หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

แอนโทรโปซีน

แอนโทรโปซีน - มนุษย์กับสิ่งแวดล้อม

พัฒนา ราชวงศ์ อาศรมภูมิวิทยาศาสตร์

สาขาวิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

 

ความสนใจใส่ใจต่อเรื่องจริยธรรมสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นมาครั้งแรกในวันคุ้มครองโลก (Earth Day) เมื่อปี ค.ศ.1970 โดยนักสิ่งแวดล้อมหลายคนเริ่มต้นและหันประเด็นศึกษาไปสู่ความเป็นนักปรัชญามากขึ้น โดยบรรยากาศทางวิชาการแบบนั้นเริ่มต้นพัฒนาในช่วงไม่กี่ปีของทศวรรษ 1960 ซึ่งถือเป็นส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากมีการตีพิมพ์บทความสำคัญ 2 บทในวารสาร Science คือ "The Historical Roots of our Ecologic Crisis" ของลินน์ ไวท์ (Lynn White) ตีพิมพ์เดือนมีนาคม ค.ศ.1967 และบทความของแกเรต ฮาร์ดิน (Garett Hardin) เรื่อง "The Tragedy of the Commons" ตีพิมพ์เดือนธันวาคม ค.ศ.1968 รวมถึงมีบทความที่ทรงอิทธิพลต่อความคิดด้านจริยธรรมสิ่งแวดล้อม คือ "The Land Ethic" ในหนังสือ A Sand County Almanac[1] ของอัลโด ลีโอปอลด์ (Aldo Leopold) ซึ่งลีโอปอลด์พยายามที่จะอธิบายถึงให้เห็นรากฐานของวิกฤติสิ่งแวดล้อมทั้งหลายในเชิงปรัชญา

 

กิจกรรมวิชาการในช่วงทศวรรษ 1970 ส่วนมากเป็นการวิพากย์วิจารณ์ข้อเสนอของลินน์ ไวท์ รวมไปถึงโศกนาฎกรรมทั่วๆ ไป การวิพากย์วิจารณ์เหล่านั้นวางอยู่กรอบทางประวัติศาสตร์ ทฤษฎีวิทยา และศาสนา โดยไม่เกี่ยวข้องกับปรัชญาแต่อย่างใด โดยตลอดหนึ่งทศวรรษนั้นนักปรัชญาทั้งหลายนั่งอยู่ด้านข้าง ทำหน้าที่เพียงคอยกำหนดว่าสาขาใดควรจะถูกเรียกว่าเป็นจริยธรรมสิ่งแวดล้อม การประชุมสัมมนาเชิงปรัชญาครั้งแรกดำเนินการโดย William Blackstone แห่งมหาวิทยาลัย Georgia เมื่อปี ค.ศ.1972 รายงานการประชุมได้รับการตีพิมพ์ภายใต้ชื่อเรื่องว่า Philosophy and Environmental Crisis ในปี ค.ศ.1974 และในนั้นมีบทความของ Pete Gunter ซึ่งถือว่ายิ่งใหญ่มาก เป็นการแสดงถึงเรื่องราวที่เรากำลังกล่าวถึงกันอยู่นี้ และในปี ค.ศ.1972 มีหนังสือเล่มหนึ่งตีพิมพ์ออกมา คือ Is It Too Late? A Theology of Ecology เขียนโดย John B. Cobb เป็นหนังสือเล่มแรกที่มีผู้เขียนเพียงคนเดียวที่เป็นนักปรัชญา หากแต่ว่าเนื้อหาก็ยังคงเป็นเรื่องของทฤษฎีวิทยาและศาสนา ในปี ค.ศ.1973 นักปรัชญาออสเตรเลียน คือ Richard Routley ได้นำเสนอบทความในที่ประชุมสภาปรัชญาโลก ครั้งที่ 15 (World Congress of Philosophy) เรื่อง "Is There a Need for a New, an Environmental, Ethic?" ปีต่อมา John Passmore นักปรัชญาออสเตรเลียนเช่นกัน เขียนหนังสือ Man's Responsibility for Nature เพื่อที่จะตอบโต้ Routley โดยบอกว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องมีจริยธรรมสิ่งแวดล้อมต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ยังมีอีกหลายคนที่ตอบโต้กันจนกระทั่งกลางทศวรรษ 1980 แนวทางที่นำโดย Passmore ก็ได้รับการท้าทายและปฏิเสธ ซึ่งในปี ค.ศ.1975 จริยธรรมสิ่งแวดล้อมก็ได้กลายมาเป็นกระแสความสนใจหลักทางปรัชญา จะเห็นได้จากบทความ เรื่อง "Is There an Ecological Ethic?" ที่พิมพ์ในวารสาร Ethics ของ Holmes Rolston

 

Arne Naess นักปรัชญานอร์เวเจียน บรรณาธิการวารสาร Inquiry ตีพิมพ์บทความเรื่อง "The Shallow and the Deep, Long-Range Ecology Movement” ในวารสารฉบับดังกล่าวในปี ค.ศ.1973 ตรงนี้เองที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสนิเวศวิทยาเชิงลึก ทั้งนี้มีนักเขียนที่สร้างผลงานออกมาในแนวนี้อีกหลายคน ที่เด่นๆ ก็มี George Sessions, Bill DeVall, Warwick Fox และ Max Oelschlaeger โดยตลอดช่วงทศวรรษ 1970 วารสาร Inquiry ถือได้เป็นว่าเป็นวารสารปรัชญาที่เป็นหลักที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับจริยธรรมสิ่งแวดล้อม ซี่งสาระส่วนใหญ่ของจริยธรรมสิ่งแวดล้อมก็คือ การพิจารณาถึงความไฝ่รู้และปรัชญากระแสหลักที่มีการตีพิมพ์ลงกันน้อยมาก ประมาณว่าไม่มากไปกว่าหนึ่งบทความต่อปีเท่านั้น อย่างไรก็ดี โอกาสดีก็เกิดขึ้นในช่วงปี 1979 เมื่อ Eugene C. Hargrove ก่อตั้งวารสาร Environmental Ethics ขึ้นมาเป็นการเฉพาะ ซึ่งชื่อของวารสารนี้เองที่กลายมาเป็นชื่อของประเด็นหลักของเรื่องนี้

 

ช่วงห้าปีแรกของวารสาร เวลาและเนื้อหาส่วนใหญ่มุ่งไปที่สิทธิสำหรับธรรมชาติ และความสัมพันธ์ของจริยธรรมสิ่งแวดล้อมกับสิทธิของสัตว์/เสรีภาพของสัตว์ การเสียสิทธิและจริยธรรมสวัสดิการที่สัตว์พึงมี เหล่านี้มีการแยกออกเป็นสาขาต่างๆ ภายใต้กรอบใหญ่เรื่องจริยธรรมสิ่งแวดล้อม โดยเรื่องสิทธิของสัตว์ได้รับการพัฒนาขึ้นมาภายใต้กรอบเรื่องว่า Ethics and Animals และต่อมาก็เปลี่ยนแปลงเป็น Between the Species

 

Cobb ได้พิมพ์หนังสือเล่มอื่นๆ ออกมาในช่วงต้นของทศวรรษ 1980 โดยมีหนังสือ The Liberation of Life ที่เขาเป็นบรรณาธิการ่วมกับ Charles Birch หนังสือเล่มนี้ได้แสดงให้เห็นถึงวิธีปรัชญาเชิงกระบวนการ ที่เคยปรากฏอยู่ในปรัชญาเกี่ยวสิ่งมีชีวิต ของ Alfred North Whitehead ส่วน Robin Attfield นักปรัชญาชาวเวลส์ก็ได้เขียนหนังสือ เรื่อง The Ethics of Environmental Concern ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการตอบสนองต่อข้อคิดข้อเสนอของ Passmore อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ก็ยังมีหนังสืออีกเล่มหนึ่งของ Donald Scherer และ Tom Attig เขียนไว้ชื่อว่า Ethics and the Environment

 

มีจุดเปลี่ยนหนึ่งที่สำคัญมาก เกิดขึ้นเมื่อปี 1988 เมื่อมีนักคิดนักเขียนเริ่มต้นที่จะเขียนงานประเภทนี้กันแบบเดี่ยว ไม่มีบรรณาธิการ่วมเหมือนแต่ก่อน Paul Taylor เขียนเรื่อง Respect for Nature; Holmes Rolston เขียนเรื่อง Environmental Ethics; Mark Sagoff เขียนเรื่อง The Economy of the Earth และ Eugene C. Hargrove เขียนเรื่อง Foundations of Environmental Ethics สำหรับ J. Baird Callicott ก็ได้สร้างผลงานออกมาเป็นชุด คือ In Defense of the Land Ethic ส่วน Bryan Norton ก็เขียนเรื่อง Why Preserve Natural Diversity? และตามด้วยเรื่อง Toward Unity among Environmentalists ที่ออกมาไม่นานที่ผ่านมานี้ อีกทั้งยังมีหนังสืออีกจำนวนมากที่เขียนโดย Kristin Shrader-Frechette ซึ่งเขียนมาในมุมมองของเศรษฐศาสตร์และนโยบาย

 

ช่วงทศวรรษ 1980 เกิดการพัฒนากระแสจริยธรรมสิ่งแวดล้อมกระแสที่สองขึ้นมา เรียกว่า นิเวศวิทยาสตรีนิยม (ecofeminism) โดยมีนักคิดมากมายจากหลากหลายสาชาวิชาที่ให้ความสนใจต่อเรื่องนี้ แต่ว่าเราคงจะให้เครดิตกับ Karen Warren ว่าเธอเป็นนักปรัชญาคนสำคัญของกระแสนี้ ต่อจากนั้นก็ยังมีกระแสที่สามเกิดขึ้นต่ออีก คือ นิเวศวิทยาสังคม (social ecology) โดยมีความคิดเบื้องต้นผูกยึดอยู่กับมุมมองและข้อเสนอของ Murray Bookchin สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งตรงนี้คือ กระแสนี้ได้เกิดความเชื่อมโยงกันระหว่างนักวิชาการในสถาบันการศึกษาและนักสิ่งแวดล้อมชาติพันธุ์ จึงทำให้เกิดวารสารนิเวศวิทยาเชิงลึกของแคนาดา ที่ชื่อว่า The Trumpeter ขึ้นมา ในปี 1989 วารสาร Earth Ethics Quarterly ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่คนที่ให้ความสนใจด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้วารสารดังกล่าวนี้ได้เปลี่ยนมาตีพิมพ์อยู่ภายใต้ Center for Respect for Life and Environment ซึ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับนานาชาติ

 

เมื่อก้าวเข้าสู่ทศวรรษ 1990 ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของกระแสจริยธรรมสิ่งแวดล้อม เพราะได้มีการก่อตั้งสมาคมจริศาสตร์สิ่งแวดล้อมนานาชาติ (International Society for Environmental Ethics) ขึ้นมา ทั้งนี้ด้วยความมุ่งมั่นของ Laura Westra และ Holmes Rolston III ซึ่งปัจจุบันนี้มีสมาชิกอยู่ทั่วโลก อย่างไรก็ดีเมื่อปี ค.ศ.1992 ก็ได้มีการตีพิมพ์วารสารปรัชญาที่สนใจจริยธรรมสิ่งแวดล้อมฉบับที่สองขึ้นมาในอังกฤษ คือ Environmental Values และเมื่อปี ค.ศ.1996 วารสารฉบับใหม่ชื่อว่า Ethics and the Environment ก็ได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ของมหาวิทยาลัยจอร์เจีย (นับตั้งแต่ปี ค.ศ.2001 ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยอินเดียน่า) ในปี ค.ศ.1997 มีการก่อตั้งสมาคมนานาชาติสมาคมที่สองขึ้นมา คือ สมาคมปรัชญาสิ่งแวดล้อมนานาชาติ (International Association for Environmental Philosophy) โดยสมาคมนี้มุ่งความสนใจไปที่ปรากฏการณ์สิ่งแวดล้อม

 

ในระดับทฤษฎีแล้ว ถือกันว่า Taylor และ Rolston เป็นนักทฤษฎีคุณค่าที่แท้จริงที่ถือว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นศูนย์กลางของทุกเรื่องและมนุษย์เป็นผู้ถูกกระทำด้วย ขณะที่ Callicott ซึ่งมีแนวความคิดเหมือนกับ Aldo Leopold เป็นอย่างมาก โดยข้อเสนอของเขาคือ ทฤษฎีคุณค่าที่แท้จริงที่ถือว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นศูนย์กลางของทุกเรื่อง แต่ว่ามนุษย์เป็นผู้กระทำ สำหรับ Hargrove ได้รับการพิจารณาว่าเป็นนักทฤษฎีคุณค่าที่แท้จริงที่ถือว่ามนุษย์เป็นศูนย์กลางของทุกเรื่องแบบอ่อนๆ ทั้งนี้ Sagoff เองก็มีลักษณะความคิดคล้ายคลึงกันมาก แม้ว่าเขาจะไม่ได้กล่าวถึงเรื่องคุณค่าจากภายในสำนึกมากนัก แต่ดูเหมือเขาจะสนใจวิธีการของค้านท์ (Kantian approach) มากกว่าแนวทางของอริสโตเลียน (Aristotlian approach) อีกขั้วหนึ่งของแนวความคิดในระดับทฤษฎีของจริยธรรมสิ่งแวดล้อม คือ Bryan Norton ผู้ซึ่งมีความคิดที่มอบให้มนุษย์เป็นศูนย์กลางของทุกเรื่องแบบอ่อนๆ แต่ว่าเขาต้องการที่จะลบคุณค่าภายในออกไป แล้วก็นำเอาแนวความคิดเชิงปฏิบัติที่ว่าด้วยคุณค่าเข้ามาทดแทน ซึ่งความเคลื่อนไหวของกลุ่มปฏิบัติที่ต่อต้านคุณค่าภายในดังกล่าวนี้ ประกอบด้วย นักปรัชญาอย่าง Anthony Weston และ Andrew Light รวมถึง Ben Minteer ด้วย ที่ชี้ให้เห็นว่าคุณค่าภายในจะต้องถูกผนวกเข้าไปภายในแนวทางการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม

 

การเกื้อกูลของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม

 

มนุษย์เรามองเห็นธรรมชาติเป็นสิ่งสวยงามและกลมกลืน แต่มันก็ทำให้เกิดความกลัวขึ้นในสำนึกของมนุษย์ ที่จะต้องต่อสู้กับมันเพื่อความอยู่รอด ณ วันนี้ ธรรมชาติถูกรุกรานจากมนุษย์อย่างหนัก พร้อมพยายามแยกตัวออกมา เทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญยิ่งของมนุษย์ที่เข้ามาเสริมเขี้ยวเล็บ ให้สามารถมีพลังเหนือธรณีและฟากฟ้าทั้งหลาย โดยเทคโนโลยีอาจจะปฏิบัติการให้ส่งผลกระทบในระดับทวีปหรือระดับโลกได้ อย่างเช่น กรณีฝนกรดในยุโรป หมอกเคมีแสง[2] (photochemical smog) การปนเปื้อนของกัมมันตภาพรังสี ชั้นโอโซนในบรรยากาศถูกทำลาย และภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง

 

ปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลายที่เกิดจากมนุษย์ เราไม่สามารถจัดการแก้ไขได้ด้วยเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์กลับกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องทำรายการที่ต้องปฏิบัติ (code of conduct) ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมนี้ จึงความได้รับการพิจารณาให้ถี่ถ้วนจริงๆ

 

เมื่อจำเป็นต้องพิจารณาถึงความสัมพันธ์ดังกล่าว จะต้องหาคำตอบให้กับคำถามพื้นฐานที่ว่า อะไรคือธรรมชาติ อะไรคือสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะว่าไปแล้ว ธรรมชาติก็คือสรรพสิ่งทางกายภาพ และเป็นเรื่องที่ปรากฎอยู่นอกกายนอกกิจกรรมพื้นฐานของมนุษย์ มนุษย์นั้นอาศัยอยู่ในธรรมชาติแต่ก็กระทำการใดๆ อยู่เหนือธรรมชาติ ด้วยเหตุนั้นจึงมีความพยายามที่จะปลดปล่อยตัวเองออกไปจากร่มเงาของธรรมชาติ มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติพร้อมๆ กับเป็นส่วนที่แยกออกมาจากธรรมชาติ ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่มีเป้าหมายวัตถุประสงค์ อย่างน้อยที่สุดก็ปรากฏอยู่ในสังคมชาวตะวันตก อีกทางหนึ่ง แม้ว่ามนุษย์จะยังคงมีความรู้สึกโหยหาอาวรณ์ที่จะต้องสูญเสียสวรรค์ที่เคยมีอยู่ตามธรรมชาติไปและยังหวั่นเกรงต่อพลังแห่งธรรมชาติอยู่ แต่มนุษย์ก็ยังคงพยายามที่จะทำตัวให้อยู่เหนือธรรมชาติอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการเป็นต้นมา

 

สำหรับสิ่งแวดล้อมนั้น มีนิยามจากหลายๆ วิธีการ ทั้งจากการนิยามของไอสไตน์ ที่ว่าสิ่งแวดล้อมเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่เรา ไปจนถึงคำนิยามของกลุ่มสหภาพยุโรป ที่ระบุว่า สิ่งแวดล้อมเป็นองค์รวมของชุดขององค์ประกอบ (whole set of elements) ที่ก่อตัวกันขึ้นมาตามแบบแผน กลายมาเป็นสิ่งรอบข้างและปัจจัยสนับสนุนการการดำรงชีวิตมนุษย์และสังคมที่เป็นอยู่หรือที่ผ่านการรับรู้ความรู้ความเข้าใจที่เป็นจริงเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมนั้นยังครอบคลุมทั้งสิ่งที่เป็นธรรมชาติและวัฒนธรรมด้วย ทั้งนี้สิ่งแวดล้อมอาจจะถูกมองในฐานะเป็นทรัพย์สินที่เกิดขึ้นมาใหม่จากความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม

 

ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม

 

นักปรัชญากรีกโบราณได้พิจารณาโครงสร้างเชิงเหตุผลของโลกในลักษณะง่ายๆ แต่ว่าพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้เจาะลึกลงไปในรายละเอียดภายใน ที่ซับซ้อนมากของระบบนิเวศ ความจริงแล้วนักปรัชญาเหล่านี้เป็นผู้ริเริ่มในการอธิบายอะไรที่ยากๆ ให้ดูง่าย ที่เรียกว่า เป็นการลดรูปเพื่ออธิบาย ซึ่งเป็นแบบอย่างที่นิยมกันแพร่หลายวิทยาศาสตร์ในสาขาต่างๆ ทั่วไป จากแนวคิดเบื้องต้นของพลาโต้ที่ระบุว่า ธรรมชาติเป็นภาพมายา นั่นจึงทำให้ทัศนคติของยุโรปสมัยกลางยอมรับว่า ความรักของธรรมชาติผันแปรมาจากความรักของพระเจ้า

 

มีลักษณะสำคัญหลายประการที่อริสโตเติลและธีออฟราสตุส (Theophrastus) ระบุเอาไว้ ประการแรกระบุว่า สรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนมีเป้าหมาย (เทววิทยา: teleology) โลกของเราเป็นมวลมหึมาของสสารที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตามบัญชาของพระเจ้า และธรรมชาติเป็นอยู่เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ ธีออฟราสตุสเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตและที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต และนี่เองที่ถือกันว่า เป็นจุดเริ่มต้นของวิเคราะห์ในฐานะนักนิเวศวิทยาคนแรกของโลก

 

ตรงกันข้ามกับ Caesar Marcus Aurelius[3] (จักรพรรดิผู้มีความรู้รอบเป็นนักปรัชญาสำคัญอีกท่านหนึ่ง กลับเห็นตรงกันข้าม พระองค์ระบุว่า จักรวาลเป็นสถานที่แห่งเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ จักรวาลถูกครอบครองด้วยสสารอันเดียวและมนุษย์กลุ่มเดียว ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้องแล้วที่จะต้องอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน

ในกรอบคิดของคริสเตียน กล่าวบัญญัติในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งว่า ในวันที่สอง (I–11) พระเจ้าสร้างสมุนไพรและต้นไม้ขึ้นมา เพื่อให้กำเนิดเมล็ดและผล ในวันที่สี่ (I–20) ก็ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตที่เป็นคนและสัตว์ รวมถึงสัตว์ปีกด้วย พอถึงวันที่ห้า (I–24–25) สัตว์ต่างๆ จึงถูกแบ่งประเภท

 

เมื่อพระเจ้าทรงพระดำรัส (I-26) อนุญาตให้เราสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากจินตนาการและความชอบของเราเถิด และให้มนุษย์มีดินแดนในอาณัติของพวกเขา เพื่อที่จะได้มีปลาจากทะเล มีวิหกบินอยู่บนนภากาศ และมีสิงสาราสัตว์ มีผืนแผ่นดินทั้งมวล และมีสัตว์เลื้อยคลาน

 

พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาตามจินตนาการของพระองค์ . . . ผู้หญิงและผู้ชาย พระองค์ก็ทรงสร้าง (I–27)

 

และเมื่อพระเจ้าเสกสิ่งต่างๆ ที่ว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว (I–28) ก็ทรงพระดำรัสว่า จงเพิ่มจำนวนขึ้น จงทวีจำนวนขึ้น และช่วยกันเติมลงไปให้เต็มโลก และกำหราบพวกมัน ให้มีอำนาจเหนือฝูงปลาในทะเลและฝูงวิหกบนท้องนภา และเหนือนานาสัตว์ที่เคลื่อนกายอยู่บนโลก

 

ต่อมาหลังจากที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ พระองค์ก็ทรงเสกเรือใหญ่โนอาห์ (Genesis 9) และพระบุตรขึ้นมา พร้อมกับมีพระบัญชาว่าจงเพิ่มจำนวนขึ้น จงทวีจำนวนขึ้น และจงเติมโลกให้เต็ม . . . และมอบความเกรงกลัวและความน่ากลัวของมนุษย์ลงไปให้เหนือสิงห์สาราสัตว์ หมู่มวลวิหก สัตว์เลื้อยคลาน และฝูงมัจฉากลางทะเล สิ่งต่างๆ เหล่านั้นจงมาอยู่ในมือมนุษย์ และทุกๆ สิ่งจงเคลื่อนเข้ามาและมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นอาหารให้กับมนุษย์ . . . ข้าพเจ้าจะสร้างข้อสัญญาของข้าพเจ้ากับมวลมนุษย์ และกับมวลอาหารเหล่านั้นของมนุษย์

 

ดังนั้น พระเจ้าจึงได้สร้างสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไว้สำหรับมนุษย์ และสร้างมนุษย์ไว้สำหรับพระเจ้า

 

สำหรับ Francis Bacon ระบุว่า พวกเราจะต้องเอาชนะธรรมชาติ ขยายอิทธิพลไปหาความลึกลับของมัน และเชื่อมมันให้มาอยู่ในความพึงใจตามความปรารถนาของเรา มนุษย์เป็นศูนย์กลางของโลกและเป็นวัตถุทางวิทยาศาสตร์เพียงสิ่งเดียวที่จะต้องโดดเด่นเหนือธรรมชาติ แนวความคิดแบบเดียวกันนี้ เกิดมาจาก Rene Descartes ที่เน้นว่า เราควรจะใช้วิทยาศาสตร์เพื่อทำให้ เราเป็นนายและครอบครองธรรมชาติ

 

มีอีกหลายส่วนที่คัดลอกกันออกมาเพื่อกล่าวหามุมมองของคริสเตียนที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม Descartes เป็นคนหนึ่งที่พิจารณาสัตว์ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีกลไกความรู้สึก ตรงนี้ Gottfried Wilhelm von Leibnitz กลับเห็นตรงข้าม พร้อมกับป่าวร้องอย่างกว้างขวางถึงทวิลักษณ์ของร่างกายและจิตวิญญาณ จึงได้เน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิตบนโลกของเรา

 

ส่วน Baruch Spinoza กลับมีความเห็นในทางตรงข้าม ที่มีความเชื่อเบื้องต้นมาจากพระเจ้าทุกๆ อย่าง โดยระบุว่าสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นมาจากการสร้างสรรค์ของพระเจ้า ดังนั้นธรรมชาติจะถูกลดรูปตามแบบแผนความเชื่อของคริสเตียน ให้มาอยู่ในมิติเดียวในฐานะที่เป็นวัตถุที่มนุษย์พึงใจ บางทีอันนี้อาจจะเป็นปฏิกิริยาพวกนอกศาสนาที่ไปนับถือธรรมชาติ (น้ำพุ แม่น้ำ ภูเขา) โดยมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่น่าสนใจจากบทเพลงทางศาสนาสั้นๆ ที่มีเนื้อร้องนำมาจากคัมภีร์ไบเบิ้ลของ St Francis of Assisi ที่กล่าวถึงความเป็นพี่เป็นน้องร่วมโลกกันของพระอาทิตย์ผู้พี่ น้องสาวจันทรา พี่ชายที่เป็นวายุ น้องสาวอาโป น้องชายเตโช และน้องสาวปฐวี กับพฤกษา สมุนไพร และผลไม้ของเธอ

 

งานของ Lynn White (1967) ที่มีคนชอบนำไปอ้างอิงกันบ่อยๆ นับว่ามีผลกระทบต่อสังคมคนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก โดยได้กล่าวหาสังคมคริสเตียนว่ามีลักษณะเป็นศาสนาที่เน้นให้มนุษย์เป็นศูนย์กลางมากที่สุด จึงมีการผลาญทรัพยากรธรรมชาติและยังมีการปล่อยมลพิษออกสู่สิ่งแวดล้อมอย่างไร้การควบคุมอีกด้วย

 

ความจริงแล้วมีผู้อธิบายร่วมสมัยในสังคมคริสเตียนและยิว ที่ได้ชี้ให้เห็นถึงคำว่า ดินแดนในอาณัติ ที่มนุษย์ควรจะเข้าใจในความหมายของ การปกป้องคุ้มครอง หรือ การให้บริการที่ดี ในบันทึกคำสอนถึงสังฆนายกของสันทปาปา จอห์น-ปอลที่สอง เมื่อปี ค.ศ.1990 เรื่อง ความสุขและความหวัง[4]พระองค์ทรงเริ่มเรื่องว่า เป็นความรับผิดชอบทางศีลธรรมสำหรับคริสเตียนทั้งหลาย ที่จะต้องทำหน้าที่ดูแลรักษาโลก เพื่อที่จะให้โลกช่วยผลิตผลไม้ และสร้างบ้านที่อบอุ่นสำหรับครอบครัวมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ยังได้กล่าวถึงสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องลงมือทำ นั่นก็คือ การพัฒนาความตระหนักในการที่จะแสดงความเคารพต่อทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลาย

 

