หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2568

รัฐบรรณาการ กัมพูชากับสยาม

ความสัมพันธ์แบบรัฐบรรณาการระหว่างกัมพูชากับสยามต้นรัตนโกสินทร์

พัฒนา ราชวงศ์ สาขาวิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ถอดความและเรียบเรียงจาก David P. Chandler (1972) Cambodia's Relations with Siam in the Early Bangkok Period: the politics of a Tributary State. The Siam Society Under Royal Patronage. Volume. 60.1. pp.153-169.


เมื่อใดก็ตามที่พระมหากษัตริย์สยามและจักรพรรดิเวียดนาม ทรงเขียนจดหมายถึงกันเกี่ยวกับกัมพูชาในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ทั้งสองพระองค์จะทรงกล่าวถึงกัมพูชาในฐานะข้ารับใช้และในฐานะบุตร อย่างเป็นทางการ ทั้งสองพระองค์มองว่ากัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งราชสำนัก เป็นผู้พึ่งพาอาศัยที่ดื้อรั้นซึ่งควรเลี้ยงดูและควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ในส่วนพระองค์ เช่นเดียวกับที่ทรงทำกับลาวในช่วงทศวรรษ 1820 พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ต่างแสวงหาความได้เปรียบ เมื่อทั้งสองพระองค์มิได้มีข้อได้เปรียบที่ชัดเจน ทั้งสองพระองค์จึงตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษรที่จะยกระดับกัมพูชาร่วมกัน สยามในสมัยนั้นเรียกตนเองว่า "บิดา" ของกัมพูชา ส่วน "มารดา" ของกัมพูชาคือเวียดนาม

การยอมรับว่ากัมพูชานี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบการทูตแบบเสนาบดี ที่สืบทอดมาจากจีน ซึ่งใช้ในเอเชียตะวันออกส่วนใหญ่ในขณะนั้น ราชวงศ์ที่เพิ่งสถาปนาขึ้นใหม่ในกรุงเทพฯ และเมืองเว้ของเวียดนาม ใช้ระบบนี้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองและเพื่อรื้อถอนอิทธิพลดั้งเดิมของประเทศตนเหนือพื้นที่ชายแดน ในกัมพูชา เช่นเดียวกับพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ปัจจุบัน คือ ลาว เครือข่ายเสนาบดีของทั้งสองพระองค์ซ้อนทับกัน

ในฐานะรัฐบริวาร กัมพูชาถูกคาดหวังให้จัดหาสินค้าของป่าเพื่อบรรณาการให้แก่ผู้อุปถัมภ์ตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น ขี้ผึ้ง และกระวาน โดยปกติจะส่งให้กรุงเทพฯ ศูนย์กลางการปกครองของสยามปีละครั้ง และส่งให้เมืองเว้ศูนย์กลางการปกครองของเวียดนามทุกๆ สามปี ในทางกลับกัน ผู้ปกครองไทยและเวียดนามก็ให้การยอมรับกษัตริย์กัมพูชา มอบสินค้าที่เป็นอารยะ เช่น กระดาษ และเครื่องแบบข้าราชการเวียดนามให้แก่ราชสำนักเขมร และสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือทางทหารในการป้องกันการรุกราน อีกทั้งรัฐอุปถัมภ์ยังสามารถเรียกเกณฑ์แรงงานเพื่อทำสงครามและงานสาธารณะของตนเองได้ ทั้งนี้ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 แรงงานกัมพูชาถูกบังคับให้เดินทางไปช่วยขุดคลองในกรุงเทพฯ และในเวียดนาม

