หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

มาสร้างความเพียรกัน

ความยืดหยุ่นก่อให้เกิดความเพียร

พัฒนา ราชวงศ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร


ในโรงเรียนและสถานศึกษาทุกระดับในทุกวันนี้ จุดเน้นไม่เพียงแต่ช่วยให้นักเรียนนักศึกษาสอบผ่านเท่านั้น แต่ยังจะต้องรวมถึงการพัฒนาอุปนิสัยของตนเองด้วยการทำให้พวกเขามีความยืดหยุ่นมากขึ้น ความยืดหยุ่น (resilience) ในการเรียนรู้ก็เหมือนกับความยืดหยุ่นในชีวิต คือ ความสามารถในการอดทนผ่านความล้มเหลว รับมือกับความท้าทาย และเสี่ยงต่อการทำผิดพลาด เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้


ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าความยืดหยุ่นหรือความสามารถในการฟื้นตัว มีอิทธิพลเชิงบวกต่อผลการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี รวมถึงความเป็นอยู่ที่ดีทางสังคมและอารมณ์ของพวกเขา


อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนเสมอไปว่าจะพัฒนานักเรียนนักศึกษาให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นได้อย่างไร แต่เชื่อว่ามีสิ่งสำคัญ 3 ประเด็นหลักต่อไปนี้ที่จะต้องมุ่งเน้น ได้แก่ ความรู้ความสามารถ (competence) ความอดทนต่อข้อผิดพลาด (tolerance to mistakes) และความสามารถในการกำหนดเป้าหมาย (ability to set goals) ส่วนประกอบเหล่านี้ช่วยให้คนหนุ่มสาวสามารถรักษาความพยายามได้แม้ว่าความท้าทายจะดูใหญ่เกินไปก็ตาม


ความสามารถในการสร้างความยืดหยุ่น


ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักเรียนนักศึกษาจะมาชั้นเรียนพร้อมประสบการณ์ในอดีตที่ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ เมื่อมีงานล้นหลาม ครูผู้สอนสามารถช่วยให้พวกเขาเอาชนะกรอบความคิดนั้นได้โดยการสร้างความมั่นใจผ่านประสบการณ์ที่จะช่วยพัฒนาความสามารถของพวกเขา


กิจกรรมหนึ่งเกี่ยวข้องกับการแสดงให้นักเรียนนักศึกษาเห็นว่าบางสิ่งซึ่งดูเหมือนเป็นไปไม่ได้หรือสับสนเกินไปในตอนแรก สามารถแบ่งออกเป็นส่วนที่เข้าใจง่ายได้ แจกนาฬิกาที่ชำรุด (ซ่อมไม่ได้) นาฬิกา หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ปลอดภัย (เช่น ไม่คมและไม่ได้เสียบปลั๊ก) หรือของเล่นกลไก (เช่น แจ็คในกล่อง) ให้แก่นักเรียนกลุ่มหนึ่ง เมื่อแต่ละกลุ่มมีหัวข้อหนึ่งแล้ว ให้ขอให้พวกเขาอภิปรายว่าจะใช้งานอย่างไร ด้วยวัตถุที่มีความซับซ้อนเหมาะสมกับวัย ไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจะมั่นใจในความคิดเริ่มแรกของตน จากนั้นเชิญพวกเขาให้แยกชิ้นส่วนออกจากกัน โดยไม่มีข้อกำหนดอื่นใดนอกจากต้องค้นพบวิธีการทำงาน วัตถุประสงค์คือการสร้างความยืดหยุ่นต่อความรู้สึกท่วมท้นโดยปล่อยให้พวกเขาค้นพบด้วยตัวเองว่าสิ่งที่ซับซ้อนสามารถแบ่งออกเป็นส่วนๆ ได้อย่างไร


คำถามและคำแนะนำต่อไปนี้อาจมีประโยชน์ (และครูผู้สอนสามารถปรับเปลี่ยนตามอายุ ความสามารถ และงานของนักเรียนนักศึกษาได้)


1. พินิจดูวัตถุของครูผู้สอน แล้วอภิปรายว่ามันจะทำงานอย่างไร
2. ตอนนี้ แยกมันออกจากกัน และดูว่าอะไรทำให้มันใช้งานได้ จดสิ่งที่พอจะรู้จัก เช่น สปริง สกรู คอยล์ เกียร์ แบตเตอรี่ หรือสายไฟ
3. เมื่อเสร็จแล้ว ให้จดแนวคิดเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันของชิ้นส่วนต่างๆ


เมื่อพวกเขาทำงานเสร็จแล้ว ให้อธิบายว่าเด็กๆ เพิ่งมีประสบการณ์ความสามารถในการแยกบางสิ่งออกเป็นส่วนที่เข้าใจได้มากขึ้น


ประสบการณ์จะสร้างการรับรู้ความสามารถของพวกเขา การแบ่งงานใหญ่ๆ ออกเป็นงานเล็กๆ จะทำให้พวกเขามีความมั่นใจในการเริ่มต้นและมีความยืดหยุ่นในความอุตสาหะ เชิญกลุ่มต่างๆ ใส่คำขวัญหรือโปสเตอร์สำหรับห้องเรียน เช่น “การทำงานให้สำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า จะทำให้งานทั้งหมดสำเร็จ”