แนวความคิดเกี่ยวกับการบริการที่ดีให้กับธรรมชาตินั้น ค้นพบในคัมภีร์อัลกูรอ่าน โดยในบท 33:72 กล่าวถึงหน้าที่ความรับผิดชอบที่ว่านี้ ว่าเป็นการบูชาอย่างแรกสำหรับสรวงสวรรค์ สำหรับโลกและขุนเขา ตามคัมภีร์ยิวโบราณ (Talmud) ถ้าหากว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกขึ้นมาจากความโกลาหล พระองค์ก็คงจะทิ้งบางสิ่งบางอย่างที่ยังสร้างไม่เสร็จ แล้วมอบให้อยู่ในความรับผิดชอบของมนุษย์ให้ทำหน้าที่สร้างสรรค์ต่อ รวมทั้งเป็นผู้ดูแลรักษาศักยภาพของโลกในการที่จะฟื้นสภาพขึ้นใหม่ด้วยตัวเอง ดังบทที่ว่าด้วย “Till the earth and keep it” ซึ่งหมายความว่า เพาะกล้าให้โลกเติบโตแล้วก็ดูแลรักษาโลกด้วย

 

ในบทบัญญัติของศาสนาคริสต์ พุทธ เต๋า ชินโต ล้วนไม่ได้พิจารณาให้มนุษยชาติ ธรรมชาติ และสวรรค์ แยกออกจากกัน ทั้งหมดวางตำแหน่งของสิ่งที่ว่านั้นอยู่ระหว่างกลางระหว่างลัทธิเอกลักษณ์กับลัทธิทวิลักษณ์[5] และให้ความสนใจอย่างมากต่อความกลมกลืน การรวมตัวกัน และความเชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบความเชื่อตามรอยพระพุทธเจ้าที่ยืนยันถึงการพึ่งพิงกันของชีวิตทุกชีวิต และส่งเสริมให้อยู่ในภาวะพอเพียงและเคารพต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

 

ตามแนวทางของ Descarte, Lybnitz และ Spinoza ทำให้นักปรัชญาและนักคิดคนอื่นๆ ยอมรับสถานะของจริยธรรมที่พึงมีไว้สำหรับเคารพต่อธรรมชาติ ซึ่งมีพิสัยตั้งแต่แนวคิดที่ยึดเอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง (anthropocentrism) ไปจนถึงแนวคิดที่ยอมรับว่าชีวทั้งหลายเป็นศูนย์กลาง (biocentrism) และแนวคิดที่ให้นิเวศเป็นศูนย์กลาง (radical ecocentrism)

 

สำหรับแนวคิดที่ยึดเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางนั้น มีเป้าหมายที่จะปกป้องสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อมนุษยชาติทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ตรงนี้ไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะในส่วนของความจำเป็นทางด้านวัตถุสำหรับความอยู่รอดและความเป็นอยู่ดีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวเนื่องกับสิ่งอำนวยความสะดวกและสุนทรียภาพที่มนุษย์พึงพอใจด้วย และอาจจะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงสิทธิพื้นฐานบางอย่าง อย่างเช่น สิทธิในการครอบครองทรัพย์สิน เป็นต้น รายละเอียดทั้งหลายในประเด็นนี้ได้รับการนำไปจัดทำเป็นกรอบแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน (sustainable development) ซึ่งให้ความสำคัญกับอนาคตชน

 

ส่วนแนวคิดที่ยอมรับให้ชีวะเป็นศูนย์กลางนั้น ตระหนักอย่างยิ่งถึงคุณค่าที่แท้จริง (intrinsic value) ของชีวิตและความเป็นอยู่ของชีวิต โดยไม่คำนึงถึงความสำคัญของคุณประโยชน์ (instrumental value) ที่พึงมีต่อมนุษยชาติ ขณะที่แนวคิดที่ให้นิเวศเป็นศูนย์กลางนั้น ก็มองว่าจริยธรรมสิ่งแวดล้อมควรจะเป็นการพิจารณาระบบนิเวศทั้งหลาย ซึ่งหมายความรวมไปถึงองค์ประกอบของระบบนิเวศที่เป็นสิ่งไม่มีชีวิตด้วย ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ ทะเลสาบ พื้นที่ชุ่มน้ำ ฯลฯ เพราะสิ่งเหล่านี้มีคุณค่าเพียงเช่นกัน ที่จะถูกพิจารณาในเชิงศีลธรรม

 

ศตวรรษที่ 19 กลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รักษาธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา นำโดยนักเขียนสามคน คือ Ralph Waldo Emerson,  William Wordsworth และ Henry David Thoreau และนั่นนำไปสู่การก่อตั้งสมาคมเซียร์ร่า[6] และต่อมาได้ขยายขอบเขตการทำงานจนกลายไปเป็นกลุ่มเพื่อนโลก[7] เป้าหมายของสมาคม คือ พยายามที่จะสื่อสารกับพระเจ้าให้ได้โดยให้ธรรมชาติเป็นสื่อกลาง กิจกรรมของสมาคมที่ทำมีหลายอย่าง ทั้งหมดทั้งมวลมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้มนุษยชาติให้ความสนใจต่อกระแสหลักที่ยึดชีวจริยธรรม (bioethics) เพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนของมนุษย์กับธรรมชาติ เพื่อให้อยู่ได้และอยู่รอดกันทั้งคู่

 

Hans Jonas (1984) นักปรัชญาชาวเยอรมันกล่าวยืนยันว่า เราจะต้องดูแลรักษาธรรมชาติและอนาคตชน เราจะต้องให้ความสนใจ ดูแลพวกเขาอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่เกิดอันตรายกับพวกเขาจนทำให้ไม่สามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว เราจึงต้องมีความรับชอบต่ออนาคต เพราะเราสามารถทำการประนีประนอมได้กับทั้งสองสิ่ง โจนาสเพิ่มเติมอีกว่า มีข้อผูกมัดอย่างหนึ่งที่จะต้องจัดการกันอย่างรอบคอบ อย่างที่มีการพัฒนาหลักการว่าด้วยการจัดการที่ปลอดภัย[8] เช่นเดียวกับข้อผูกมัดในเรื่องที่จะต้องมีความรู้ ผ่านกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้เพื่อที่จะประเมินผลลัพธ์จากกิจกรรมต่างๆ

 

การวิพากย์เกี่ยวกับอนาคตชน เป็นเรื่องที่ริเริ่มมาจากนักจริยธรรม ทั้งนี้เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของภาวะโลกร้อนและการกำจัดของเสียที่มีส่วนผสมของกัมมันตภาพรังสีซึ่งจะปะปนอยู่ในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลายาวนาน จึงมีคำถามหลายคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างเช่นคำถามที่ว่า: มีอะไรเท่าไหร่ที่คนรุ่นปัจจุบันจะต้องทำการสำรวจตรวจสอบ; มีหลักศีลธรรมที่จะพอเป็นที่ยึดเหนี่ยวอยู่บ้างใช่ไหม แม้ว่า ณ ปัจจุบันพวกเขาอาจจะยังไม่มี; บางคนอาจจะเป็นตัวแทนที่มีความสนใจต่อพวกเขาบ้างใช่ไหม; และมีพันธสัญญาทางสังคมกันอยู่ใช่ไหมสำหรับบรรพชน พวกเราทุกวันนี้ และอนาคตชน คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากมาก ซึ่งต้องใช้มุมมองต่างๆ ที่รอบคอบรอบด้านเพื่อที่จะหาทางเลือกที่เหมาะสมเหลือไว้ให้กับอนาคตชน

บนแนวคิดที่ให้นิเวศเป็นศูนย์กลางมีกระแสเคลื่อนไหวนิเวศวิทยาเชิงลึก (deep ecology) ที่ถือเป็นมุมมองสุดขั้วที่สุด เป็นกระแสคิดที่ลึกซึ้งมากของนักปรัชญานอรเวเจียน คือ Arne Naess ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 แนวคิดนี้ยึดถือคุณค่าของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ให้เป็นอิสระจากความมุ่งหวังของมนุษย์ที่จะนำเอาสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์แต่เพียงถ่ายเดียว ตัวอย่างเช่น ความหลากหลายทางชีวภาพที่มีคุณค่าที่แท้จริง และมนุษย์ไม่ได้มิสิทธิพิเศษอะไรที่จะสามารถเข้าไปลดระดับความมั่งคั่งตามธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความพึงพอใจในการดำรงอยู่ของตนได้ ซึ่งมุมมองนี้ได้นำไปเป็นข้อเสนอในที่ประชุมที่กรุงริโอ เดอ จาไนโร ประเทศบราซิล และได้การประกาศให้ทั่วโลกเห็นความสำคัญของการพิทักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ผู้ชำนาญการด้านนิเวศวิทยาเชิงลึกบางคนก้าวไปไกลยิ่งกว่านั้น ถึงขนาดจะฟื้นฟูดูแลให้สวัสดิการกับระบบนิเวศ ทั้งนี้ด้วยการแสดงให้โลกเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่จะทำการลดจำนวนประชากรมนุษย์ลง เพราะมนุษย์ที่มีจำนวนมากนี้ได้ทำลายธรรมชาติเกินกว่าที่จำเป็นจะต้องใช้ ตามแนวคิดของ Naess นั้น การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะต้องแก้ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเป็นหลัก เราจะต้องตระหนักว่า พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ที่เราได้รับการสถาปนามาจากความสัมพันธ์ของเรากับองค์ประกอบอื่นๆ ในสิ่งแวดล้อม ที่ไม่มีการแบ่งแยกเพื่อการดำรงอยู่ของใครบางกลุ่ม เพราะแท้จริงแล้วพวกเราหาใช่มีตัวตนกันไม่ หากแต่พวกเรากลับอยู่ภายใต้กรอบโครงสร้างที่ค่อยๆ ลดบทบาทลงผ่านการไหลเวียนของสสารและพลังงาน อย่างที่ปรัชญาพุทธบอกว่า มันคือวัฏสงสารนั่นเอง

 

มีข้อเสนอแนะที่สำคัญจาก K. Shrader-Frechette อ้างอิงมาจาก Yamin and Farhana, 1997) สำหรับการตัดสินใจว่าจะยอมรับสถานะใดระหว่างแนวคิดที่ยึดเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางกับแนวคิดที่ให้นิเวศเป็นศูนย์กลาง การลำดับความสำคัญทางจริยธรรมจะพิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้

 

·       เป็นหน้าที่อันสำคัญที่จะต้องพินิจถึงสิทธิเบื้องต้นของมนุษย์ที่จะอยู่รอด มีสุขภาพดี และมีสวัสดิการที่ดี

·       เป็นหน้าที่อันสำคัญที่จะไม่ไปทำลายทำร้ายสิ่งแวดล้อม

·       จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความจำเป็นในระดับรองของมนุษย์ ที่เกี่ยวกับการครอบครองทรัพย์สมบัติ รูปแบบบางอย่างของการขนส่ง (เป็นต้นว่า การใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ) การดื่มกิน ฯลฯ

 

จริยธรรมสิ่งแวดล้อม

 

จริยธรรมเป็นเรื่องที่เน้นเกี่ยวกับวิถีที่มนุษย์เราควรประพฤติปฏิบัติ เบื้องหลังของจริยธรรมนั้น คือ การกำหนดแนวความคิดทั้งหลายที่เป็นสิ่งที่ดีและสิ่งที่เลว หน้าที่รับผิดชอบและพันธะผูกมัด ความรับผิดชอบด้านศีลธรรม ดังนั้นจริยธรรมหลักจึงอะไรบางส่วนที่ดีหรือเลว เป็นกิจกรรมที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือผิด ยังมีสาขาของจริยธรรมที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับโครงสร้างเชิงนโยบายและโครงสร้างเชิงสถาบัน ที่มีหลักการและกฎเกณฑ์ที่ใช้สำหรับจัดสรรสินค้าและทรัพยากร

 

จริยธรรมสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของจริยธรรมประยุกต์ ที่เน้นถึงเรื่องความรับผิดของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานของศีลธรรมอันดีงาม มีคำถามพื้นฐานสำหรับจริยธรรมสิ่งแวดล้อม ที่ Naess ได้เสนอไว้ ดังนี้

 

·       อะไรคือ พันธะผูกพันของมวลมนุษยชาติที่พึงมีต่อธรรมชาติ

·       จะต้องมีการจัดสรรผลกำไรและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ อย่างไร โดยทั้งหมดจะต้องตั้งอยู่บนฐานแห่งการให้ความเคารพต่อพันธะผูกพันเหล่านั้น

·       มีโครงสร้างเชิงนโยบายและโครงสร้างเชิงสถาบันอะไรบ้าง ที่ควรจะต้องรีบสร้างขึ้นมาเพื่อนำเอาไปปฏิบัติตามพันธะผูกพันที่ว่าเหล่านั้น

 

คำถามแรก คำตอบอาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับว่า มนุษย์เรามีพันธะผูกพันต่อธรรมชาติ ด้วยการกำหนดเงื่อนไขทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพต่อการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ คำถามที่สอง เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับความยุติธรรมและเสมอภาคระดับนานาชาติ ซึ่งเราอาจจะกล่าวได้ว่า ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายจะต้องได้รับการชดเชยจากการผลาญทรัพยากรไปของประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว ทั้งในด้านการนำไปผลิตเป็นสินค้าและการก่อมลพิษต่างๆ นานา ส่วนประเด็นอื่นๆ ก็เป็นเรื่องของการกระจายการจัดเก็บค่าธรรมเนียมให้เป็นธรรมต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้ทรัพยากรพันธุกรรม และผลประโยชน์จากเทคโนโลยีชีวภาพ

 

