
กับเป็นภาพเสมือนจริง คุณค่าของความสัมพันธ์ในการดูแลในเชิงปรัชญาศีลธรรมร่วมสมัย
ได้มาจากการวิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎีความยุติธรรมที่เป็นสากล ความยุติธรรมที่จับคู่กับการดูแลจะถูกนำมาวางคู่กัน
ในทางกลับกันคู่ของความยุติธรรมกับอคติ นักภูมิศาสตร์จะสามารถคาดเดาได้ง่ายว่าแผนที่สากลและแผนที่เฉพาะที่สร้างขึ้นมานั้น
มีความสัมพันธ์กันเชิงพื้นที่ของดินแดนที่อยู่ห่างไกลกับพื้นที่อื่นที่เป็นส่วนขยาย
โดยที่สถานที่และความใกล้ชิดก็เป็นอีกด้านหนึ่งของคววามสัมพันธ์ที่นักภูมิศาสตร์จะต้องอธิบาย
เรื่องนี้มาจากชุดของความคล้ายคลึงกันระหว่างความยุติธรรม
ความเป็นสากล ความเป็นกลาง และระยะทาง และอีกด้านหนึ่งเป็นประเด็นเกี่ยวกับการดูแล
ความเฉพาะเจาะจง ความลำเอียง และความใกล้ชิด ที่ทำให้เกิดเป็นประเด็นปัญหาสำหรับนักภูมิศาสตร์ในการพินิจพิจารณาการดูแลบุคคลอื่นที่อยู่อห่างไกล
และยืดยาวต่อไปจนถึงการวิพากษ์วิจารณ์ความแตกต่างของทฤษฎีความยุติธรรมที่เป็นสากลซึ่งปรับให้เข้ากับความแตกต่างและความหลากหลาย
นักภูมิศาสตร์ยังคงเกลียดชังที่จะยอมรับคุณค่าของการดูแลอย่างสุดใจอย่างแม่นยำเพราะการยืนยันโดยนัยถึงลักษณะบางส่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการตัดสินตามหลักจริยธรรมใดๆ
และทั้งหมด การดูแลคือ จึงเปรียบเทียบกันง่ายๆ กับการใช้เหตุผล ทั้งทางบวกและทางลบ
อันนำไปสู่ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นการโอบรับคุณค่าของการดูแลเอาใจใส่
แนวคิดที่ว่าคุณค่าของการดูแลควรยกระดับเหนือคุณค่านามธรรมของความยุติธรรม ดังที่สมิธ
(Smith
2000) บันทึกย่อเอาไว้ว่ามันจะกลายเป็นข้ออ้างสำหรับการแสดงความเอื้ออาทรเฉพาะครอบครัวหรือเพื่อนฝูงหรือบางทีอาจเป็นกลุ่มสมาชิกที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ
กลุ่มชาติพันธุ์หรือชาติเดียวกันกับตนเอง อย่างไรก็ตาม ความยุติธรรมก็ดูเหมือนจะขู่ว่าจะตั้งข้อคำถามว่า
เป็นไปได้หรือไม่ที่จะคงไว้ซึ่งความอ่อนไหวต่อการแสดงออกถึงความต้องการส่วนตัวที่เป็นตัวเป็นตนซึ่งรับประกันคุณค่าของการดูแล
(แตกต่างไปจากความยุติธรรม ซึ่งคุณค่าอยู่ในความเป็นกลาง)
ในขณะที่รวมเข้ากับการขยายพื้นที่ทางภูมิศาสตร์และเพื่อคนที่แตกต่างจากตัวเอง
มิชาเอล สโลต (Slote 2000) หนึ่งในบุคคลสำคัญที่ไดทำการฟื้นฟูทฤษฎีคุณธรรมจริยธรรมร่วมสมัย
เสนอว่าวิธีหนึ่งในการแก้ปัญหาปริศนานี้ คือ การแยกความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์ที่ห่วงใยกันสองประเภท
ได้แก่ การดูแลอย่างใกล้ชิด (intimate
caring) ที่แอบอิงความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคนรู้จัก และการดูแลตามหลักมนุษยธรรม
(humanitarian caring) ที่ขยายไปสู่บุคคลอื่นที่ได้รับรู้ถึงความเดือดร้อนที่พึงได้รับการช่วยเหลือหรือการดูแล
แต่ความแตกต่างนี้ดูเหมือนจะชี้ให้เห็นถึงกระบวนทัศน์ในการดูแลที่มอบให้อย่างเป็นธรรมชาติในทางใดทางหนึ่ง
หลังจากนั้น คำถามเรื่องการขยายผลก็ถูกเพิ่มเสริมเข้ามาเป็นอย่างที่สอง ซึ่งโดยแท้จริงแล้วตามประเพณีอันยาวนานมองว่าการดูแลนั้นมีลักษระชัดเจนเป็นแบบแผนตามธรรมชาติของภาระผูกพัน
ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์ที่มีให้เห็นถึงระดับขนาดและขอบเขตของความสัมพันธ์ในครอบครัว
ดังนั้น ความแตกต่างในการดูแลอย่างใกล้ชิดกับการดูแลตามหลักมนุษยธรรม จึงเป็นสิ่งตอกย้ำถึงความแตกต่างที่เก่าแก่กว่านั้นระหว่าง
'การเฝ้าดูแล – caring for' และ
'ความห่วงใย – caring about' ความแตกต่างนี้มีรากฐานตามสมมติฐานที่ว่า
‘คุณค่าในการดูแลเกิดจากความสัมพันธ์กับความเป็นอยู่ของบุคคลที่สามารถมองเห็นและซึมซับได้โดยบุคคลอื่น’
การดูแลเอาใส่ใจ หมายถึง ความอ่อนไหวต่อเฉพาะเจาะจงของความต้องการของผู้อื่น
ตามคำจำกัดความนี้ คุณค่าของการดูแลจะลดน้อยลง การขยายขอบเขตการดูแลไปยังผู้อื่นที่ไม่ระบุชัด
เรียกสั้นๆ ว่า ‘การดูแลผู้อื่น’ มีความจริงใจมากกว่า 'ความห่วงใยผู้อื่น'
ที่ส่วนใหญ่เป็นเพราะการดูแลเอาใจใส่โดยตรง ใกล้ชิด เห็นหน้ากัน
เป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาก ดังนั้น 'ความห่วงใย'
จึงยอมให้ระยะทางที่ห่างไกลกันเข้ามาแทรกแซงความสัมพันธ์เหล่านี้
ทำให้เกิดความสัมพันธ์ทางอ้อมและเป็นความสัมพันธ์แบบมีตัวกลางแทรก
มีบางคนกล่าวว่าการอภิปรายของนักภูมิศาสตร์มีสมมติฐานเดียวกันว่า
คุณค่าของการดูแลนั้นมาจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด เป็นความสัมพันธ์ที่แอบอิงกับสถานที่และเป็นภาระผูกพันต่อคนแปลกหน้าที่อยู่ห่างไกล
แต่บางคนกลับมองเห็นเป็นความอ่อนไหวทางคุณธรรมที่มีการก่อรูปขึ้นในบริบทที่ผูกพันกับสถานที่
ในทางกลับกันวิชาภูมิศาสตร์ที่มีมีระเบียบวิธีที่สามารถทำความเข้าใจการปฏิบัติตามสถานที่
ซึ่งจะต้องมีการโต้แย้งกันถึงกิจกรรมการดูแลที่จะยืดเยื้อออกไป
ความสามารถในการดูแลบุคคลอื่นจากระยะไกลนั้น
มีความเป็นไปได้ด้วยการมีความสัมพันธ์ที่แอบอิงกับสถานที่นั้นมีลักษณะเป็นสากล ความท้าทายในมุมมองนี้
คือ การจินตนาการถึงวิธีการขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์ จิตวิทยา และการเมืองของกิจกรรมที่เป็นสากลของมนุษย์ออกไป
สิ่งที่มีค่าในการอภิปรายเรื่องการดูแลของวิชาภูมิศาสตร์
คือ การยืนยันถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ของอคติในการจูงใจให้ปฏิบัติตามข้อผูกมัดและความห่วงใยในชีวิตประจำวัน
แต่การยืนยันนี้ผูกติดอยู่กับการจัดลำดับความสำคัญของความสัมพันธ์แบบอิงสถานที่ ซึ่งขัดแย้งกับความสัมพันธ์ที่มีระยะทางห่างไกลกัน
และมีความแปลกแยกแตกต่างกัน จากการผสมผสานที่ไม่ง่ายนี้ ทำให้เกิดแนวคิดที่ว่าด้วยการดูแลบุคคลอื่นที่อยู่ห่างไกล
ที่เป็นประเด็นปัญหาที่จะต้องพิจารณากันต่อไป
แทนที่จะสมมติว่าความห่วงใยเป็นเรื่องรอง
ที่สืบเนื่องมาจากชุดความสัมพันธ์ของการเฝ้าดูแลที่ดูว่ามีความจริงใจกว่า
เราอาจเริ่มจากการสังเกตว่าการดูแลเอาใจใส่ใดๆ ก็ตาม เพื่อที่จะได้รับการเอาใจใส่
จะต้องมีความเอาใจใส่และสนองตอบต่อความปรารถนาต่างๆ ของผู้อื่น
โดยที่ศักยภาพที่จะแสดงความห่วงใยนั้นมาจากการจัดลำดับสิ่งที่ต้องปฏิบัติในการดูแล
และการดูแลเหล่านั้นจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งของพวกเขา ตามข้อเสนอแนะนี้กำลังดำเนินการตการเน้นย้ำของฟิเชอร์และตรอนโต
(Fisher
and Tronto 1990) ที่ว่าด้วยปฏิบัติการดูแล 4
กิจกรรม ซึ่งแต่ละกิจกรรมมีความเกี่ยวข้องกับศักยภาพทางศีลธรรมที่โดดเด่น
คือ
1. ความสามารถในการเอาใจใส่ต่อความต้องการของผู้อื่น
2. ความสามารถในการรับผิดชอบสนองความต้องการในการดูแล
3. ความสามารถในการให้การดูแลได้อย่างแท้จริง
4. ความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการอย่างต่อเนื่องของผู้รับการดูแล
ปฏิบัติการต่างๆ
ใความเกี่ยวข้องกับการดูแลและการบูรณาการที่ซับซ้อนของกิจกรรมทั้งสี่นี้ ในทางกลับกันก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับการประสานงานของกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ
และช่วงเวลาที่หลากหลาย หรือสิ่งที่แมกกีและคณะ (McKie et al.
