ความขัดแย้งแนวทางภูมิศาสตร์ระหว่างแชเฟอร์กับฮาร์ทชอร์น
รองศาสตราจารย์พัฒนา ราชวงศ์ นายกสมาคมภูมิศาสตร์แห่ปงระเทศไทย
การอภิปรายเกี่ยวกับวิธีการในการติดตามการศึกษาทางภูมิศาสตร์ที่ทำให้มั่นใจได้ระหว่างนักภูมิศาสตร์สองคน เฟรด แชเฟอร์ และริชาร์ด ฮาร์ทชอร์น เป็นหนึ่งในการกระตุ้นและทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวิชาการของวิชาภูมิศาสตร์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา การโต้แย้งกันครั้งนี้เริ่มต้นจากบทความของแชเฟอร์ที่มีชื่อว่า ‘Exceptionalism in Geography: A Methodological Examination’ ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมนักภูมิศาสตร์อเมริกัน AAGs เมื่อเดือนกันยายนปี 1953 บทความดังกล่าวของแชเฟอร์ได้รับการตีพิมพ์ต่อเนื่องหลังจากผู้เขียนเสียชีวิตแล้ว ทำให้การถกเถียงยังคงดำเนินต่อไปเมื่อฮาร์ทชอร์นตีพิมพ์ข้อคิดเห็นที่มีข้อแม้ของเขาลงในวารสารเดียวกันในปีต่อมา และต่อด้วยบทความที่มีชื่อว่า ‘Exceptionalism in Geography Re-examined’ ตีพิมพ์ในวารสารเดียวกันเมื่อเดือนกันยายน 1955 อีกทั้งฮาร์ทชอร์นยังได้ตีพิมพ์บทความอีกบทหนึ่งในวารสารเดียวกันเมื่อเดือนมิถุนายน 1958 ชื่อว่า ‘The Concept of Geography as a Science of Space, from Kant and Humboldt to Hettner’ ภาพต่างๆ ที่ได้จากบทความเหล่านั้น ทำให้ได้เห็นถึงการอภิปรายเกี่ยวกับสถานะทางด้านระเบียบวิธีของภูมิศาสตร์ที่เกิดขึ้นในแวดวงวิชาการของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1950
ความมีลักษณะเฉพาะของวิชาภูมิศาสตร์
ช่วงต้นทศวรรษที่ 19 นักภูมิศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาได้รับอิทธิพลจากกระบวนทัศน์ภูมิภาคนิยม
(regional paradigm) มาเป็นกรอบระเบียบวิธีหลักที่ถูกเลือกไว้ใช้ในการดำเนินการวิจัยทางภูมิศาสตร์
ผู้นำเสนอกระบวนทัศน์ภูมิภาคนิยมที่มีชื่อเสียงและโด่งดังที่สุด คือ ริชาร์ด
ฮาร์ทชอร์น และเอกสารต้นทางน้ำเชื้อดังกล่าวของฮาร์ทชอร์น คือ
‘The Nature of Geography’ ซึ่งเป็นงานเขียนระดับพงศาวดาร
ซึ่งต่อมาได้รับการตีพิมพ์ในรูปแบบของเอกสารโดยสมาคมนักภูมิศาสตร์อเมริกัน แม้ว่ากระบวนทัศน์ทางภูมิศาสตร์ภูมิภาคนิยมของฮาร์ทชอร์นจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักภูมิศาสตร์ทั้งหลาย
แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นที่พอใจที่จะยอมรับกระบวนทัศน์ภูมิภาคนิยม ที่กล่าวกันว่าเป็นวิธีปฏิบัติของวิชาภูมิศาสตร์ที่บรรดานักภูมิศาสตร์บางส่วนให้การยอมรับมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา
แชเฟอร์นั้นได้รับการฝึกฝนมาให้เป็นนักเศรษฐศาสตร์มาก่อน
หลังจากนั้นจึงให้ความสนใจศึกษาวิชาภูมิศาสตร์ แชเฟอร์เข้ามามีความเกี่ยวข้องกับภาควิชาภูมิศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยไอโอวา
และเขาได้อพยพออกจากเยอรมนีไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อหลบหนีการข่มเหงของพรรคนาซีที่เกิดขึ้นในเยอรมนีในขณะนั้น
แชเฟอร์ใช้ความรู้และความสนใจที่มีอยู่เพื่อเข้าทำงานในตำแหน่งเกี่ยวกับวิชาภูมิศาสตร์