และคำถามสุดท้าย หากมองข้ามประเด็นต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน (อย่างเช่นอนุสัญญานานาชาติต่างๆ ที่มีอยู่มากมายทุกวันนี้) เราจำเป็นจะต้องสร้างตัวตนให้เห็นภาพกันชัดๆ ให้เกิดขึ้นทั่วโลก อย่างเช่น องค์การสิ่งแวดล้อมและพัฒนาโลก (WEDO: World Environment and Development Organization) ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลกับองค์การการค้าโลก (WTO: World Trade Organization)

 

ไม่ว่าจะเป็นบรรทัดฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่สร้างขึ้นมาโดยมนุษย์หรือจุติมาจากสรวงสวรรค์ก็ตามที ด้วยเหตุผลหรือเพียงแค่สิ่งที่เห็นกันได้ประจักษ์ชัด มนุษย์ก็ได้มีการกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อยับยั้งกิจกรรมบางอย่างที่ดูจะอิสระมากเกินขอบเขต ทั้งนี้จะต้องคำนึงถึงว่า แท้จริงแล้วมนุษย์แต่ละคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนพึ่งพิงซึ่งกันและกันระหว่างมนุษย์แต่ละรุ่นกับระบบนิเวศ เพื่อกำหนดบรรทัดฐานเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการแยกแยะระหว่างสิ่งจำเป็นเบื้องต้นกับสิ่งจำเป็นรองๆ ลงมาของมนุษย์ และเพื่อที่จะแสดงความเสียสละให้กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์

 

กระบวนทรรศน์แห่งความยั่งยืน จะต้องได้รับการส่งเสริมให้ผู้คนได้รับรู้และตระหนักกันมากขึ้นๆ เพื่อยกระดับจริยธรรมระดับโลกให้เกิดการเกี่ยวดองกันของคุณค่าทางสังคมกับคุณค่าของนิเวศ หรือกล่าวชัดๆ ก็คือ จริยธรรมนี้จะต้องนำไปสู่การควบคุมรูปแบบการผลิตและบริโภค เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์ศักยภาพในการฟื้นสภาพของทรัพยากรธรรมชาติและวัฐจักรกับสมดุลของธรรมชาติ การรู้จักความพอดีหรือเพียงพอจะต้องได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดขึ้นจริง รวมถึงมัธยัสถ์หรือระมัดระวังด้วย

 

The Earth Charter[9] Document (2001) ได้รับการจัดทำขึ้นมาโดยกลุ่มเอกชนกลุ่มหนึ่ง นำโดย Maurice Strong นักมนุษยชนผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อปี ค.ศ.1972 เมื่อคราวที่มีการประชุมสิ่งแวดล้อมมนุษย์ (Stockholm Conference on the Hunan Environment) ครั้งแรกที่กรุงสต๊อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน รวมถึงความต่อเนื่องมาสู่การประชุมสุดยอดของโลก (Rio Conference on Environment and Development) เมื่อปี ค.ศ.1992 ที่กรุงริโอ เดอ จาไนโร ประเทศบราซิล เหล่านี้ทำให้เกิดหลักการและกฎระเบียบที่สำคัญต่างๆ ที่จะต้องปฏิบัติ เพื่อให้เป็นแนวทางให้กับปุถุชน องค์กรธุรกิจ และประเทศแต่ละประเทศ ได้นำเอาไปประพฤติปฏิบัติ เหล่านี้ควรจะได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็ง เพราะว่าจักรพรรดิมาร์กุส ออเรลิอุส ทรงได้เคยเริ่มสอนให้ประชาชนของอาณาจักรโรมันเรียนรู้จักการมีชีวิตที่ดี ด้วยการอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติให้เป็นแบบอย่างมากว่า 1,800 ปีมาแล้ว

 

 

บริบทของจริยธรรมสิ่งแวดล้อม

 

แม้ว่าจะมีความสนใจต่อธรรมชาติเป็นอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 19 และ 20 แต่จริยธรรมสิ่งแวดล้อมร่วมสมัยเพิ่งถือกำเนิดขึ้น และเป็นเพียงสาขาหนึ่งของการศึกษาในช่วงทศวรรษที่ 1970 การตั้งคำถามและการทบทวนถึงความสัมพันธ์ของการดำรงชีวิตของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลต่อการรับรู้ในเรื่องนี้อย่างแพร่หลายในช่วงทศวรรษที่ 1960 ซึ่งเป็นช่วงปลายของศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตการณ์ด้านประชากร และวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม

ท่ามกลางผลงานที่จะพิจารณาในเรื่องวิกฤตการณ์ดังกล่าวมีผลงานเรื่อง “Silent Spring[10]ปี 1963 ของ Rachel Carson (1907-1964) ซึ่งเป็นผลงานที่ประกอบขึ้นด้วยบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในแมกกาซีนนิวยอร์คเกอร์ (New Yorker) ก่อนหน้านั้น ซึ่งให้รายละเอียดเกี่ยวกับยาปราบศัตรูพืช ได้แก่ ดีดีที อัลดริน และดิลดริน ที่ปนเปื้อนเข้าไปสู่สายใยอาหาร ทั้งนี้โดยมีจุดมุ่งหมายจากการทำเกษตรเชิงพาณิชย์ คือ ต้องการให้มีผลิตต่อไร่มากที่สุด และต้องได้ผลกำไร Carson ได้คาดการณ์ว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชากรโลก Carson ระบุว่าความก้าวหน้าทางการผลิตและการค้าซึ่งผลักดันโดยการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ได้เข้าทำลายถิ่นที่อาศัยอันแสนวิเศษของเราเอง ที่สำคัญกว่ายังได้เตือนภัยอันตรายของสารเคมี และทำนายว่าสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศของโลกจะถูกทำให้เสียหายอย่างไม่มีทางฟื้นกลับมาได้ หากมนุษยชาติยังไม่หยุดใช้สารเคมี Silent Spring สะท้อนออกมาว่า ไม่มีเสียงนกเสียงกาใดๆ ส่งเสียงร้องอีกเลยในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพราะนกกาเหล่านั้นได้กินแมลงและหนอนที่ถูกสารเคมีกำจัดศัตรูพืชจนตายหมดแล้ว

 

อีกด้านหนึ่ง นักประวัติศาสตร์ Lynn White ซึ่งได้เขียนบทความที่ได้รับการอ้างถึงอย่างมากในปี 1967 เรื่อง "The Historical Roots of our Ecologic Crisis" บนพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ของวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อม แย้งว่าแนวคิดแบบคริสเตียนเป็นสาเหตุหลักที่กระตุ้นทำให้เกิดการแสวงหาประโยชน์จากธรรมชาติเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ และด้วยความคิดที่ว่าธรรมชาติทั้งหมดได้ถูกสรรสร้างมาเพื่อการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ แม้กระนั้นไวท์ก็ยังเห็นว่ามีบางกลุ่มของคริสเตียน (อย่างเช่นแนวคิดของเซนท์ ฟรานซีส) ที่พยายามจะหาทางแก้ไขแนวคิดของคริสเตียนหลักที่ยึดแนวคิดที่ยึดเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางเกินไป

 

สองปีต่อมา นักนิเวศวิทยาแห่งสแตนฟอร์ด คือ Paul Ehrlich (1854-1915) ได้ตีพิมพ์เรื่อง “The Population Bomb” ซึ่งได้เตือนว่าอัตราการเติบโตของประชากรโลกได้ส่งผลคุกคามต่อระบบสนับสนุนการดำรงชีวิตของมนุษย์ ซึ่งการรับรู้ในวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมเป็นผลมาจากผลงานที่กล่าวมานี้ และรวมไปถึงผลงานที่เป็นที่นิยมอื่นๆ ที่ถูกทำให้มีเพิ่มมากขึ้นโดยการผลิตของ NASA และการเผยแพร่ไปอย่างกว้างในช่วงคริสมาส ปี ค.ศ.1968 และชัดเจนมากขึ้นปรากฏในวารสาร Scientific American ตีพิมพ์ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ.1970 ซึ่งได้ทำให้เห็นว่าโลกเป็นดาวเคราะห์ที่มีชีวิตและถูกแบ่งปันโดยมนุษยชาติผู้ซึ่งทำให้เกิดมลพิษและใช้ประโยชน์เกินขีดจำกัด

 

ในปี ค.ศ.1972 คณะนักวิจัยของสถาบันเทคโนโลยแห่งแมสซาชูเสต (MIT: Massachusetts Institute of Technology) นำโดย Dennis Meadows ได้นำเสนอผลงานเรื่อง ปัจจัยจำกัดการเติบโต (Limits to Growth) ซึ่งได้รวบรวมเรื่องที่เกี่ยวข้องต่างๆ ของทศวรรษที่ผ่านมา และคณะนักวิจัยได้เสนอผลการศึกษาไว้ดังนี้:

 

พวกเราได้ยืนยันในท้ายที่สุดว่าความพยายามอย่างรอบคอบในการที่จะไปสู่สถานะของความสมดุลที่ยั่งยืนและมีเหตุผลโดยการวางมาตรการมากกว่าการรอโอกาสหรือความหายนะ จะทำให้ค้นพบในที่สุดถึงรากฐานความเปลี่ยนแปลงของคุณค่าและจุดมุ่งหมายในระดับโลก ระดับชาติ และระดับบุคคล

 

สิ่งที่เรียกว่า รากฐานการเปลี่ยนแปลงของคุณค่า ในการเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อม (สิ่งที่เรียกได้ว่าสามารถเป็นได้ทั้งคุณค่าที่แท้จริง และคุณประโยชน์) เป็นผลทำให้เกิดความต้องการพัฒนาด้านจริยธรรมสิ่งแวดล้อมเป็นสาขาใหม่ของปรัชญา

 

สาขาใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆ กันในสามประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา นอรเวย์ และออสเตรเลีย ครั้งแรกนั้นสองในสามประเทศ ได้รับทิศทางและแรงจูงใจจากผลงานด้านสิ่งแวดล้อมของชาวอเมริกาในช่วงตอนต้นของศตวรรษที่ 20 เช่น John Muir (1838-1914) ผู้อพยพชาวสก๊อต (ผู้ซึ่งก่อตั้งสโมสรเซียร์ร่า (The Sierra Club) และเป็นบิดาแห่งนักอนุรักษ์ชาวอเมริกัน) และภายหลัง Aldo Leopold (1887-1948) นักป่าไม้ได้สนับสนุนให้เกิดการเคารพคุณค่าและการอนุรักษ์สิ่งต่างๆ ของธรรมชาติ ความป่าเถื่อน และอิสระเสรี  ต่อเรื่องนี้ความสนใจของผู้คนจะได้ถูกกระตุ้นจากการผสมผสานของการรับรู้ทางด้านสุนทรียและจริยธรรมต่อธรรมชาติ พร้อมๆกับการปฏิเสธวิธีการให้คุณค่าสิ่งต่างๆในธรรมชาติตามแนวทางเศรษฐศาสตร์แบบเดิมๆ ในงาน “A Sand Country Almanac” ที่เขียนไว้เมื่อปี ค.ศ.1949 Leopold ได้สนับสนุนให้เกิดการยอมรับใน จริยธรรมที่ดิน หรือ “land ethic” โดยที่ดินที่เป็นชุมชนนั้นจะไม่เพียงแค่ถือเป็นหลักคิดพื้นฐานทางนิเวศวิทยาเท่านั้น หากแต่ที่ดินยังจะต้องได้รับความรักและเคารพ อันเป็นส่วนขยายของจริยธรรม (vii-ix) สำหรับของสิ่งหนึ่งย่อมมีสิทธิของมันเอง ที่จะทำหน้าที่ของมันในการบำรุงรักษาความสมบูรณ์ ความมั่นคง และความงามของสังคมสิ่งมีชีวิต แต่สิ่งนั้นจะผิดเมื่อมันเป็นไปในทิศทางอื่น (224-5)

 

อย่างไรก็ตาม Leopold ได้พบว่า ไม่มีโครงร่างหรือทฤษฎีเชิงจริยธรรมที่เป็นระบบที่จะสนับสนุนแนวคิดเชิงจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม มุมมองของเขาได้นำเสนอความท้าทายและโอกาสสำหรับนักทฤษฎีด้านศีลธรรม: ทฤษฎีเชิงจริยธรรมบางทฤษฏีสามารถให้เหตุผลที่จะทำให้เกิดการรักษาความสมบูรณ์ ความมั่นคง และความงามของชีวมณฑลได้หรือไม่?