2002) อ้างว่าเป็นภูมิทัศน์การดูแล (caring-scapes) แนวความคิดที่ว่าคุณค่าของการดูแลมีอยู่เฉพาะในความคุ้นเคยอย่างเข้มข้นของความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ถูกจำกัดไว้จะไม่ยั่งยืน
เมื่อเราตระหนักถึงระดับที่การปฏิบัติการดูแลใดๆ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติที่เข้ามาแทรก
ความสัมพันธ์ของความสามารถแบบมืออาชีพ และโครงสร้างพื้นฐานด้านสถาบันและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ
เหนือสิ่งอื่นใด
ความแตกต่างระหว่างสี่ด้านของการดูแลเอาใจใส่ของฟิเชอร์และตรอนโตบ่งบอกทราบว่า
การดูแลเป็นข้อเรียกร้องแบบก้าวหน้า ที่แสดงออกถึงความต้องการของผู้อื่น โดยจำเป็นต้องให้การดูแลและการตอบสนองต่อผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง
ความไม่ลงรอยกันของกิริยาเหล่านี้ บอกให้ทราบถึงแง่มุมที่สำคัญของการมีความสามารถในการดูแลที่เกี่ยวเนื่องกับระดับของความห่างไกล
ความเฉยเมย และการแยกตัวออกอย่างไม่ใยดี เหล่านี้คือเงื่อนไขสำหรับการได้ยินและรับรู้ถึงการแสดงออกถึงความต้องการที่มาจากผู้อื่น
การพึ่งพาการดูแลในทางปฏิบัติบนความสัมพันธ์ที่น่าสนใจของการตอบสนองเป็นเหตุผลหนึ่งที่ควรได้รับปฏิเสธต่อจินตภาพภูมิศาสตร์ที่เชื่อมโยงคุณค่าที่แท้จริงของการดูแลกับความสัมพันธ์แบบอิงสถานที่
และมองเห็นว่าระยะทางที่มีความห่างไกลเป็นอุปสรรคต่อการดูแล จากความเข้าใจนี้
แนวความคิดที่ว่าความสัมพันธ์ทางศีลธรรมหรือการเมืองในวงกว้างต้องได้รับการพิสูจน์
อันที่จริง มีกรณีเชิงบรรทัดฐานที่เข้มงวดในการต่อต้านการเชื่อมโยงคุณค่าของการดูแลด้วยความสัมพันธ์แบบอิงสถานที่ของความใกล้ชิดและความผูกพัน
โอนอรา โอนิลล์ (O'Neill
1996)
ชี้ให้เห็นว่ามีแนวโน้มสูงที่จะเห็นคุณธรรมบางอย่าง เช่น ความเอาใจใส่
ความไว้วางใจ หรือความเมตตา ที่ฝังตัวแน่นในความสัมพันธ์บางประเภท –
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพื่อนและคนในครอบครัว เธอชี้ให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้
ความสัมพันธ์ยังเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้ายต่างๆ เช่น การละเลย ความไม่ปรานี
การหลอกลวง และการทรยศ ข้อสรุปที่เธอได้รับจากการสังเกตนี้มีความเกี่ยวข้องกับการหล่อเลี้ยงภูมิศาสตร์การดูแล
(geography of care) ให้มีความสำคัญขึ้นมา
หากความสัมพันธ์จำนวนมากที่ให้บริบทที่พึงประสงค์สำหรับคุณธรรมต่างๆ ยังคงเป็นเหตุเป็นผลที่ชัดเจนสำหรับสิ่งเลวร้ายที่อยู่ตรงข้ามกัน
บริบทต่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่สามารถประกอบขึ้นจากคุณธรรมเหล่านั้นได้ (Barnett 2005)
คำยืนยันนี้ใช้กับบริบทเชิงพื้นที่ที่นักภูมิศาสตร์มักนำเสนอเป็นฉากคุณธรรมที่สำคัญต่างๆ
เช่นเดียวกับบริบทเชิงสัมพันธ์ที่โอนีลมีในใจ ผ่านความสัมพันธ์ของการเว้นระยะห่าง
การกีดกัน หรือการไม่รับรู้ หรือความสัมพันธ์ของความใกล้ชิดที่เป็นลักษณะที่แสดงให้เห็นของศีลธรรม
แบบจำลองการดูแลที่แบ่งออกเป็น
4 ระดับของฟิเชอร์และตรอนโต ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงแรงจูงใจของการกระทำในสิ่งที่ดีงาม
เช่น การดูแลเอาใจใส่ที่ไม่ได้เป็นเพียงการอ้างอิงตัวตนเชิงเดี่ยวเฉพาะแค่ของตนเองเท่านั้น
หากแต่เป็นความเอาใจใส่ที่ฝังตรึงอยู่ในความสัมพันธ์ของความเอาใจใส่และการตอบสนอง
การกำหนดขอบเขตของภาระหน้าที่หรือความรับผิดชอบนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาเหตุผลและคำนวณเกี่ยวกับผลที่จะตามมาจากการกระทำของตนเองหรือของส่วนรวม
ในทางกลับกัน สิ่งนี้หมายความว่า เป็นแรงจูงใจในทางปฏิบัติของการกระทำที่ไม่น่าจะขึ้นอยู่เพียงแค่กับปฏิบัติการที่เป็นการสาธิตและการพิสูจน์เท่านั้น
เนื่องจากมีข้อสันนิษฐานในวงกว้างว่าวิชาภูมิศาสตร์มีบทบาทเกี่ยวกับการศึกษาที่พิเศษในการเปลี่ยนแปลงจินตนาการทางศีลธรรมของนักเรียน
นักศึกษา และประชาชนทั่วไป โดยแสดงให้เห็นว่าการกระทำของพวกเขาเข้าไปพัวพันกับเครือข่ายที่ขยายออกไปทั้งทางพื้นที่และกาลเวลาของผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด
รูปแบบของอคติที่ทั้งนักทฤษฎีสตรีนิยมที่สนใจการดูแลและนักทฤษฎีชุมชนนิยม
มักฝังลึกเอาไว้ในความคิดและความรู้สึกส่วนตัว ที่กระตุ้นการดูแลคนใกล้ชิดและเป็นที่รักที่สุด
ดังที่เราได้เห็นข้างต้นแล้วว่า นักภูมิศาสตร์มีความกังวลเกี่ยวกับการค้นหาเหตุผลในการขยายขอบเขตการดูแลอย่างมีมนุษยธรรมไปสู่คนอื่นๆ
ที่ไม่เป็นที่รู้จักกันมาก่อน ซึ่งเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่อยู่ในพื้นที่หรือดินแดนที่ห่างไกลออกไป
ในการโต้แย้งเหล่านี้ มีแนวโน้มที่จะถอยกลับไปใช้ความแตกต่างของลัทธิสากลนิยมที่ดูอ่อนแอมาก
เพราะวางอยู่บนหลักการบางอย่างของอัตลักษณ์ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
หรือความคล้ายคลึงกัน ที่เป็นพื้นฐานสำหรับการดูแลคนแปลกหน้าที่อยู่ห่างไกลออกไป ตรงนี้นี่เองที่เป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการดูแลบุคคลที่อยู่ห่างไกลที่มีความเชื่อมโยงกับการอภิปรายถึง
'ภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบ' ที่นักภูมิศาสตร์ยืนยันว่า
ความจำเป็นในการขยายภาระผูกพันออกไปสู่ระยะทางที่ห่างไกลนั้น
เกิดจากความซับซ้อนของความสัมพันธ์เชิงสาเหตุซึ่งเชื่อมโยงผู้คนที่อาศัยอยู่ในสถานที่ต่างๆ
ผ่านธุรกรรมในตลาด ห่วงโซ่อุปทาน หรือผลกระทบจากการพลัดถิ่น ความนัยของการเชื่อมโยงเหล่านี้
คือ คำยืนยันว่าพวกเราถูกผูกมัดและขมวดเข้าไปเกี่ยวพันกับชีวิตของผู้คนทุกประเภทที่อาศัยอยู่ในสถานที่ต่างๆ
ความน่าดึงดูดใจของแบบจำลองความรับผิดชอบนี้จัดอยู่ในแนวคิดที่ว่า วิชาภูมิศาสตร์มีสถานะอยู่ในตำแหน่งที่ดีมากในการจัดหาทรัพยากรการเรียนรู้ที่จะแสดงให้เห็นแก่ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่มีสิทธิพิเศษว่า
พวกเขามีความรับผิดชอบในลักษณะเช่นนี้ด้วย
การสังเกตเชิงประจักษ์ของการพึ่งพาอาศัยกันของกิจกรรมที่แตกต่างกันเชิงพื้นที่จะถูกนำเสนอเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการขยายขอบเขตของจริยธรรมทางภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบที่เหมาะสมกับโลกยุคโลกาภิวัตน์
คุณค่าของวิชาภูมิศาสตร์ที่เป็นวิชาความรู้เกี่ยวกับผลลัพธ์ของระยะทาง (knowledge of distant) ควรถูกนำมาใช้เป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับปฏิบัติการต่างๆ
ที่มีความรับผิดชอบ
มีตัวอย่างมากมายของกระบวนทัศน์ความรับผิดชอบทางภูมิศาสตร์
โดยจุดอ้างอิงประการหนึ่งคือจินตนาการทางภูมิศาสตร์ของฮาร์วีย์ (Harvey 1990) ซึ่งได้ช่วยสร้างงานทั้งหมดในห่วงโซ่สินค้าโภคภัณฑ์ที่ควรจะเป็น
โดยแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างสถานที่ผลิต เครือข่ายการจำหน่าย และกิจกรรม
การบริโภคที่จะสามารถเปิดเผยผลกระทบที่แปลกแยกของระบบทุนนิยมสมัยใหม่ได้
ทฤษฎีเครือข่ายผู้ปฏิบัติการ (actor-network theory) ก็เช่นกันที่ได้เข้าร่วมในโครงการประเภทเดียวกัน ข้อสันนิษฐานร่วมกันของบัญชีประเภทนี้คือเคล็ดลับในการจูงใจให้เกิดการปฏิบัติจริงคือการช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงความพัวพันของพวกเขาในเครือข่ายที่ซับซ้อนของการบริการและการสะสมสินค้า
ในกระบวนการนี้
ทฤษฎีความคลั่งไคล้สินค้าโภคภัณฑ์ที่เลิกใช้ไปแล้วไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าทางศีลธรรมสำหรับยุคสมัยของเราเท่านั้น
แต่ไสยศาสตร์ก็ถูกปรับโครงสร้างพื้นฐานใหม่แล้วเนื่องจากขาดความรู้เชิงประจักษ์
ในทางกลับกัน ความรู้ก็กลายเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการวางกลยุทธ์ต่างๆ ในการเชื่อมต่อใหม่
การโต้เถียงแบบนี้จะได้ประโยชน์มากขึ้นก็ต่อเมื่อเราเข้าใจประเด็นสำคัญสองประการ
ประการแรก เราต้องสันนิษฐานว่าคนธรรมดาไม่ได้อยู่แล้ว
ซึ่งปัจจุบันมีส่วนร่วมในกิจกรรมการดูแลเอาใจใส่ทุกรูปแบบที่มีความรับผิดชอบ
แต่ว่าพวกเขาติดอยู่ในโลกแห่งจินตนาการที่จำกัดและสนใจอยู่เฉพาะแค่เพียงเรื่องของตัวเอง