เนื้อหาทางอุดมการณ์ของข้อตกลงเหล่านี้ นั่นคือ วิธีที่แสดงถึงความเป็นทาสและความยิ่งใหญ่ มีความสำคัญต่อชาวเวียดนาม ซึ่งมองว่าตนเองเป็นมหาอำนาจด้านอารยธรรมเช่นเดียวกับจีน ในทางกลับกัน ไทยใช้ระบบนี้โดยส่วนใหญ่เป็นเพียงวิธีการที่ใช้งานได้จริงและประหยัดในการได้มาซึ่งสินค้าบางอย่าง และเพื่อรักษาสันติภาพตามแนวชายแดนอันกว้างใหญ่ของตน กัมพูชาเป็นหนึ่งในรัฐที่ยากจนที่สุดของสยาม สินค้าที่ส่งออกเกือบทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์จากป่า ในทางกลับกัน หลายรัฐในลาวและมาเลย์ส่งต้นไม้ประดับทองและเงินมายังกรุงเทพฯ ซึ่งมีมูลค่าหลายพันปอนด์

เนื่องจากระบบบรรณาการแสดงถึงสถานะสัมพัทธ์ จึงไม่มีบทบัญญัติสำหรับการทูตระหว่างสองรัฐ เช่น สยามและเวียดนาม ที่มีอำนาจใกล้เคียงกันและมีความทะเยอทะยานคล้ายคลึงกัน ในกัมพูชา ทั้งสองประเทศหลีกเลี่ยงปัญหาสถานะสัมพัทธ์ในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศไม่ได้มีอำนาจควบคุมอย่างสมบูรณ์ ด้วยการมอบสิทธิเท่าเทียมกันในราชสำนักกัมพูชา ความคลุมเครือของการควบคุมแบบคู่ขนานและความจงรักภักดีแบบคู่ขนานนั้น เป็นประโยชน์ต่อทุกคนในระยะสั้น แต่ส่งผลกระทบในระยะยาวอันเลวร้ายต่อกัมพูชา

ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 กัมพูชามีประชากรเบาบาง ยากจน และไร้ระเบียบทางสังคม ประชากรน้อยกว่าครึ่งล้านคน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกล กระจายตัวอยู่ทั่วลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง พนมเปญมีประชากรเพียง 10,000 คน และเมืองหลวงที่อุดง ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 30 ไมล์ มีประชากรน้อยกว่า พระมหากษัตริย์ทรงถูกตัดขาดจากชนบทด้วยการสื่อสาร พิธีการ และที่ปรึกษาของพระองค์เองที่ย่ำแย่ พระองค์จึงทรงยุ่งอยู่กับการวางแผน ความสนุกสนาน และการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ในจังหวัดต่างๆ ผู้สำเร็จราชการที่แทบจะเป็นอิสระมักไม่ตอบสนองต่อราชสำนัก และทรงได้รับความมั่งคั่งจากทาสจำนวนมากที่พวกเขาควบคุม ในแต่ละฝั่งของกัมพูชา แผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วชายแดนที่ไร้ขอบเขตและไม่อาจป้องกันได้ มีรัฐที่ทรงอำนาจสองรัฐที่เพิ่งได้รับการจัดระเบียบใหม่

เนื่องจากความยากจน ความไม่เป็นระเบียบ และที่ตั้ง ความอยู่รอดของกัมพูชาในช่วงเวลานี้ จึงขึ้นอยู่กับการกระทำหรือความอดทนของประเทศเพื่อนบ้านเป็นส่วนใหญ่ แนวทางที่ชาญฉลาดที่สุดที่ราชสำนักกัมพูชาควรปฏิบัติตาม คือ การพยายามเจรจาต่อรองเพื่อให้มีความจงรักภักดีที่ทับซ้อนกันกับทั้งสองรัฐ แม้ว่าในทางปฏิบัติจะเป็นเรื่องยากก็ตาม อย่างไรก็ตาม ราชสำนักและผู้นำในแต่ละจังหวัดต่างก็แสวงหาผลประโยชน์ของตนเอง ซึ่งได้รับผลประโยชน์ชั่วคราวจากการขอความช่วยเหลือจากรัฐอุปถัมภ์รัฐใดรัฐหนึ่ง