 

สำหรับจริยธรรมที่ดินที่ร่างโดย Leopold ถือเป็นความพยายามที่จะขยายเรื่องทางศีลธรรมให้ครอบคลุมสิ่งแวดล้อมธรรมชาติและองค์ประกอบต่างๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ และถูกนำไปเคลื่อนไหวโดยนักปรัชญาออสเตรเลียน Richard Routley ซึ่งเห็นว่าแนวคิดที่ยึดเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางนั้นได้ฝังตรึงอยู่ในแนวคิดที่เรียกว่า จริยธรรมสุดขั้วแบบตะวันตกนั้นมีผลกระทบต่อ ลัทธิชาตินิยมของมนุษย์ในมุมมองนี้เขาเห็นว่ารูปแบบประเภทอื่นๆ ของลัทธิชาตินิยม ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของประเภทความจงรักภักดีอย่างไม่ลืมหูลืมตา หรือความมีอคติ และการแยกแยะอย่างไม่ยุติธรรมนั้น ตรงกันข้ามกับประเภทสิทธิพิเศษ ยิ่งกว่านั้น Routley ได้พยายามจินตนาการสถานการณ์สมมติว่าถ้าเราเป็นมนุษย์คนสุดท้ายที่มีชีวิตรอดอยู่บนโลกที่กำลังหายนะ เราต้องทำให้แน่ใจว่าการกำจัดทุกๆ อย่างในการดำรงชีวิตและการทำลายสิ่งต่างๆ จะต้องเกิดขึ้นหลังจากที่เราตายแล้ว จากมุมมองของลัทธิชาตินิยมของมนุษย์ (หรือแนวคิดที่ยึดเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางอย่างสมบูรณ์) มนุษย์คนสุดท้ายที่เหลืออยู่นั้นจะไม่ทำผิดศีลธรรม จนกระทั่งการทำลายจะไม่เป็นสาเหตุของการทำให้เกิดความเสียหายต่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ ซึ่งจะสาบสูญไป แม้กระนั้น Routley เชื่อว่าการกระทำสุดท้ายนั้นจะผิดศีลธรรม การอธิบายถึงแนวคิดนี้เขากล่าวว่า สิ่งต่างๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ในสิ่งแวดล้อมซึ่งถูกทำลายนั้นเป็นที่แน่นอนว่าเกิดจากมนุษย์คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ สิ่งเหล่านั้นถือได้ว่ามีคุณค่าที่แท้จริง ซึ่งเป็นคุณค่าที่เป็นอิสระจากการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ จากข้อวิจารณ์นี้ Routley สรุปว่าวิธีการหลักของแนวคิดทางศีลธรรมตะวันตกดั้งเดิมนั้นไม่ยอมรับว่าสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติมีคุณค่าที่แท้จริง และ แบบแผนแนวคิดแบบเดิมๆ จำเป็นจะต้องได้รับการปรับเปลี่ยนเสียใหม่

ความคิดของ Leopold ที่เห็นว่า ที่ดิน คือ องค์รวมทั้งหมด เป็นจุดมุ่งหมายของเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนนักเขียนได้หาเหตุผลเพื่อหน้าที่ทางศีลธรรมในเรื่องเชิงนิเวศวิทยา เช่น ชนิดพันธุ์ ชุมชน และระบบนิเวศ ซึ่งมิได้มีเพียงลำพัง นักปรัชญาสิ่งแวดล้อมอเมริกัน Holmes Rolston III (1975) ได้ยกตัวอย่างว่า การปกป้องชนิดพันธุ์นั้นเป็นหน้าที่ทางศีลธรรม เขายืนยันว่า เป็นเรื่องผิดที่จะทำลายชนิดพันธุ์ผีเสื้อที่หายากเพื่อเป็นการเพิ่มผลประโยชน์ให้นักสะสม เช่นเดียวกับข้อโต้เถียงเรื่องมนุษย์คนสุดท้ายของ Routley ตัวอย่างของ Rolston นั้นมุ่งพิจารณาการกระทำต่างๆ ที่ดูเหมือนว่าน่าสงสัยในด้านศีลธรรม และยังไม่ถูกตัดโอกาสหรือคัดค้านจากกลุ่มที่มีมุมมองจากจริยธรรมที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางแบบดั้งเดิมทั้งหลาย นอกจากนี้ Rolston ยังเห็นว่าชนิดพันธุ์นั้นมีคุณค่าที่แท้จริง และจะมีคุณค่ามากกว่าชนิดพันธุ์ตัวอย่าง ดังนั้นการสูญเสียชนิดพันธุ์คือการสูญเสียความเป็นไปได้ในการถ่ายทอดพันธุกรรม และการทำลายชนิดพันธุ์โดยเจตนาจะแสดงให้เห็นถึงการขาดความเคารพและดูหมิ่นต่อกระบวนการทางนิเวศวิทยาซึ่งเป็นต้นทางของการก่อเกิดสิ่งมีชีวิตต่างๆ เป็นอย่างมาก

 

ในระหว่างนั้นได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางต่อผลงานของ Christopher Stone (1942-1995) ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยเซาท์เธิร์น แคลิฟอร์เนีย ทั้งนี้ Stone (1972) เสนอว่า ต้นไม้และวัตถุธรรมชาติอื่นๆ นั้น ควรจะมีจุดยืนในกฎเกณณ์ร่วมกันเป็นอย่างน้อยที่สุด ซึ่งข้อเสนอนี้ได้มาจากกรณีเฉพาะที่สโมสรเซียร์ร่า ได้ทำการคัดค้านการอนุญาตของกรมป่าไม้สหรัฐอเมริกาที่จะให้บริษัท วอลต์ ดีสนีย์ เอนเทอร์ไพรซ์ เตรียมการสำรวจเพื่อพัฒนาหุบเขามิเนอราล คิง ให้รองรับกลเกมส์และสวนสนุกแปลกๆ ต่างๆ แต่ไม่ถูกกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติหรือพื้นที่คุ้มครองป่าไม้แต่อย่างใด จุดมุ่งหมายของดีสนีย์ คือ ต้องการที่จะพัฒนาเป็นรีสอร์ทสมบูรณ์แบบในลักษณะรีสอร์ตคอมเพล็กซ์ที่สามารถรับนักท่องเที่ยวได้มากมายถึง 14,000 คนต่อวัน ซึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องสร้างทางหลวงตัดผ่านกลางอุทยานแห่งชาติเซกวัว (Sequoia National Park) เลยทีเดียว สโมสรเซียร์ร่า ซึ่งเป็นสมาคมหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ จึงได้คัดค้านการพัฒนาพื้นที่บริเวณนั้นเพื่อให้คุณค่าเดิมคงมีอยู่ตามสถานะของมัน

 

สำหรับ Joel Feinberg (1974) มีปฏิกิริยาต่อข้อเสนอของ Stone โดยมีคำถามแย้งที่ดูจริงจังว่า มีเพียงบางสิ่งเท่านั้นที่มีผลประโยชน์ จึงจะสามารถมีสิทธิตามกฎหมายได้ เช่นเดียวกับฐานะทางศีลธรรม และสิ่งที่มีผลประโยชน์จึงจะสามารถมีตัวแทนในกระบวนการทางกฎหมายได้และได้รับการอภิปรายทางศีลธรรม และดูเหมือนว่ารวมถึงการอภิปรายทางการเมือง ตัวอย่างเช่น กระแสเคลื่อนไหวในการเรียกร้องสิทธิให้กับสัตว์ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงทศวรรษ 1970 สามารถคิดได้ว่าเป็นกระแสการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีจุดมุ่งหมายที่จะแสดงให้เห็นถึงการละทิ้งความเอาใจใส่ต่อสัตว์บางตัว เงินช่วยเหลือที่สัตว์นั้นได้รับได้แสดงให้เห็นในกรณีนี้ มันเป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่ที่จะกล่าวว่า ต้นไม้ ป่าไม้ แม่น้ำ ตัวเพรียง หรือตัวปลวก ควรจะได้รับผลตอบแทนทางศีลธรรม? ประเด็นนี้เป็นที่โต้เถียงกันอย่างรุนแรงในปีต่อๆ มา ระหว่างนั้น John Passmore (1974) เห็นด้วยเช่นเดียวกับไวท์ ที่ว่าแนวคิดตามแบบคริสเตียนสายยิว (Judeo-Christian) เกี่ยวกับธรรมชาติว่า เป็นทรัพยากรสำหรับมนุษย์ ซึ่งธรรมชาติจะทำหน้าที่ให้บริการชั้นดี หรือเป็นเจ้าหน้าที่คอยให้บริการสิ่งต่างๆ อันเกิดจากการสร้างสรรค์โดยพระเจ้า มุมมองที่น่าสงสัยอย่างมากสำหรับจริยธรรมใหม่ Passmore ให้เหตุผลว่ารูปแบบของความคิดนี้ต้องมีการปรับปรุงในทันที การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในความเห็นเกี่ยวกับธรรมชาติที่มีโอกาสได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เขาแย้งว่ามีเหตุผลและมีรูปแบบต่อมาที่ให้มีสิทธิได้ตามกฎหมายในการกระทำที่เป็นการทำลาย โดยสรุปแล้วจริยธรรมที่ดินของลีโอโปลด์ ที่ได้มีวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์โดย White และ Passmore ด้วยการริเริ่มของ Routley, Stone และ Rolston และด้วยสัญญาณเตือนจากนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายนั้น ทำให้ปลายทศวรรษ 1970 มีการพุ่งความสนใจลงไปอย่างแน่นอนที่จะต้องให้มีการพิจารณาถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมของนักปรัชญาและนักทฤษฎีทางการเมืองทั้งหลาย

 

การโต้เถียงกันเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในเชิงกฎหมาย การเมือง และจริยธรรมอย่างต่อเนื่อง นั่นเองที่ทำให้เกิดปรัชญาที่สนับสนุนนักเคลื่อนไหวผู้ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของสัตว์ และปัญหาเรื่องจริยธรรมสิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องใหม่เกินไปกว่าที่จะนำเอามาปรับปรุงแก้ไข หรือการขยายความต่อจากทฤษฎีทางด้านจริยธรรมที่มีอยู่ เพื่อที่จะให้ได้ส่งผลกระทบต่อกระแสการเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคมอย่างกว้างขวาง พรรคการเมืองสีเขียว หรือพรรคการเมืองด้านสิ่งแวดล้อม ได้เกิดขึ้นในยุโรปเมื่อช่วงทศวรรษ 1980 ในช่วงเวลาเดียวกับที่เกิดความขัดแย้งระหว่าง 2 กลุ่มที่รู้จักกันในนามกลุ่มสัจนิยม กับกลุ่มฐานรากดั้งเดิม โดยสัจนิยมนั้นเกิดขึ้นเพื่อปฏิรูปแนวคิดสิ่งแวดล้อมนิยม กลุ่มนี้ได้ทำงานร่วมกับกลุ่มธุรกิจและการเมืองเพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากมลภาวะต่างๆ และการร่อยหรอของทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบนิเวศที่บอบบาง หรือชนิดพันธุ์ที่หายาก ขณะที่กลุ่มฐานรากดั้งเดิมนั้นเน้นถึงเรื่องของการเปลี่ยนแปลงชาติพันธุ์ การกำหนดเงื่อนไขอย่างเข้มงวดสำหรับจัดลำดับสิ่งสำคัญๆ รวมไปถึงการพยายามสลัดทุนนิยมและเสรีนิยมออกไป สิ่งเหล่านี้จึงถือได้ว่าเป็นต้นเหตุสำคัญมากที่ทำให้เกิดแนวความคิดในการพินิจพิจารณาถึงการทำลายล้างสิ่งแวดล้อมของมนุษยชาติ จากความขัดแย้งดังกล่าวทำให้เกิดการแบ่งแยกการเคลื่อนไหวทางด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างแนวคิดเชิงตื้นกับเชิงลึก โดยการแบ่งขั้วนั้นเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1970 โดยอิทธิพลหลักจากจริยธรรมสิ่งแวดล้อมร่วมสมัย คือ นักปรัชญานอร์เวย์ Arne Naess (1912-)  จากการทำงานของ Naess ได้ทำให้เกิดนัยสำคัญในการเมืองสิ่งแวดล้อม การอภิปรายเกี่ยวกับตำแหน่งที่เขาได้รับที่จะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป

 

นิเวศวิทยาเชิงลึก

 

นิเวศวิทยาเชิงลึกถือกำเนิดในสแกนดิเนเวีย อันเป็นผลมาจากการสนทนาเชิงวิพากษ์กันระหว่างNaess และบรรดาลูกศิษย์ของเขาสองคน คือ Sigmund Kvaløy และ Nils Faarlund ทั้งสามต่างแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันเกี่ยวกับประสบการณ์เดินทางผ่านเข้าไปในเขตเทือกเขาใหญ่ หรือเกรต เมาท์เท่น และครั้งหนึ่งที่ได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศเขตเทือกเขาหิมาลัยนั้น พวกเขาต่างประทับใจในลักษณะเฉพาะของ วัฒนธรรมเชอร์ปา (Sherpa culture)[11] หลังจากที่ผู้นำทางชาวเชอร์ปาได้แสดงความเคารพนับถือต่อเทือกเขาเหล่านั้น เสมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงห้ามกระทำการไม่ดีต่อเทือกเขาเหล่านั้น ต่อเรื่องนี้ Naess ตัดสินใจที่จะขยายขอบเขตการเคารพบูชาและความรู้สึกต่อวัฒนธรรมเชอร์ปาที่มีต่อเทือกเขาไปสู่ธรรมชาติอื่นๆ ทั่วๆ ไป

 