ประการที่สอง ในทางกลับกัน
เราต้องสันนิษฐานว่าจินตนาการที่จำกัดนี้เกิดจากการที่พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกแห่งความสัมพันธ์ที่ปิดบัง/ซึ่งซ่อนจากความสนใจและภาระผูกพันที่แท้จริงของพวกเขา
มีศีลธรรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับในการทำงานในการอภิปรายเหล่านี้ ข้อสันนิษฐานก็คือว่าโดยธรรมชาติแล้วผู้คนมักจะประพฤติตามความเห็นแก่ตัวเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
เว้นแต่จะได้รับแรงจูงใจจากความรู้และเหตุผลในการทำอย่างอื่น
บางทีปัญหาที่นี่อาจมาจากการกำหนดแบบตรึงคำศัพท์เกี่ยวกับความรับผิดชอบเอง การพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับความรับผิดชอบทำให้นึกถึงความคิดที่ว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับการกล่าวโทษและสร้างความรับผิดในทันที
'ความรับผิดชอบ' และ 'ภาระผูกพัน'
ฟังดูเหมือนเป็นภาระ เป็นสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนทั้งหลายอาจคาดหวังอย่างสมเหตุสมผลว่า/จะพยายามหลีกเลี่ยงให้ห่างหากสามารถทำได้
การติดตามผลตามภูมิศาสตร์รับผิดชอบที่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจของการกระทำนั้น/แทบจะไม่สามารถกำหนดสถานที่หรือขอบเขตความรับผิดชอบทางศีลธรรมหรือทางการเมืองได้
การเรียกร้องเชิงบรรทัดฐานของงานเขียนด้านภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบอยู่ในข้อโต้แย้ง/ว่าเราทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องในชุมชนที่ได้รับผลกระทบที่กว้างขวางทางภูมิศาสตร์/ซึ่งขยายขอบเขตของการเมืองที่มีอาณาเขต/และภาระผูกพันในการเป็นพลเมือง
แบบจำลองนี้มีรูปแบบต่างๆ ที่แตกต่างกันในวิชาภูมิศาสตร์ แต่ว่าแต่ละแบบจำลองขึ้นอยู่กับการสร้างวงรอบเชิงสาเหตุบางอย่างระหว่างการกระทำและผลที่ตามมา
ความเชื่อมโยงอาจเป็นเพียงการยืนยันถึงความรับผิดชอบเชิงสาเหตุ
เช่นในการอภิปรายเกี่ยวกับการบริโภคที่ยั่งยืน อย่างที่มักเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าผู้คนในฐานะผู้บริโภค
ช่วยกันผลิตซ้ำแนวปฏิบัติที่เป็นการจำลองสิ่งแวดล้อมจากการจับจ่ายซื้อสินค้า ในประเด็นอื่นๆ
การสาธิตความเชื่อมโยงอย่างใดอย่างหนึ่งอาจถูกเสริมด้วยการอ้างว่าบางคนได้รับประโยชน์จากการอยู่ในเครือข่ายที่กว้างขวางในเชิงพื้นที่
ดังนั้นจึงมีความรับผิดชอบที่ตามมาจากการมอบให้เป็นรางวัลที่ไม่ค่อยเป็นธรรม
นอกจากนี้ การสาธิตความเชื่อมโยงมักจะมาพร้อมกับการเรียกร้องความสนใจตนเอง
เช่นในกรณีของการรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมหลายๆครั้ง
แคมเปญดังกล่าวมักวางตำแหน่งให้ผู้คนต้องมีความรับผิดชอบ/โดยอ้างว่าเป็นผู้มีความเกี่ยวข้องกับระบบการผลิตและการบริโภคที่ทำลายสิ่งแวดล้อม
ซึ่งในอนาคตสิ่งเหล่านั้นจะคุกคามต่อตนเองหรือบุตรหลาน ทั้งด้านสุขภาพ
การดำรงชีวิต หรือแม้กระทั้งความมั่นคงที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นความรับผิดชอบโดยอ้างอิงถึงปฏิบัติการของผู้กระทำเอง
ประการที่สอง แม้ในแง่ของตัวเองสมมติฐานที่ว่าเพียงแค่อธิบายสาเหตุอันเป็นความเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบระหว่างการกระทำโดยไม่เจตนา
กับผลที่ตามมาที่ไม่ได้ตั้งใจ ก็สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงปฏิบัติการต่างๆแล้วไม่ได้ยืนหยัดยืนยาว
การกำหนดว่าการกระทำหลายๆอย่างทำให้เกิดผลลัพธ์ที่อาจไม่ได้ตั้งใจ
เนื่องจากการดำเนินการแบบเป็นตัวกลางของผู้กระทำการที่เป็นมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์/ซึ่งจำเป็นสำหรับการกระทำเหล่านี้จึงจะได้ผลสำเร็จ
เป็นวิธีที่ดีในการแสดงให้ผู้คนเห็นว่าการกระทำของตนเองทำอย่างแน่นอน
ย่อมมีผลกระทบในวงกว้างอย่างแม่นยำเพราะการแสดงนัยของบุคคล เช่น
การแสวงหาประโยชน์จากแรงงานในที่ห่างไกลหรือในสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ทำได้แค่เพียงสร้างการพึ่งพาผลที่ตามมาเหล่านี้ในการดำเนินการไกล่เกลี่ยจำนวนมากเหลือเกิน
แล้วพูดแรงกระตุ้นของการสาธิตอย่างเคร่งครัดนั้นไม่แน่นอนอย่างเป็นธรรม
มันอาจชักชวนบุคคลให้การกระทำของพวกเขามีส่วนทำให้เกิดอันตรายเหล่านั้นขึ้นอีกเล็กน้อย
เป็นไปได้พอๆ
กันที่บางคนจะสรุปว่าการมีส่วนร่วมของพวกเขาเป็นการไกล่เกลี่ยอย่างมาก
ซึ่งไม่เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้มากเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่านั้น
แต่สิ่งนี้ไม่นับเป็นความรับผิดชอบในแง่ที่สมเหตุสมผลเลย นี่คือทางตันที่ทฤษฎีใดๆ ที่ก่อให้เกิดความรับผิดชอบหรือภาระผูกพันจากผลที่ตามมาจากการกระทำของนักแสดงเองจะต้องเผชิญ:
บุคคลสามารถรับผิดชอบทางศีลธรรมได้เฉพาะในสิ่งที่เขาทำ
แต่สิ่งที่เขาทำเป็นผลจากจินตนาการที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเขาไม่ได้ทำ
ดังนั้นเขาจึงไม่รับผิดชอบทางศีลธรรมในสิ่งที่เขาเป็นและไม่รับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำ (Nagel 1979, 34)
ประเด็นของนาเกล (Nagel 1979) ในที่นี้ที่เป็นคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับความรับผิดชอบบนหลักการแห่งเหตุความรับผิดชอบบนหลักการแห่งเหตุเพียงอย่างเดียว
ที่จะทิ้งทุกสิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับแรงจูงใจในการปฏิบัติจริงออกไป เนื่องจากงานเขียน
'ภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบ' จะสันนิษฐานว่าผู้คนมีความรับผิดชอบโดยอาศัยผลที่ตามมาของการกระทำของพวกเขาเอง
อันที่จริงแล้วไม่สามารถทำในสิ่งที่อ้างได้ว่าได้ทำนั่นเพื่อสร้างเหตุผลที่น่าสนใจสำหรับทุกคนที่ต้องรับผิดชอบต่อความทุกข์หรือความทุกข์ที่อยู่ห่างไกล
ด้วยการสันนิษฐานว่าการแสดงออกเชิงประจักษ์หรือเชิงแนวคิดขอนัยยะเชิงเหตุของความสัมพันธ์ที่ห่างไกลกันสามารถให้เหตุผลและจูงใจให้เกิดการปฏิบัติขึ้นมาได้จริง
นักภูมิศาสตร์มักละเลยไม่ให้ความสนใจมากพอกับสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นที่มาของบรรทัดฐานตามที่กอร์สการ์ด
(Korsgaard 1996)ได้นำเสนอเอาไว้จากสิ่งนี้
เราอ้างอิงถึงคำถามที่เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดว่า/เพราะเหตุใดจึงจะต้องปฏิบัติตามข้ออ้างอิงเชิงบรรทัดฐาน
ทั้งหมดจะดำเนินการให้สอดสัมพันธ์กับบรรทัดฐาน หลักการและค่านิยมได้อย่างไร
เพื่อแสดงให้เห็นว่าเหตุใดจึงควรใช้เวลามากขึ้นในการพิจารณาคำถามเหล่านี้
ให้พิจารณาข้อโต้แย้งที่คล้ายคลึงกันของไอริช มาเรียน ยัง (Young 2004) และโอนอรา โอนิลล์ (O'Neill 2000)
เกี่ยวกับความยุติธรรมระดับโลก ผู้เขียนทั้งสองเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับภาระผูกพันทางศีลธรรมและการเมืองในวงกว้างตามหลักการทางภูมิศาสตร์
ในแง่ของเนื้อหาสาระทางภูมิศาสตร์นั้น ทั้งคู่สนับสนุนการยืนยันของนักภูมิศาสตร์เกี่ยวกับการยึดถือเอาความรับผิดชอบเหนือเครือข่ายปฏิบัติการที่เป็นโลกาภิวัตน์
อย่างไรก็ตามภายใต้การตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน
พวกเขาระดมแง่มุมทางภูมิศาสตร์ของการโต้แย้งโดยสัมพันธ์กับหลักการเชิงบรรทัดฐานที่แตกต่างกันบ้าง
เหตุผลในการดำเนินการที่พวกเขาให้ไว้และการสันนิษฐานนั้นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
เรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของแรงงานทั่วโลกของยัง
(Young
2004) เป็นมากกว่าการบอกเล่าเรื่องภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบที่เรามี/ผ่านการเชื่อมโยงเข้ากับระบบเชิงพื้นที่ที่กว้างขึ้น
เป้าหมายของเธอคือเพื่อสร้างหลักการพื้นฐานบางอย่างซึ่งผู้คนสามารถให้เหตุผลเกี่ยวกับการกระทำของพวกเขาได้
คำอธิบายของเธอมุ้งเน้นไปที่คำถามเกี่ยวกับอำนาจและสิทธิพิเศษ/ตลอดจนการเชื่อมโยง
และสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างแน่นอน ประเด็นของเราที่นี่/คือ/หลักการเชิงบรรทัดฐานที่ยังชี้นำเอาไว้