ด้วยการจัดวางระบบความรู้ที่มีอยู่อย่างหลากหลายทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์
แรงจูงใจสำคัญของเขา คือ ต้องการหักล้างความโดดเด่นมากของกระบวนทัศน์ภูมิศาสตร์ภูมิภาคนิยม
ที่ เป็นเพียงโหมดเดียวของการทำงานวิจัยทางภูมิศาสตร์ และด้วยเหตุนี้เขาจึงแปลและตีความผลงานวิชาการต่างๆ
ที่ริชาร์ด ฮาร์ทชอร์น ใช้ในอ้างอิงในการจัดทำบทความเสียใหม่
การโต้แย้งของแชเฟอร์ต่อแบบปฏิบัติของกระบวนทัศน์ภูมิภาคนิยมของฮาร์ทชอร์น
จัดทำเป็นบทความวิจัยที่ตีพิมพ์มาเพื่อฝังฝั่งตรงข้ามในวารสารของสมาคมนักภูมิศาสตร์อเมริกันเมื่อปี
1953 บทความนี้ แชเฟอร์ได้หยิบยกและแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของภูมิศาสตร์เชิงระบบ
(systematic geography) ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธข้อเรียกร้องเรื่องการมีลักษณะพิเศษเฉพาะของภูมิศาสตร์
หรือ Exceptionalism of Geography
การกล่าวอ้างอย่างเย่อหยิ่งถึงความเป็นเลิศในคุณลักษณะพิเศษของภูมิศาสตร์นั้น
เกิดมาจากความคิดที่ว่า แกนกลางความสนใจของภูมิศาสตร์ควรเป็นเรื่องเกี่ยวกับความแตกต่างของพื้นที่
(areal differentiation) พวกเขามองว่าภูมิศาสตร์ควรเป็นการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ที่จะมาอรรถาธิบายความเป็นจริงต่างๆ
เกี่ยวกับความแตกต่างของพื้นที่ที่ปรากฏบนพื้นผิวโลก
โดยความแตกต่างระหว่างภูมิภาคเหล่านี้คือสิ่งที่นักภูมิศาสตร์จำเป็นจะต้องให้ความสนใจ
รวมถึงจะต้องทำการผสมผสานทุกแง่มุมที่มีอยู่ในพื้นที่เหล่านั้น
เพื่อนำเสนอว่าถึงการปรากฎขึ้นบนพื้นที่ต่างๆ และแสดงให้เห็นอีกว่ามีความแตกต่างกับสถานที่อื่นอย่างไร
ด้วยวิธีนี้การวิจัยทางภูมิศาสตร์จึงจะสามารถนำเสนอ ‘คำอธิบายที่ถูกต้อง
เป็นระเบียบและมีเหตุมีผล และมีการแปลความหมายลักษณะต่างๆ ของพื้นผิวโลกที่แปรผันไปแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน’
ภูมิภาคต่างๆ จัดกลุ่มออกได้เป็น ‘ภูมิภาคที่เป็นทางการ’ (formal regions) และ ‘ภูมิภาคที่มีบทบาทหน้าที่’ (functional
regions) ภูมิภาคที่เป็นทางการ คือ พื้นที่ที่ทั้งภูมิภาคมีปรากฏการณ์เป็นเนื้อเดียวกัน
ส่วนภูมิภาคตามบทบาทหน้าที่ คือ พื้นที่ที่ความเป็นเอกภาพตามศูนย์กลางของภูมิภาคที่ทำหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนของปรากฏการณ์ไปมาตามพื้นที่
กระบวนทัศน์ภูมิภาคนิยม (regional paradigm) นี้ ได้รับการยกสถานะให้เป็นวิธีการที่เป็นไปได้มากที่สุดสำหรับดำเนินการวิจัยทางภูมิศาสตร์
เนื่องจากว่าภูมิศาสตร์ภูมิภาคเป็นการนำเอาคุณลักษณะต่างๆ ของพื้นที่มารวมกัน แล้วแยกออกจากกันตามรายละเอียดที่ปรากฎในรูปแบบภูมิศาสตร์เฉพาะ
การวิจัยทางภูมิศาสตร์จึงได้ใช้วิธีการรวบรวมและวิเคราะห์การเกิดขึ้นของปรากฏการณ์และปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันเพื่อแสดงลักษณะพิเศษของภูมิภาคต่างๆ
แม้จะอยู่ในความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่ว่าการศึกษาภูมิภาคก็มีบทบาทสำคัญในการนำเสนอ
ซึ่งหากเราใช้ตัวอย่างเศรษฐศาสตร์ที่สัมพันธ์กับภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ
และการประยุกต์ใช้ทฤษฎีและกฎทางเศรษฐศาสตร์กับภูมิศาสตร์ จุดสนใจของนักภูมิศาสตร์ที่แตกต่างจากนักเศรษฐศาสตร์