กระแสนิเวศวิทยาเชิงตื้นนี้ Naess เรียกว่า การต่อสู้กับมลพิษและการร่อยหรอของทรัพยากรโดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อ ความมั่งคั่งและสุขภาพที่ดีของมนุษย์ในประเทศที่พัฒนาแล้วในขณะที่กระแสนิเวศวิทยาเชิงลึกนั้นเป็นไปในทางตรงกันข้าม คือ เห็นด้วยกับ แนวคิดที่เชื่อในความเสมอภาคของมนุษย์สิ่งมีชีวิตทุกๆ อย่างต่างมีคุณค่าในตัวเอง และมีอิสระในการนำไปใช้ประโยชน์ของมนุษย์ พวกเขานับถือ คุณค่าที่แท้จริงและคอยปกป้องดูแล เช่น ในการเดินทางบนภูเขาต้องไม่ทำลายพืชพรรณโดยไม่จำเป็น นอกจากนั้น ยังเห็นด้วยกับสิ่งที่ Naess เรียกว่า จินตนาการในภาพรวมที่มีเหตุมีผล ที่เข้าใจว่าสิ่งมีชีวิต (มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ) เป็นเสมือนกระจุกหรือปมในโครงข่ายของชีวมณฑล ซึ่งเอกลักษณ์ของแต่ละปุ่มแต่ละปมกำหนดได้ด้วยลักษณะเชิงนิเวศของสิ่งเหล่านั้นที่ไปสอดสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ ในระบบนิเวศ Naess ยังยืนยันอีกว่า ความพึงใจลึกๆ ในหลายสิ่งหลายอย่างที่เรามีอยู่นั้น เราล้วนได้รับมาจากกลุ่มที่มีรูปแบบอื่นของชีวิตในธรรมชาติที่ใกล้ชิดกับเรา ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญของคุณภาพชีวิตของเราด้วย จากการพัฒนาของ Naess และลูกศิษย์ของเขาได้ทำให้เห็นได้ถึงสถานะที่เป็นไปได้ของการแสดงความถือตนเหนือธรรมชาติของมนุษย์ โดยสรุปก็คือ การแสดงตนเหนือธรรมชาตินั้นเราสามารถขยายขอบเขตตนเองออกไปได้อีกอย่างกว้างขวาง ดังนั้น การเคารพนับถือตนเองจึงได้ขยายต่อไปนอกเหนือขอบเขตของชีวิตตนเอง ตัวตนเชิงนิเวศที่กว้าง ตามที่ Naess กล่าวถึงนั้นสมควรได้รับการรับรอง หากเราต้องการแสดงความเคารพนับถือและดูแลตนเองแล้ว เราก็จำเป็นจะต้องให้การเคารพนับถือและดูแลสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ในทางตรงข้าม ความเข้าใจหรือความตระหนักของเรา ก็คือ การเชื่อมความสัมพันธ์ลักษณะเฉพาะของมนุษย์แต่ละคนเข้ากับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติอันกว้างใหญ่เสียใหม่ สำหรับเรื่องนี้ แม้ว่า Naess เองจะอ้างว่า Spinoza เป็นแรงดลใจเชิงประวัติศาสตร์หลักของแนวคิดนิเวศวิทยาเชิงลึกของเขา แต่เป็นที่ชัดเจนและทราบโดยทั่วไปแล้วว่า แนวคิดแบบนี้มีมาก่อนจากมุมมองของJean-Jacques Rousseau ซึ่งได้นำเสนอในผลงานของเขาคือ Reveries of the Solitary Walker

 

เมื่อมุมมองของ Naess ได้ข้ามไปยังแอตแลนติก บางครั้งได้ถูกนำไปรวมเข้ากับแนวคิดจริยธรรมที่ดินของ Leopold แต่ Naess ค่อนข้างระมัดระวังแนวคิดของเขาจากจริยธรรมที่ดิน เพราะ Leopold ค่อนข้างจะมีสถานะที่เกี่ยวข้องกับการเมืองแบบเผด็จการ ที่มองว่าความเป็นอยู่ที่ดีและผลประโยชน์ส่วนบุคคลต้องอยู่ภายใต้องค์รวมที่ดีทั้งหมดของชุมชนบนโลก ภายหลังมีนักวิจารณ์บางคนที่เห็นว่านิเวศวิทยาเชิงลึกของ Naess ไม่ได้แตกต่างจากลัทธินิยมผลประโยชน์ที่เห็นว่ามนุษย์มีประโยชน์เทียบเท่ากับทุกๆ สิ่งที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ สุนัขป่า หมี แม่น้ำ ป่าไม้ และภูเขา อย่างไรก็ตาม Naess เองก็ไม่สามารถอธิบายถึงรายละเอียดต่างๆ ที่ทำให้เกิดแนวคิดที่ว่า หอยนางรม หรือ เพรียง ปลวก หรือ แบคทีเรีย ต่างก็มีผลประโยชน์ในทางศีลธรรมด้วยกันทั้งสิ้น และเมื่อไม่มีการอธิบายในเรื่องนี้ แนวคิดเดิมของ Naess ที่เชื่อในความเสมอภาคของมนุษย์ ซึ่งสิ่งมีชีวิตทุกๆ สิ่งไม่ว่าอะไรก็ตามต่างก็มีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะดำรงชีวิตอยู่และเจริญเติบโต จึงเป็นหลักการที่มีความคลุมเครือ และยังคงไม่กระจ่างชัดว่า แม่น้ำ ภูเขา และป่าไม้ จะสามารถครอบครองผลประโยชน์ต่างๆ ได้อย่างไร สิ่งนี้ยังคงเป็นประเด็นซึ่ง Naess ยังไม่สามารถอธิบายได้

 

ขณะที่แนวคิดที่เชื่อในความเสมอภาคของมนุษย์ ได้ถูกแก้ไขเพิ่มเติมในช่วงทศวรรษ 1980 เพื่อที่จะบอกว่าชีวิตมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ทั้งหลายนั้นมีคุณค่าในตัวเอง Naess ก็ได้ประกาศปรัชญาเชิงนิเวศวิทยาที่เขาเรียกว่า “Ecosophy T” ตามชื่อเรือนพักบนภูเขาของเขา คือ เรือนพักแห่งขุนเขาทเวอร์กาสไตน์[12] (Tvergastein mountain cabin) ซึ่งนี่ถือเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ หลักการของจริยธรรมสิ่งแวดล้อม นิเวศวิทยาเชิงลึกได้ยกเลิกทฤษฎีเฉพาะ (specific doctrine) แล้วได้แทนที่ด้วยหลักการทั้งแปด[13] ซึ่ง Naessหวังว่านักนิเวศวิทยาเชิงลึกทุกคนจะให้การยอมรับ หลักการนี้เกิดขึ้นจากการตั้งรูปแบบที่เป็นรากฐานกลางระหว่างปรัชญาที่เป็นรากฐานของศานิกชน อันได้แก่ คริสเตียน พุทธศาสนิกชน ผู้นิยมลัทธิเต๋า หรืออะไรก็ตาม และหลักการปฏิบัติที่จะต้องกำหนดขึ้นมาในสถานการณ์เฉพาะ ดังนั้น จึงจะเห็นได้ว่ากระแสนิเวศวิทยาเชิงลึกกลายเป็นพหุนิยมอย่างชัดเจน

 

ถือได้ว่า Arne Naess เป็นคนสำคัญที่จุดประกายความคิดเชิงนิเวศด้วยคำว่า นิเวศวิทยาลึกซึ้งหรือ deep ecology โดยนำเสนอหลักการสำคัญที่ควรอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของบุคคล เป็นหลักให้ผู้คนยึดถือปฏิบัติ เป็นคำแนะนำที่มีประโยชน์อย่างมาก

 

1. ความเป็นอยู่ที่ดีและความเจริญรุ่งเรืองของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์บนโลก ล้วนมีคุณค่าของมันเอง (intrinsic value หรือ inherent value) คุณค่าเหล่านี้เป็นอิสระจากความมีประโยชน์ของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ที่มีต่อวัตถุประสงค์ของมนุษย์

 

2. ความมั่งคั่งและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติจะนำไปสู่การตระหนักรู้ถึงคุณค่า

เหล่านั้น และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงคุณค่าในสิ่งเหล่าเองด้วย

 

3. มนุษย์เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปลดความมั่งคั่งและความหลากหลายนั้นยกเว้นแต่เพียงแค่ให้ได้เพียง

สิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตจริงๆ เท่านั้น

 

4. ความเจริญรุ่งเรืองของชีวิตและวัฒนธรรมมนุษเกิดขึ้นมาได้ด้วยการลดลงของประชากรมนุษย์

อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนความเจริญงอกงามของชีวิต (อื่น) ที่ไม่ใช่มนุษย์กลับไม่ได้ทำลายสิ่งอื่นให้ลดลง

แต่อย่างใด

 

5. มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ รบกวนชีวมณฑลของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์เป็นอย่างมาก และสถานการณ์ดังกล่าวนี้

จะยิ่งเลวร้ายขึ้นอย่างรวดเร็วไปอีก

 

6. ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงนโยบาย นโยบายต่างๆ เหล่านี้มีผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และแนวความคิดพื้นฐาน เพื่อนำไปสู่กิจการที่แตกต่างอย่างลึกซึ้งกว่าเป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

7. การเปลี่ยนแปลงทางความคิดเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการมีคุณภาพชีวิตอันควรมี (อาศัยคุณค่าตามธรรมชาติ) สำคัญมากกว่าการมีมาตรฐานการดำรงชีวิตที่สูงขึ้นเสียอีก มนุษย์ควรที่จะตระหนักให้ดีถึงความแตกต่างระหว่าง

ความใหญ่กับความยิ่งใหญ่ (big and great)

 

8. ผู้ที่เห็นด้วยกับสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จึงมีหน้าที่ทางตรงและทางอ้อมในการเปลี่ยนแปลงสิ่งจำเป็นเหล่านี้

 

อีกทั้งจะเป็นประโยชน์อย่างมาก หากนำจุดต่างๆ เหล่านี้ไปเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมของมนุษย์ที่ยึดเอาตัวเอง

เป็นศูนย์กลาง ดังต่อไปนี้

 

1. สิ่งมีชีวิตเป็นทรัพยากรสำหรับให้มนุษย์ใช้สอย คุณค่าของมันวัดได้จากประโยชน์ที่มีต่อพวกเรา

2. หากนำความสำคัญของสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกใบนี้ มนุษย์มีความสำคัญมากที่สุด

3. โลกเป็นที่ที่มีทรัพยากรเพื่อมนุษย์อยู่ เป็นสิทธิของเราที่จะใช้เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสิ่งจำเป็น

4. ประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นได้โดยไม่ต้องไปคำนึงถึงสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเลย

5. มนุษย์ไม่ต้องเก็บเกี่ยวเรียนรู้อะไรมาก เพื่อแก้ปัญหา พวกเราจำเป็นเพิ่มอิทธิพลลงไปบนโลกอีก

6. นโยบายของเรากำลังดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์แห่งมวลมนุษยชาติ เราจึงจำเป็นจะต้อง

ขุดค้นแสวงหาทรัพยากรให้มากเข้าไว้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายแห่งความสำเร็จ

7. เราจะต้องทำงานเพื่อเป็นการรับประกันว่า มาตรฐานการครองชีพของประชาชนทั้งหมดทั้งมวลจะเพิ่มขึ้น

8. การปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดมาจากรัฐบาล ทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญ

 

ขณะที่แนวคิดปรัชญานิเวศ Ecosophy T ของ Naess ที่มองเห็นถึงความเข้าใจตนเองของมนุษย์ ซึ่งเป็นทางออกของปัญหาวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมที่เป็นผลมาจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์และการหาประโยชน์จากธรรมชาติ แนวคิดนิเวศวิทยาเชิงลึกของชาวอเมริกันและออสเตรเลียน ก็ได้มีการขยายขอบเขตการอธิบายออกไปของตัวตนมนุษย์ รวมถึงธรรมชาติที่ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนนักปรัชญาในโคเปนเฮเกนผ่านการปรับประยุกต์ทฤษฎีควันตัม  ซึ่งกล่าวถึงการละลายพรมแดนระหว่างผู้สังเกต และการสังเกต อย่างไรก็ตามการพัฒนาของนิเวศวิทยาเชิงลึกยังได้รับการวิจารณ์จากนักทฤษฎีสตรีนิยมซึ่งแย้งว่าทฤษฎีของการขยายตัวตนนั้นเป็นผลกระทบของรูปแบบที่บิดเบือนของมนุษย์---เพศชายโดยแท้---ลัทธินิยมตน (egoism) ไม่สามารถให้ธรรมชาติได้รับการเคารพเหมือนเป็นสิ่งมี่มีอิสระจากผลประโยชน์ของมนุษย์หรือความเป็นอยู่ที่ดี ระหว่างนั้นนักวิจารณ์ในโลกที่สามบางคน ได้กล่าวหาว่านิเวศวิทยาเชิงลึกเป็นเรื่องของความเป็นอยู่ของคนชั้นสูงที่พยายามคุ้มครองธรรมชาติเพียงเพื่อกลุ่มคนที่มั่งคั่งทางการเมืองและเศรษฐกิจเท่านั้น นักเขียนชาวอินเดีย Ramachandra Guha ได้ยกตัวอย่างอธิบายกิจกรรมของกลุ่มอนุรักษ์พื้นฐานตะวันตกต่างๆ ว่าเป็นรูปแบบใหม่ของลัทธิจักรวรรดินิยมทางวัฒนธรรม ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาการเปลี่ยนแปลงไปสู่ลัทธิอนุรักษ์นิยม

 

หมอสอนศาสนาสีเขียว (green missionaries) อย่างเช่น Ramachandra Guha ได้กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ เพื่อที่จะแสดงเป้าหมายของการเคลื่อนไหวให้เป็นประโยชน์แก่คนยากจนและชนเผ่าที่ด้อยโอกาสต่างๆ แก่พวกเขาว่า กระแสการเคลื่อนไหวทำให้เกิดการพลัดพรากของประชาชนที่ความจนเข้ายึดเหนี่ยวและคนพื้นเมืองที่อยู่ในโลก เขาเขียนไว้ว่าการวางนิเวศวิทยาเชิงลึกลงบนตำแหน่งของมัน ก็เพื่อที่จะพิจารณากันว่า มีแนวโน้มที่มันจะได้รับการเยาะเย้ยถากถางว่าเป็นนิเวศวิทยาแบบตื้นไป ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นในความเป็นจริงมันก็มีอยู่อย่างมากมายหลากหลายในความเป็นลัทธิสิ่งแวดล้อมนิยม ที่มีความเหมาะสมกว่า สื่อสารได้ดีกว่า และเป็นที่นิยมกว่าในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย แม้ว่าตัว Naess เองจะปฏิเสธว่า นิเวศวิทยาเชิงลึกจะเป็นแนวคิดที่พินอบพิเทาอยู่กับจักรวรรดินิยม แต่คำวิจารณ์ของ Ramachandra Guha ที่ได้ทำให้เกิดคำถามที่สำคัญเพิ่มขึ้น เกี่ยวกับการประยุกต์หลักการนิเวศวิทยาเชิงลึกในเนื้อหาต่างๆ ในเชิงสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม สำหรับคำวิจารณ์อื่นๆ นิเวศวิทยาเชิงลึกนั้นไม่สอดคล้องกับมุมมองของการมีดินแดนในอุดมคติ (utopian visions)

