ช่องว่างในผืนป่าดาเรียน: ทางเลือกสุดท้ายของผู้อพยพ
“ลึกเข้าไปในป่าของช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
(Darién
Gap) การปล้น
การข่มขืน และการค้ามนุษย์นั้นอันตรายพอๆ กับสัตว์ป่า แมลง และการขาดแคลนน้ำสะอาด”
ฌอง กอฟ ผู้อำนวยการยูนิเซฟประจำละตินอเมริกาและแคริบเบียน
ช่องว่างในผืนป่าดาเรียนเป็นป่าดงดิบบนภูเขาที่ทอดยาวที่ไร้ถนนและไร้กฎหมาย
ครอบคลุมพื้นที่ของประเทศโคลอมเบียและปานามา
เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่แห่งนี้มีชื่อเสียงว่าแทบจะข้ามไม่ได้ทั้งจากคนในท้องถิ่นและผู้มาเยือนที่มีอุปกรณ์ครบครัน
แต่ในช่วงเดือนต้นๆ ของปี 2022 ผู้คนอย่างน้อย 19,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางมาจากเวเนซุเอลา
พวกเขาได้เสี่ยงชีวิตเพื่อสำรวจช่องว่างในผืนป่าดาเรียนด้วยการเดินเท้า
จำนวนเด็กที่เดินทางมาร่วมข้ามเส้นทางเถื่อนดิบแห่งนี้เพิ่มขึ้น โดยมีอย่างน้อย 5,000
คนที่เข้าไปในป่าระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2022
ผู้อพยพส่วนใหญ่ที่พยายามเข้าไปในช่องว่างในผืนป่าดาเรียนนั้นยากจนมาก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิด-๑๙
ทำให้ผู้คนหลายพันคนต้องเสี่ยงชีวิตในป่า ในปี 2021 เพียงปีเดียว ผู้อพยพข้ามแดนมากกว่า 133,000 คน และในปี 2022 มีแนวโน้มว่าจะเกินสถิติดังกล่าว
หลายคนที่รอดชีวิตจากช่องว่างในผืนป่าดาเรียนบอกว่าหวังว่าพวกเขาจะไม่ลอง
สิ่งที่พวกเขาประสบ สิ่งที่พวกเขาพบเห็น จะตามหลอกหลอนพวกเขาไปตลอดชีวิต
ผู้คนนับสิบได้เฝ้าดูบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเขาเสียชีวิตในป่า
หรือไม่ก็ปล่อยให้พวกเขาตายอยู่ข้างทางเดิน
เหตุใดผู้อพยพจึงเสี่ยงชีวิตในช่องว่างดังกล่าว
พวกเขามีเป้าหมายเพื่ออนาคตที่สดใสกว่าในสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก หรือแคนาดา
การเดินไปทางเหนือบนเส้นทางบกเพียงเส้นทางเดียวที่ออกจากอเมริกาใต้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการข้ามพรมแดน
หากพวกเขาเลือกเดินทางด้วยเครื่องบินหรือเรือ ก็จะมีความเสี่ยงมากกว่า โดยผู้อพยพอาจถูกหยุดแช่เย็นที่ตรงท่าเทียบเรือหรือสนามบินนั้น
และถูกส่งตัวกลับประเทศต้นทางในที่สุด
เดบอราห์ วูล์ฟ แห่งศุภนิมิต
ชวนพวกเราค้นหาคำตอบว่าใครบ้างที่ตัดสินใจเดินทางข้ามช่องว่างในผืนป่าดาเรียนและมีเหตุผลอันจำเป็นอะไร
พร้อมๆ กับอธิบายว่าเหตุใดจำนวนผู้อพยพยจึงเพิ่มขึ้นในปี 2021 และ 2022 รวมถึงสำรวจว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้คนเดินทางถึงอีกฝั่งหนึ่ง
ผืนป่าดาเรียนบนรอยต่อระหว่างประเทศโคลอมเบียกับปานามา
ป่าเขียวชะอุ่มแต่นั่นมันเป็นนรกชัดๆ
การเดินทางข้ามช่องว่างในผืนป่าดาเรียนมีความยาวของระยะทาง
97 กิโลเมตร ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์จึงจะเสร็จสมบูรณ์
ผู้อพยพไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินด้วยเท้าของตัวเอง บริเวณนี้เป็นบริเวณเดียวเท่านั้น
ที่ปราศจากถนนบนแนวของทางหลวงสายแพนอเมริกัน ซึ่งทอดยาวประมาณ 30,000 กิโลเมตร จากประเทศอาร์เจนตินาจรดรัฐอลาสกาของสหรัฐอเมริกา
ที่นี่ไม่มีแผนการที่จะสร้างถนน
ด้วยสภาพที่เป็นพื้นที่ภูเขา หนองน้ำ และป่าทึบ ทำให้ภูมิทัศน์ไม่เป็นมิตรต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
แต่ว่าพื้นที่ดังกล่าวนี้กลับเป็นสถานที่หลบซ่อนของกองกำลังกึ่งทหาร
แก๊งก่อการร้าย และผู้ค้ายาเสพติด อีกทั้งช่องว่างในผืนป่าดาเรียนยังมีพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติที่ได้รับการคุ้มครองโดยยูเนสโก
ซึ่งกว้างใหญ่ถึง 575,000 เฮกตาร์
ผู้ย้ายถิ่นส่วนใหญ่เดินทางเข้าสู่ช่องว่างแห่งนี้โดยไม่เคยได้รับคำแนะนำมาก่อน
และพวกเขาไม่มีแผนที่ติดตัวมาด้วย ในการข้ามผืนป่าพวกเขาจะต้องฝ่าแม่น้ำอันทรงพลัง
และ ซึ่งมีบ่อยครั้งที่ต้องใช้แรงดึงลูกเล็กๆ ขึ้นมาจากโคลนลึก และขึ้นไปบนพื้นที่สูงชันและเป็นภูเขา
ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า ป่าดาเรียนคือหนึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคที่ฝนตกชุกที่สุดในโลก
และมีโคลนลึกอยู่ทุกหนทุกแห่ง
นอกจากนี้ในพื้นที่ป่ายังมีอะไรต่อมิอะไรที่ไร้ระเบียบ
มีโอกาสที่ผู้เดินทางจะเดินหลงป่าเป็นวงกลมได้ง่าย
บางคนสามารถจ่ายค่ามัคคุเทศก์เพื่อนำทางพวกเขาได้
แต่คำแนะนำเหล่านี้อาจเป็นผู้ค้ามนุษย์ที่สวมรอยเป็นผู้ปกป้องที่มีดูเหมือนว่าเป็นผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจ
ความตายภายในช่องว่างของป่าดาเรียน
หากไม่มีถนน การตรวจตราบริเวณที่ลึกที่สุดของช่องว่างในผืนป่าดาเรียนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ภูมิภาคนี้กำลังคืบคลานไปด้วยกองกำลังกึ่งทหารและแก๊งอาชญากร พวกเขาพร้อมที่จะรับผู้อพยพไปพร้อมกัน