กล่าวคือ แนวคิดที่ว่าผู้คนมักจะถูกกระตุ้นโดยข้อกังวลเพื่อหลีกเลี่ยงการผลิตหรือปฏิบัติซ้ำโดยไม่ได้ตั้งใจในสิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อผู้อื่น
เราสามารถพบเห็นข้อโต้แย้งที่คล้ายคลึงกันนี้ได้ในงานของโอนิลล์
(O’Neill
2000) และมีข้อโต้แย้งอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นข้อสรุปที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับขอบเขตความรับผิดชอบและภาระผูกพันทางภูมิศาสตร์ที่กว้างออกไป
แต่มันตั้งอยู่บนหลักการเชิงบรรทัดฐานที่แตกต่างกัน โอนิลล์แนะนำว่า เราควรจัดวางสถานะทางศีลธรรมของเรากับผู้อื่นที่อยู่ห่างไกลเท่าเทียมกัน/เพราะในกิจกรรมประจำวันของเรานั้น
เราเข้าใจและถือว่าสถานะของพวกเขาเป็นตัวแทนทางศีลธรรม ดังนั้นเราจึงต้องมอบความยุติธรรมและจุดยืนทางศีลธรรมให้แก่คนแปลกหน้าที่อยู่ห่างไกลด้วยเฉกเช่นเดียวกับคนที่อยู่ใกล้ชิด
หากเราผูกติดอยู่กับความยุติธรรมหรือความกังวลทางศีลธรรมในรูปแบบอื่นที่จะใช้ศักยภาพทั้งหมดที่มีเพื่อปฏิบัติ
สร้างประสบการณ์และทนทุกข์แสดงการกระทำต่างๆออกไป เราจะต้องมองคนแปลกหน้าให้เหมือนเป็นคนคุ้นเคย
และคนที่อยู่ห่างไกลออกไปให้เหมือนกับว่าเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ๆกับเราด้วยเช่นกัน (O’Neill 2000: 196)
จุดสำคัญคือหลักการชี้นำของแรงจูงใจทางศีลธรรมของโอนิลล์ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงอันตรายเช่นเดียวกับคำแนะนำของยัง
แทนที่จะเป็นประเด็นสาระแบบโครงสร้างนิยมที่ปรับปรุงตามหลักสากลนิยมของคานต์ ซึ่งผู้ปฏิบัติการทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบจบสวย
(ปัญหาไม่ยืดเยื้อคาราคาซัง ไม่มีอะไรให้มองเห็นเป็นปัญหาอีก ส่วนใดส่วนไหนควรอยู่
ควรช่วย ควรพาไป ควรทำลายก็จัดการเสียให้เรียบร้อย) ในตัวของมันเอง
จุดที่แตกต่างของโอนิลล์และยังมีสองประการ ประการแรกที่ต้องขอย้ำอีกครั้งว่าทั้งสองคนไม่คิดว่า
การสร้างรูปแบบความรับผิดชอบเชิงสาเหตุเชิงภูมิศาสตร์ จะมีพลังจูงใจในตัวของมันเอง
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการอุทธรณ์ในทั้งสองกรณีจึงเกิดขึ้นทั้งในแง่ของผลประโยชน์ส่วนตนและความรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรม
เช่นเดียวกับความเชื่อมโยงทางภูมิศาสตร์ ประการที่สอง
เน้นเฉพาะเนื้อหาทางภูมิศาสตร์ของประเด็นสำคัญเหล่านี้ บนสมมติฐานที่ว่ามันเป็นความรู้ทางภูมิศาสตร์ที่สามารถและเติมเต็มบทบาทของแรงจูงใจนั้น
มีผลที่ซ่อนอยู่ของหลักบรรทัดฐานต่างๆ ที่แสดงบทบาทเหล่านี้อยู่ หลักการดังกล่าวได้แก่
การหลีกเลี่ยงอันตราย การแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หรือการมีเอกราชเป็นของตนเอง
สิ่งที่ทั้งยังและโอนิลล์แสดงให้เห็น ก็คือด้วยตัวของมันเอง มีความจริงเพียงข้อเดียวของการผูกสัมพันธ์กับผู้อื่นที่อยู่ห่างไกลไม่ได้เป็นเหตุผลที่น่าสนใจใดๆ
ที่สามารถอธิบายหรือกระตุ้นความสัมพันธ์จนทำให้เกิดการดูแล ความกังวล
หรือภาระผูกพัน หรือไม่ว่าจะในกรณีใดๆก็ตาม
แม้แต่ในกรณีที่สามารถรวบรวมคำยืนยันที่ชัดเจนได้ว่ามีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างปฏิบัติการของเรากับผู้คนและสถานที่ที่อยู่ห่างไกล
คำถามเกี่ยวกับแรงจูงใจในทางปฏิบัติจะยุติลงเมื่อประเด็นเรื่องความรับผิดชอบหรือการกล่าวให้ร้ายโดยตรงถูกวางทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับคำกล่าวอ้างประเภทต่างๆที่ว่า
ทำไมความเกี่ยวข้องทางภูมิศาสตร์จึงควรนำไปสู่การดำเนินการในทางปฏิบัติทุกประเภท การสร้างความเชื่อมโยงกับปรัชญาทางศีลธรรมและทฤษฎีการเมือง
บางทีนักภูมิศาสตร์ควรใช้เวลาอีกเล็กน้อย เพื่อไตร่ตรองสมมติฐานที่เป็นประเด็นสาระทางทฤษฎีต่างๆ
ที่สร้างขึ้นมาเกี่ยวกับแรงจูงใจและอิทธิพลแบบใดที่ผู้คน ’มีและควรมี’ความอ่อนไหวต่อสิ่งใด แน่นอนว่าข้อสมมติเหล่านี้สามารถประเมินได้เชิงประจักษ์
แต่ก็อยู่ภายใต้การประเมินเชิงบรรทัดฐานด้วยสิทธิของตนเองด้วย
สิ่งที่ทั้งยังและโอนิลล์แสดงให้เห็นก็คือ
อย่างน้อยที่สุด
เหตุผลที่อาจมีสำหรับการกระทำที่แตกต่างหรือไม่ในแง่ของความรู้เชิงสาเหตุนั้นไม่น่าจะมีเหตุผลของความรู้เพียงอย่างเดียว
ประเด็นนี้ทำให้เรากลับมาที่หัวข้อของการเข้าร่วมและตอบสนองต่อผู้อื่น
มีการคิดอย่างหนักหน่วงที่จินตนาการว่าความเข้าใจในความรับผิดชอบและภาระผูกพันสามารถมาถึงทางเดียวได้
นอกเหนือจากการพบปะกับผู้อื่น
นี่เป็นนิสัยที่สันนิษฐานว่าเป็นไปได้หรือดีกว่าที่จะรับความทุกข์ทรมานของโลก
เป็นการเย่อหยิ่งในมุมมองของผู้สังเกตการณ์ที่เป็นกลางโดยไม่ได้ตั้งใจ มีระดับของการแยกตัวโดยนัยโดยการคิดว่าการติดตามผลที่ตามมาและกังวลเกี่ยวกับผลลัพธ์
(ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ) ของการกระทำของคนๆ
หนึ่งสามารถหรือควรเป็นเกณฑ์สำหรับการประเมินพฤติกรรมของตนเองในเชิงบรรทัดฐาน
ในกรณีของการดูแลและความรับผิดชอบ สิ่งสำคัญในแรงจูงใจของการกระทำมีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมและตอบสนองต่อการแสดงออกและการเรียกร้องของผู้อื่น
การยึดติดกับโซ่ตรวนแห่งเวรกรรมจะซ่อนเร้นจากมุมมองว่าการกระทำที่มีความรับผิดชอบและเอาใจใส่นั้นไม่ได้จูงใจไปในการไตร่ตรองภาระหน้าที่ของตนเองเพียงคนเดียว
แต่เกิดจากการพบปะกับผู้อื่น
ความเอื้ออาทร
แรงจูงใจ และการจัดการ
นักภูมิศาสตร์มักจะใช้แบบจำลองเฉพาะขององค์กรทางศีลธรรมในการอภิปรายเรื่องการดูแลและความรับผิดชอบซึ่งเป็นแบบจำลองที่แพร่หลายและอาจเป็นรากฐานของความพยายามทางสังคมศาสตร์ทั้งหมดที่มีความสนใจต่อเรื่องนี้
มีการสันนิษฐานว่าองค์กรเป็นพาหะที่ทำให้เกิดการตำหนิ ความอับอาย และความรู้สึกผิด
และการอธิบายเชิงสาเหตุนั้นเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการจูงใจให้เกิดการกระทำที่มีความรับผิดชอบ
ในทางกลับกัน เป็นการให้ข้อมูลข่าวสารผ่านการสอนต่อๆกันที่สันนิษฐานว่าผู้คนจำเป็นต้องได้รับผลจากการกระทำของตน
เพื่อที่จะได้มีแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลง รับผิดชอบ ดูแลโลกรอบตัวให้มากขึ้น
การสอนแบบที่ว่านี้ไม่เพียงแต่ดำเนินการตามข้อสันนิษฐานว่าแรงจูงใจดังกล่าวทำงานโดยการติดตามผลของการกระทำที่ตั้งใจมากหรือน้อย
ที่น่าเป็นห่วงกว่านั้น คือ ข้อสันนิษฐานที่ว่าผู้คนไม่สนใจอยู่แล้วและไม่ได้ทำหน้าที่อย่างรับผิดชอบอยู่แล้ว
การลงทะเบียนที่ตักเตือนของการอภิปรายเรื่องศีลธรรมและการเมืองของภูมิศาสตร์ส่วนใหญ่นั้นสอดคล้องกับอารมณ์ของเวลาอย่างแน่นอน
ซึ่งมีข้อสันนิษฐานอย่างกว้างขวางว่าผู้คนมักมีแนวโน้มที่จะเป็นคนเห็นแก่ตัวที่เห็นแก่ตัวสำหรับบางคน
(ส่วนใหญ่นิยมลัทธิเสรีนิยมใหม่) คิดว่าลักษณะเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดี และเห็นกันแล้วว่าคนจำนวนมากควรประพฤติเช่นนี้
ในหลายๆ วงกว้างทางการเมือง คิดว่ามีคนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ทำแบบนี้ แต่ว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่ดี
เราจึงจำเป็นต้องมีการอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับความเอื้ออาทร
เพื่อแนะนำว่าสมมติฐานพื้นฐานเกี่ยวกับความเห็นแก่ตัวและผลประโยชน์ในตนเอง อาจไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการพิจารณาคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติเชิงบรรทัดฐาน
และเราอยากจะแนะนำว่า แม้จะมีคุณธรรมแฝงอยู่ก็ตาม
แต่ความเอื้ออาทรถือเป็นแนวคิดทางการเมืองเป็นหลัก:
ความเอื้ออาทรเป็นรูปแบบของอำนาจที่คล้ายกับการให้อภัยหรือให้สัญญา นั่นคือ เป็นแนวทางปฏิบัติที่
'ใช้ชีวิตร่วมกันของผู้คน'
เป็นประจำอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาและทั่วพื้นที่
แซค (Sack 2003) ให้เหตุผลว่าทฤษฎีทางศีลธรรม 'ไม่สามารถบังคับให้เราประพฤติตนได้ดี แต่มันเกลี้ยกล่อมเราด้วยตรรกะและเหตุผลที่มันเปิดเผยวิธีการแสดงที่ดีกว่า' ขณะที่ส่วนแรกของการสังเกตนี้อาจถูกต้อง
ขณะที่ส่วนที่สองกลับทำให้เกิดคำถามว่าพลังของการโน้มน้าวใจที่ผู้คนอ่อนไหวนั้น จำกัดอยู่ที่ตรรกะและเหตุผลเพียงอย่างเดียวหรือไม่