 

ลัทธิสตรีนิยมและสิ่งแวดล้อม

 

มีการกล่าวกันอย่างแพร่หลายในประเด็นของกลุ่มลัทธิสตรีนิยม ซึ่งเป็นเรื่องที่จะช่วยทำให้เกิดความเข้าใจถึงความกดขี่เพศหญิง ทฤษฎีของนักสตรีนิยมได้พยายามที่จะวิเคราะห์ถึงความกดดันของผู้หญิง สาเหตุและผลที่เกิดขึ้นตามมา และได้เสนอแนะกลยุทธ์และกำหนดทิศทางให้เกิดเสรีภาพแก่ผู้หญิง ในช่วงกลางทศวรรษ 1970 นักเขียนสตรีนิยมได้ยกประเด็นแนวคิดที่สนับสนุนเรื่องนี้ขึ้นมาว่า ไม่เพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่อยู่ในฐานะที่ด้อยกว่าและตกอยู่ใต้อาณัติ หากแต่ยังรวมไปถึงประชากรผิวสี สัตว์ต่างๆ และธรรมชาติอื่นๆ ก็ยังตกอยู่ภายใต้ภาวะกดขี่ข่มเหงด้วย เรื่องนี้ Sheila Collins (1974) ได้ให้เหตุผลว่า วัฒนธรรมที่ผู้ชายอยู่เหนือกว่า หรือการปกครองฉันบิดากับบุตรนั้น ได้รับการสนับสนุนจากเสาหลัก 4 หลัก คือ ลัทธิแบ่งแยกเพศ ลัทธิเหยียดสีผิว การแบ่งชนชั้นผลประโยชน์ และการทำลายเชิงนิเวศวิทยา

 

มีนักเขียนบางคนที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของลัทธิสตรีนิยม กับขบวนการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพอื่นๆ เช่น Ynestra King (1989a and 1989b) ได้ชี้แจงเหตุผลว่า การปกครองที่ผู้ชายมีอำนาจเหนือผู้หญิงนั้น เป็นรูปแบบเริ่มต้นของความโดดเด่นในสังคมมนุษย์ที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ด้วยการเปรียบเทียบลำดับศักย์กับสิ่งอื่นทั้งมวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเหตุผลของความโดดเด่นของมนุษย์เหนือธรรมชาติ ที่จะต้องเข้าใจแจ่มแจ้งถึงการกดขี่ผู้หญิงจะเป็นผลของความสัมพันธ์ของธรรมชาติกับเพศหญิง แต่ว่าภายใต้ความเป็นพหุสังคมของสถานะของลัทธิสตรีนิยม นักเขียนคนอื่นๆ อย่างเช่น Val Plumwood (1993) กลับเข้าใจแต่เพียงส่วนหนึ่งในหลายๆ ส่วนของการกดขี่เพศหญิง ซึ่งมักก่อรูปและสนับสนุนโดยโครงสร้างปกติ ซึ่งคนกลุ่มหนึ่งใช้เป็นกลไกทางแนวคิดและเครื่องมือที่ทำให้มีอภิสิทธิ์เหนือคนกลุ่มอื่นๆ เหตุผลอยู่ที่ว่า แนวคิดที่ยึดเอาเพศชายเป็นศูนย์กลาง และแนวคิดที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ต่างมีลักษณะทั่วไปร่วมกัน คือเป็นของคู่กันและมีตรรกกะที่เด่นชัด ซึ่งต่างบ่งบอกถึงว่าจะมีการกดขี่ต่อกลุ่มสังคมอื่นๆ และเอื้อต่อโครงสร้างทางแนวคิดทั่วไป ที่จะส่งผลต่อการกดขี่ในรูปแบบต่างๆ สิ่งอื่น  

 

จุดมุ่งหมายสำคัญของการวิเคราะห์ของนักสตรีนิยม คือ ทวิลักษณ์ ซึ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของแนวคิดชนชั้นสูงแบบฝังรากลึก เป็นเสาธงที่ตั้งอยู่ในมุมตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง อย่างเช่น เพศชาย/เพศหญิง มนุษย์/ไม่ใช่มนุษย์ วัฒนธรรม/ธรรมชาติ จิตใจ/ร่างกาย เหตุผล/อารมณ์ อิสระ/จำเป็น อย่างไรก็ตาม ตามมุมมองของนักสตรีนิยมหลายๆ คน ไม่ได้คิดว่ารูปแบบคู่กันนั้นเป็นแต่เพียงการอธิบายสิ่งซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกันเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการโยงใยไปสู่การสร้างอภิสิทธิ์เหนือสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกันด้วย ทั้งนี้ด้วยการอ้างเหตุผลกล่าวโทษต่อคุณลักษณะบางอย่างเพื่อเอาชนะคะคานกลุ่มอื่น ตัวอย่างเช่น ผู้ชายที่อาจจะกล่าวคำพูดได้ดูหลักแหลมมีเหตุมีผลมากกว่าการแสดงแต่อารมณ์ความรู้สึกของผู้หญิง หรือว่า the active Cartesian mind, being free from physical constrains, may be seen as superior to the mechanical passive body หรือว่าวัฒนธรรมที่เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าของมนุษย์อาจจะถูกเข้าใจได้ว่าโดดเด่นเหนือกว่าธรรมชาติดิบๆ ของสังคมอนารยะของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่าลัทธิสตรีนิยมนั้นไม่ได้เป็นแต่เพียงว่า กลุ่มชนที่โดดเด่นกลุ่มหนึ่งมองเห็นกลุ่มที่ถูกครอบงำอย่างผิดๆ ในฐานะที่มีคุณลักษณะบางอย่างที่เหนือกว่า สำคัญกว่านั้น การวิเคราะห์ในรูปแบบและระบบของนักสตรีนิยมเอง ที่นิยมสันนิษฐานหรือมองสิ่งต่างๆ แบบคู่กันนี้ก็ยังคงมีปัญหาหลายอย่างอย่างอยู่ในตัว เพราะอย่างน้อยที่สุดก็มีการให้คุณค่าอย่างมากกับสิ่งที่อยู่ในขั้นหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ไปลดคุณค่ากับสิ่งที่อยู่ตรงข้าม อีกทั้งยังเป็นแนวคิดที่จัดให้มีสิ่งหนึ่งโดดเด่นขณะที่อีกสิ่งหนึ่งกลับถูกกดขี่ ที่สามารถถูกอธิบายได้ด้วยความสนใจทั้งมวลที่มุ่งเน้นถึงสาระของเพศชาย ความมีเหตุผล ความรุ่งเรือง หรือไม่ก็การพัฒนาแล้ว

 

ในมุมมองของลัทธิสตรีนิยม ถือว่ามีความท้าทายเชิงวิกฤติอย่างมากต่อแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม การเมือง และมุมมองทางด้านจริยธรรมของสังคม นั่นแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงคำถามด้านสิ่งแวดล้อมเข้ากับปัญหาสังคม ที่อยู่ในความสนใจต่อชนิดของความแตกต่างและการทำลาย และรากฐานการสืบค้นของจิตวิทยามนุษย์ อย่างไรก็ตามยังมีความเชื่อมโยงเชิงแนวคิดหรือความเชื่อมโยงโดยบังเอิญระหว่างรูปแบบความแตกต่างของการกดขี่และเสรีภาพที่ยังคงเป็นประเด็นที่ขัดแย้งกันอยู่ สำหรับคำว่า สตรีนิยมสิ่งแวดล้อม (ecofeminism) ที่ประดิษฐ์ขึ้นโดย Françoise d'Eaubonne (1920-2005) เมื่อปี ค.ศ.1974 นั้น ปัจจุบันได้มีการประยุกต์ให้เข้ากับมุมมองต่างๆ ที่รวมถึงการสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมกับการวิเคราะห์ของนักสตรีนิยม อย่างไรก็ตามเพราะความหลากหลายในทฤษฎีสตรีนิยม ที่มีหลายอย่างหลายอันที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับ ทำให้แนวทางการวิเคราะห์ค่อนข้างกว้างจนเกินไป แต่ก็มีนักเขียนแนวสตรีนิยมบางคน ที่เขียนงานทางด้านสิ่งแวดล้อม แล้วก็เรียกตัวเองว่า นักสตรีนิยมสิ่งแวดล้อม

 

นิเวศวิทยาสังคม

 

นอกจากทฤษฎีของนักสตรีนิยมสิ่งแวดล้อม และนิเวศวิทยาเชิงลึกของNaess นิเวศวิทยาสังคมของ  Murray Bookchin ได้ถูกอ้างถึงในอีกด้านหนึ่งในทิศทางตรงกันข้าม ส่วนที่มีอิทธิพลต่อนิเวศวิทยาสังคมของBookchin คือ ทฤษฎีวิกฤติ ของสำนักแฟรงค์เฟิร์ต (Frankfurt School) ทั้งนี้ผู้นิยมลัทธิมาร์กซ์ดั้งเดิมเห็นว่า ธรรมชาติ คือทรัพยากรที่แรงงานมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงและใช้ประโยชน์ได้ สมาชิกของสำนักแฟรงค์เฟิร์ต อย่างเช่น Marx Horkheimer และ Theodore Adomo ได้ตีความว่ามาร์กซเป็นตัวแทนของปัญหาของมนุษย์ที่แปลกแยกจากธรรมชาติ รากฐานของความแปลกแยกนั้นพวกเขาแย้งว่าเป็นแนวคิดของกลุ่มปฏิฐานนิยมเชิงแคบ ซึ่งเห็นว่า ความมีเหตุผลเป็นเพียงเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ การควบคุมเทคโนโลยีและความก้าวหน้า และหามาตรการวิธีการเชิงปริมาณที่จะสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมด แนวคิดนี้ Horkheimer และ Adomo ไม่เห็นด้วยและต้องการแก้ไขใหม่ พวกเขาต้องการแทนที่การให้เหตุผลแบบปฏิฐานนิยมเชิงแคบนี้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า คุณค่าแห่งความงามอันเป็นลักษณะที่เกี่ยวกับความลึกซึ้ง ความรู้สึก ศีลธรรม และความงามของธรรมชาติของมนุษย์ และนำสู่ความกลมกลืนของสาขาต่างๆ เกี่ยวกับความมีเหตุมีผล การกดขี่ของสิ่งที่ที่เป็นธรรมชาติภายนอก ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เชื่อได้แน่ว่าสิ่งเหล่านั้นถูกซื้อหามาในราคาที่สูงมาก ซึ่งเป็นโครงการที่ต้องการมีสถานะโดดเด่นด้วยการเข้าไปหยุดธรรมชาติภายใน ึงนับเป็นโลกแห่งความปรารถนาและความต้องการทั้งหลายที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ชีวิตมนุษย์และความไม่มั่นคงแห่งชีวิตมนุษย์นั่นเอง

ทฤษฎีวิกฤติตามแนวคิดของBookchinนั้น ถือว่าโลกกายภาพภายนอก เป็นองค์ประกอบของธรรมชาติชั้นที่หนึ่ง (first nature) ก่อนที่วัฒนธรรมจะได้มีวิวัฒน์ขึ้นเป็นธรรมชาติชั้นที่สอง (second nature) ในมุมมองของเขา แนวคิดสิ่งแวดล้อมนิยม (environmentalism) คือ กระแสดการเคลื่อนไหวทางสังคม และปัญหาแนวความคิดนี้กำลังเผชิญอยู่ คือ ปัญหาสังคม ขณะที่Bookchinกำลังตระเตรียมพิจารณาว่า ธรรมชาติชั้นที่หนึ่งนำมาซึ่งความงามและความรู้สึกที่น่าพิศวง ซึ่งการอยู่ระหว่างกันเป็นสิ่งจำเป็น Horkheimer และ Adomo ก็เช่นเดียวกัน เขากล่าวว่าเราสามารถที่จะเลือกวางตัวเองให้เป็นประโยชน์ต่อวิวัฒนาการของธรรมชาติ เขาแนะนำว่า พวกเราสนับสนุนรักษาความซับซ้อนและความหลากหลาย ลดความเสียหายและมลพิษ อีกทั้งเรายังสามารถเอาชนะมนุษย์ที่แปลกแยกซึ่งเป็นที่กังวลของสำนักแฟรงค์เฟิร์ต นอกจากนี้นิเวศวิทยาสังคมของBookchinยังได้ยืนยันว่า เราได้ใช้ประโยชน์สิ่งต่างๆ ที่เป็นมิตรกับเรา เป็นการสื่อสารของเรา และเป็นปัญญาของเรา ทั้งหลายเหล่านั้นถูกใช้ไปบนความรู้สึกนึกคิดที่ว่า พวกเราจะต้องได้รับความช่วยเหลือเลี้ยงดูจากธรรมชาติที่มีอยู่อย่างนั้น แทนที่จะปรับเปลี่ยนไปสู่แหล่งอื่นที่อาจมีสิ่งบริการมากกว่า การกดขี่ธรรมชาติจึงควรที่จะถูกลบทิ้งไป โดยเป็นการลบทิ้งสิ่งที่กล่าวมาโดยรูปแบบของการดำรงชีพที่ปรารถนาจะรักษาธรรมชาติมากกว่า