ความรุนแรง การกรรโชกและการข่มขืนเป็นภัยคุกคามทั่วไปสำหรับผู้ย้ายถิ่น
เช่นเดียวกับการเสียชีวิตจากการถูกงูกัด การสัมผัส และการจมน้ำ
นักเดินทางในช่องแคบดาเรียนต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่คิดไม่ถึงเมื่อผู้คนต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ไม่กี่วัน นักเทรคกิ้งที่เหนื่อยล้าอาจขนของที่จำเป็น เช่น อาหาร น้ำ และเต็นท์ เพื่อให้พวกเขาสามารถอุ้มลูกได้ Photo: John Moore, Getty Images
ผู้บาดเจ็บหรือผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง
สิ่งที่เกิดขึ้นง่ายอย่างเช่นข้อเท้าบิดอาจหมายถึงจุดจบของชีวิตได้เลยทีเดียว
แม้แต่ผู้ใหญ่ที่ร่างกายแข็งแรงก็ยังต้องต่อสู้เพื่อสิ้นสุดของการเดินทางบนเส้นทางอันแสนหฤโหดนี้
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับภาวะขาดน้ำ
ความหิวโหย และอาการบาดเจ็บของตัวเอง ความปวดใจมีมากมายในช่องว่างของผืนป่าดาเรียน
การช่วยหามผู้ใหญ่คนหนึ่ง แม้ว่าจะทำกันเป็นกลุ่ม แต่จะกลายเป็นเรื่องที่คิดไม่ถึง
เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่ผู้คนต้องมีการต่อรองจากความหิวโหยและภาวะขาดน้ำที่พวกเขาประสบ
แม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นภรรยา พี่สาว หรือพ่อของใครก็ตาม
เมื่ออยู่ในเมืองอากันดี ผู้อพยพทุกคนจะมุ่งหน้าไปยังป่าในช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
ซึ่งเป็นเส้นทางเดินป่าที่อันตรายซึ่งอาจใช้เวลาสิบวันหรือมากกว่านั้น
หลายคนจ่ายเงินให้ไกด์ท้องถิ่นหรือที่เรียกกันว่า ‘โคโยตี้’ ให้เป็นผู้นำทาง ตลอดเส้นทางจะมีผู้ลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายและกลุ่มอาชญากร
รวมถึงสมาชิกของกองกำลังปฏิวัติโคลอมเบีย (FARC: Revolutionary Armed
Forces of Colombia) และกลุ่ม Gulf Clan ซึ่งเป็นกลุ่มกึ่งทหารและแก๊งค้ายารายใหญ่ที่สุดของโคลอมเบีย
กลุ่มอาชญากรเหล่านี้มักขู่กรรโชกและล่วงละเมิดทางเพศผู้อพยพย้ายถิ่นเสมอ
“ลึกเข้าไปในป่า การปล้น การข่มขืน และการค้ามนุษย์นั้นอันตรายพอๆ กับสัตว์ป่า
แมลง และการขาดแคลนน้ำดื่มที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน” ฌอง กอฟ
ผู้อำนวยการภูมิภาคละตินอเมริกาและแคริบเบียนของยูนิเซฟหรือกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ
กล่าวในข่าวประชาสัมพันธ์เมื่อเดือนตุลาคม 2021 “สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า
มีเด็กกำลังจะเสียชีวิตจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ บ่อยครั้งที่พวกเขาต้องสูญเสียพ่อแม่
หรือพลัดพรากจากญาติระหว่างการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายนี้” ปี 2021 กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ประมาณการว่าครึ่งหนึ่งของเด็กที่เดินทางข้ามช่องว่างในผืนป่าดาเรียนอันเลวร้ายแห่งนี้
มีอายุต่ำกว่า 5 ปี และมีเด็กอย่างน้อย 5 คน ถูกพบเสียชีวิตในปีนั้น
สภาพแวดล้อมนำเสนอความท้าทายที่ใหญ่พอๆ
กัน ช่องว่างในผืนป่าดาเรียนเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีฝนตกชุกที่สุดในโลก
และฝนตกบ่อยครั้งอาจทำให้เกิดดินถล่มในพื้นที่ภูเขา อุณหภูมิอาจสูงถึง 95°F (35°C) โดยมีความชื้นสูง
ทำให้กระหายน้ำและหิวมากขึ้น ‘การเดินทางค่อนข้างลำบาก
โดยเฉพาะเมื่อมีฝนตกลงมา เบื้องหน้าของพวกเขามีแต่โคลนและน้ำในแม่น้ำเท่านั้นที่ไหลลงมาตามไหล่เขาอย่างไม่หยุดไม่หย่อน”
ผู้อพยพชาวเฮติคนหนึ่งบอกกับสำนักข่าวอัลจาซีรา “มีหญิงมีครรภ์
ต้องเดินในแม่น้ำ … เด็กเป็นลม และบางครั้งก็เป็นผู้ชายที่ไม่สามารถเดินไปต่อได้’
ภูมิประเทศที่ขรุขระและทางสูงชันของช่องว่างทำให้การเดินทางมีความท้าทายมากยิ่งขึ้น
นอกเหนือจาก
Senafront ซึ่งเป็นหน่วยงานชายแดนของประเทศปานามาแล้ว
ไม่มีกองกำลังตำรวจในพื้นที่ และไม่มีถนนที่เป็นทางการ
ทำให้ยากต่อการหยุดยั้งการค้าอาวุธและยาเสพติด หรือขอความช่วยเหลือ
รัฐบาลปานามารายงานว่าในปี 2022 มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 18
ราย ที่พยายามเดินทางข้ามช่องว่างในผืนป่าดาเรียนแห่งนี้
แม้ว่าตัวเลขจริงน่าจะสูงกว่านี้มาก
เริ่มต้นการผจญภัย
สำหรับผู้อพยพจำนวนมากในช่องว่างบนผืนป่าดาเรียนเป็นความท้าทายล่าสุดในการแสวงหาความปลอดภัยและโอกาสที่ยาวนานหลายปี
บางคนถึงกับบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เพื่อเข้าสู่อเมริกากลาง ผ่านทางช่องว่างที่จะต้องเดินทางด้วยเท้าเท่านั้นแห่งนี้
ผู้อพยพชาวเวเนซูเอลาและเฮติในช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
เมื่อปี 2022 ผู้อพยพที่เดินทางอยู่ในพื้นที่ช่องว่างในป่าดาเรียนแห่งนี้
ส่วนใหญ่มาจากเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นประเทศที่มีวิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจหมุนวนอยู่แบบนี้ยาวนาน