เรียนรู้จากความล้มเหลว


เมื่อครูผู้สอนมีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่จะประสบกับความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ที่คาดหวัง ครู้ผู้สอนจะสร้างความยืดหยุ่นให้กับพวกเขาต่อความล้มเหลว ผ่านการอภิปรายในชั้นเรียน ข้อผิดพลาดของครูผู้สอนเอง และการสร้างความรู้ของนักเรียนนักศึกษาเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมสมอง นักเรียนนักศึกษาจะได้รับความสามารถ มองโลกในแง่ดี และความเข้าใจในการอุตสาหะ - และแม้กระทั่งสร้างความก้าวหน้า - ผ่านความล้มเหลว


เมื่อนักเรียนนักศึกษาทำผิดพลาด ก็ให้ช่วยอธิบายว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นโอกาสสำหรับสมองในการสร้างสะพานที่จะนำพวกเขาไปสู่ความสำเร็จในอนาคต พวกเขาต้องเข้าใจว่าสมองของพวกเขาได้พัฒนามาเพื่อเป็นเครื่องมือในการเอาชีวิตรอด สมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในป่าได้รับการปรับให้เข้ากับการตัดสินใจและทางเลือกอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงหรือภัยคุกคาม สมองของมนุษย์ของเรายังคงมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสถานการณ์ใหม่ๆ อย่างรวดเร็วแบบเดิมๆ แม้กระทั่งกับคำถามในการทดสอบก็ตาม แต่เนื่องจากเราไม่ได้ออกไปในป่าหรือตกอยู่ในอันตราย แทนที่จะด่วนสรุป เราจึงใช้เวลาไม่กี่วินาทีเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเลือกแรกของสมองของเรานั้นดีที่สุด


ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมื่อครูผู้สอนทำการแก้ไขข้อผิดพลาด สมองของครูผู้สอนจะสร้างสายไฟใหม่เพื่อแนะนำให้ครูผู้สอนสามารถตัดสินใจเลือกได้ดีขึ้นในครั้งต่อไป ดังนั้นการทำสิ่งผิดจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว โดยแทนที่ข้อมูลที่ผิดด้วยประสบการณ์ที่มั่นคง ความเข้าใจที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ได้มาจากสิ่งที่เราจดจำ แต่มาจากสิ่งที่เราเรียนรู้จากความล้มเหลว


วิธีอื่นๆ ที่จะช่วยให้นักเรียนนักศึกษามองเห็นข้อผิดพลาดในมุมมองใหม่ ได้แก่


- อภิปรายข้อผิดพลาดทั่วไปที่เกิดจากนักเรียนนักศึกษาคนก่อน

- ชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดของครู้ผู้สอนเองและยอมรับว่ารู้สึกอย่างไรในขณะนั้น 

- เชิญชวนให้ชั้นเรียนของครูจะต้องมีการแบ่งปันข้อผิดพลาดในอดีต และตระหนักว่าพวกเขาได้ผ่านพ้นข้อผิดพลาดเหล่านั้นมาแล้ว และสามารถมองเห็นพวกเขาด้วยมุมมองของเวลาและแม้แต่อารมณ์ขันในตอนนี้


ให้ความหมายส่วนแต่ละบุคคลช่วยสร้างความพากเพียร


นักเรียนนักศึกษาจะมีส่วนร่วมมากขึ้นหากต้องใช้ข้อเท็จจริงหรือขั้นตอนต่างๆ เป็นเครื่องมือในการมีส่วนร่วมในงานที่เกี่ยวข้องกับตนเอง


วิธีหนึ่งที่จะแน่ใจได้ ก็คือ การรวมกิจกรรมที่น่าสนใจไว้ทั่วทั้งหน่วยการศึกษา ตัวอย่างเช่น เชื้อเชิญให้นักเรียนนักศึกษาให้มาเลือกสูตรอาหารจากตำราอาหารที่ใช้การวัดแบบมาตรฐานและไม่ใช่การวัดแบบเมตริก พวกเขาต้องการทราบวิธีแปลงการวัดแบบเมตริกและแบบมาตรฐานเพื่อให้ได้สิ่งที่พวกเขาเลือก เป้าหมายที่ต้องการส่วนตัวในการทำคุกกี้แสนอร่อยหรือแป้งโดว์จะกระตุ้นให้พวกเขาทำผลรวม


ในส่วนอื่นๆ หากหน่วยการเรียนรู้มีความท้าทายเป็นพิเศษ ให้ใช้ตัวอย่างหรือการเปรียบเทียบความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์เพื่อนำเสนอประเด็นปัจจุบันที่นักเรียนนักศึกษาของครูผู้สอนมีความสนใจ ปรับโจทย์คำศัพท์ในวิชาคณิตศาสตร์ให้ใส่ชื่อนักเรียน วีรบุรุษด้านกีฬา หรือบุคคลอื่นที่นักเรียนนักศึกษาสนใจเป็นอย่างมาก