ก็คือ การประยุกต์ใช้ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ระหว่างภูมิภาคและภายในภูมิภาค
ฮาร์ทชอร์นยังนำเสนอการวิจัยภูมิศาสตร์ที่มุ่งมั่นติดตามค้นหาคำตอบสำหรับ
‘ปัญหาทั่วไป - generic problems’ มากกว่าที่จะค้นหา ‘ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ
- causal relationships’ เขากระตือรือร้นที่จะแสดงการเป็นตัวแทนของปรากฏการณ์บนพื้นผิวโลกมากกว่าการแสดงให้เห็นว่าปรากฏการณ์แต่ละอย่างทิ้งรอยประทับลงบนพื้นผิวโลกเอาไว้อย่างไร
ด้วยการให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบและการจัดวางของปรากฏการณ์บนพื้นผิวโลก
ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของการวิจัยภูมิศาสตร์ การค้นหาสาเหตุของการรวมตัวกันของปรากฏการณ์จึงกลายเป็นกำแพงให้วิชาภูมิศาสตร์ยืนพิง
การท้าทายข้ออ้างความเป็นเลิศทางภูมิศาสตร์
วิธีการเชิงพรรณนา (descriptive methodology) ในการทำวิจัยทางภูมิศาสตร์ต้องเผชิญกับการต่อต้านของผู้ปฏิบัติงานในสาขาวิชาที่มีความเห็นว่าภูมิศาสตร์ควรจะเป็นวิชาที่จะต้องมีการสร้างกฎอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาเพื่ออธิบาย
แสดงเหตุผล และทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
และไม่ได้เป็นวิชาที่เน้นเกี่ยวกับวิธีการพรรณนาแต่เพียงอย่างเดียว
แชเฟอร์จึงกลายเป็นตัวแทนของนักภูมิศาสตร์ที่ไม่พอใจและใช้ความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงมาเขียนบทความที่ท้าทายการครอบงำของการกล่าวอ้างถึงความเป็นเลิศของวิชาภูมิศาสตร์
และเรียกร้องให้นักภูมิศาสตร์นำวิธีการปฏิฐานนิยม (Positivism) มาใช้ทำงานวิจัย ซึ่งอาจช่วยยกระดับวิชาภูมิศาสตร์ให้อยู่ในฐานะผู้สร้างกฎทางสังคมศาสตร์ขึ้นมา
บทความที่ผ่านการวิจัยอย่างละเอียดถี่ถ้วนของแชเฟอร์นี้ พยายามกำจัดความสับสนเกี่ยวกับลักษณะของวิชาภูมิศาสตร์ที่เคยเป็นความพยายามของนักภูมิศาสตร์รุ่นก่อน
ที่ฮาร์ทชอร์นมักอ้างถึง ด้วยการยึดถือเอาภูมิภาคให้เป็นวิธีการที่นักภูมิศาสตร์ต้องปฏิบัติตาม แชเฟอร์โต้แย้งด้วยการตรวจสอบประวัติศาสตร์ความเป็นมาทั้งหมดของการพัฒนาวิชาภูมิศาสตร์ในฐานะที่เป็นวิธีการหนึ่งของสอนแบบเดียวกัน
ระเบียบวิธีที่พิจารณาถึงฐานะของวิชาเมื่อเทียบกับระบบต่างๆ ของความรู้และระเบียบวิธี
มีวิวัฒนาการและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาอย่างต่อเนื่อง ขอบเขตและสารัตถะของภูมิศาสตร์ตามที่นักภูมิศาสตร์มองเป็นสิ่งที่ต้องขออภัย
และมักจะกระตือรือร้นที่จะพิสูจน์ให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของวิชาในฐานะที่เป็น ‘วิทยาศาสตร์บูรณาการ’
ด้วยการตกลงกันว่าความก้าวหน้าของวิชาภูมิศาสตร์นั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้าเมื่อเทียบกับสังคมศาสตร์อื่นๆ
อย่างเช่น เศรษฐศาสตร์ แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นวิชาที่มีความสำคัญอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
การเติบโตขึ้นมาอย่างมากของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติในศตวรรษที่ 19 ทำให้เกิดความจริงที่ว่า การศึกษาเชิงพรรณนา (descriptive