บางคนมาจากบางประเทศในทวีปอเมริกาใต้โดยตรง ส่วนคนอื่นๆ พวกเขาเข้ามาอาศัยอยู่ในฐานะผู้ลี้ภัยในประเทศแถบอเมริกาใต้มาหลายปี
แต่ว่าในปี 2021 ผู้คนที่เป็นผู้อพยพส่วนใหญ่ที่เดินทางผ่านช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
พวกเขามาจากประเทศเฮติ หลังจากเกิดแผ่นดินไหวในปี 2010 ซึ่งทำลายบ้านเกิดของพวกเขา
ชาวเฮติหลายหมื่นคนพยายามที่จะสร้างชีวิตใหม่ในประเทศชิลีและบราซิล กอปรกับพายุเฮอริเคนแมทธิวในปี
2016 ที่ผนวกกับกิจกรรมของพวกอันธพาลที่อาละวาดและความรุนแรงที่รัฐลงโทษ
ทำให้ชาวเฮติอีกหลายพันคนต้องหลบหนีออกมา โดยระหว่างปี 2010-2017 ชาวเฮติประมาณ 85,000 คน เดินทางมาถึงประเทศบราซิล
ประเทศที่ยินดีต้อนรับพวกเขา และสัญญาว่าจะได้งานก่อสร้างก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลกปี
2014 และโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2016
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ผู้อพยพชาวเฮติทั้งในประเทศชิลีและบราซิล ต้องเผชิญกับข้อจำกัดที่เข้มงวดขึ้น
การเลือกปฏิบัติที่เพิ่มขึ้น และความสิ้นหวังทางเศรษฐกิจ การระบาดใหญ่ของโควิด-๑๙
ได้ครอบคลุมทุกแง่มุมของชีวิต ทำให้ทุกประเทศลังเลที่จะต้อนรับผู้มาใหม่
สถานการณ์เหล่านี้ทำให้ครอบครัวชาวเวเนซุเอลาและชาวเฮติหลายพันครอบครัวพร้อมที่จะเสี่ยงทุกอย่างเพื่อโอกาสในชีวิตในสหรัฐอเมริกา
แม้แต่ช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
‘บางครั้งฉันคิดว่า
ถ้าฉันไม่ยากจนขนาดนี้ ฉันคงไม่เจอสถานการณ์แบบนี้’ โรซี บันตูร์ ผู้อพยพชาวเฮติกล่าว
เธอกำลังพูดในสารคดีที่ได้รับรางวัลสำหรับพีบีเอสเกี่ยวกับช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
ซึ่งโรซี่เดินไปมาแปดวันแล้วและก็ยังไม่ปลอดภัย
ผู้อพยพจากดินแดนไกลโพ้นก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในป่าดาเรียน
ทั่วโลกมีการพูดถึงช่องว่างในผืนป่าดาเรียน โดยที่ปี
2019 เพียงปีเดียว
ทางการปานามานับผู้อพยพจากนอกทวีปอเมริกาใต้ได้เกือบ 24,000 คน ที่เดินทางเข้าประเทศผ่านช่องว่างดังกล่าว
และในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 มีผู้คนเดินทางมาจากพื้นที่ไกลโพ้น
เช่น เซเนกัล สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก บังกลาเทศ อุซเบกิสถาน และจีน เพื่อเสี่ยงชีวิตในป่า
จำนวนผู้อพยพในต่างประเทศชะลอตัวลงในปี
2020 และ 2021 เนื่องจากการห้ามเดินทางทั่วโลก
ซึ่งเชื่อมโยงกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทั่วโลก
แต่เมื่อการเดินทางเริ่มขึ้นอีกครั้ง ผู้คนก็ข้ามโลกอีกครั้งเพื่อเสี่ยงชีวิตในป่า
ครอบครัวในภูมิภาคที่อันตรายและสิ้นหวังของประเทศต่างๆ เช่น
สาธารณรัฐแอฟริกากลางอาจไม่มีทางเลือก แม้แต่
พื้นที่ที่ไม่มีถนนในผืนป่าดาเรียนก็ดูมีความหวัง เมื่อเปรียบเทียบกัน Photo:
François Tchaya
แต่ก่อนหน้านั้น ผู้คนจากประเทศต่างๆ เช่น
แองโกลา เอริเทรีย อิหร่าน ปากีสถาน คีร์กีซสถาน ซูดาน และเยเมน
มักจะเสี่ยงชีวิตในช่องว่างดาเรียนทำไม
เนื่องจากคนเหล่านี้จำนวนมากอยู่ในรายชื่อประเทศที่รัฐบาลทรัมป์สั่งห้ามเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา
‘กลุ่มตอลิบานมุ่งโจมตีครอบครัวของเรา
… นั่นคือเหตุผลที่ฉันต้องออกจากประเทศของฉัน’ นิฮาล อาหมัด
ผู้อพยพจากปากีสถานบอกกับนาดจา
ดรอสต์ นักข่าวอิสระสถานีข่าวพีบีเอสที่มาทำสารคดีของเธอ
สำหรับผู้ย้ายถิ่นฐานในต่างแดนจำนวนมาก
การเข้าสู่สหรัฐอเมริกาอย่างลับๆ เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเขา
พวกเขาบินไปโคลอมเบียหรือประเทศอื่นใน/อเมริกาใต้ที่มีข้อกำหนดการเข้าเมืองแบบผ่อนปรน
และเดินทางไปยังช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
ที่จุดเริ่มต้นของช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
เมืองเนโกคลี
ประเทศโคลอมเบีย
เป็นเมืองชายทะเลที่มีประชากรเพียง 20,000 คน แต่ในเดือนสิงหาคมปี 2021 ผู้อพยพประมาณ 10,000 คน แออัดอยู่ในเมืองแห่งนี้
ซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นอย่างมากจากปีก่อนหน้า
พวกเขากำลังรอทางเรือไปยังต้นทางของช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
ภาวะคอขวดของผู้อพยพสร้างข่าวพาดหัวไปทั่วโลก
การยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางจากเงื่อนไขการระบาดของโควิด-๑๙ ในภูมิภาคนี้
บวกกับความไม่สงบ ความรุนแรง และความยากจนที่เพิ่มขึ้น
ได้ส่งคนหลายพันคนไปทางเหนือ พวกเขาต้องรออยู่ในเมืองเนโกคลีฝ จนกว่าทางการของปานามาจะเปิดพรมแดน
ทำให้สามารถผ่านเข้าไปในช่องว่างได้ ทั้งนี้โดยทั่วไปแล้ว
เรือพาณิชย์จากเนโกคลีข้ามอ่าวอูราบา สามารถรองรับผู้อพยพได้เพียง 500 คนต่อวัน