ในปฏิบัติการสอน การมีส่วนร่วมของภูมิศาสตร์กับปรัชญาคุณธรรมไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่ที่ตรรกะและเหตุผลเลย
เราได้แนะนำไปแล้วว่ามีแบบจำลองเกี่ยวกับแรงจูงใจทางศีลธรรมที่ทำงานในด้านภูมิศาสตร์
ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งที่เปลี่ยนความคิดที่ว่าผู้คนสามารถถูกย้ายไปดำเนินการตามหลักจริยธรรมได้ด้วยการแสดงให้เห็นเชิงประจักษ์ถึงความหมายของพวกเขาในผลที่ตามมาอันไกลโพ้นด้วยการแสดงความรู้สึกผิด
นักภูมิศาสตร์ยังให้ความสำคัญกับการให้เหตุผลในการดูแลมากขึ้นหรือมีความรับผิดชอบมากขึ้น
ซึ่งมักจะหมายถึงการขยายการดูแลและความรับผิดชอบในระยะไกล ในปัจจุบัน ความพยายามใดๆ
ในการให้เหตุผลในการประพฤติปฏิบัติจริง
จำเป็นต้องมีแบบจำลองบางอย่างว่าแรงจูงใจทางจริยธรรมทำงานอย่างไร ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
ทฤษฎีจริยธรรมและศีลธรรมที่นักภูมิศาสตร์ได้พัฒนาขึ้นนั้นไม่ได้กล่าวถึงนักวิชาการอื่นๆ
เท่านั้น พวกเขาถูกฝังอยู่ในโปรแกรมการสอนที่เผยแพร่ในพื้นที่สาธารณะของการศึกษา
วารสาร และแม้แต่ในสื่อยอดนิยม ดังที่นาเกลตั้งข้อสังเกต
แนวคิดที่ว่าปัญหาการจูงใจของการปฏิบัติจริงจำเป็นต้องมีหลักการที่เข้มแข็ง
โดยที่ผู้คนจะได้รับการเกลี้ยกล่อมอย่างสมเหตุสมผลให้กระทำการสันนิษฐานว่าการพิจารณานี้
ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม สามารถเข้าใจได้โดยนักทฤษฎีแล้วจึงสื่อสารผ่าน
รูปแบบหรืออื่นๆ ของปฏิบัติการสอน เราแนะนำว่าผู้คนมีแรงจูงใจในทุกวิถีทาง
จากสิ่งต่างๆ มากมาย เหตุผลสมมุติใดๆ สำหรับการกระทำทางศีลธรรม 'ต้องอาศัยสมมติฐานเชิงประจักษ์เกี่ยวกับอิทธิพลที่ผู้คนอ่อนไหว' (Nagel 1970)
หากสมมติฐานเหล่านี้ไม่เป็นความจริงสำหรับผู้ที่ได้รับการโต้แย้งทางศีลธรรม -
เกี่ยวกับผู้ที่ควรจะนำไปใช้ หากไม่เป็นการโน้มน้าวใจโดยตรง - การให้เหตุผลจะ 'ไม่มีความถูกต้องหรือกำลังโน้มน้าวใจ'
ดังนั้น คำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นสำหรับเรา ก็คือ 'อิทธิพลจูงใจ'
ประเภทใดที่นักภูมิศาสตร์ถือว่าผู้คนอ่อนไหว เราได้แนะนำไปแล้วว่าคำตอบหนึ่งสำหรับเรื่องนี้
คือ มีการลงทุนมากเกินไปในอิทธิพลของความรู้เชิงสาเหตุ
แต่อีกคำถามหนึ่งที่เกิดขึ้น ตราบเท่าที่คำตอบแรกนี้ดูเป็นไปได้
เป็นปัญหาที่จูงใจที่นักภูมิศาสตร์กล่าวถึงการดูแลในระยะไกลและภูมิศาสตร์ของความรับผิดชอบมีขึ้นเพื่อแก้ปัญหาอย่างไร
สำหรับเราแล้ว ดูเหมือนว่าตลอดช่วงของการอภิปรายที่ทบทวนในสองหัวข้อก่อนหน้านี้มีการสันนิษฐานร่วมกันในวงกว้างว่างานของภูมิศาสตร์ที่มีส่วนร่วมทางศีลธรรมและมุ่งมั่นในเชิงบรรทัดฐาน
คือ การเอาชนะแนวโน้มที่ยึดมั่นต่อการกระทำในลักษณะที่ตนเองสนใจและเป็นไปตามขอบเขตของภาระผูกพันที่จำกัดทางภูมิศาสตร์
ความสนใจในตนเองและความเห็นแก่ตัวมักจะสอดคล้องกับจินตนาการทางภูมิศาสตร์ที่จำกัด
และถูกตอบโต้กับสินค้าทางศีลธรรม เช่น การเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น
ซึ่งสอดคล้องกับขอบเขตทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวางมากขึ้น ตัวอย่างเช่นที่แซคได้ยืนยันว่า
'ความเห็นแก่ผู้อื่นเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการดูแลคนแปลกหน้าที่อยู่ห่างไกล
(คนอื่นๆ ที่ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัว และด้วยเหตุนี้จึงไม่มีอะไรจะอ้างสิทธิ์เป็นการส่วนตัว)' (Sack 2003) นอกจากนี้แซคยังอ้างอีกว่าหน้าที่ของภูมิศาสตร์คือการให้ความช่วยเหลือในการให้เหตุผลว่าเหตุใดผู้คนจึงควรให้ความสำคัญกับตนเองน้อยลง
และเห็นแก่ผู้อื่นมากขึ้น
เหตุใดนักภูมิศาสตร์จึงเข้าใจได้ง่ายว่าผู้คนมักเห็นแก่ตัวโดยธรรมชาติ
เหตุใดการเอาใจใส่ มีความรับผิดชอบและการแสดงความห่วงใยต่อคนแปลกหน้า
จึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน? และเหตุใดการแสดงด้วยแรงจูงใจที่เห็นแก่ผู้อื่นจึงควรได้รับการพิจารณาว่ามีความขัดแย้งกับความกังวลต่อตนเองโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่านี่เป็นคำถามเชิงโวหาร เพื่อที่จะเปลี่ยนความสนใจไปจากสมมติฐานที่ว่าความสนใจในตนเองเป็นอุปนิสัยตามธรรมชาติที่ต้องถูกตอบโต้
และการกระทำทางศีลธรรม เช่น
การเห็นแก่ผู้อื่นจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นโดยการให้เหตุผลอันชอบธรรมแบบเหล็กหล่อ
เราจึงมุ่งไปที่ประเด็นหลักเกี่ยวกับความเอื้ออาทร (generosity) เราเน้นที่คำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างความสนใจในตนเองและการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น
เพราะมันเปิดทางเข้าสู่แก่นเรื่องของความเอื้ออาทรนี้
เป็นความจริงที่รูปแบบการเห็นแก่ผู้อื่นส่วนใหญ่ยังคงมีลักษณะเป็นสิ่งเดียวอย่างแท้จริง
พวกเขามักจะให้ความสำคัญกับความเป็นองค์กรทางศีลธรรมอย่างตรงไปตรงมาของผู้ให้
ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นคุณลักษณะเชิงรุกทั้งหมดของอัตวิสัยทางศีลธรรม โดยผู้รับเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุน
ซึ่งไม่สามารถทำการโต้ตอบได้ นอกจากนี้ยังมีการลดทอนความถูกต้องของความกังวลเกี่ยวกับเครื่องมือในการจูงใจให้เกิดการกระทำที่เห็นแก่ผู้อื่น
ซึ่งแบบจำลองดังกล่าวสันนิษฐานว่าคุณค่าของการกระทำที่เห็นแก่ผู้อื่นสามารถกำหนดได้ทั้งหมด
โดยอ้างอิงถึงเจตนาที่อยู่เบื้องหลังโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ของการกระทำดังกล่าว
ปัญหาทั้งสองนี้เกิดขึ้นจากการสันนิษฐานว่าการเห็นแก่ผู้อื่นและความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้งนั้นมีความเกี่ยวข้องกันซึ่งมีค่าผลรวมเท่ากับศูนย์
กล่าวคือ การเห็นแก่ผู้อื่นนั้นต้องการสิ่งหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งแรงจูงใจต่างๆ
เกี่ยวกับตนเอง แต่เราไม่สามารถอธิบายความประพฤติที่เกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ ได้
หากไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ร่วมกันของการได้มาซึ่งผลประโยชน์ตนเองและการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น
เพราะความกังวลที่แท้จริงและความกังวลอันเป็นประโยชน์ สำหรับสิ่งหนึ่งนั้น 'สินค้า' จะมีคุณค่าได้โดยผู้รับหรือผู้รับผลประโยชน์จากการกระทำที่เห็นแก่ผู้อื่น
จะต้องนำมาพิจารณาด้วยหลักการความเอื้ออาทร - ซึ่งการกระทำที่เอื้ออาทรทั้งหมดทั้งมวลแล้วหมายถึงการเพิ่มความสามารถและความสามารถของพวกเขา:
เราไม่สามารถจินตนาการถึงโลกที่ทุกคนมีแรงจูงใจให้เห็นแก่คนอื่นได้เพียงอย่างเดียว
เป้าหมายของผู้เห็นแก่คนอื่น คือ การให้โอกาสแก่คนอื่นเพื่อความสุขของเขา -
ความสุขจากการอ่านหนังสือหรือดื่มไวน์หนึ่งขวดที่ได้รับเป็นของขวัญ ไม่ใช่สิ่งที่เราจะพึงพอใจเป็นลำดับแรก
ไม่มีใครมีแรงจูงใจที่สูงกว่าความเห็นแก่ตัวเองจนต้องไปเห็นแก่ผู้อื่นได้เช่นกัน (Elster 1989, 53-4)
ปรากฎว่าการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นนั้นจะมีความสมเหตุสมผลก็ต่อเมื่อเกิดความคิดว่าคนอื่นซึ่งเป็นเป้าหมายของความเอื้ออาทรได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากการมีความสุขที่ได้เพิ่มความสามารถของตนเอง
หากการพิจารณาที่เน้นผลลัพธ์และมีประโยชน์นี้ลดน้อยลง การกระทำที่เห็นแก่ผู้อื่น
เช่น การให้การดูแล ให้ความรู้ หรือมอบวัตถุสิ่งของให้โดยไม่สนใจตัวเองแล้วนั่นจะกลายเป็นการปฏิเสธตนเอง
มันคงเป็นมากกว่าการกระทำเพื่อเพิ่มความชอบธรรมทางศีลธรรมของวิชาความเอื้ออาทร
ดังนั้น
แทนที่จะคิดว่าการเห็นแก่ผู้อื่นและความเห็นแก่ตัวเป็นการต่อต้านความเห็นแก่ตัว
เราอาจคิดแทนการอยู่ร่วมกันของมุมมองที่แตกต่างกันสองมุมมองที่รวมกันเป็นอัตภาวะตามหลักจริยธรรม
คือ มุมมองส่วนบุคคลบนอัตภาวิวิสัย ซึ่งบุคคลทำหน้าที่เป็นตัวเรา และมุมมองที่ไม่มีตัวตน
ซึ่งผู้ดำเนินการพยายามที่จะรับตำแหน่งที่เป็นกลางเกี่ยวกับสถานะของกิจการ
เราได้เรียนรู้ที่จะสงสัยอย่างถูกต้องเกี่ยวกับรายละเอียดทั้งหลายที่เป็นนามธรรมและเป็นนามธรรม