ความคิดท้ายสุด


การสร้างความยืดหยุ่นของนักเรียนด้วยวิธีนี้ จะสามารถช่วยให้พวกเขาตระหนักว่าเมื่อพวกเขามีส่วนร่วมอย่างมั่นใจกับความท้าทาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ และความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่นักเรียนรู้ แต่สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้จากสิ่งที่พวกเขารู้ นั่นคือเป้าหมายของการศึกษา


ที่มา: 


Judy Willis (2016) The science of resilience: how to teach students to persevere. The Guardian, The Science of Teaching and Learning. Tue 12 Jan 2016 07.00 GMT

ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน

 ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน - digital nomad

พัฒนา ราชวงศ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 






(Credit: Getty Images) 


ไม่ว่าจะมองในแง่บวกหรือแง่ลบ กระแสการเป็นของชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนยังคงดำเนินต่อไป ด้วยระบบการให้วีซ่าแบบใหม่และจัดองค์กรใหม่ๆ ที่เอื้อให้กับประชากรกลุ่มนี้ ที่ขณะนี้ได้ปรากฏขึ้นทั่วทุกมุมโลก


คำว่า "digital normad - ผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน" อาจดูหยาบคาย แต่จริงๆ แล้วมีที่มาจากหนังสือชื่อเดียวกันของสึจิโอะ มากิโมโตะ และเดวิด แมนเนอร์ส ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1997 โดยเขาทำสองคนทำนายว่าแรงงานที่เป็นนักเดินทางจากต่างประเทศจะเข้าสู่ระบบในอนาคต ผู้เขียนเสนอว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความตั้งใจของมนุษยชาติในการสำรวจจะช่วยให้มีพนักงานที่ทำงานนอกสถานประกอบการได้มากขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นในรอบมาแล้วในรอบเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา และด้วยการถือกำเนิดของ Wi-Fi และแหล่งข้อมูลออนไลน์ที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับนักเดินทาง เทรนด์ดังกล่าวก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ว่าก็ยังคงมีความขัดแย้งอยู่บ้างเช่นกัน อย่างน้อยที่สุดก็มีการไม่ยอมรับกันในบางจุด


สำหรับหลายๆ คนแล้ว การใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนถือเป็นไลฟ์สไตล์ในฝันขั้นสูงสุด ที่ให้อิสระในการเคลื่อนไหว และการแสดงความสามารถในการสำรวจโลกไปพร้อมๆ กับหาเลี้ยงชีพ ขณะเดียวกัน คนอื่นๆ ก็บอกว่าสิ่งนี้มีส่วนทำให้เกิดพื้นที่และการท่องเที่ยวที่ล้นเกิน ทำให้ราคาข้าวของสูงขึ้น และทำให้เมืองต่างๆ แทบไม่น่าอยู่สำหรับคนในท้องถิ่น ขณะนี้ หลายประเทศแสดงท่าทีตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความปรารถนาที่จะดึงดูดผู้เข้าชมทางมือถือที่สูงขึ้นเหล่านี้ และเริ่มเสนอให้วีซ่ารูปแบบใหม่สำหรับคนทำงานแบบนี้ ในขณะที่องค์กรต่างๆ ก็ลุกขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกแรงงานเร่ร่อนแบบนี้


แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีที่จำเป็นอยู่ แต่ขบวนการของผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนก็ไม่ได้เริ่มขยายตัวมากนักจนกระทั่งช่วงทศวรรษ 2010 ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในหมู่คนหนุ่มสาวที่กำลังมองหาการหลบหลีกหนีออกจากระบบการทำงานในสำนักงานที่เคยมีมาในช่วง 9-5 ทศวรรษที่พวกเขาเห็นว่าปรากฏอยู่ต่อหน้า ’เมื่อเราคิดถึงพ่อแม่ของเรา มันเป็นเรื่องของการได้งานมีงานทำ มีรายได้ 4 แสนล้านเหรียญ แล้วก็ก้าวเดินขึ้นบันไดความก้าวหน้าขององค์กร‘ คำอธิบายของเอวิต้า โรบินสัน เจ้ารางวัลเอมมีของ NOMADNESS Travel Tribe ซึ่งเป็นชุมชนโซเชียลสำหรับนักเดินทางผิวสี ‘เรากำลังระเบิดอุดมการณ์นั้นในหลายๆ ด้านจริงๆ เพราะเราจะไม่รอจนเกษียณ แล้วออกไปท่องเที่ยวและชมโลก‘


แต่ตามที่ลอเรน ราซาวี นักเขียน นักพูด และนักรัฐศาสตร์ กล่าวในหนังสือของเธอ Global Natives: The New Frontiers of Work, Travel, and Innovation ระบุว่าผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนดั้งเดิมจำนวนมาก เป็นคนผิวขาวที่ร่ำรวย ซึ่งทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี หรือเป็นต้นกำเนิดอินฟลูเอนเซอร์ด้านการท่องเที่ยวยุคปัจจุบันประเภทหนึ่ง คนพวกนี้ได้นำเสนอไลฟ์สไตล์อันหรูหราพร้อมคู่มือหาเงินให้กับผู้ที่สนใจทำแบบเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความเป็นไปได้ของการทำงานจากระยะไกลได้แพร่กระจายออกไป กระแสการทำงานจากทุกที่ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน


Look at where you're spending your money and above all, if you're in a place for a month, and you don't at least make one friend there that's from there, I'm sorry, you're not doing it right – Marquita Harris ดูที่ที่คุณใช้จ่ายเงินของคุณ และเหนือสิ่งอื่นใด หากว่าคุณอยู่ในสถานที่หนึ่งเป็นเวลาหนึ่งเดือน และคุณไม่มีเพื่อนที่นั่นสักคนจากที่นั่น ขอโทษนะ คุณคงไม่ทำแบบนั้น ใช่ไหมละ – มาร์กิตา แฮร์ริส


การระบาดใหญ่ของโควิด-๑๙  มีแต่เติมเชื้อไฟให้กับกองเพลิง เนื่องจากการล็อคดาวน์ทั่วโลกพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผู้คนจำนวนมากกว่าที่เคยสามารถทำงานออนไลน์ได้ แม้ว่าข้อจำกัดต่างๆ จะถูกยกเลิกแล้ว และผู้คนก็สามารถกลับมาที่สำนักงานได้ แต่หลายคนก็เลือกที่จะไม่ทำแบบเดิม จากข้อมูลของมูดีส์ ผู้ให้บริการโซลูชันอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ การวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ พบว่า อสังหาริมทรัพย์ขององค์กรมากกว่าร้อยละ 20 ยังคงว่างเปล่า ขณะที่รายงานปี 2023 ของเอ็มบีโอ พาร์ทเนอร์ บริษัทโซลูชันระดับองค์กรที่ให้บริการบริษัทต่างๆ ที่มีพนักงานที่ทำงานทางไกล ประมาณการว่ามากกว่า มีแรงงานทั่วโลก มากกว่า 35 ล้านราย ที่ตอนนี้พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน


ด้วยความสนใจที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวหลังการระบาดใหญ่ และลักษณะการทำงานทางไกลที่ยืดหยุ่น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เทรนด์นี้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้เป็นห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของเราที่เรามีหนังสือเดินทางมากที่สุด และเราเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดนี้ได้” มาร์ควิต้า ฮาร์รีส นักข่าวและบ่อยครั้งเป็นผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน กล่าวว่า "การเป็นผู้เร่ร่อนทางดิจิทัลทำให้มีโอกาสได้เดินทางได้ลึกซึ้งขึ้น เพื่อทำความเข้าใจมากขึ้นกว่าที่เคยทำได้เมื่อไปเที่ยวพักผ่อนเป็นเวลา 4 วันที่ไหนสักแห่ง และรู้สึกว่าได้เรียนรู้มากมายจากประสบการณ์เหล่านั้น "


อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นว่าแนวโน้มนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งรายงาน Digital Nomads Report ของเอ็มบีโอ พาร์ทเนอร์ ประมาณการว่าผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนได้เติบโตขึ้นมากถึงร้อยละ 131 นับตั้งแต่เกิดโรคระบาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นเรื่องดี การไหลเข้าของผู้มาเยือนสถานที่ต่างๆ อย่างเช่น สเปนและกรีซ ยังกระตุ้นให้เกิดการประท้วงอย่างดุเดือดต่อการท่องเที่ยวที่เกินขนาด ส่วนในสถานที่อื่นๆ เช่น สาธารณรัฐโดมินิกัน บาหลี และแอฟริกาใต้ คนในพื้นที่จำนวนมากรู้สึกว่าผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนทำให้เกิดความตึงเครียดกับทรัพยากรที่หายากอยู่แล้ว และทำให้ราคาสินค้าและที่อยู่อาศัยสูงขึ้นเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถซื้อได้อย่างสมเหตุสมผล


“คิดว่าปัญหาเดียวกันนี้เกิดขึ้นมากมายกับการท่องเที่ยวโดยทั่วไป เมื่อเราพูดถึงผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน” เมคี อานนาส เอสต์เวซ ครูซ นักเขียนและชาวสาธารณรัฐโดมินิกัน อธิบายว่า "ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะคุ้นเคยกับความสะดวกสบายในระดับหนึ่ง ดังนั้น แอร์บีเอ็นบีที่พวกเขากำลังมองหาก็จะเป็นของต่างชาติ ดังนั้น เมื่อใครก็ตามที่เดินทางเข้ามาและบอกว่าข้าวของและอาหารมีราคาถูกจริงๆ … ใช่ มันเป็นแบบนั่นจริงๆ แล้วที่มันราคถูกแบบนั่น มันเป็นแบบนั้นเพื่อใคร? เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อคุณปรากฏตัว และบอกเพื่อนๆ ให้เดินทางเข้าปรากฏตัว และสถานที่แห่งนี้ ก็กลายเป็นที่หลบภัยสำหรับผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน นั่นหมายความว่า คุณกำลังทำให้ต้นทุนของทุกอย่างเพิ่มขึ้นจริงๆ"