study) ไม่สามารถช่วยยกระดับวิชาได้วิชาหนึ่งให้มีสถานะเป็นวิทยาศาสตร์ได้
ทั้งนี้ ในส่วนของวิชาภูมิศาสตร์นั้น กฎทั้งหลายที่อาจเกิดขึ้นส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างรูปแบบเพื่อแสดงลักษณะเชิงพื้นที่
(spatial pattern)
ฮุมโบลดต์และริทเทอร์เองก็ยอมรับความจริงที่ว่ารูปแบบเชิงพื้นที่ทั้งหมด
ถูกควบคุมด้วยกฎหลายๆ กฎ รวมถึงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและมนุษย์ด้วย
แชเฟอร์มองเข้าไปภายในผลงานของวิกเตอร์ กราฟท์ (Viktor Kraft) แล้วเห็นว่า ภูมิศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่งที่ต้องการค้นหากฎที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพื้นผิวโลก เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว แชเฟอร์จึงได้นำเข้าสู่ความเป็นภูมิศาสตร์เชิงระบบที่มีการศึกษาความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ของปรากฏการณ์สองอย่างขึ้นไปหรือมากกว่านั้นบนพื้นผิวโลกทั้งหมด
เพื่อให้ได้มาซึ่งลักษณะทั่วไปหรือกฎ (generalization or law) นอกจากนี้ แชเฟอร์ยังได้ตำหนิเกี่ยวกับการขาดความชัดเจนของบทบาทและความสำคัญของภูมิศาสตร์ภูมิภาคที่สัมพันธ์กับภูมิศาสตร์เชิงระบบ
ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบต่างกัน จนทำให้เกิดวิธีการศึกษาสองแบบในแต่ละขั้นตอนของการพัฒนาวิชาภูมิศาสตร์
โดยต้นศตวรรษที่ ๑๙ วิชาภูมิศาสตร์กายภาพได้ใช้วิธีการเชิงระบบ ขณะที่ต้องรอจนถึงต้นศตวรรษที่
๒๐ การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นกับการวิจัยในสาขาวิชาภูมิศาสตร์มนุษย์และสังคม นื่องจากมีการพัฒนากฎทางสังคมศาสตร์ในช่วงเวลานั้นมีไม่มากนัก
วิธีการเชิงระบบจึงต้องดิ้นรนหารูปแบบที่เหมาะสมมาใช้ สำหรับการอธิบายลักษณะทั่วไปนั้นพบว่าไม่สามารถใช้งานได้จริง
และที่สำคัญนักวิจัยทางภูมิศาสตร์ก็ต้องวางตัวอยู่ตรงกันข้ามกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อแสดงสถานะและตัวตนของตัวเองให้มีความชัดเจน
แชเฟอร์ยังเจาะลึกเข้าไปถึงรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของการกล่าวอ้างถึงความเป็นเลิศของวิชาภูมิศาสตร์
ซึ่งเขาเรียกว่า 'ความเป็นเลิศวิเศษเฉพาะ' (exceptionalism) พร้อมๆ กับกล่าวถึงอิมมานูเอล คานท์ ว่าเป็น ‘บิดาแห่งลัทธิอันโดดเด่นเป็นเลิศเหนือใคร’
แต่ก็สื่อความนัยว่าค้านท์เป็นนักภูมิศาสตร์ที่น่าสงสารแห่งศตวรรษที่ ๑๘
เมื่อเทียบกับวาเรเนียสแล้ว คานท์ไม่เพียงแค่ถูกอ้างว่ามีความโดดเด่นเหนือใครของวิชาภูมิศาสตร์เท่านั้น
แต่ยังรวมถึงประวัติศาสตร์ด้วย คานท์จัดหมวดหมู่ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์เป็นศาสตร์ของการพรรณนา
โดยวิชาประวัติศาสตร์อธิบายตามเวลา ขณะที่ภูมิศาสตร์เป็นการอธิบายพื้นที่ ด้วยการแบ่งแบบนี้อย่างที่แชเฟอร์กล่าวอ้าง
จึงปฏิเสธิไม่ได้ว่า ในโลกนี้ไม่มีวิชาเชิงระบบใดเลยที่จะละเลยการแสดงปรากฏการณ์บนมิติของเวลาและพื้นที่
ประการที่สอง เพียงเพราะคานท์บอกว่าทั้งสองสาขาวิชานี้ที่เป็นวิชาเชิงพรรณนา
ที่ไม่ต้องมีกฎมากำกับการอธิบาย ต่อเรื่องนี้แล้ว อเล็กซานเดอร์ วอน ฮุมโบลดต์ ก็เห็นเป็นแบบนั้นด้วยเช่นกัน