และตระหนักถึงความถูกต้องของความรัก ความกังวล
และเป้าหมายที่ผู้คนได้รับจากมุมมองส่วนตัวบางส่วน
แต่เราไม่ควรคิดว่ามุมมองทั้งสองนี้ตรงข้ามกัน หรือคิดว่ามิติส่วนตัวของทัศนคติทางจริยธรรมที่เป็นอัตนัยนั้นไม่เป็นมิตรต่อเหตุผลอย่างเด็ดขาด
ความเป็นไปได้ของคุณธรรมที่ไม่มีตัวตน เช่น
ความรอบคอบและการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถในการมองตนเองว่าคงอยู่ตามกาลเวลา
(ความรอบคอบ) และการตระหนักถึงความเป็นจริงของบุคคลอื่น
(ความเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น) แม้ว่าการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นจะขึ้นอยู่กับ ‘การรับรู้ถึงบุคคลอื่นอย่างเต็มที่’ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการมีแนวคิดเกี่ยวกับตนเองว่าเราเป็นแค่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
มุมมองที่ไม่มีตัวตนนี้มีความสำคัญต่อรูปแบบการตอบสนองของการปฏิบัติจริง
เนื่องจากเป็นเงื่อนไขสำหรับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับความต้องการที่ยืนกรานของเหตุผลเชิงปฏิบัติ
นั่นคือ การกระทำโดยคาดหวังว่าจะต้องให้คำอธิบายหรือข้อเสนอที่เข้าใจได้
เหตุผลเชิงบรรทัดฐานสำหรับความประพฤติของตนต่อหน้าผู้อื่น
สมมุติว่าการกระทำทางศีลธรรมตามแต่มุมมองส่วนตัวของตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นการถือว่าตนเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความเมตตา
ทำหน้าที่แจกจ่ายผลประโยชน์เช่นว่านั้น ที่สามารถควบคุมให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ
นับไม่ถ้วน ซึ่งตนอาจมีความสัมพันธ์ต่างกันหรือไม่มีเลย ในทางกลับกัน
การปฏิบัติที่ตอบสนองและเอาใจใส่ จึงต้องอาศัยความสามารถในการมองตนเองไปพร้อมๆ กันในฐานะที่เป็นตัวเราและฐานะที่เป็นใครบางคน
ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ ต่อมาเป็นมุมมอง 'วัตถุประสงค์'
ซึ่งอย่างหลังนี้เป็นเงื่อนไขของการปลูกฝังมุมมองของตนเองในฐานะสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในโลกที่กว้างใหญ่
(Nagel 1979) เป็นทัศนะที่สันนิษฐานและต้องการให้บุคคลถูกเรียกร้องให้เสนอเหตุผลระหว่างบุคคลสำหรับการกระทำและมุมมองของคนๆ
หนึ่ง ในมุมมองนี้ หลักการกลายเป็นสิ่งสำคัญไม่ใช่ในการดำเนินการพื้นฐานล่วงหน้า
แต่ในบริบทที่คุณสมบัติจำกัดที่จำเป็นของการกระทำใดๆ ที่กระตุ้นโอกาสที่จะให้เหตุผลและยืนยันความถูกต้องเหมาะสม
รายละเอียดที่คลาสสิกของนาเกลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นบ่งชี้ว่า
ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับศีลธรรม จริยธรรม และสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ไม่จำเป็นต้องละทิ้งขอบเขตของการยืนยันที่สมเหตุสมผลเพื่อสนับสนุนการตักเตือนทางศีลธรรม
อย่างไรก็ตาม พวกเขาจำเป็นต้องพิจารณาแนวคิดเกี่ยวกับการเจียมเนื้อเจียมตัวของตนเองให้มากขึ้น
แหล่งหนึ่งสำหรับการพัฒนาแนวคิดดังกล่าวคืองานเขียนชิ้นล่าสุดเกี่ยวกับความเอื้ออาทร
ที่ระหว่างการคิดถึงความสัมพันธ์ของความเอื้ออาทรแสดงให้เห็นตำแหน่งที่แตกต่างกันของผลประโยชน์ส่วนตนกับคุณธรรมอื่นๆ
เกี่ยวกับความเห็นแก่ตัวและการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นและยังชี้ไปที่วาระการปฏิบัติที่มากขึ้นสำหรับการคิดผ่านประเด็นเชิงบรรทัดฐานที่เกิดขึ้นในการเปลี่ยนทางศีลธรรมของภูมิศาสตร์
ประเด็นของการให้ การให้ของกำนัล และความเอื้ออาทร มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในระดับปรัชญาทางศีลธรรมกระแสหลักและทฤษฎีทางสังคม
เช่นเดียวกับการโต้วาทีที่ผันแปรโดยปรัชญาคอนติเนนตัลหลังรากฐาน
งานช่วงนี้แนะนำการทบทวนคำถามเชิงบรรทัดฐานที่อาจหลีกเลี่ยงความเข้มงวดและการกำหนดของสาระสำคัญเหล่านั้นที่การให้เหตุผลอย่างมากสำหรับภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบในรูปแบบต่างๆ
ทฤษฎีการให้ของขวัญมักจะถูกนำเสนอเป็นทางเลือกแทนการคำนวณเชิงเศรษฐศาสตร์ของการแลกเปลี่ยนและสัญญา
ความเข้าใจนี้ได้มาจากสาขาวิชามนุษย์วิทยาโดยที่ของกำนัลได้รับการสร้างขึ้นตามแนวคิดในรูปแบบของปฏิสัมพันธ์ที่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของค่านิยมของการตอบแทนซึ่งกันและกัน
ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปได้ของสังคมและชุมชน ซึ่งมาอูส (Mauss 2002) ได้เคยกล่าวถึงความสัมพันธ์การให้ของขวัญที่เข้าใจกันถึงจุดของห่วงโซ่เความสัมพันธ์
ซึ่งการนำเสนอของกำนัลทำให้ผู้รับต้องเสนอของขวัญเป็นการตอบแทน ด้วยเหตุนี้
การกำหนดการเคลื่อนไหวชั่วคราวที่จะก่อเกิดวัฏจักรที่ยั่งยืน ในวิชามานุษยวิทยา
คุณค่าของความสัมพันธ์ระหว่างของขวัญ เกิดมาจากสมมติฐานที่ว่า ความสัมพันธ์ของการแลกเปลี่ยนหรือสัญญาสินค้าโภคภัณฑ์นั้น
มีความเห็นแก่ตัวและเป็นตัวของตัวเอง ในขณะที่ของกำนัลนั้นมีความสัมพันธ์แก่กันและกันและมีความเห็นแก่ผู้อื่นเป็นสำคัญด้วยวิธีนี้
เรื่องราวทางมนุษย์วิทยาของของขวัญ จึงมักจะถูกยึดถือเอาไว้เพื่อตอบโต้ข้อโต้แย้งที่ดูเหมือนเป็นเจ้าโลกของทฤษฎีสมัยใหม่เกี่ยวกับการเลือกอย่างมีเหตุผล
ทฤษฎีของของกำนัลสามารถเสนอทางเลือกให้กับพวกเห็นแก่ตัวที่อธิบายได้ด้วยแบบจำลองปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่สนใจประโยชน์ส่วนตน (self-interested
models of social interaction) เท่านั้น โดยการฝังความเป็นสังคมไว้อย่างแน่นแฟ้นยิ่งภายในวงกลมของความสัมพันธ์ที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วหนังสือ
Essai
sur le don
ของมาอูส (Mauss 1992) ของเดอริดาทำให้เกิดคำถามถึงข้อสมมติที่ว่าความสัมพันธ์การให้ของขวัญนำเสนอแบบจำลองการดำเนินการทางศีลธรรมที่พึงประสงค์ได้อย่างไร
เขาแสดงให้เห็นระดับที่ความสัมพันธ์ของการให้และรับของขวัญที่คำนวณได้นั้นเหมือนกันกับระดับปกติที่สงวนไว้สำหรับการแลกเปลี่ยนและสร้างพันธะสัญญาต่อกัน
การสาธิตของเดอริดานั้นเรียบง่ายและเด่นชัดเพียงพอ โดยเริ่มจากตำแหน่งที่สืบทอดมาจากมาอูสและคนอื่นๆ
ซึ่งการให้ของขวัญนั้นตรงกันข้ามกับการแลกเปลี่ยน เขาแสดงให้เห็นว่าทันทีที่ได้รับของขวัญอย่างรู้เท่าทันว่านั้นเป็นของขวัญ
ส่วนเรื่องของความเอื้ออาทรมักจะถูกคาดหวังไว้เสมอ ผลตอบแทนที่ได้รับเครดิตจากของบางอย่างแล้วถ้าหากเป็นเพียงแค่เครดิตของความเอื้ออาทร
ความสัมพันธ์ระหว่างการให้และการรับของขวัญนี้จะถูกจารึกไว้ในวงจรการแลกเปลี่ยนกันและกัน
ซึ่งควรจะแยกออกไป เนื้อหา 'จริยธรรม' ที่เห็นได้ชัดของการกระทำที่เอื้อเฟื้อจึงถูกยกเลิกในช่วงเวลาที่เกิดปฏิกิริยาเหล่านั้นขึ้น
การแยกโครงสร้างของวาทกรรมทางมานุษยวิทยาคลาสสิกของพื้นฐานความเอื้ออาทรนั้นเกิดขึ้นจากความกังวลที่จะเปิดเผยระดับที่ประเภทของการให้เหตุผลทางศีลธรรมที่เป็นแบบอย่างของทฤษฎีของขวัญนั้นขึ้นอยู่กับแนวคิดเรื่องทรัพย์สิน
– ของการครอบงำโดยหลักอธิปไตยของตนเอง และสิ่งของอื่นๆ นี่คือ 'จิตไร้สำนึกทางการเมือง'
ของทฤษฎีของขวัญ
การจัดโครงสร้างแบ่งเบาภาระหน้าที่ทางศีลธรรมผ่านการแสดงท่าทางของการยึดทรัพย์
แสดงให้เห็นว่าความเอื้ออาทรไม่ได้มีความตรงไปตรงมาในของประทานของวัตถุอย่างที่ควรจะเป็น
ประเด็นของการสาธิตนี้ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์ทางสังคมทั้งหมดเป็นพื้นฐานความสนใจในตนเอง
เป็นการดีกว่าที่จะตั้งคำถามถึงสมมติฐานที่ว่าความสัมพันธ์เพียงอย่างเดียวจำเป็นต้องตั้งอยู่บนหลักการของการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันแบบสมมาตร
ซึ่งเป็นข้อสันนิษฐานที่สนับสนุนรูปแบบทางเดียวของการให้เหตุผลทางศีลธรรมซึ่งผู้เข้าร่วมต้องถูกบังคับโดยอ้างอิงถึงการกระทำโดยสมัครใจของพวกเขาเอง
ประเด็นของเดอริดาเป็นเพียงว่าความสัมพันธ์ของของขวัญที่บริสุทธิ์นั้นไม่มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติหรือในหลักการ
ดังนั้นจึงควรหยุดสมมติว่าควรใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานของการตัดสินที่สำคัญหรือการประเมินเชิงบรรทัดฐาน