หมายเหตุุ: แอร์บีเอ็นบี - Airbnb เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันที่ดำเนินการในสถานที่ซื้อขายออนไลน์ที่มีประสบการณ์ด้านรอนแรมในประเทศและภูมิภาคต่างๆ ในระยะสั้นและระยะยาว


เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสาธารณรัฐโดมินิกันเท่านั้น คนในท้องถิ่นทั่วโลกล้วนแล้วแต่พบว่า บ้านเมืองของตนมีต้นทุนที่มีราคาถูกกว่าเมืองยอดนิยมอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ตามรายงานล่าสุดของ Idealista ระบุว่า เมื่อปีที่แล้ว ราคาค่าเช่าในหมู่เกาะแบลีแอริก เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 18


นอกจากนี้ โรบินสันยังเห็นการแบ่งขั้วของสถานการณ์นี้ “นี่เป็นคำถามเกี่ยวกับพื้นที่” เธอบอกแบบนั้น “ฉันเห็นสิ่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกในงานที่ฉันทำ มันน่าเสียใจจริงๆ และมันขัดแย้งกัน สถานการณ์เหล่านี้ซึ่งผู้เข้ามาเยี่ยมเยือนกำลังทำให้ความเป็นชุมชนของพวกเขาหมดไป”









เมื่อเวลาผ่านไป ข้อมูลประชากรของผู้เร่ร่อนทางดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงตามแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้น (Credit: Getty Images) 


มีวิธีใดบ้าง ที่จะเป็นการทำให้ผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนไม่ไปสร้างความไม่เท่าเทียมและภาวะนักท่องเที่ยวล้นเกิน?  ฮวน บาร์เบด ผู้ร่วมก่อตั้งรูราลครีเอทีฟ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงกับคนในท้องถิ่นและการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนรูราล ที่เป็นองค์กรที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับคนทำงานระยะไกลที่สนใจใช้เวลาทำงานในเมืองชนบทที่ประสบปัญหาในสเปน สำหรับบาร์เบด กุญแจสำคัญในการทำให้โมเดลนี้เป็นความช่วยเหลือมากกว่าอุปสรรคต่อชุมชนท้องถิ่น คือ การให้พวกเขามีส่วนร่วมในกระบวนการแบบล่วงหน้า “เราไม่ใช่ความคิดริเริ่มส่วนตัวที่เปิดขึ้นในสถานที่หนึ่งแล้วเรา” บาร์เบดอธิบาย “เราพูดคุยกับผู้นำของชุมชนเหล่านั้น เพื่อดูว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาอยากลองหรือไม่ หากคำตอบ คือ ไม่ นั่นมันก็เหมือนกับว่า ทุกอย่างตกลงตามนั้น และบอกเลิกลากันได้เลย”


หมายเหตุ: รูราลครีเอทีฟ (ROORAL) เป็นกลุ่มธุรกิจสร้างสรรค์ที่มีหลักคิดว่าโลกในชนบทสอนให้ค้นหาสิ่งสำคัญในชีวิต เพื่อเชื่อมโยงกับสิ่งที่เป็นธรรมชาติและในท้องถิ่น พวกเขาให้ความสำคัญกับการใช้มือของตัวเองสร้างชีวิต เปิดประตูไว้ เพื่อโทรหาเพื่อนบ้าน และเพื่อเฉลิมฉลองในชุมชน


แนวทางที่อิงชุมชนมากกว่านี้ตรงกันข้ามกับองค์กรและบริษัทก่อนหน้านี้หลายแห่งที่ให้บริการระยะยาวและระบบไวไฟความเร็วสูง แต่มักส่งผลให้เกิดชุมชนชาวต่างชาติที่โดดๆ และมีราคาแพง อย่างไรก็ตาม เมื่อกระแสเติบโตขึ้น ผู้คนที่ประกอบกันเป็นชุมชนผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนก็เปลี่ยนไป แทนที่จะเป็นคนหนุ่มสาวที่ทำงานด้านเทคโนโลยีอันเป็นจุดเริ่มต้นในกระแสนี้ แต่กลับมีครอบครัวจำนวนมากขึ้น ที่กำลังรองรับเอาวิถีชีวิตแบบนี้เข้ามา และองค์กรต่างๆ อย่างเช่น NOMADNESS ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก  ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะมีผลกระทบที่แตกต่างกันเป็นอย่างมากต่อจุดหมายปลายทางที่จะให้การต้อนรับคนเหล่านี้


การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ดูเหมือนจะสะท้อนให้เห็นในความคิดของแฮร์ริสเกี่ยวกับช่วงเวลาของเธอในฐานะผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน "มันสำคัญมากที่จะตรวจสอบให้แน่ใจว่าใครจะเข้ามามีส่วนสนับสนุนสถานที่นี้ ไม่ใช่แค่เพียงด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังชื่นชอบวัฒนธรรมของสถานที่ด้วย โดยพื้นฐานแล้วบุคคลผู้นั้นจะได้มีส่วนสนับสนุน เพื่อเพิ่มพื้นที่ หากไม่ระวัง ดูที่ที่คุณใช้จ่ายเงินของคุณ และเหนือสิ่งอื่นใด ถ้าคุณอยู่ในสถานที่นั้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน และอย่างน้อยคุณก็ไม่มีเพื่อนที่นั่นสักคนซึ่งมาจากที่นั่น สำหรับฉัน ฉันขอโทษ คุณทำไม่ถูกต้อง” 