 

นิเวศวิทยาเชิงลึก ลัทธิสตรีนิยม และนิเวศวิทยาสังคม มีผลกระทบสำคัญต่อการพัฒนาสถานะและประเด็นการตัดสินใจทางการเมืองที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์ของผู้นิยมสัทธิสตรีนิยมมักจะสนใจประเด็นของจิตวิทยา ซึ่งพวกเจาได้นำไปสู่ปัญหาต่างๆ ด้านสังคม ศีลธรรม และการเมือง อย่างไรก็ตาม การพิจารณาก็ไม่ง่ายนักเกี่ยวกับนัยยะของทฤษฎีวิกฤติ นิเวศวิทยาเชิงสังคม และบางสาขาของนิเวศวิทยาเชิงลึก ตัวอย่างเช่น นักเขียนปัจจุบันบางคนไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ โดยระบุว่าทฤษฎีวิกฤตินั้นผูกพันอยู่กับแนวคิดที่ยึดเอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง ซึ่งมองธรรมชาติว่าไม่ได้มีคุณค่าเชิงโครงสร้างใดๆ เลย นอกเสียจากว่ามนุษย์จะเข้าไปกำหนดคุณค่าเหล่านั้นขึ้นมาเท่านั้น อีกหลายๆ คนก็แย้งว่า ความต้องการของนักทฤษฎีและนักเคลื่อนไหวสายนิเวศวิทยาสีเขียวไม่เหมาะกับทฤษฎีร่วมสมัยที่เน้นให้เกิดเสรีภาพทางการเมืองและสังคมที่ยุติธรรม ยังมีข้อเสนออื่นๆ อีกมากที่จำเป็นจะต้องพิจารณาตรวจสอบทฤษฎีดั้งเดิม อย่างเช่น จริยธรรมแห่งความดี (virtue ethics) ที่มีจุดกำเนิดมาจากปรัชญากรีกโบราณ ซึ่งมีสาระเกี่ยวกับรูปแบบการให้บริการอย่างที่พาสมอร์ได้กล่าวถึงมาแล้ว ทีนี้ถ้าหากว่าข้อเรียกร้องสุดท้ายนี้เป็นความจริง นั่นก็หมายความว่า จะต้องค้นหาข้อสนับสนุนในเชิงปรัชญาสำหรับตอบคำถามต่างๆ ด้วยฐานของนิเวศวิทยาเชิงลึก สตรีนิยม และนิเวศวิทยาสังคมต่อไป



[1] หนังสือ A Sand County Almanac ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1949 แต่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางเมื่อปี ค.ศ.1970 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ บรรณาธิการของ Sierra Club/Ballantine ได้นำมาผนวกเข้าไว้ในหนังสือ Round River

[2]  Photochemical smog เป็นคำที่ใช้แสดงความหลากหลายของตัวการทางเคมีที่ไปก่อความเสียหายให้กับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ที่เรียกกันว่าหมอกเคมีแสง ก็เพราะว่ากระบวนการของแสงจะผลิตมลพิษบางอย่างออกมา ประกอบด้วย ไนโตรเจนออกไซด์ โอโซน สารประกอบชีวภาพที่ระเหยได้ (VOCs: Volatile Organic Compounds) และเปอรอไซอาเกติลไนเตรต สารทั้งหลายเหล่านี้มีปฏิกิริยาและ/หรือออกซิไดซ์เร็วมาก ปัญหานี้ส่วนใหญ่เกิดในประเทศอุตสาหกรรมสมัยใหม่

[3] Imperator Caesar Marcus Aurelius Antoninus Augustus เป็นจักรพรรดิโรมันเมื่อปี ค.ศ.161-180 ระหว่างเถลิงราชสมบัติช่วงปี ค.ศ.170-180 ได้ทรงพระนิพนธ์หนังสือเรื่อง ทางสายกลาง (Meditations) ขึ้นมา เพื่อเตือนและปรับปรุงพระองค์เอง พระองค์ทำตัวเป็นนักบวชที่เคร่ง เป็นผู้อุทิศทุกอนูแก่อาณาจักรโรมัน พระหฤทัยของพระองค์ฉาบด้วยปรัชญาและจิตวิญญาณสโตอิก นอกจากนี้ ทางสายกลาง ยังมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเตือนไปยังภาครัฐ ให้มีวิสัยและหน้าที่ในการบริการที่ดี

[4]  Gaudium and Spes เป็นภาษาลตินแปลเป็นภาษาอังกฤษว่Joy and Hope

[5]  Monism ลัทธิเอกลักษณ์ เป็นมุมมองในเชิงอภิปรัชญาและเทววิทยา ซึ่งเชื่อว่าในจักรวาลนี้มีสิ่งสำคัญอยู่เพียงสิ่งเดียว ไม่ว่าสิ่งจำเป็น สสาร หรือพลังงาน ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเดียว ส่วน Dualism ลัทธิทวิลักษณ์กลับเชื่อในทางตรงกันข้าม กล่าวคือเชื่อว่าสิ่งสำคัญทั้งหลายในจักรวาลนี้ล้วนมีสองสิ่งที่ตรงกันข้ามกันเสมอ

[6] Sierra Club ได้รับการก่อตั้งขึ้นในซาน ฟรานซีสโก เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ.1892  โดยมีนักอนุรักษ์ธรรมชาติผู้มีชื่อเสียง คือ John Muir เป็นนายกสโมสรคนแรก สโมสรแห่งนี้มีพันธกิจสำคัญ คือ 1) การสำรวจ สร้างความสุข และพิทักษ์สถานที่ธรรมชาติของโลก 2) ปฏิบัติและส่งเสริมให้มีการใช้ระบบนิเวศและทรัพยากรอย่างรับผิดชอบ 3) ศึกษาและจัดทำรายการมนุษยชาติที่จะต้องปกป้องและฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมนุษย์ และ 4) ใช้มาตรการทางกฎหมายทุกอย่างเป็นเครื่องมือให้บรรลุผล ปี ค.ศ.2004 สโมสรแห่งนี้มีโครงการสำคัญที่จะต้องรณรงค์ในสหรัฐอเมริกาจำนวน 4 โครงการหลักๆ คือ รักษาและฟื้นฟูความสะอาดของน้ำ พยายามหยุดการค้าไม้ หยุดการเติบโตของเมืองแบบไร้ทิศทาง และพิทักษ์พื้นที่ชุ่มน้

[7]  Friends of the Earth เป็นเครือข่ายนานาชาติขององค์กรด้านสิ่งแวดล้อม มากกว่า 70 ประเทศ การรวมตัวกันเป็นลักษณะพันธมิตรที่แต่ละองค์กรมีอำนาจอิสระในการรวบรวมองค์กรสมาชิกระดับรากหญ้าภายในประเทศตัวเอง ให้ทำงานจนบรรลุเป้าหมายในท้องถิ่น แต่ทั้งหลายนั้นจะต้องอยู่ภายใต้ก้านร่วมแห่งความรักและแหนหวงโลกของเราเป็นสำคัญ

[8]  Precautionary Principle หลักการว่าด้วยการจัดการที่ปลอดภัย ประกาศให้ทุกประเทศและทุกองค์กร นำมาปรับใช้เพื่อไม่ให้มีการทำลายสภาพแวดล้อมมากเกินไป เมื่อครั้งที่มีการประชุมสุดยอดของโลกว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่กรุงริโอ เดอ จาไนโร ประเทศบราซิล เรียกว่าปฏิญญาริโอ เมื่อปี ค.ศ.1992

[9] The Earth Charter เป็นปฏิญญาหนึ่งของคุณค่านานาชาติและแนวคิดเชิงหลักการที่จำเป็นสำหรับการสร้างสิ่งที่เหมาะสม ความยั่งยืน และสันติภาพของอนาคต แนวคิดเริ่มแรกเกิดขึ้นหลังจากปี ค.ศ.1972 อย่างที่กล่าวข้างบน ครั้นเมื่อปี ค.ศ.1987 เมื่อคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (World Commission on Environment and Development) ขององค์การสหประชาชาติเรียกร้องให้มีคณะทำงานใหม่ ที่ทำหน้าที่ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนขึ้นมา จากนั้นพอถึงปี ค.ศ.1992 บูโทรส บูโทรส-กาลี เลขาธิการใหญ่ของที่ประชุมสุดยอดที่ริโอ เดอ จาไนโร ได้แสดงความกระตือรือล้นที่จะก่อตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมา พอถึงปี ค.ศ.1993 ก็ได้มีการประชุมเป็นการเฉพาะขึ้นที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี และก็ได้มีการก่อร่างขั้นต้นเป็นศูนย์ศึกษาสิ่งแวดล้อมฟรานซีสกัน (Franziscan Study Center for Environment) ค.ศ.1994 Earth Charter ได้ก้าวเข้ามาถึงจุดเริ่มต้นโดยสตรอง ที่เป็นเลขาธิการใหญ่การประชุมสุดยอดของโลกและประธาน Earth Counsel ร่วมกับมิกาอิล กอร์บาเชฟ ประธานมูลนิธิ Green Cross International ทั้งหมดด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ จากนั้นปี ค.ศ.1997 จึงได้มีการร่างเอกสารสำคัญขึ้นมา และแล้วเสร็จเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2000 The Earth Charter ทำหน้าที่กระตุ้นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การอยาร่วมกันอย่างสันติ เคารพต่อสิ่งมีชีวิต ประชาธิปไตย และความยุติธรรม

[10]  Silent Springฤดูใบไม้ผลิที่เงียบงัน คุณหญิงดิฐการภักดี (สายหยุด บุญรัตพันธุ์) และหม่อมวิภา จักรพันธ์ แปลเป็นภาษาไทยว่า เงามฤตยู คุรุสภาพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี พ.ศ.2517 และ 2525

[11] คำว่า "Sherpa" แปลว่า ชนชาวตะวันออก ใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอาศัยอยู่ทางตะวันออกของธิเบต หาข้อมูลเพิ่ม้ติมได้ที่ http://classic.mountainzone.com/everest/sherpas.stm

[12] เป็นบ้านพักของ Naess ที่สร้างขึ้นเพื่อเรียนรู้นิเวศวิทยาเชิงลึกด้วยการอ่านหนังสือของ  Gandhi และ Spinoza รวมถึงศึกษาภาษาสันสกฤติอย่างคร่ำเคร่ง เมื่อปี ค.ศ.1937 บนเทือกเขาฮาลลิงสกาเวต (Hallingskarvet mountain) ที่อยู่กลางประเทศนอรเวย์ ที่นั่นเขาต้องพบกับสภาพอากาศที่เลวร้ายต่างๆ อย่างโดดเดี่ยว

[13] เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๔๓ โบสถ์แมคกินเลย์ได้รับการเลือกสรรให้เป็นศูนย์กลางของคริสเตียนก้าวหน้า จึงมีการจับเอาความเชื่อหลักของศาสนามาแปลให้เข้าใจง่าย เพื่อนำไปเป็นแบบแผนปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน พอสรุปเป็นประเด็นสำคัญที่คริสเตียนที่ดีจะต้องปฏิบัติ ดังนี้

1.       สรรเสริญพระเยซูคริสต์เปรียบเสมือนหนทางไปสู่อาณาจักรของพระเจ้า

2.       ยอมรับนับถือความซื่อสัตย์ของผู้อื่นเปรียบเสมือนหนทางไปสู่อาณาจักรของพระเจ้า

3.       เข้าใจว่าการแบ่งปันขนมปังและไวน์ด้วยพระนามแห่งพระเยซู นั้นเป็นตัวแทนการเลี้ยงฉลองจากพระเจ้า

4.       ชวนเชิญผู้คนทุกประเภทและทุกสภาพมาร่วมการบูชาของพวกเรา และมาร่วมในชีวิตเรา มาเป็นหุ้นส่วนชีวิตซึ่งกันและกัน ซึ่งผู้คนเหล่านั้นประกอบด้วย (แต่มิได้จำกัดไว้เพียงเท่านี้): ผู้ที่เชื่อถือและไม่เชื่อในพระเจ้า ชาวคริสเตียนโดยทั่วไปและผู้ที่มีความสงสัยในศาสนา, ผู้ที่รักร่วมเพศและรักคนต่างเพศ, หญิงและชาย, ผู้ที่มีความหวังและสิ้นหวัง, ผู้คนทุกเชื้อชาติและวัฒนธรรมและทุกชนชั้น โดยไม่มีการแบ่งแยกในการรับพวกเขามาเป็นพวกเรา

5.       คิดว่าการปฏิบัติกับผู้อื่นและคนอื่นๆนั้นสำคัญยิ่งกว่าการแสดงออกถึงความเชื่อของเรา

6.       ค้นหาความงดงามในการหาความหมายมากกว่าความแน่นอนของสิ่งนั้น, ค้านหาความงดงามในคำถามมากกว่าในคำตอบ

7.       มองพวกเราเปรียบดังเช่นชุมชนแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งค้นพบแหล่งทรัพยากรที่เราต้องการสำหรับงานของพวกเราในโลกใบนี้ : พยายามเพื่อความยุติธรรมและสงบสุขของผู้คน, และนำความหวังซึ่งเป็นสิ่งที่พระเยซูตรัสว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่น้อยที่สุดของพี่น้องของพระองค์

8.       ระลึกไว้ว่าความศรัทธาของพวกเรานำมาซึ่งการเป็นสานุศิษย์ที่มีคุณค่า, การเสียสละและมีความรอบคอบนั้นเป็นการต่อต้านเหล่ามารทั้งหลาย ซึ่งเป็นขนบธรรมเนียมของโบสถ์แห่งพระคริสต์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น