ทำให้ผู้อพยพต้องรอหลายวันหรือหลายสัปดาห์กว่าจะได้ขึ้นเรือข้ามอ่าว และไปถึงช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
ถึงคราวของพวกเขาในที่สุด ผู้อพยพมุ่งหน้าไปยังเรือที่จะพาพวกเขาข้ามอ่าวไปยังช่องแคบดาเรียน ศุภนิมิตได้ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับครอบครัวในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ในเนโกคลี โดยผ่านบัตรกำนัลอาหารและเสบียงสำหรับธุรกิจในท้องถิ่น Photo: Sebastian Avellaneda
ผู้อพยพจะต้องตั้งแคมป์บนชายหาดของเนโกคลี
สร้างที่พักอาศัยจากไม้และเศษพลาสติก หลายคนมาถึงที่นี่อย่างยากจนข้นแค้น
หลังจากอยู่บนถนนหลายเดือน พวกเขาหิวโหย อ่อนล้า
และต้องการเสบียงอาหารสำหรับการเดินทางผ่านช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
ซึ่งมูลนิธิศุภนิมิตอยู่ที่นั่นเพื่อรอพบพวกเขา
โดยจัดหาชุดสุขอนามัย ที่พักอาศัย และบัตรกำนัลเงินสดอเนกประสงค์
เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการขั้นพื้นฐาน ปีเตอร์ กาเป
จากมูลนิธิศุภนิมิตโคลอมเบียกล่าว ว่า ‘เรายังได้จัดตั้งพื้นที่ที่เป็นมิตรต่อเด็กเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กๆ
จะได้รับความสนใจจากจิตสังคม’
อาจดูเหมือนกับว่าศุภนิมิตสนับสนุนให้ผู้ย้ายถิ่นเข้าสู่ช่องว่างดังกล่าว
แต่ทีมของเราทราบดีว่าครอบครัวที่มาไกลได้เผชิญกับสิ่งที่คิดไม่ถึงทั้งในประเทศบ้านเกิดและในฐานะผู้อพยพ
พวกเขามุ่งมั่นที่จะข้ามช่องว่างอันโหดร้ายนี้ออกไป
การเสริมสร้างสุขภาพผู้อพยพสำหรับเผชิญหน้าอันตรายในช่องว่างของผืนป่าดาเรียน
เนโกคลีเป็นเพียงจุดแวะพักในการเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา
ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี แต่มันก็เป็นสิ่งสำคัญ
นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของผู้อพยพในการรองรับเอาความชุ่มชื้น เสริมความแข็งแกร่ง
และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางข้ามช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากศุภนิมิต
ผู้ย้ายถิ่นจำนวนมากอาจตกอยู่ในอันตรายจากการสูญเสียเงินเก็บเพียงเล็กน้อยที่พวกเขาเหลืออยู่
พวกเขาไม่สามารถจ่ายเสบียงราคาสูงลิบลิ่วได้
เพราะต้นทุนทุกอย่างจะสูงขึ้นเนื่องจากการขาดแคลนในท้องถิ่น
ชาวเวเนซุเอลาหลายพันตัดสินใจเดินฝ่ามรสุมเสี่ยงตายเพียงเพื่อให้ถึงชายแดนสหรัฐฯ
วิกฤตการณ์สองประการกำลังมาบรรจบกันที่สะพานแผ่นดินที่เต็มไปด้วยอันตรายตรงช่องว่างในผืนป่าดาเรียนที่เป็นภัยพิบัติทางเศรษฐกิจและมนุษยธรรมที่กำลังดำเนินอยู่ในดินแดนอเมริกาใต้
นับเป็นการต่อสู้อันขมขื่นเกี่ยวกับนโยบายผู้อพยพในวอชิงตัน
โอลกา รามอส เดินป่าเป็นเวลาหลายวันผ่านป่า
ข้ามแม่น้ำ ไต่ภูเขา และอุ้มเด็กที่สวมผ้าอ้อม ลุยโคลนลึกจนแทบจะกลืนพวกเขาลงไปทั้งตัว
ระหว่างทางเธอล้มลงหลายครั้ง ผ่านเด็กพิการที่มีอาการตื่นตระหนก
และเห็นศพชายคนหนึ่งถูกมัดมือและผูกคอ เช่นเดียวกับชาวเวเนซุเอลาอื่นๆ อีกนับหมื่น
ที่เดินทางผ่านเส้นทางป่าเถื่อนไร้ถนนที่รู้จักกันในชื่อ ‘ช่องว่างในผืนป่าดาเรียน’
คุณรามอสเชื่อว่า เธอจะไปถึงสหรัฐอเมริกาได้ เช่นเดียวกับที่เพื่อนๆ
และเพื่อนบ้านของเธอ ที่เคยทำสำเร็จมาแล้วเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
‘ถ้าฉันต้องเดินทางแบบนี้สักพันครั้ง’ รามอสที่มีอาชีพเป็นนางพยาบาล กล่าวขณะอยู่ในแคมป์ในป่าเป็นเวลาหลายวัน ‘ฉันจะเดินทางเป็นพันครั้ง’ รามอส อายุ 45 ปี
เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนย้ายพิเศษของชาวเวเนซุเอลาเพื่อไปยังสหรัฐอเมริกา
ในช่วงวิกฤตที่เลวร้ายที่สุดในเวเนซุเอลา
ระหว่างปี 2015-2018
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ
ระบุว่าความหวาดหวั่นต่อผู้อพยพที่บริเวณชายแดนด้านใต้ของสหรัฐไม่เคยมากเกิน 100
คนต่อปี แต่ว่าในปีนี้มีชาวเวเนซุเอลามากกว่า 150,000 คน มาถึงชายแดนแล้ว ส่วนใหญ่ได้รับแรงบันดาลใจที่บาดตาบาดใจให้เดินทาง
และบางครั้งก็ถึงกับต้องถึงแก่ชีวิต เนื่องจากมีข่าวลือแพร่สะพัดว่าสหรัฐฯ
ไม่มีทางที่จะส่งพวกเขาให้หันหลังกลับประเทศต้นทาง
แต่ว่าการเดินทางของพวกเขาซึ่งมักได้รับข้อมูลไม่ดีจากวิดีโอคลิปที่สะท้อนผ่านสื่อสังคมออนไลน์
กำลังสร้างฉากที่โหดร้ายในช่องว่าแห่งป่าดาเรียน ซึ่งเป็นพื้นที่ป่ายาว 66 ไมล์
ที่เชื่อมระหว่างอเมริกาใต้และอเมริกากลาง
อันเป็นผลมาจากวิกฤตคู่ขนานที่เกิดขึ้นระหว่างพื้นที่แห่งความเจริญทางเหนือกับพื้นที่แห่งความยากไร้ทางใต้
ทั้งนี้ดินแดนอเมริกาทางตอนใต้ อย่างเช่นประเทศเวเนซุเอลา
ซึ่งอยู่ภายใต้รัฐบาลเผด็จการ ได้กลายเป็นประเทศที่แตกสลาย
กระตุ้นให้ผู้คนจำนวนมากอพยพออกไปหาเลี้ยงครอบครัว ชาวเวเนซุเอลามากกว่า 6.8
ล้านคน ออกเดินทางตั้งแต่ปี 2015 ตามข้อมูลของสหประชาชาติ