ควรเน้นย้ำว่าการแตกโครงสร้างของขวัญของเดอริดานั้นเป็นเป้าหมายของการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์
ไม่ใช่ฉากของการไม่รับรู้ การไม่แลกเปลี่ยน หรือการกีดกัน เป้าหมายของมันคือฉากที่เป็นแบบอย่างของการรับรู้ซึ่งกันและกันระหว่างอัตวิสัย
ซึ่งอาจควรจะเป็นการแสดงความสัมพันธ์เชิงจริยธรรมที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ระหว่างตนเองกับผู้อื่น
ความสงสัยอย่างแรงกล้าเกี่ยวกับศีลธรรมของการตอบแทนซึ่งกันและกันนี้ สะท้อนถึงจริยธรรมทางปรากฏการณ์วิทยาของเอ็มมานูเอล
เลวินาส (Barnett
2005) ไอริช มาเรียน ยัง (Young 1997) ที่วางทาบอยู่บนแนวความคิดของเดอร์ริดา
เลวินาส และอิริการี ที่ได้พัฒนาแนวคิดที่ว่าความสัมพันธ์ทางจริยธรรมมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันแบบอสมมาตร
สำหรับคนรุ่นใหม่ ที่ห่างไกลจากการกระทำตามหลักจริยธรรมในตรรกะของการมีภาระผูกพันซึ่งกันและกัน
ความสัมพันธ์ที่หลีกหนีจากตรรกะของสัญญาและการแลกเปลี่ยนร่วมกันนั้นอาจเหลือบเห็นโหมดของความสัมพันธ์ที่หลุดพ้นจากวัฏจักรและการครอบงำของภาระผูกพันในตนเอง
ข้อเสนอนี้ถือเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งในการกำหนดกรอบคำถามเกี่ยวกับความมุ่งมั่น
ซึ่งไม่ถือว่าภาระผูกพันนั้นต้องมาจากการสร้างความสัมพันธ์ของการติดค้างชำระระหว่างประเด็นทางศีลธรรมที่ดำเนินอยู่กับเป้าหมายที่ไม่เกี่ยวข้องของความกังวล
ตรงกันข้าม มันชี้ให้เห็นว่าการประพฤติตามจริยธรรมเป็นตัวอย่างได้ดีที่สุดจากการปฏิบัติที่เสียสละ
การอุทิศตน และความรัก เป็นการปฏิบัติที่อาจเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน
เราสามารถหาข้อโต้แย้งที่คล้ายคลึงกันในแนวความคิดอื่นๆ
แนวคิดที่ว่าการกระทำที่ไม่เห็นแก่ตัวล้วนเป็นไปได้หรือดีกว่านั้น ตัวอย่างเช่น ถูกถามโดยจอน
เอลสเตอร์ (Elster 1989) ในเรื่องราวของเขาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการเห็นแก่ตัวและเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน
(self-interested models of social interaction):
พฤติกรรมที่ไม่เห็นแก่ตัวที่แท้จริงถูกแสดงออกด้วยการบริจาคแบบที่ไม่เปิดเผยตัวตนเพื่อการกุศลที่ไม่เลือกปฏิบัติ […] ซึ่งเป็นเพียงเฉพาะของกำนัลจากคนที่ไม่เคยรู้จักไปยังคนที่ไม่รู้จักเท่านั้น
ที่ไม่ถือความเห็นแก่ตัวอย่างชัดแจ้ง (Elster 1989, 55)
เหตุผลที่ว่านี้มีความสัมพันธ์ที่น่าสนใจบางอย่างกับข้อโต้แย้งของเดอริดาว่า
มีเพียงการกระทำที่ไม่ยอมรับผลตอบแทนใดๆ
ที่ไม่อาจให้อย่างรู้เท่าทันว่าเป็นของขวัญเท่านั้นที่สามารถสอดคล้องกับข้อกำหนดของของกำนัลบริสุทธิ์:
ของขวัญบริสุทธิ์ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นของขวัญโดย กลุ่มคนอื่น ประเด็นของเอลสเตอร์ทำให้การแยกแยะของขวัญเป็นมุมมองใหม่
เขาตั้งข้อสังเกตว่าการให้ของขวัญซึ่งเป็นแบบอย่างของความประพฤติที่เห็นแก่ผู้อื่น
สามารถให้บริการผลประโยชน์ของผู้บริจาคได้ง่ายเกินไป
ดูเหมือนว่าความเอื้ออาทรอาจเป็นวิธีการทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมและการพึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเกี่ยวกับความเอื้ออาทรทางร่างกายของโรสาลินด์
ดิปโรส (Diprose
2002) เธอตั้งข้อสังเกตว่าหลายเรื่องราวเกี่ยวกับความเอื้ออาทรนั้น ถือได้ว่าเป็นการแบ่งแยกระหว่างกลุ่มอาสาสมัครที่มีสิ่งของที่จะให้
และกลุ่มอาสาสมัครที่มอบของขวัญให้ ความเอื้ออาทรสามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนจากแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวเพื่อให้เห็นว่าเป็นคนดีและด้วยเหตุนี้จึงอาจนำไปสู่การทำซ้ำเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันในการครอบครองสิ่งต่างๆ
ดิปโรสจึงให้ความสนใจต่อขอบเขตความคิดเกี่ยวกับความเอื้ออาทรในฐานะปัจเจกบุคคล ซึ่งคุณธรรมความเห็นแก่ผู้อื่นที่คอยกระตุ้นให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองนั้น
ยังคงสันนิษฐานว่าความเอื้ออาทรเป็นคุณธรรมที่สืบทอดทั้งหมดในการใช้อำนาจอธิปไตยเหนือการกระทำของตนเอง
ความสำคัญของการยืนยันแบบนี้คือการชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจทางเลือกของความสัมพันธ์ของความเอื้ออาทร
สิ่งที่ตามมาจากประเด็นสาระของยังเกี่ยวกับจริยธรรมของการตอบแทนซึ่งกันและกันที่ไม่สมดุล
(ethics
of asymmetrical reciprocity) คือ ความเอื้ออาทรที่ถูกฝังไว้อย่างถูกต้องในความสัมพันธ์ของการตอบสนองและความเอาใจใส่ต่อผู้อื่น
ในทำนองเดียวกัน ดิปโรสแสดงความเอื้ออาทรต่อการจัดการที่เป็นการเปิดกว้าง อันเป็นรูปแบบหนึ่งของความสัมพันธ์ที่ถือว่าตนเองเป็นผู้ก่อผลกระทบและได้รับผลกระทบจากผู้อื่น
เมื่อความเอื้ออาทรถูกแยกออกจากการเปิดรับความต้องการของผู้อื่น
(นั่นคือเมื่อสันนิษฐานว่าความเอื้ออาทรเป็นภาระหน้าที่ที่มาจากการเผชิญหน้ากับหน่วยงานของผู้รับเรื่องที่ได้รับ)
มันก็จะก่อการคุกคามทำให้เกิดอันตรายซ้ำ:
ตราบใดที่ใช้ความเอื้ออาทรอย่างไม่เข้าใจตัวเองเพื่อเป็นรากฐานในการเผชิญหน้าอย่างเปิดใจกับบุคคลที่เป็นคนอื่น
มันจะแพร่ขยายความมืดบอด การโจรกรรม และลัทธิจักรวรรดินิยมออกไป
แม้จะพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม (Coles 1997, 3)
แนวคิดเรื่องความเอื้ออาทรที่เปิดกว้างมีขึ้นเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับการคิดเกี่ยวกับจริยธรรมของโคลส์
เป็นที่น่าสังเกตว่าความสัมพันธ์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับระดับของความนิ่งเฉยและการแจกจ่ายวิชาภูมิศาสตร์ทางศีลธรรมในจินตนาการของความสัมพันธ์ระหว่างความใกล้ชิดกับระยะทาง
ทำให้ความเอื้ออาทรถูกหล่อหลอมใหม่เป็นวิสัยที่ดำรงอยู่ในปฏิบัติการและเป็นการร่วมมือและโต้ตอบคนอื่น
ทั้งสามคน คือ ยัง โคลส์ และดิปโรส ต่างชี้ให้เห็นถึงบรรทัดฐานของความเอื้ออาทรไม่ใช่เป็นอุดมคติเชิงระเบียบ
แต่เป็นการฝึกฝนที่เป็นส่วนประกอบของสังคม ชุมชน และการอยู่ร่วมกัน ซึ่งในแง่นี้พวกเขาคิดว่าความเอื้ออาทรถือเป็นรูปแบบหนึ่งของอำนาจ
ซึ่งด้วยวิธีการนี้จึงเป็นแนวปฏิบัติการที่ผู้คนสามารถทำร่วมกันเพื่อรักษาความสัมพันธ์ทั้งเวลาและพื้นที่
ความสัมพันธ์ที่บังคับใช้หลักการเชิงบรรทัดฐานนั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบความเห็นแก่ตัวที่ไม่ใช่อธิปไตย
นอกจากนี้พวกเขายังกล่าวถึงการเสนอว่าความเอื้ออาทรไม่ใช่แนวคิด 'คุณธรรม'
เลย ตราบเท่าที่สิ่งนี้มีขึ้นเพื่อบ่งบอกถึงอุดมคติเชิงระเบียบบางประเภทซึ่งไม่สามารถตัดสินและประเมินความเป็นจริงของการปฏิบัติได้จากตำแหน่งของผู้สังเกตการณ์ที่เป็นกลาง
ตามคำจำกัดความ ความเอื้ออาทรคือคุณธรรมบางส่วนที่ไม่สามารถทำให้เป็นสากลได้
เนื่องจากไม่ได้ถูกจัดวางไว้ในการบอกกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมกับคนอื่น
ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นสื่อกลางหรือไม่ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าการปฏิบัติด้วยความเอื้ออาทรใดๆ
ก็ตามต้องมีความเห็นแก่ตัวมากกว่ามีความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น
เช่นเดียวกับคุณธรรมบางส่วนอื่นๆ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ การระงับความเอื้ออาทรถูกฝังอยู่ในโครงสร้างในการแสดงความใจกว้าง
ซึ่งความเป็นไปได้ของความเอื้ออาทรนั้นขึ้นอยู่กับความเอื้ออาทรที่บริสุทธิ์เป็นไปได้
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือความเอื้ออาทรเป็นคุณธรรมบางส่วนที่มีขอบเขตจำกัด
เพราะเป็นการปฏิบัติกับบุคคลจึงเป็นธรรมดาหากในชีวิตประจำวันที่นั้นจะดำเนินการร่วมกับคนอื่นๆ
เราได้โต้เถียงกันว่าการมีส่วนร่วมของรายวิชาภูมิศาสตร์กับปรัชญาทางศีลธรรมนั้นเป็นไปในทางที่ผิด
ตราบใดที่พวกเขาตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ผิดพลาดเกี่ยวกับอิทธิพลประเภทต่างๆ
