ความยืดหยุ่นก่อให้เกิดความเพียร
พัฒนา ราชวงศ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ในโรงเรียนและสถานศึกษาทุกระดับในทุกวันนี้ จุดเน้นไม่เพียงแต่ช่วยให้นักเรียนนักศึกษาสอบผ่านเท่านั้น แต่ยังจะต้องรวมถึงการพัฒนาอุปนิสัยของตนเองด้วยการทำให้พวกเขามีความยืดหยุ่นมากขึ้น ความยืดหยุ่น (resilience) ในการเรียนรู้ก็เหมือนกับความยืดหยุ่นในชีวิต คือ ความสามารถในการอดทนผ่านความล้มเหลว รับมือกับความท้าทาย และเสี่ยงต่อการทำผิดพลาด เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าความยืดหยุ่นหรือความสามารถในการฟื้นตัว มีอิทธิพลเชิงบวกต่อผลการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี รวมถึงความเป็นอยู่ที่ดีทางสังคมและอารมณ์ของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนเสมอไปว่าจะพัฒนานักเรียนนักศึกษาให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นได้อย่างไร แต่เชื่อว่ามีสิ่งสำคัญ 3 ประเด็นหลักต่อไปนี้ที่จะต้องมุ่งเน้น ได้แก่ ความรู้ความสามารถ (competence) ความอดทนต่อข้อผิดพลาด (tolerance to mistakes) และความสามารถในการกำหนดเป้าหมาย (ability to set goals) ส่วนประกอบเหล่านี้ช่วยให้คนหนุ่มสาวสามารถรักษาความพยายามได้แม้ว่าความท้าทายจะดูใหญ่เกินไปก็ตาม
ความสามารถในการสร้างความยืดหยุ่น
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักเรียนนักศึกษาจะมาชั้นเรียนพร้อมประสบการณ์ในอดีตที่ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ เมื่อมีงานล้นหลาม ครูผู้สอนสามารถช่วยให้พวกเขาเอาชนะกรอบความคิดนั้นได้โดยการสร้างความมั่นใจผ่านประสบการณ์ที่จะช่วยพัฒนาความสามารถของพวกเขา
กิจกรรมหนึ่งเกี่ยวข้องกับการแสดงให้นักเรียนนักศึกษาเห็นว่าบางสิ่งซึ่งดูเหมือนเป็นไปไม่ได้หรือสับสนเกินไปในตอนแรก สามารถแบ่งออกเป็นส่วนที่เข้าใจง่ายได้ แจกนาฬิกาที่ชำรุด (ซ่อมไม่ได้) นาฬิกา หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ปลอดภัย (เช่น ไม่คมและไม่ได้เสียบปลั๊ก) หรือของเล่นกลไก (เช่น แจ็คในกล่อง) ให้แก่นักเรียนกลุ่มหนึ่ง เมื่อแต่ละกลุ่มมีหัวข้อหนึ่งแล้ว ให้ขอให้พวกเขาอภิปรายว่าจะใช้งานอย่างไร ด้วยวัตถุที่มีความซับซ้อนเหมาะสมกับวัย ไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจะมั่นใจในความคิดเริ่มแรกของตน จากนั้นเชิญพวกเขาให้แยกชิ้นส่วนออกจากกัน โดยไม่มีข้อกำหนดอื่นใดนอกจากต้องค้นพบวิธีการทำงาน วัตถุประสงค์คือการสร้างความยืดหยุ่นต่อความรู้สึกท่วมท้นโดยปล่อยให้พวกเขาค้นพบด้วยตัวเองว่าสิ่งที่ซับซ้อนสามารถแบ่งออกเป็นส่วนๆ ได้อย่างไร
คำถามและคำแนะนำต่อไปนี้อาจมีประโยชน์ (และครูผู้สอนสามารถปรับเปลี่ยนตามอายุ ความสามารถ และงานของนักเรียนนักศึกษาได้)
1. พินิจดูวัตถุของครูผู้สอน แล้วอภิปรายว่ามันจะทำงานอย่างไร
2. ตอนนี้ แยกมันออกจากกัน และดูว่าอะไรทำให้มันใช้งานได้ จดสิ่งที่พอจะรู้จัก เช่น สปริง สกรู คอยล์ เกียร์ แบตเตอรี่ หรือสายไฟ
3. เมื่อเสร็จแล้ว ให้จดแนวคิดเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันของชิ้นส่วนต่างๆ
เมื่อพวกเขาทำงานเสร็จแล้ว ให้อธิบายว่าเด็กๆ เพิ่งมีประสบการณ์ความสามารถในการแยกบางสิ่งออกเป็นส่วนที่เข้าใจได้มากขึ้น
ประสบการณ์จะสร้างการรับรู้ความสามารถของพวกเขา การแบ่งงานใหญ่ๆ ออกเป็นงานเล็กๆ จะทำให้พวกเขามีความมั่นใจในการเริ่มต้นและมีความยืดหยุ่นในความอุตสาหะ เชิญกลุ่มต่างๆ ใส่คำขวัญหรือโปสเตอร์สำหรับห้องเรียน เช่น “การทำงานให้สำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า จะทำให้งานทั้งหมดสำเร็จ”
เรียนรู้จากความล้มเหลว