อย่างไรก็ตาม ครูซยังคงไม่มั่นใจ "คุณอาศัยอยู่ในสถานที่นั้นในลักษณะที่เคารพศักดิ์ศรีของผู้คนที่ต้องฝืนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาตั้งแต่ปี 1492 อย่างแท้จริงได้อย่างไร และผมขอเสริมในขณะที่พยายามทำเช่นนั้นด้วยความสง่างาม ถูกเอารัดเอาเปรียบ ฉันต้องการใครก็ตามที่มีหนังสือเดินทางที่ทรงพลังและเดินทางเพื่อพักผ่อนเพื่อนั่งจัดการกับความตึงเครียดนั้นโดยสิ้นเชิง”


I think people need to approach travel overall, but definitely a digital nomad lifestyle, with a sense of consciousness and accountability – Evita Robinson ฉันคิดว่าผู้คนจำเป็นต้องเข้าถึงการเดินทางโดยรวม แต่แน่นอนว่าเป็นวิถีชีวิตเร่ร่อนทางดิจิทัลที่มีสำนึกและความรับผิดชอบ – เอวิต้า โรบินสัน


ด้วยวีซ่าใหม่ในประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดแรงงานข้ามชาติที่ทำงานนอกสถานที่ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น มีแนวโน้มว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวจะยังคงขยายไปยังกลุ่มประชากรและสถานที่ตั้งมากยิ่งขึ้น แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่วีซ่าจะช่วยควบคุมจำนวนผู้เร่ร่อนทางดิจิทัล และช่วยให้แน่ใจว่าพวกเขาจะมีส่วนช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่นมากขึ้น


สำหรับโรบินสันแล้ว การขยายตัวและความต่อเนื่องของแนวโน้มนี้ถือเป็นเรื่องดี แต่เธอก็เตือนว่านักเดินทางและประเทศต่างๆ จะต้องระมัดระวังมากขึ้นอีกเล็กน้อย เพื่อต่อสู้กับผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นจากไลฟ์สไตล์ของการเร่ร่อนทางดิจิทัล (digital nomad lifestyle)


“ฉันคิดว่าผู้คนจำเป็นต้องเข้าถึงการเดินทางโดยรวม แต่ต้องกลายมาเป็นผู้มีไลฟ์สไตล์แบบเร่ร่อนทางดิจิทัลด้วยความรู้สึกมีสติและความรับผิดชอบ” เธอกล่าว “มีวิธีต่างๆ ที่จะทำมันให้ถูกต้อง แต่ฉันคิดว่าผู้คนนั้น…โรแมนติกมากอาจจะเพราะไลฟ์สไตล์และสิ่งที่พวกเขาจะได้รับจากมัน จนพวกเขาลืมไปว่าพวกเขากำลังเข้ามาในชุมชนของคนอื่น และพวกเขาก็ต้องคิดให้ดีๆ ด้วย เกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาจะสามารถตอบแทนชุมชนนั้นๆ ได้”


ที่มา:


Lynn Brown (2024) ”How has the digital nomad trend evolved over the years?“ BBC Online. 30 September 2024

วิทยาศาสตร์ของความเพียร

 วิทยาศาสตร์ของความเพียร 

พัฒนา ราชวงศ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 









แปลและเรียบเรียงจาก Sherine David S A (2023). The science of perseverance. เผยแพร่เมื่อ 16 ม.ค. 2023


”ด้วยความเพียร หอยทากก็มาถึงเรืออาร์กกะเขา“ Charles Spurgeon เจ้าชายแห่งนักเทศน์สมัยศตวรรษที่ 19 นิกายแบ๊บติสต์


ความเพียรเป็นหลักการสำคัญในชีวิต เป็นสิ่งที่ช่วยให้คนดำเนินต่อไปการสิ่งต่างๆ ต่อไปได้เมื่อเจอกับความยากลำบาก แม้ว่าจะมีอุปสรรคก็ตาม เป็นสิ่งที่ช่วยให้เอาชนะความกลัวและความท้าทายได้ และนั่นคือสิ่งที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้ สิ่งที่จะกล่าวถึงในรายละเอียดต่อไปนี้ เป็นการสำรวจวิทยาศาสตร์แห่งความเพียร (science of perseverance) และแสดงให้เห็นว่าทุกๆ คนสามารถใช้มันเพื่อบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร โดยจะกล่าวถึงความเพียรประเภทต่างๆ และอธิบายว่าบุคคลจะสามารถใช้มันเพื่อให้บรรลุความสำเร็จได้อย่างไร นอกจากนี้ ยังจะแชร์เคล็ดลับบางประการในการเพิ่มระดับความเพียรให้สูงขึ้น และวิธีรักษาแรงจูงใจตลอดการเดินทาง ดังนั้นไม่ว่าใครจะต้องเพียรมากเท่าไรเพื่อลดน้ำหนัก บรรลุเป้าหมายการออกกำลังกายใหม่ หรือเพียงแค่ให้สามารถผ่านวันที่ยากลำบาก ขอให้อ่านต่อให้จบเพื่อเรียนรู้ว่าความเพียรช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างไร


ความเพียรคืออะไร?