ชาวกัมพูชามีเหตุผลมากมายที่จะเลือกข้าง เหตุผลหนึ่ง คือ ความเป็นภูมิภาคนิยม (regionalism) ผู้นำหลายแคว้นในพื้นที่ใกล้ๆ กับสยามมักเลือกสนับสนุนไทย ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง คือ ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ไทย หรือแอบอ้างว่าให้การสนับสนุนไทยหรือเวียดนามเป็นการชั่วคราว ในบางครั้งบางกรณี ชาวเวียดนามและไทยได้ทำการเช่าพันธมิตรของกันและกันมา และแน่นอนว่าความจงรักภักดีจำนวนมากในกัมพูชาในยุคนั้นดูเหมือนว่าจะสามารถต่อรองได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษ 1840 มีค่านิยมอีกชุดหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ ผู้นำในหลายจังหวัดของกัมพูชาซึ่งก่อกบฏต่อต้านชาวเวียดนาม โดยในช่วงแรกไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสยาม ล้วนมีแรงจูงใจหลักมาจากความจงรักภักดีต่อตนเองในฐานะกลุ่ม และจากนิยามความเป็นชาวกัมพูชาของพวกเขาเมื่อเผชิญกับภารกิจอันไม่หยุดยั้งของเวียดนาม แนวคิดที่ว่าสิ่งที่ทำให้คนเหล่านั้นเป็นชาวกัมพูชา คือ การไม่ถือสัญชาติเวียดนาม เป็นองค์ประกอบหนึ่งของลัทธิชาตินิยมกัมพูชานับแต่นั้นมา อย่างไรก็ตาม การก่อกบฏจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อกองทัพไทยได้ต่อสู้กับชาวเวียดนามในกัมพูชาเป็นเวลายาวนานถึง 6 ปี

ช่วงเวลาอันมืดมนและสับสนในประวัติศาสตร์กัมพูชานี้ ไม่ได้รับการศึกษาจากมุมมองของกัมพูชาผ่านเอกสารของกัมพูชามาเกือบ 60 ปีแล้ว ในทางกลับกัน ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับสยามมักถูกเขียนถึงโดยผู้ที่มีมุมมองสนับสนุนไทยหรือสนับสนุนฝรั่งเศสเสมอ การพยายามค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นจริง และอิทธิพลใดที่มีอิทธิพลอยู่ ถือเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดในการศึกษาช่วงเวลาและความสัมพันธ์นี้ แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายประการ ประการแรก คือ การดูว่าสถาบันสองแห่งของกัมพูชา คือ สถาบันพระมหากษัตริย์และผู้นำระดับจังหวัด มีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างไร อีกประการหนึ่ง คือ การตรวจสอบวิธีดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ บนแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนที่ชาติตะวันตกจะเข้ามามีอำนาจ และประการที่สาม คือ การแยกแยะประเด็นบางประการจากช่วงเวลานี้ที่ยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน

ความทะเยอทะยานของไทยที่จะควบคุมการเมืองอย่างเข้มข้นเหนือราชสำนักกัมพูชา ดูเหมือนจะมีมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี ซึ่งพระเจ้าตากสินทรงรุกรานกัมพูชาถึง 3 ครั้ง การที่พระองค์ทรงถูกผลักดันให้ทำเช่นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในปี 1768 กษัตริย์กัมพูชาทรงปฏิเสธที่จะคืนเครื่องบรรณาการให้แก่สยาม โดยให้เหตุผลว่าพระเจ้าตากสินมิได้เป็นเชื้อพระวงศ์ ทรงเป็นผู้แย่งชิงราชสมบัติ และมีเชื้อสายจีนครึ่งหนึ่ง ในช่วงทศวรรษ 1770 สงครามราชวงศ์และการทะเลาะวิวาทระหว่างชาวกัมพูชาได้คร่าชีวิตเจ้านายชั้นสูงของราชวงศ์กัมพูชาไปเกือบหมด ภายในปี 1779 นักองค์เองมีพระชนมายุ 7 พรรษา ซึ่งในอีก 4 ปีต่อมา การโจมตีของเวียดนามบังคับให้นักองค์เองต้องลี้ภัยไปยังกรุงเทพฯ ทรงอยู่กับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ผู้ก่อตั้งราชวงศ์จักรี ที่เพิ่งปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ โดยโปรดเกล้ารับนักองค์เองเป็นราชบุตรบุญธรรม ให้สร้างตำหนักถวายที่ตำบลคอกกระบือ ซึ่งทรงจัดหาที่พักให้นักองค์เอง โดยนักองค์เองพำนักอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 11 ปี เมื่อผู้นำกัมพูชาในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1790 ทรงขอให้รัชกาลที่ 1 ส่งพระองค์กลับคืนเป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 1 ทรงปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าหากนักองค์เองสิ้นพระชนม์ที่นั่น ราชวงศ์กัมพูชาจะสูญสิ้นไป