โดยแสดงเอาไว้เป็นร่องรอยในงานเขียนดังของเขา ‘Kosmos’ ซึ่งอธิบายว่าวิทยาศาสตร์ทั้งหมดทุกสาขาล้วนแล้วแต่ค้นหากฎและมีความเป็นการศึกษาแบบกฎบัญญัติ
หรือ ‘nomothetic’ นอกจากนี้
แชเฟอร์ยังกล่าวหาว่าการใช้บารมีอันยิ่งใหญ่ของเฮตต์เนอร์มาสร้างความสับสนมากขึ้นเกี่ยวกับการอ้างความเป็นเลิศ
โดยการสร้างภาพที่มีความคล้ายคลึงกันของทั้งประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ มองผ่านงานของฮาร์ทชอร์นแล้วทำให้ทราบว่า
นักภูมิศาสตร์ชาวอเมริกันส่วนใหญ่คุ้นเคยกับผลงานของเฮตต์เนอร์ แต่แชเฟอร์กลับรู้สึกว่างานของเฮตต์เนอร์สนับสนุนวิธีการแบบกฎบัญญัติให้เกิดขึ้นในการศึกษาวิชาภูมิศาสตร์แบบเดียวกับวิชาวิทยาศาสตร์
แต่ผลกระทบของการกล่าวอ้างความเป็นเลิศของวิชาภูมิศาสตร์นั้น มีความลึกซึ้งมาก และต้องการการขจัดความเข้าใจผิดที่มีอยู่จำนวนมากรอบตัว
อย่างหนึ่งนั้นวิชาภูมิศาสตร์มีความแตกต่างไปจากวิชาวิทยาศาสตร์อื่นๆ คือ วิทยาศาสตร์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่มีความก้าวหน้าสามารถนำไปสู่การสร้างกฎ
แต่วิชาภูมิศาสตร์ยังคงมีลักษณะของการอธิบายสัณฐานวิทยาเป็นหลัก ดังนั้น ปัจจัยด้านเวลาจึงมักถูกละเลย
แตกรายละเอียดเกี่ยวกับ ‘สาเหตุ’
ในการวิจัยทางภูมิศาสตร์นำไปสู่ความล้มเหลวในฐานะที่เป็นวิชาหนึ่ง
ลักษณะทางสัณฐานวิทยามักถูกนำมาแสดงด้วยแผนที่ ที่เป็นเครื่องมือสำคัญ และแผนที่จะถูกเลือกมาใช้เสมอๆ
เนื่องจากแผนที่สามารถแสดงคุณลักษณะบางอย่างที่ผู้วิจัยสนใจ และยังช่วยสร้างปรากฏการณ์เชิงพื้นที่ขึ้นมาให้เห็นเป็นภาพได้ชัดเจน
วิธีนี้เรียกว่าภูมิศาสตร์เชิงเปรียบเทียบ (comparative
geography) แต่ในความเป็นจริงแล้ว
การดำเนินการเช่นนั้นถือได้ว่าเป็นภูมิศาสตร์เชิงระบบ (systematic geography)
อ้างถึงพาลันเดอร์ แชเฟอร์ยังบอกด้วยว่าแนวคิดเกี่ยวกับภูมิภาคนั้น
ไม่ได้อธิบายอะไรเลย และไม่สามารถใช้แทนกฎเชิงพื้นที่ได้ การปฏิเสธการสร้างกฎทางวิทยาศาสตร์
ความเป็นไปได้ของการทำนายจะถูกทำลายโดยวิชาใดวิชาหนึ่ง กฎต่างๆ ทางภูมิศาสตร์สามารถแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม
คือ กฎทางภูมิศาสตร์กายภาพ กฎทางภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ
และกฎที่ไม่ใช่ลักษณะทางสัณฐานวิทยา วิชาทางด้านสังคมศาสตร์ที่เติบโตมีวุฒิภาวะมากแล้วนั้น ก็พยายามมองหา ‘กฎของกระบวนการ’
(process laws) หากนักภูมิศาสตร์ไม่ปฏิบัติตามวิธีการที่เป็นระบบ และมุ่งมั่นที่จะสร้างกฎ
ก็อาจนำวิชาภูมิศาสตร์ไปสู่การถูกโดดเดี่ยวจากสาขาวิชาอื่นๆ เนื่องจากการค้นหากฎต่างๆ
จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีความร่วมมือกับวิชาสังคมศาสตร์สาขาอื่นๆ มากขึ้น
แชเฟอร์แนะนำให้ดำเนินการตามวิธีการที่เป็นระบบ เพื่อเพิ่มโอกาสของวิชาภูมิศาสตร์ แชเฟอร์ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับอนาคตของการวิจัยทางภูมิศาสตร์ว่า
ถ้าหากนักภูมิศาสตร์ยังคงจำกัดตัวเองด้วยการพยายามค้นหาภูมิภาคโดยไม่สอดคล้องเชื่อมโยงกับวิชาวิทยาศาสตร์เชิงระบบอื่นๆ
เลย
มาตรวจสอบความโดดเด่นความมีลักษณะเฉพาะของภูมิศาสตร์กันอีกครั้ง