รวมถึงผูอพยพโดยส่วนใหญ่ที่มาจากประเทศอื่นๆ ในอเมริกาใต้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางโรคระบาดยาวนาน
และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากสงครามในยูเครน
ผู้คนจำนวนมากยังไม่สามารถมีฐานทางการเงินที่มั่นคงตามที่พวกเขาต้องการในประเทศต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นในโคลอมเบียและเอกวาดอร์
ชาวเวเนซุเอลาจำนวนมากจึงกำลังเคลื่อนย้ายอีกครั้ง
และคราวนี้มุ่งหน้าสู่สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ดินแดนทางส่วนเหนือของทวีปอเมริกา
กระแสคลื่นนำเสนอความท้าทายทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นสำหรับประธานาธิบดีโจ ไบเดน
ซึ่งอยู่ระหว่างการเรียกร้องให้ช่วยเหลือผู้คนที่สิ้นหวัง
และแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากพรรครีพับลิกันในการจำกัดคลื่นผู้อพยพจากเวเนซุเอลาและที่อื่น
ๆ ก่อนการเลือกตั้งกลางภาคในเดือนพฤศจิกายน 2022 ที่ผ่านมา
ช่วงไม่กี่เดือนมานี้
ความหวาดกลัวที่บริเวณชายแดนทางตอนใต้ของสหรัฐฯ พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
โดยมีชาวเวเนซุเอลาเป็นกลุ่มที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นที่สุด แต่สำหรับผู้อพยพชาวเวเนซุเอลาแล้ว
สหรัฐฯ ไม่สามารถส่งกลับประเทศต้นทางได้โดยง่ายนัก
เพราะสหรัฐอเมริกายุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลของประธานาธิบดีนิโคลัส
มาดูโร และปิดสถานทูตในปี 2019
หลังจากกล่าวหาผู้นำเผด็จการว่าทุจริตการเลือกตั้ง ส่วนใหญ่
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ จึงอนุญาตให้ชาวเวเนซุเอลาที่มอบตัวเข้าประเทศได้ ซึ่งพวกเขาสามารถเริ่มกระบวนการขอลี้ภัยได้
สิ่งนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นศูนย์กลางของการต่อสู้ทางการเมืองเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐาน ผู้คนจำนวนมากที่ถูกผู้ว่าการพรรครีพับลิกันพาหรือโดยสารเครื่องบินไปยังวงล้อมที่นำโดยพรรคเดโมแครต คือ ชาวเวเนซุเอลา รวมถึงผู้ที่เดินทางมาถึงมาธาร์ส
ไวน์ยาร์ด ซึ่งเป็นเกาะหรูชายฝั่งที่อยู่นอกรัฐแมสซาชูเซตส์เมื่อไม่นานมานี้
อเลกซานโดร มายอร์กาส์
รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ
กล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่าฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีไบเดน ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้าง
“เส้นทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย” เพื่อให้ผู้คนอพยพไปยังสหรัฐอเมริกา แต่เขาไม่ได้ระบุแผนเฉพาะสำหรับชาวเวเนซุเอลา
ซึ่งน่าจะต้องรอนานหลายปี หากพวกเขายื่นขอวีซ่าจากต่างประเทศ เขาระบุชัดเจนว่า
สหรัฐฯ ไม่ได้เสนอสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบพิเศษใดๆ สำหรับชาวเวเนซุเอลา
ถึงกระนั้น ก็ยังไม่หยุดข่าวลือที่ว่าฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีไบเดน
ได้เปิดประตูต้อนรับผู้อพยพชาวเวเนซุเอลา และจะให้ความช่วยเหลือเมื่อพวกเขามาถึง
นางพยาบาลรามอส
ถูกรายล้อมไปด้วยครอบครัวของเธอตรงเมืองประตูเมืองดาเรียน ก่อนเริ่มการเดินทาง
เธอกล่าวว่า เธอได้ทิ้งพ่อแม่และบ้านของเธอไว้เบื้องหลังในการากัสเป็นเวลา 20 ปี เธอเดินทางร่วมกับสมาชิกในครอบครัว
10 คน ในจำนวนนี้มีหลานหลายคนและลูกสาวสองคน ‘ในอดีต คุณต้องขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา” รามอสกล่าว “ตอนนี้
ขอบคุณพระเจ้า พวกเขาให้ที่หลบภัยแก่เรา’
เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว ที่ถือกันว่าช่องว่างในผืนป่าดาเรียนนั้น
มีอันตรายมากจนมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าหาญข้ามไป เจ้าหน้าที่ปานามาระบุว่า
ตั้งแต่ปี 2010-2020
การข้ามแดนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ต่ำกว่า 11,000 คน
ครั้งหนึ่ง ชาวคิวบาเป็นกลุ่มผู้อพยพส่วนใหญ่ที่เดินผ่านช่องว่างดังกล่าว แต่ว่าไม่นานมานี้
ผู้อพยพผ่านพื้นที่อันตรายตรงนี้กลับกลายเป็นชาวเฮติ ปีที่แล้ว มีคนมากกว่า 130,000
คนเดินป่าผ่านดาเรียน และในปี 2022 นี้
มีผู้เดินทางข้ามประเทศแล้ว มากกว่า 156,000 คน
ส่วนใหญ่เป็นชาวเวเนซุเอลา
‘จากเวเนซุเอลา ฉันไปโคลอมเบีย ฉันทำงาน
แล้วก็ทำงาน’ เฟลิกซ์ การ์เวตต์ วัย 40 ปี กล่าว ขณะรอเวลาอยู่ใต้เต็นท์ในเมืองชายหาดโคลอมเบีย
เพื่อเริ่มต้นการเดินทางเมื่อเดือนกันยายน 2022 “แต่ความฝันของฉันยิ่งใหญ่
และฉันต้องการอนาคตสำหรับลูกๆ ของฉัน”
สหรัฐอเมริกาลงทุนไปเกือบ 2.7 พันล้านดอลลาร์
เพื่อรับมือกับวิกฤตเวเนซุเอลานับตั้งแต่ปี 2017 โดยเงินส่วนสำคัญนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนประเทศในอเมริกาใต้ที่เป็นเจ้าของพื้นที่ในการรับมือกับการอพยพของชาวเวเนซุเอลา