ความเพียร คือ ความสามารถในการทำงานต่อไปสู่เป้าหมาย แม้ว่าความพยายามครั้งแรกจะดูยากหรือเป็นไปไม่ได้ก็ตาม เป็นคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับความสำเร็จในทุกด้าน ตั้งแต่การเล่นกรีฑาไปจนถึงการทำธุรกิจ


กุญแจสำคัญของความความเพียร คือ การมีเป้าหมายและความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมาย เมื่อมีเป้าหมายแล้ว ก็จะต้องหาวิธีที่จะเอาชนะอุปสรรคที่เข้ามาขวางทาง


อะไรทำให้ผู้คนมีความเพียร?


แม้ว่าคำตอบสำหรับคำถามนี้ ค่อนข้างซับซ้อน แต่ว่าสิ่งที่สามารถกล่าวถึงได้ ก็คือว่า มีองค์ประกอบสำคัญบางประการที่ทำให้คนเรามีความเพียร


1. ความรู้สึกว่ามีจุดมุ่งหมายหรือมีแรงผลักดัน – คนที่มีความพากเพียรจะมีความรู้สึกถึงเป้าหมายหรือแรงผลักดัน พวกเขาไม่เพียงได้รับแรงบันดาลใจจากเป้าหมายส่วนตัวของตนเองเท่านั้น แต่ยังรู้สึกถึงภาระผูกพันหรือหน้าที่ต่อตนเองและผู้อื่นมากขึ้นอีกด้วย พวกเขาก็ไม่ท้อแท้ง่ายๆ


2. เป้าหมายที่ชัดเจน – ผู้ที่มีความพากเพียรจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนในใจ พวกเขามีเป้าหมายสุดท้ายที่กำหนดไว้ และพวกเขาก็เต็มใจทำงานอย่างหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย


3. ทัศนคติเชิงบวก – ผู้ที่มีความพากเพียรจะมีทัศนคติเชิงบวก พวกเขาไม่เพียงเต็มใจที่จะอดทนต่อช่วงเวลาที่ยากลำบากเท่านั้น แต่ยังเต็มใจที่จะมองด้านสว่างของสิ่งต่างๆ ด้วย


4. ความเชื่อมั่นในตนเอง – ผู้ที่มีความเพียรพากเพียรจะมีความเชื่อมั่นและมั่นใจในตนเอง พวกเขารู้จุดแข็งและจุดอ่อนของตนเอง และไม่กลัวที่จะเผชิญกับความท้าทายที่ยากลำบาก


ประโยชน์ของความเพียรคืออะไร?


ความเพียรมีประโยชน์หลายประการ แต่ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณามีดังนี้


1. ความเพียรนำไปสู่ความสำเร็จ ความสำเร็จเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่ถ้ามีความมุ่งมั่นและพยายามที่จะทำมันต่อไป ในที่สุดก็บรรลุผลสำเร็จ


2. ความเพียรทำให้คนเรามีความแข็งแกร่งขึ้น เมื่อมีความบากบั่นอดทนผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก บุคคลผู้นั้นจะแข็งแกร่งขึ้นและต้านทานต่อความพ่ายแพ้ได้มากขึ้น


3. ความเพียรนำไปสู่ความมั่นใจในตนเอง ใครก็ตามที่มีความพากเพียรและเอาชนะความท้าทายที่ยากลำบาก บุคคลผู้นั้นจะได้เรียนรู้ที่จะไว้วางใจและความสามารถของตัวเอง สิ่งนี้จะสร้างความนับถือตนเองและช่วยให้มีความมั่นใจมากขึ้นในอนาคต


4. ความเพียรนำไปสู่นิสัยที่ดีขึ้น ใครก็ตามที่สามารถอดทนต่อความยากลำบากได้ บุคคลนั้นจะพัฒนานิสัยที่ดีขึ้น นิสัยเหล่านี้จะแข็งแกร่งขึ้นและยากที่จะทำลายมากกว่าการที่ต้องยอมแพ้แค่เพียงเจออุปสรรคครั้งแรก


5. ความเพียรนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เมื่อสามารถอดทนเผชิญกับความสัมพันธ์ที่ยากลำบาก ก็จะเรียนรู้ที่จะเข้าใจและเปิดกว้างต่อผู้อื่นมากขึ้น สิ่งนี้จะช่วยกระชับความสัมพันธ์และทำให้พวกเขามีความหมายมากขึ้น


เราจะเพิ่มระดับความเพียรได้อย่างไร?


ความเพียรเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ มันคือสิ่งที่ช่วยให้บุคคลก้าวต่อไปได้เมื่อสถานการณ์ยากลำบาก และเช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆ ในชีวิต ความเพียรสามารถพัฒนาได้ด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง


ต่อไปนี้เป็นหลักสำคัญ 4 อย่างในการเพิ่มระดับความเพียร


1. ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่สามารถบรรลุได้


เมื่อจะตั้งเป้าหมาย ต้องแน่ใจว่าเป้าหมายนั้นสมาร์ทพอ นั่นหมายความว่ามีความเฉพาะเจาะจง วัดผลได้ บรรลุผลได้ และเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ สิ่งนี้จะช่วยให้ผู้ที่ตั้งเป้าหมายมีสมาธิและมีแรงบันดาลใจ


2. ให้รางวัลตัวเองสำหรับความก้าวหน้า


นี่อาจฟังดูบ้าไปหน่อย แต่ก็ได้ผล เมื่อเกิดความก้าวหน้าขึ้น ให้ตบหลังตัวเอง สิ่งนี้จะช่วยให้ยังอยู่บนทางที่วาดวางและมีแรงบันดาลใจ


3. ละทิ้งความนึกฝันที่ว่าทุกอย่างจะต้องสมบูรณ์แบบ


ความนึกฝันที่ว่าทุกอย่างจะต้องความสมบูรณ์แบบ อาจเป็นนิสัยที่ยากจะทำลาย แต่สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างให้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ ที่จริงแล้ว บ่อยครั้งการเริ่มต้นก็ดีกว่าการติดอยู่กับกับดักแห่งความสมบูรณ์แบบ


4. คิดบวกอยู่เสมอ


รักษาความคิดของเราให้เป็นบวกและมองโลกในแง่ดี แล้วจะมีแนวโน้มที่จะอดทนต่อความยากลำบากได้มากขึ้น


5. จะเอาชนะจุดอ่อนของความเพียรได้อย่างไร?


อย่างที่กล่าวมาก่อนเกี่ยวกับวิธีการมีความยืดหยุ่นเมื่อเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ความยืดหยุ่นเป็นทักษะที่สามารถเรียนรู้และพัฒนาได้


มีบางสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อช่วยให้สามารถเอาชนะจุดอ่อนเหล่านี้ ประการแรก คนเราสามารถรับรู้และเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง ประการที่สอง คนเราสามารถระบุทรัพยากรที่เราจำเป็นต้องเอาชนะได้ ประการที่สาม คนเราสามารถให้คำมั่นสัญญาว่าจะเอาชนะจุดอ่อนของเราได้ และประการสุดท้าย พวกเราทุกคนก็สามารถทำได้จริงๆ


สรุป


ไม่ว่าใครจะเผชิญอุปสรรคอะไรก็ตาม หากมีความปรารถนาที่จะบรรลุผลสำเร็จ ก็สามารถเอาชนะมันได้ เคล็ดลับต่อไปนี้จะช่วยให้บุคคลอยู่ในเกมได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม


1. เชื่อมั่นในตัวเอง


ก้าวแรกคือการมีศรัทธาในตัวเอง นี่เป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ก็จะไม่มีใครเชื่อในตัวเองอีกต่อไป ฉะนั้นจึงต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้าเพื่อเผชิญกับความท้าทายใดๆ ไม่ว่ามันจะดูยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม


2. มีเป้าหมายชัดเจน


การมีเป้าหมายก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน หากไม่มีเป้าหมายก็ท้อแท้ได้ง่าย การมีเป้าหมายช่วยให้เรามีบางสิ่งที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนและช่วยให้มีสมาธิจดจ่อ


3. พากเพียร


เมื่อต้องเผชิญกับความท้าทาย สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ต้องมีความเพียร อย่ายอมแพ้ แม้มันจะดูยากสักแค่ไหนก็ตาม อดทนจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย


4. คิดบวกอยู่เสมอ


การคิดบวกเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน หากสามารถรักษาทัศนคติเชิงบวกได้ มันจะช่วยให้เอาชนะอุปสรรคใดๆ ได้


5. วาดภาพความสำเร็จ


สร้างภาพความสำเร็จขึ้นมาให้ตัวเองได้เห็น มันมีประโยชน์อย่างยิ่ง เมื่อได้เห็นภาพความสำเร็จ ก็จะมีแรงบันดาลใจมากขึ้นในการบรรลุเป้าหมาย


6. คิดบวกและยึดมั่นในแนวทาง


อย่าใช้ทางลัดใดๆ และอย่ายอมแพ้ นี่คือสองสิ่งที่สำคัญที่สุดที่สามารถทำได้เพื่อให้ประสบความสำเร็จ



หมายเหตุ:


Effort: This refers to giving one’s full attention and energy to a task, without giving up in the face of obstacles. ความพยายาม หมายถึง การ “ให้ความสนใจและใช้พลังงานอย่างเต็มที่” กับงาน โดยไม่ยอมแพ้เมื่อเผชิญกับอุปสรรค

Perseverance: This means sticking to a task or goal, despite difficulties or setbacks. ความอุตสาหะ หมายถึง การ “ยึดติดกับงานหรือเป้าหมาย แม้จะมีความยากลำบากหรือความล้มเหลว” ก็ตาม