ริชาร์ด ฮาร์ทชอร์น มีปฏิกิริยาต่อบทความของแชเฟอร์อย่างมาก
ด้วยการเขียนบทความตอบโต้ลงวารสาร Annals of the
Association of the American Geographers ในปี ๑๙๕๕ และ ๑๙๕๘ โดยก่อนหน้านี้ในปี ๑๙๕๔ เขาได้ตีพิมพ์บทความนำเสนอความคิดเห็นสั้นๆ
เพื่อแสดงข้อแม้ไปถึงนักภูมิศาสตร์ทั้งหลายให้ช่วยกันตรวจสอบสาระในบทความของแชเฟอร์อย่างละเอียด
พร้อมทั้งเผยแพร่คำชี้แจงเกี่ยวกับงานเขียน 'The Nature of
Geography' ของเขาด้วย
ในบทความของเขาเรื่อง ‘Exceptionalism in
Geography – Re-examined’ ที่ตีพิมพ์ในปี ๑๙๕๕ เรียกว่าเป็นการแก้ไขสิ่งที่ได้เคยนำเสนอแบบผิดๆ
มาก่อนหน้า และแก้ข้อกล่าวหาของแชเฟอร์ที่มีต่อบทความฉบับตีพิมพ์ปี ๑๙๕๓ นอกจากนี้
เขายังยอมรับด้วยว่าบทความของเขาไม่ได้มีกับจุดประสงค์เชิงลบเพียงอย่างเดียวในการอ้างว่าสิ่งที่แชเฟอร์เขียนทั้งหมดนั้นเป็นเท็จ
แต่อยู่ระหว่างกระบวนการเขียนคำชี้แจง เขาได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายเกี่ยวกับวิธีการต่างๆ
ที่เหมาะสมสำหรับการวิจัยทางภูมิศาสตร์
ดังที่แชเฟอร์ตั้งข้อสังเกตว่าการอภิปรายตามระเบียบวิธีที่เรียกว่าวิภาษวิธี ความรู้อาจได้มาจากการอภิปรายและการโต้แย้งร่วมกัน
นอกจากนี้ เขาบันทึกกฎทั้งหลายที่มีไว้สำหรับการเขียนระเบียบวิธีเอาไว้ในบทความบทนั้นด้วย
ฮาร์ทชอร์นมีความจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบการกล่าวถึงความเป็นเลิศวิเศษของวิชาภูมิศาสตร์อีกครั้ง
เนื่องจากบทความของแชเฟอร์ที่ยังคงปรากฏอยู่ในวารสาร Annals of the Association of the American Geographers ซึ่งจะทำให้นักเรียนในอนาคตเข้าใจผิดได้ ที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการชี้แจง ฮาร์ชอร์นเขียนว่าการศึกษาระเบียบวิธีของวิชาภูมิศาสตร์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดเกิดขึ้นในเยอรมนี
ที่ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงมุมมองไปจากนักภูมิศาสตร์รุ่นก่อนๆ เขาชื่อ อัลเฟรด
เฮตต์เนอร์ อีกทั้งยังมีกราฟท์ กับฮุมโบลดท์ ที่เคยกล่าวว่างานเขียนของฮุมโบลดท์ที่แชเฟอร์กล่าวถึงนั้น
ไม่มีหัวข้อเกี่ยวกับระเบียบวิธีใดๆ และยังไม่มีการกล่าวถึงบทความของกราฟท์ด้วย
ผู้เขียนคนสำคัญอื่นๆ ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นริชโทเฟน แมคกินเดอร์ วาลูซ์
หรือซาวเออร์ บุคคลเหล่านี้แชเฟอร์ก็ยังไม่ได้กล่าวถึง
ดังนั้น นักเรียนทั้งหลายอาจจะถูกนำไปสู่ข้อสรุปที่ ‘เกือบจะเป็นการทำลายล้างความคิดที่มีอยู่นี้ลงไปทั้งหมด’
นอกจากนี้ ฮาร์ทชอ์นยังอ้างด้วยว่าจุดประสงค์หลักของบทความที่เขียนโดยแชเฟอร์นั้น
ไม่ชัดเจน และนำไปสู่ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งของ 'การกล่าวอ้างถึงความเป็นเลิศวิเศษ' ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีอยู่จริง
แรงผลักดันที่สำคัญของบทความ คือ วิชาภูมิศาสตร์ต้องมีความเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์ที่ค้นหากฎต่างๆ
และไม่มีการนำเสนอข้อโต้แย้งใหม่ๆ
หนังสือและเอกสารที่ปฏิเสธระเบียบวิธีแบบนินัตินิยมทางวิทยาศาสตร์เช่นของเฮตเนอร์ย่อมถูกโจมตี
เช่นเดียวกับ ‘The Nature of Geography’ ที่เป็นงานของฮาร์ทชอร์น