เป้าหมาย คือ ป้องกันไม่ให้พวกเขาเดินทางขึ้นไปทางเหนือ แต่ว่ากระแสการอพยพครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นนี้
ชี้ให้เห็นว่ากลยุทธ์นี้ใช้ไม่ได้ผล
แอนดรู เซลี ประธานสถาบันนโยบายการย้ายถิ่นในวอชิงตันกล่าวว่า
การเร่งรีบไปยังชายแดนไม่ได้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายระหว่างฝ่ายบริหารของอดีตประธานาธิบดี
โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดี โจ ไบเดน แต่เป็นการรับรู้ที่เพิ่มขึ้นในหมู่ชาวเวเนซุเอลาว่าทางการสหรัฐฯ
กลับกำลังปล่อยให้พวกเขาเข้ามา การอพยพย้ายถิ่นที่เพิ่มขึ้นนั้น
สอดคล้องกับจำนวนผู้คนจำนวนมากที่บันทึกการเดินทางของพวกเขาผ่านช่องว่างในผืนป่าดาเรียนบนโซเชียลมีเดีย
บน TikTok แฮชแท็ก
#selvadarien ในรูปแบบต่างๆ เป็นภาษาสเปนที่แปลว่า
"ป่าดาเรียน" มีผู้เข้าชมมากกว่าครึ่งพันล้านครั้ง
ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ด้วยแนวโน้มแบบนี้ทำให้ภาพถ่ายเซลฟี่และคลิปวิดีโอของในผืนป่าดาเรียน
ที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า มันกำลังทำให้ผู้คนจำนวนมากมีโอกาสเดินทางที่อันตรายกว่าที่ปรากฏบนโซเชียลมีเดีย
โฆษกของ TikTok อ้างถึงแนวทางปฏิบัติของชุมชนของบริษัท
ซึ่งห้ามเนื้อหาที่ส่งเสริมกิจกรรมอาชญากรรม
บริษัทกล่าวว่าไม่ได้วางแผนที่จะปิดใช้งานแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางข้ามผืนป่า
แม้ว่าจะได้ลบคลิปวิดีโอบางส่วนเนื่องจากละเมิดหลักเกณฑ์
หลังจากได้รับการติดต่อจาก The New York Times
ในการสัมภาษณ์หลายสิบครั้งในช่วงหลายวันที่เดินบนเส้นทางนี้
เป็นที่ชัดเจนว่า มีการผสมผสานระหว่างความสิ้นหวัง
การดึงเอาความฝันแบบอเมริกันมาอย่างยาวนาน และการโพสต์ข้อความที่หลอกลวงบนโซเชียลมีเดีย
เหล่านี้กำลังสร้างวิกฤตด้านมนุษยธรรมซึ่งไม่เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในดาเรียน
ผู้อพยพหยุดเพื่อทำความสะอาดตัวเองด้วยน้ำที่ขุ่นข้นและสกปรกในป่าดาเรียน
ภูมิภาคนี้เคยเป็นป่าบริสุทธิ์มาก่อนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
บัดนี้กลายเป็นเส้นทางยาวของขยะ เสื้อผ้า รองเท้า เต็นท์ และเศษอาหาร
ที่ผู้คนไม่สามารถขนไปได้อีกต่อไป
ไดอานา เมดินา ซึ่งเป็นผู้นำการมีส่วนร่วมของชุมชนและความรับผิดชอบสำหรับสหพันธ์สภากาชาดระหว่างประเทศในปานามา
ได้ติดตามสื่อสังคมออนไลน์เพื่อพยายามทำความเข้าใจว่าผู้อพยพได้รับข้อมูลใดบ้าง เธอกล่าวว่าชาวเวเนซุเอลามีความผูกพันกับเทคโนโลยีมากเป็นพิเศษและมีแนวโน้มที่จะเชื่อถือสิ่งที่พวกเขาเห็นทางออนไลน์
ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอให้เหตุผลว่า ภายใต้การบริหารงานของภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบันสื่อดั้งเดิมลดความสำคัญลงอย่างมาก
ผลลัพธ์ที่ตามมา คือ ผู้คนจำนวนมากเริ่มออกเดินทาง
เป็นการชักนำตามคำให้การทางอารมณ์ของ TikTok ‘สาธุการแด่พระเจ้า’ อ่านข้อความในวิดีโอของชายคนหนึ่งและคู่หูร้องไห้ขณะเดินลุยแม่น้ำไปยังสิ่งที่ดูเหมือนเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา ‘พระสิริเป็นของพระเจ้า’
ผู้อพยพจำนวนมากออกเดินทางโดยไม่เข้าใจสภาพภูมิประเทศ
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ หรือความขัดแย้งทางสังคมที่รออยู่เบื้องหน้า ด้วยเหตุที่กลุ่มอาชญากรมีอำนาจควบคุมภูมิภาคนี้
ผู้อพยพจำนวนมากจึงถูกกรรโชกและล่วงละเมิดทางเพศบนเส้นทาง คนอื่นๆ
อาจเสียชีวิตระหว่างการปีนเขา ถูกพัดพาไปตามกระแสน้ำในแม่น้ำ
หรือเสียชีวิตหลังจากตกจากที่สูงชัน กองกำลังตำรวจชายแดนของปานามากล่าวเมื่อเร็วๆ
นี้ว่า พวกเขาพบศพของผู้อพยพ 18 ศพ ในดาเรียนในช่วงแปดเดือนแรกของปี 2022
โคลนทำให้ทุกอย่างของการเดินทางยากขึ้น
โยอานา
เซียร์รา เธอสูญเสียการยึดเกาะเชือกนำทาง และไถลลงเนินเขาที่เต็มไปด้วยโคลน
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผู้อพยพประมาณ 1,000 คน
ออกจากเมืองคาปูร์กานา ประเทศโคลอมเบีย
ซึ่งเป็นเมืองสุดท้ายก่อนเข้าสู่ดาเรียนดินแดนแห่งความทุกข์ยาก พวกเขาเดินขึ้นเขาหลายลูกเป็นเวลาหลายชั่วโมง
ขณะที่หลายคนหายใจมีเสียงหวีดและสะดุ้งด้วยความเจ็บปวด ในตอนท้ายของวัน
อารมณ์ก็เป็นการเฉลิมฉลอง มีคนให้ความเห็นว่านี่มันไม่เลวเลย เหมือนกับกำลังเดินอยู่ในไร่นา
ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
การเดินทางก็จะยากขึ้นมาก เมื่อผู้คนเดินทางลึกเข้าไปในป่า
การมองเห็นเส้นทางก็ยากขึ้นเรื่อยๆ สมาชิกในครอบครัวหลายคนจะหลงทางได้
หากพวกเขาสะดุดและล้มลงหรือหยุดเพื่อล้างรองเท้าในหนองน้ำที่มีน้ำขัง
เมื่อผ่านเข้าไปตรงพรมแดนระหว่างโคลอมเบียและปานามา
โรมินา รูบิโอ วัย 23 ปี ชาวเอกวาดอร์ที่เคยอาศัยอยู่ในเวเนซุเอลา ทรุดตัวลง