เมื่อครูผู้สอนมีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่จะประสบกับความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ที่คาดหวัง ครู้ผู้สอนจะสร้างความยืดหยุ่นให้กับพวกเขาต่อความล้มเหลว ผ่านการอภิปรายในชั้นเรียน ข้อผิดพลาดของครูผู้สอนเอง และการสร้างความรู้ของนักเรียนนักศึกษาเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมสมอง นักเรียนนักศึกษาจะได้รับความสามารถ มองโลกในแง่ดี และความเข้าใจในการอุตสาหะ - และแม้กระทั่งสร้างความก้าวหน้า - ผ่านความล้มเหลว
เมื่อนักเรียนนักศึกษาทำผิดพลาด ก็ให้ช่วยอธิบายว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นโอกาสสำหรับสมองในการสร้างสะพานที่จะนำพวกเขาไปสู่ความสำเร็จในอนาคต พวกเขาต้องเข้าใจว่าสมองของพวกเขาได้พัฒนามาเพื่อเป็นเครื่องมือในการเอาชีวิตรอด สมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในป่าได้รับการปรับให้เข้ากับการตัดสินใจและทางเลือกอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงหรือภัยคุกคาม สมองของมนุษย์ของเรายังคงมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสถานการณ์ใหม่ๆ อย่างรวดเร็วแบบเดิมๆ แม้กระทั่งกับคำถามในการทดสอบก็ตาม แต่เนื่องจากเราไม่ได้ออกไปในป่าหรือตกอยู่ในอันตราย แทนที่จะด่วนสรุป เราจึงใช้เวลาไม่กี่วินาทีเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเลือกแรกของสมองของเรานั้นดีที่สุด
ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมื่อครูผู้สอนทำการแก้ไขข้อผิดพลาด สมองของครูผู้สอนจะสร้างสายไฟใหม่เพื่อแนะนำให้ครูผู้สอนสามารถตัดสินใจเลือกได้ดีขึ้นในครั้งต่อไป ดังนั้นการทำสิ่งผิดจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว โดยแทนที่ข้อมูลที่ผิดด้วยประสบการณ์ที่มั่นคง ความเข้าใจที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ได้มาจากสิ่งที่เราจดจำ แต่มาจากสิ่งที่เราเรียนรู้จากความล้มเหลว
วิธีอื่นๆ ที่จะช่วยให้นักเรียนนักศึกษามองเห็นข้อผิดพลาดในมุมมองใหม่ ได้แก่
- อภิปรายข้อผิดพลาดทั่วไปที่เกิดจากนักเรียนนักศึกษาคนก่อน
- ชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดของครู้ผู้สอนเองและยอมรับว่ารู้สึกอย่างไรในขณะนั้น
- เชิญชวนให้ชั้นเรียนของครูจะต้องมีการแบ่งปันข้อผิดพลาดในอดีต และตระหนักว่าพวกเขาได้ผ่านพ้นข้อผิดพลาดเหล่านั้นมาแล้ว และสามารถมองเห็นพวกเขาด้วยมุมมองของเวลาและแม้แต่อารมณ์ขันในตอนนี้
ให้ความหมายส่วนแต่ละบุคคลช่วยสร้างความพากเพียร
นักเรียนนักศึกษาจะมีส่วนร่วมมากขึ้นหากต้องใช้ข้อเท็จจริงหรือขั้นตอนต่างๆ เป็นเครื่องมือในการมีส่วนร่วมในงานที่เกี่ยวข้องกับตนเอง
วิธีหนึ่งที่จะแน่ใจได้ ก็คือ การรวมกิจกรรมที่น่าสนใจไว้ทั่วทั้งหน่วยการศึกษา ตัวอย่างเช่น เชื้อเชิญให้นักเรียนนักศึกษาให้มาเลือกสูตรอาหารจากตำราอาหารที่ใช้การวัดแบบมาตรฐานและไม่ใช่การวัดแบบเมตริก พวกเขาต้องการทราบวิธีแปลงการวัดแบบเมตริกและแบบมาตรฐานเพื่อให้ได้สิ่งที่พวกเขาเลือก เป้าหมายที่ต้องการส่วนตัวในการทำคุกกี้แสนอร่อยหรือแป้งโดว์จะกระตุ้นให้พวกเขาทำผลรวม
ในส่วนอื่นๆ หากหน่วยการเรียนรู้มีความท้าทายเป็นพิเศษ ให้ใช้ตัวอย่างหรือการเปรียบเทียบความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์เพื่อนำเสนอประเด็นปัจจุบันที่นักเรียนนักศึกษาของครูผู้สอนมีความสนใจ ปรับโจทย์คำศัพท์ในวิชาคณิตศาสตร์ให้ใส่ชื่อนักเรียน วีรบุรุษด้านกีฬา หรือบุคคลอื่นที่นักเรียนนักศึกษาสนใจเป็นอย่างมาก
ความคิดท้ายสุด
การสร้างความยืดหยุ่นของนักเรียนด้วยวิธีนี้ จะสามารถช่วยให้พวกเขาตระหนักว่าเมื่อพวกเขามีส่วนร่วมอย่างมั่นใจกับความท้าทาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ และความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่นักเรียนรู้ แต่สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้จากสิ่งที่พวกเขารู้ นั่นคือเป้าหมายของการศึกษา
ที่มา:
Judy Willis (2016) The science of resilience: how to teach students to persevere. The Guardian, The Science of Teaching and Learning. Tue 12 Jan 2016 07.00 GMT