ฮาร์ทชอร์นอ้างว่าบทความนี้เปิดเผย ‘ความเป็นวิชาการที่มีข้อบกพร่อง’ เพราะไม่มีหลักฐานสนับสนุน
โดยการจัดเรียงประโยคและข้อโต้แย้งที่ค่อนข้างสับสน ทำให้ผู้อ่านมีความคิดเห็นคล้อยตาม
บทความของแชเฟอร์มีเป้าหมายที่สำคัญอยู่ที่การโจมตีงานเขียนของเฮตเนอร์และฮาร์ทชอร์น
ซึ่งมุมมองบางอย่างเกี่ยวกับผู้เขียนบางคนได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีสิ่งที่ผิดพลาดทั้งโดยตรงหรือโดยนัย
แม้กระทั่งการแปลที่ผิดพลาดก็ถูกนำมาตีแผ่ในบทความเพื่อนำเสนอการแสดงผลงานต้นฉบับของนักเขียนที่ผิดพลาด
มีการปลอมแปลงและสร้างข้อเท็จขึ้นมาอย่างจงใจ อีกทั้งงานเขียนยังได้รับการบิดเบือนเพื่อสร้างความคิดเห็นที่เป็นปฏิปักษ์ให้กับผู้อ่าน
คำวิจารณ์ที่คมชัดยิ่งขึ้นของฮาร์ทชอร์นเกี่ยวกับผลงานของแชเฟอร์แสดงออกมาในรูปแบบของเอกสารบันทึกในปี
๑๙๕๙ ที่มีชื่อว่า ‘Perspective on the Nature of Geography’
นอกจากนี้ ฮาร์ทชอร์นยังถือว่าการแบ่งภูมิศาสตร์ออกเป็นภูมิศาสตร์กายภาพและภูมิศาสตร์มนุษย์
นั้นเป็นสิ่งอัปมงคล เพราะการแยกหัวข้อออกเป็นสองส่วรนี้ จะทำให้นักภูมิศาสตร์สูญเสียการบูรณาการทั้งสองด้าน
(ทางกายภาพและมนุษย์) เข้าด้วยกันขณะทำการวิจัย รวมถึงฮาร์ทชอร์นยังชี้แจงให้ความเห็นถึงความแตกต่างระหว่าง
‘อธิบายเชิงสำรวจ’ (exploratory description) และ ‘อธิบายเชิงพรรณนา’ (explanatory
description) เพื่อใช้เป็นวิธีวิทยาศาสตร์เชิงพรรณนาสำหรับการทำงานวิจัย ฮาร์ทชอร์นเตือนว่า การอธิบายเชิงพรรณนาของภูมิศาสตร์ที่ผ่านมา
ไม่ควรได้รับการยกย่องให้มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ขณะทำงานวิจัยทางภูมิศาสตร์ จากการตรวจสอบของเขาทำให้เห็นว่าภูมิศาสตร์เชิงประวัติไม่ควรถูกนำมาใช้เพื่อยืนยันจุดกำเนิดของปรากฏการณ์
แต่ควรนำมาใช้เพื่อสร้างความเข้าใจปรากฏการณ์ปัจจุบันได้ดีขึ้นจากภาพที่เคยปรากฏอยู่ในอดีต
อย่างไรก็ตาม ฮาร์ทชอร์นยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการทำงานร่วมกันในกรอบวิธีการทางภูมิศาสตร์ภูมิภาคกับภูมิศาสตร์ระบบ
เขากล่าวว่า นักวิจัยที่มีส่วนร่วมในการจัดการความแตกต่างของพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนเป็นพื้นฐาน
พวกเขาสามารถเชื่อมโยงเข้ากับนักวิจัยที่ทำการถอดรหัสความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของปรากฏการณ์ในพื้นที่ขนาดเล็กๆ
ได้ ฮาร์ทชอร์นเรียกการศึกษาแบบนี้ว่าเป็นการศึกษาเฉพาะเรื่อง (topical studies) และภูมิภาคศึกษา (regional
studies) ตามลำดับ
การศึกษาทางภูมิศาสตร์ใช้ทั้งสองวิธีทำการวิจัย และไม่มีวิธีใดมีความสำคัญไปกว่าอีกวิธีหนึ่ง
รวมถึงการบูรณาการทั้งสองวิธีเข้าด้วยก็เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิชาภูมิศาสตร์เช่นกัน
แชเฟอร์พยายามยกประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ว่าภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่เป็นการพรรณนาหรือเป็นกฎบัญญัติ
(idiographic or nomothetic discipline) แชเฟอร์ถามว่าภูมิศาสตร์ควรสร้างกฎทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา
หรือว่าจะยอมจำนนอยู่กับการวิเคราะห์เชิงพรรณนาในสิ่งที่สนใจจะทำการศึกษา