เป็นลมในอ้อมแขนของสามี และมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง เมื่อเธอมาถึงพวกเขาก็พุ่งเข้าใส่
แต่ที่จุดสูงสุดของการลงมาที่เต็มไปด้วยอันตราย โยอานา เซียร์รา พี่สะใภ้ของรูบิโอ
วัย 29 ปี สูญเสียการจับเชือกนำทางและไถลลงมาจากภูเขา เซียร์รากำลังตั้งครรภ์
และเช้าวันต่อมา เธอตื่นขึ้นมามีเลือดออก ซึ่งน่าจะเกิดจากแท้งลูกของเธอ
สิ่งที่เด็กต้องเผชิญในช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
มูลนิธิศุภนิมิตจัดหาเป้อุ้มเด็กให้ผู้ปกครองสวมใส่ระหว่างเดินทางผ่านอันตรายในช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
และด้วยเหตุผลที่ดีเหล่านี้ ผืนผ้าเพียงชิ้นเดียวก็สามารถช่วยชีวิตเด็กได้
ผู้ให้บริการไม่เพียงช่วยให้มือของผู้ใหญ่เป็นอิสระในการไต่ขึ้นเขาสูงชัน
และนำเสบียงช่วยชีวิตติดตัวไปด้วย เช่น น้ำดื่มที่สะอาด
นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้เด็กถูกพัดพาจากมือผู้ปกครองขณะเดินข้ามแม่น้ำด้วย
Photo:
Getty Images
ตามข้อมูลของยูนิเซฟ
จำนวนเด็กที่ตรวจพบบนเส้นทางเดินป่าดาเรียนเพิ่มขึ้นมากถึง ร้อยละ 400 ในหนึ่งปี โดยในเดือนพฤษภาคม 2021 มีเด็กประมาณ 5,00 คน โผล่ออกมาจากป่าในปานามา
และในเดือนพฤษภาคม 2022 ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 2,000 คน
ทั้งนี้เด็กๆ
จะทำทางข้ามช่องว่างในผืนป่าดาเรียนด้วยวิธีต่างๆ ขึ้นอยู่กับอายุและความสามารถ
บางคนถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนของพ่อแม่ บางคนถูกมัดไว้ในกรง
คนอื่นพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลุยโคลนและแม่น้ำด้วยการเดินสองเท้าของตัวเอง
สิ่งที่เด็กบางคนประสบในช่องว่าง คือ
ความฝันร้าย บางคนเห็นศพเน่าเฟะตามข้างทาง
บางคนมองว่าผู้หญิงและเด็กผู้หญิงถูกลากออกไป กรีดร้อง
ถูกสมาชิกแก๊งก่อการร้ายทำร้าย มีแม้แต่เรื่องราวของเด็กๆ
ที่โผล่ออกมาจากช่องว่างโดยลำพังด้วยเหตุผลที่บาดใจยิ่งนัก บางกรณี
พ่อแม่หรือผู้ปกครองที่ได้รับบาดเจ็บไม่สามารถอยู่กับลูกต่อไปได้ –
และถูกทิ้งไว้ข้างทางจนเสียชีวิต
’เราเห็นเด็กจำนวนมากถูกแยกจากพ่อแม่ในระหว่างการเดินทางอันน่าสยดสยองนี้’
แซนดี แบลนเชตต์ ตัวแทนของยูนิเซฟในประเทศปานามากล่าวกับซีเอ็นเอ็น ‘บางครั้ง ทารกหรือเด็กเล็กก็ถูกคนแปลกหน้าอุ้มไปจากศูนย์ต้อนรับของเรา’
เมื่อโผล่พ้นออกมาจากช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
พรมแดนที่มองไม่เห็นระหว่างประเทศโคลอมเบียและปานามานั้นอยู่ลึกเข้าไปในป่า
ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยตรวจเอกสาร ไม่มีกลุ่มช่วยเหลือคอยให้ที่พักพิง คุ้มครอง
และพักผ่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้รอดชีวิตออกมาจากป่า
พวกเขามาถึงศูนย์ต้อนรับผู้อพยพในปานามา
ซึ่งทุกคนได้รับการลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ
ศูนย์แพทย์ไร้พรมแดนให้คำปรึกษาทางการแพทย์
รวมถึงการดูแลผู้หญิงและเด็กผู้หญิงที่ถูกทำร้ายทางเพศหรือถูกข่มขืนในช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
อีกทั้งยูนิเซฟยังพร้อมให้ความช่วยเหลือและดูแล
ผู้รอดชีวิตจากช่องว่างในผืนป่าดาเรียนยังคงอยู่ในที่พักพิงในปานามาเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
เพื่อรอการตรวจสอบอย่างละเอียดครบถ้วนเพื่อเดินทางต่อไปยังคอสตาริกาทางเหนือ
ทางการโคลอมเบียและปานามามีข้อตกลงอนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายผู้อพยพที่ควบคุมและประสานงานผ่านทั้งสองประเทศ
ชื่อและรายละเอียดผู้ย้ายถิ่นเข้าสู่ฐานข้อมูลของสหรัฐอเมริกาในเวลานี้
ระบบ 'ควบคุมการเลื่อนไหล'
ได้รับการจัดตั้งขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากหน่วยงานของสหรัฐอเมริกา
มันทำหน้าที่เป็นระบบ 'เตือนภัยล่วงหน้า'
ประเภทหนึ่งสำหรับสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับผู้อพยพที่มุ่งหน้าไปยังชายแดน
ระหว่างทางขึ้นเหนือ
ผู้รอดชีวิตจากช่องแคบดาเรียนพบกับผู้อพยพจากเอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา และฮอนดูรัส
ซึ่งหลบหนีการคุกคามในประเทศของตน ที่ค่ายทางตอนเหนือของเม็กซิโก
ผู้อพยพหลายพันคนรอคอยที่จะขอลี้ภัยในสหรัฐอเมริกา Photo: Andrea Peer
อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปสำหรับผู้อพยพ
ขณะที่พวกเขาพยายามไปยังเม็กซิโก-สหรัฐฯ ชายแดน? ผู้รอดชีวิตจากช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
จะต้องเดินทางผ่านอีกอย่างน้อยห้าประเทศก่อนที่จะพยายามเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา
ระหว่างทางพวกเขาหลายพันคนจากประเทศต่างๆ ในอเมริกากลางมุ่งหน้าขึ้นเหนือเช่นกัน
ครอบครัวผู้อพยพเข้าใจว่าพวกเขาอาจถูกเนรเทศทันทีที่มาถึงสหรัฐฯ
แต่พวกเขาก็มีเรื่องราวของเพื่อนและญาติๆ ที่สามารถอยู่ต่อได้