ที่ผู้คนจะต้องปฏิบัติตาม (สิ่งหนึ่งที่ให้สิทธิพิเศษคือความรู้เชิงสาเหตุเป็นแรงกระตุ้นหลัก)
และด้วย สมมติฐานที่มีข้อบกพร่องเกี่ยวกับปัญหาประเภทต่างๆ
ที่การให้เหตุผลทางวิชาการเกี่ยวกับประเด็นเชิงบรรทัดฐานมีไว้เพื่อแก้ไข
(สมมติฐานที่ว่าผู้คนเห็นแก่ตัวเกินไปและไม่เห็นแก่ตัวเพียงพอ) ในทางตรงกันข้าม
เราได้แนะนำว่าการกระทำอื่นๆ เป็นเรื่องปกติและทุกวัน
และการกระทำที่เป็นผลสืบเนื่องที่จูงใจให้ผู้คนเปลี่ยนความประพฤติไม่ได้เป็นเพียงการกระทำที่เกิดจากตนเองเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงการแสดงของนักแสดงคนอื่นๆ
ที่เรียกร้องเชิงบรรทัดฐานจากพวกเขาให้สังเกต มีส่วนร่วม และตอบสนองต่อความต้องการของพวกเขาด้วย
เหตุผลของเราในการพัฒนาข้อโต้แย้งนี้ไม่ใช่เพื่อนำเสนอความเอื้ออาทรให้เป็นกระบวนทัศน์ของความประพฤติส่วนตัว
คุณธรรม หรือจริยธรรมที่สามารถหรือควรเสริมการเมืองในทางใดทางหนึ่ง
ปัญหาเชิงบรรทัดฐานของแรงจูงใจที่กล่าวถึงในปรัชญาคุณธรรมนั้นแทบจะไม่จำกัดอยู่ที่จริยธรรมหรือศีลธรรมเพียงอย่างเดียว
ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาเร่งด่วนในการกำหนดแนวคิดของการดำเนินการทางการเมืองและความหมายของความยุติธรรม
อย่างไรก็ตาม เราคิดว่าเกี่ยวกับการโต้วาทีเกี่ยวกับการเมืองและศีลธรรม
ความยุติธรรมและจริยธรรม นักภูมิศาสตร์พร้อมที่จะใช้รูปแบบการให้เหตุผลเชิงเดี่ยวมากเกินไป
ซึ่งถือว่าเป็นกุญแจสำคัญในการมีแรงจูงใจให้ดำเนินการให้เหตุผลและให้ความรู้ที่อธิบายได้
แทนที่จะเน้นที่รูปแบบการกระทำ เช่น ความเอื้ออาทรมีการเสนอการดำเนินการที่แตกต่าง
ซึ่งกระตุ้นการสำรวจมากยิ่งขึ้น: ในการพิจารณาว่าโอกาสในการจัดการกับความต้องการเชิงบรรทัดฐานในการลงทะเบียนหลายๆสิ่งได้รับการจัดระเบียบและเปลี่ยนแปลง
มีการโต้ตอบและยังเปิดกว้างต่อผู้อื่น และโอกาสในการโต้ตอบต่ออุปนิสัยเหล่านี้จึงมีการจัดระเบียบ
เอกสารทั้งหมดที่ทบทวนมาในฉบับนี้ทำให้เกิดการอภิปรายเกี่ยวกับการดูแลบุคคลอื่นที่อยู่ห่างไกลและภูมิศาสตร์ความรับผิดชอบที่ได้กล่าวถึงพูดคุยแล้วก่อนหน้านี้
โดยแต่ละรายการยังได้พัฒนาการวิเคราะห์แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับความเอื้ออาทรที่แนะนำข้อจำกัดของกระบวนทัศน์ทั้งสองนี้
พวกเขามุ่งเน้นไปที่แง่มุมต่างๆ ของความเอื้ออาทร
บ่อยครั้งมีการอ้างอิงเฉพาะเกี่ยวกับวิธีการที่รูปแบบใหม่ของความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ได้รับการประกอบขึ้นผ่านแนวปฏิบัติที่เป็นสื่อกลางของความเอื้ออาทร
โดยสังเกตจากประสบการณ์ แต่ละคนมุ่งเน้นไปที่ภูมิศาสตร์ผ่านความเอื้ออาทร
ซึ่งรวมถึงการบริจาคเงิน การทำงานแบบอาสาสมัคร หรือการใช้เวลาในการดูแลผู้อื่น ทั้งนี้ในทางทฤษฎีแล้ว
สารัตถะของบทนี้ใช้มุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการให้และการรับ
การให้การดูแล และการรับการดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำเอาความท้าทายเดียวกับการคิดที่ก้าวข้ามทวิลักษณ์ของการให้อย่างเต็มใจและการรอรับอย่างเดียว
โดยการคิดผ่านทั้งรูปแบบของการตอบสนองและการเปิดกว้าง ที่กระตุ้นพฤติกรรมความเอื้อเฟื้อ
รวมถึงรูปแบบขององค์กรที่กระตุ้นการตอบสนองดังกล่าว เอกสารทั้งหมดจึงใช้ภูมิศาสตร์เกี่ยวกับแนวปฏิบัติใจกว้าง
ที่ไม่ว่าจะหมายถึงสถานที่ที่มีการให้ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
หรือวัตถุของมนุษย์และธรรมชาติของความเอื้ออาทร
เพื่อตรวจสอบแรงจูงใจที่หลากหลายและซับซ้อนของปฏิบัติการที่มีน้ำใจและเอื้ออาทร
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตัดกับโครงการที่กว้างขึ้นของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม
มาร์ติน บัตเทิล (Buttle 2007) หันความสนใจไปที่แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับความเอื้ออาทรที่เปิดใช้งาน
วางกรอบและส่งเสริมผ่านโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรที่แตกต่างกัน
โดยเริ่มจากสมมติฐานที่ว่าผู้คนมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในรูปแบบต่างๆ มากมาย
เอกสารของบัตเทิลเน้นที่การมีส่วนร่วมของผู้คนกับคลังทางจริยธรรม
ผู้คนได้พิจารณาตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว
เพื่อที่จะส่งผ่านความต้องการทั้งหลายไปยังคลังต่างๆ
ที่ดำเนินการปฏิบัติการทางจริยธรรม
ที่รวมถึงการสร้างโปรแกรมเกี่ยวกับงานการกุศลต่างๆ ขึ้นมา ทั้งนี้บัตเทิลตั้งคำถามว่า
คลังดังกล่าวสร้างวาทกรรมด้านจริยธรรมขึ้นมาได้อย่างไร และมีวิธีการใดที่จะจัดการลูกค้าให้มาอยู่ในรูปแบบเฉพาะของความกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของผู้อื่น
เห็นแล้วว่า ระยะทางที่ห่างไกลออกไป เป็นประเด็นสำคัญในการอภิปรายเชิงปรัชญาคุณธรรมของภูมิศาสตร์
แนวคิดที่ว่าระยะทางเป็นอุปสรรคต่อการตอบสนองความต้องการของผู้อื่นหรือการดูแลเอาใจใส่
ที่ปรากฏอยู่ในเอกสารสองฉบับถัดมา โดยที่พอล โคลก จอน เมย์ และซาราห์ จอห์นสตัน ล้วนแล้วแต่มุ่งเน้นไปที่รูปแบบอื่นๆ
ที่คนเร่ร่อนถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นโอกาสให้ผู้คนมีส่วนร่วมในสิ่งที่เรียกว่า 'การเห็นคุณค่าทางศีลธรรม'
กระบวนการเชิงโครงสร้างและอำนาจของหน่วยงานที่ได้เห็นการเพิ่มขึ้นของคนเร่ร่อนที่ถูกเก็บและซ่อนไว้
แต่ว่าสิ่งสำคัญ ก็คือ มันทำให้จำนวนคนเร่ร่อนเพิ่มมากขึ้น
แนวทางปฏิบัติในการไกล่เกลี่ยที่ช่วยให้ผู้คนในฐานะอาสาสมัคร มีเวลาและพลังงานมากพอที่จะแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปยังคนเร่ร่อนซึ่งไม่ได้อยู่ห่างไกลนัก
แต่ให้รู้สึกว่าพวกเขาอยู่ใกล้ชิดกับเราและสามารถมองเห็นได้ ซึ่งฌอน คาร์เตอร์ (Carter
2007) มองว่า เครือข่ายความเอื้ออาทรและการดูแลที่ยืดเยื้อและความห่างไกลของพื้นที่
ได้รับการพัฒนาและดำรงอยู่ท่ามกลางชุมชนคนพลัดถิ่นที่เป็นผู้อพยพชาวโครเอเชียในดินแดนอเมริกาเหนือในช่วงทศวรรษ
1990 กรณีนี้ ระยะทางที่ห่างไกลจากบ้านเกิดในจินตนาการ เป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการพัฒนาเครือข่ายความช่วยเหลือ
ซึ่งผสมผสานสิ่งสนับสนุนทางวัตถุ การเมือง และศีลธรรม ที่ไม่ชัดเจนนัก เรียกโดยย่อว่า
‘ภูมิรัฐศาสตร์ความเอื้ออาทร’ (geopolitics of generosity)
เอกสารสองฉบับสุดท้ายที่จะกล่าวถึงในที่นี้ มีความท้าทายอย่างชัดเจนถึงเงื่อนไขที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงทางศีลธรรม
ของภูมิศาสตร์ ที่ได้รับการกำหนดเป็นแนวความคิดและถูกสร้างขึ้นเป็นสถาบันเอาไว้อย่างชัดเจน
เอียน คุก (Cook
2010) และอีกหลายๆ คน ได้พัฒนาวิพากษ์วิจารณ์การสอนวิชาภูมิศาสตร์อย่างต่อเนื่องในระดับโรงเรียนและระดับอุดมศึกษา
โดยได้กำหนดรูปแบบการศึกษาทางศีลธรรมบนพื้นฐานของการเชื่อมโยงความรู้ความเข้าใจระหว่างสถาบัน
ณ ที่ตรงนี้และที่ตรงนั้น พวกเขาสรุปแนวทางปฏิบัติทางเลือกของการสอนทางอารมณ์ที่เกินเลยออกไปและท้าทายรูปแบบที่กำหนดไว้ของการทำแผนที่ทางปัญญา
(model of cognitive mapping) นอกจากนี้ บทความของไนเจล
คลาร์ก (Clark 2007) ยังได้ตั้งคำถามถึงขอบเขตที่องค์กรที่ไม่ใช่มนุษย์สามารถเรียกร้องให้มีการตอบสนองกลับถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีน้ำใจ
เขาให้เหตุผลว่าการตอบสนองทั่วของคนทั่วที่มีต่อมหันตภัยสึนามิในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ในเดือนธันวาคม
2004 ถูกกระตุ้นโดยคุณสมบัติของมันในฐานะที่เป็นเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่ง
ไม่ใช่เพียงแค่การตอบสนองความต้องการของผู้คนที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น ดังนั้น เอกสารทั้งสองฉบับที่กล่าวนี้
กลับมาที่คำยืนยันที่ร่างเอาไว้ข้างต้น ที่ว่า การคิดเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ความเอื้ออาทรช่วยเปิดโลกทัศน์ใหม่ขึ้นมา
เพื่อทำให้มีความเข้าใจความสัมพันธ์ที่เปิดกว้าง สามารถตอบสนอง และเอาใจใส่ ต่อปฏิบัติการทางจริยธรรมที่ถูกกกระตุ้นให้ผุดขึ้นมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น