ต่อเรื่องนี้ฮาร์ทชอร์นมีความเห็นว่าเนื่องจากกฎทางวิทยาศาสตร์ต้องการหลักฐานจำนวนมากเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
และการวิจัยทางภูมิศาสตร์ก็จำกัดตัวเองให้มีการสังเกตจำนวนจำกัด ดังนั้น นักภูมิศาสตร์ควรละเว้นจากการกำหนดการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
เขายังกล่าวอีกว่ากฎทางวิทยาศาสตร์ได้รับการทดสอบอย่างดีที่สุดในห้องปฏิบัติการแบบนั้น
และนักภูมิศาสตร์มักจะไม่อยู่ในฐานะที่จะทำการทดลองในห้องปฏิบัติการ ฮาร์ทชอร์นยังให้ความเห็นว่าการตีความกฎทางวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องมีการฝึกอบรมด้านวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบ
ซึ่งนักภูมิศาสตร์ยังขาดและอาจไม่อยู่ในฐานะที่จะเสนอการตีความปรากฏการณ์ได้อย่างถูกต้อง
ฮาร์ทชอร์นยังกล่าวด้วยว่ากฎทางวิทยาศาสตร์นั้นอาศัยการกำหนดรูปแบบบางอย่างเช่นกัน
เมื่อทำการวิจัยเกี่ยวกับมนุษย์ การกำหนดระดับดังกล่าวดูเหมือน 'ไม่เหมาะสม' เนื่องจากความแตกต่างในความคิดของมนุษย์นำไปสู่ความผันแปรของภูมิทัศน์
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ฮาร์ทชอร์นแนะนำว่านักภูมิศาสตร์ควรหลีกเลี่ยงการค้นหากฎต่างๆ
ในวิชาภูมิศาสตร์
ฮาร์ทชอร์นยังย้ำถึงการสนับสนุนของเขาในการจำแนกภูมิศาสตร์ของเฮตต์เนอร์ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ของการแบ่งพื้นที่
(chorological science) และประวัติศาสตร์เนื่องจากวิทยาศาสตร์ตามลำดับเวลา
(chronological science) ตามที่นำมาจากแนวคิดของคานท์
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่แบ่งความรู้ผ่านเวลาและภูมิศาสตร์ที่แบ่งความรู้ต่างๆ
บนกรอบของพื้นที่ นักภูมิศาสตร์ที่ทำการวิจัยยังได้พยายามบูรณาการแง่มุมเฉพาะเรื่องที่อยู่ในความสนใจและจัดแบ่งออกตามภูมิภาคภายในพื้นที่ที่ต้องการหลอมรวมเอาวิธีการทั้งสองเข้าด้วยกัน
แนวคิดของฮาร์ทชอร์นเกี่ยวกับภูมิศาสตร์นั้น วางอยู่บนพื้นฐานที่ว่าภูมิศาสตร์มีฐานะเป็นพื้นที่การวิจัยที่กำลังก่อตัวขึ้นในช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
ตรงกันข้าม แชเฟอร์เขียนถึงสิ่งที่ไม่ใช่ภูมิศาสตร์ โดยที่แชเฟอร์ต้องการให้ภูมิศาสตร์รวมเอาแง่มุมต่างๆ
ของการวิจัยในวิชาภูมิศาสตร์ที่ถูกละเลยเข้ามาและวิธีที่ภูมิศาสตร์สามารถอ้างสิทธิ์อันชอบธรรมภายในขอบเขตของการวิจัยทางสังคมศาสตร์
บทสรุป
การถกเถียงที่เกิดขึ้นระหว่างแชเฟอร์และฮาร์ทชอร์นเป็นหนึ่งในการแลกเปลี่ยนที่หายากซึ่งพบได้ในการอภิปรายเกี่ยวกับแง่มุมของระเบียบวิธีที่จะนำมาใช้ในวินัยของภูมิศาสตร์
ในช่วงกลางศตวรรษที่ ๒๐ สำนักวิชาภูมิศาสตร์หลายแห่งในสหรัฐอเมริกาเบื่อหน่ายกับกระบวนทัศน์ระดับภูมิภาค
และเต็มใจที่จะใช้กระบวนทัศน์ที่เข้มงวดมากขึ้นในการทำวิจัย
ด้วยการถกเถียงนี้ที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งสถาบันการศึกษา
การเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปไปสู่ความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องในฐานะระเบียบวิธีจึงเป็นที่ประจักษ์ในภูมิศาสตร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น