พวกเขาเก็บของและเดินทางต่อ
มุ่งหน้าไปยังสหรัฐอเมริกา
ในขณะที่เส้นทางกำลังพัฒนา ผู้อพยพมักจะออกจากป่าตรงหมู่บ้านบาโจ
ชิควิโต ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ทางตะวันออกของปานามา ที่นั่นพวกเขาจะได้พบกับองค์กรด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
เช่น แพทย์ไร้พรมแดน และกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ซึ่งได้จัดตั้งศูนย์ต้อนรับเพื่อให้บริการทางการแพทย์และบริการด้านสุขภาพจิต
แต่ว่าการเข้าถึงน้ำสะอาดและห้องน้ำ ยังคงจำกัดอยู่
ทางการปานามายังได้จัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับผู้อพยพชั่วคราวและให้บริการขั้นพื้นฐานแก่พวกเขา
แต่เจ้าหน้าที่กล่าวว่าต้องการความช่วยเหลือมากกว่านี้ เอริกา มูยีนส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า
รัฐบาลขาดแคลนเงินที่จำเป็นในการให้การสนับสนุนด้านมนุษยธรรมในระยะยาวแก่ผู้อพยพ
แทนที่จะเนรเทศพวกเขา
ทางการปานามาและองค์กรระหว่างประเทศซึ่งได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากสหรัฐอเมริกา
กลับมุ่งเน้นที่การให้บริการที่จำเป็นแก่ผู้อพยพ ในปานามาพวกเขาลงทะเบียนเป็นผู้ย้ายถิ่นและได้รับการตรวจคัดกรองโดยเจ้าหน้าที่เป็นครั้งแรกในการเดินทางของพวกเขา
จากนั้นส่วนใหญ่รีบเดินทางต่อไปทางเหนืออย่างรวดเร็ว
แต่กว่าจะสามารถเดินทางไปถึงสหรัฐฯ ได้
ผู้อพยพต้องข้ามพรมแดนของประเทศต่างๆ อีกกว่าครึ่งโหล
ซึ่งพวกเขาต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกหยุดยั้งการเดินทางหรือไม่ก็ต้องถูกเนรเทศ
แม้ว่าพวกเขาจะไปถึงชายแดนทางตอนใต้ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเดินทางประมาณ 2,500 ไมล์ บนดินแดนของอเมริกากลางเพียงอย่างเดียว
หลายคนก็ถูกขับไล่กลับประเทศของตนภายใต้กฎข้อ 42 ซึ่งเป็นคำสั่งด้านสาธารณสุขในช่วงที่มีโรคระบาด
ขณะเดียวกัน
ผู้อพยพหลายแสนคนกำลังหลบหนีความยากจนและความไม่สงบที่เลวร้ายลงในประเทศที่เรียกว่า
“สามเหลี่ยมด้านเหนือ” หรือ Northern triangle บริเวณประเทศเอลซัลวาดอร์
กัวเตมาลา และฮอนดูรัส เจ้าหน้าที่ชายแดนรายงานว่า พวกเขาสามารถจับกุมผู้คนได้กว่า
2 ล้านคน ตามแนวชายแดนในปีงบประมาณ 2021 ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงเป็นประวัติการณ์
ครอบครัวของผู้อพยพชาวเฮติเดินทางข้ามแม่น้ำริโอแกรนด์เพื่อไปยังสหรัฐอเมริกา
ซึ่งพวกเขาหวังว่าจะได้รับการลี้ภัยภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
อย่างไรก็ดี ทั้งผู้เชี่ยวชาญ รัฐบาล กลุ่มมนุษยธรรม และนักข่าว
ได้แบ่งปันแนวคิดเกี่ยวกับการปรับปรุงการรับมือผู้อพยพจำนวนมากที่มุ่งหน้าไปทางเหนือ
ด้วยมาตรการต่างๆ ดังนี้
·
ห้ามไม่ให้ผู้ย้ายถิ่นข้ามช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
ด้วยการทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า พวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงใด
·
สร้างทางเลือกที่ปลอดภัยและเป็นมิตรมากขึ้นสำหรับการโยกย้าย
ครอบครัวจึงไม่ต้องเผชิญกับความไร้มนุษยธรรมของช่องว่างในผืนป่าดาเรียน
·
สร้างเส้นทางที่ดีกว่าสำหรับการอพยพข้ามพื้นที่ช่องว่างป่าดาเรียนเอง
·
ให้ทางเลือกและสนับสนุนผู้ย้ายถิ่นในการเดินทางกลับบ้านโดยสมัครใจ
·
เมื่อพิจารณาถึงแนวทางระดับภูมิภาค
เนื่องจากหลายประเทศมีส่วนเกี่ยวข้องในทางใดทางหนึ่ง
บรรณานุกรม
Diana Roy (2022).
“Crossing the Darien Gap: Migrants Risk Death on the Journey to the U.S.” ………
available on
https://www.cfr.org/article/crossing-darien-gap-migrants-risk-death-journey-us
at June 22, 2022.
Julie Turkewitz (2022).
“In Record Numbers, Venezuelans Risk a Deadly Trek to Reach the U.S. Border.”
The New York Times Online. Available on October 7.
This Backgrounder
examines how foreign intervention, political instability, and natural disasters
have stymied Haiti’s
development.
This video by PBS
NewsHour follows special correspondent Nadja Drost and videographer Bruno
Federico as they travel through the Darien
Gap in
August 2020.
For Foreign
Policy, Panamanian Foreign Minister Erika Mouynes lays out several ways in which Western
Hemisphere nations can address increased migration.
Piotr Plewa, a visiting
research scholar at Duke University, provides context and data on migration trends in Central and
South America.
At this CFR event,
panelists discuss climate change’s
implications for
mass migration.
This CFR InfoGuide
examines the global migrant crisis and the strains it
is placing on the international refugee system.