อย่างไรก็ตาม ในปี 1794 เมื่อนักองค์เองบรรลุนิติภาวะ รัชกาลที่ 1 พระราชทานบรรดาศักดิ์อย่างเป็นทางการแก่นักองค์เอง ณ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจที่อนุญาตให้นักองค์เองขึ้นครองราชย์ และแสดงถึงอำนาจควบคุมราชสำนักกัมพูชาแบบใหม่ของไทย นักองค์เองได้รับอนุญาตให้กลับไปยังเมืองอุดง แหล่งข่าวชาวกัมพูชาอ้างว่า ขณะเสด็จออกจากราชสำนัก เสียงฟ้าร้องดังสนั่น… ซึ่งพระองค์ได้รับการสวมมงกุฎโดยข้าราชการชาวกัมพูชา

นักองค์เองต้องจ่ายต้นทุนที่มีราคาแพงมากเพื่อขึ้นครองราชย์ พระองค์ถูกพาตัวกลับบ้านโดยเสนาบดีฝ่ายไทย ชื่อ ออกญากลาโหม (ปก) ซึ่งเคยเป็นผู้ปกครองพระองค์ในกรุงเทพฯ และบัดนี้ทรงมีอำนาจบริหารอย่างกว้างขวาง รัชกาลที่ 1 ทรงใช้พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของนักองค์เองเป็นข้ออ้างในการถอดถอนพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกัมพูชาออกจากการควบคุมของนักองค์เอง โดยทรงมอบตำแหน่งเจ้าเมืองให้แก่ข้าราชการชาวกัมพูชา คือ ออกญายมราช (มีนามเดิมว่า “แบน” ต่อมายกฐานะเป็นเจ้าฟ้าทะละหะ และกรุงเทพฯ ได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้ปกครองโดยพฤตินัยของภาคเหนือของกัมพูชา ภายใต้การกำกับดูแลอย่างหลวมๆ ของไทย ตลอดช่วงทศวรรษ 1780 ภูมิภาคนี้ประกอบด้วยจังหวัดพระตะบองและเสียมราฐ (มหานคร) ที่แผ่กว้าง และครอบคลุมพื้นที่ชายแดนส่วนใหญ่ของกัมพูชาที่ติดกับสยาม

ในการแต่งตั้งให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ดูแลพื้นที่นี้ รัชกาลที่ 1 ทรงบรรลุวัตถุประสงค์หลายประการ พระองค์ทรงรักษาเขตกันชนที่เป็นมิตรตามแนวชายแดนที่เปราะบาง พระองค์ทรงเน้นย้ำ (ให้นักองค์เองทราบ) ถึงความเปราะบางของอำนาจของนักองค์เอง และพระองค์อาจทรงช่วยชีวิตเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ไว้ได้ เพราะเจ้าเมืองคนใหม่ได้สร้างศัตรูไว้มากมายในช่วงรัชกาลของพระองค์ แน่นอนว่ารัชกาลที่ 1 ไม่อาจล่วงรู้ถึงความขุ่นเคืองอันลึกซึ้งที่การกระทำของพระองค์จะก่อให้เกิดแก่ชนชั้นนำชาวกัมพูชามานานกว่าศตวรรษ

นักองค์เองหรือที่รัชกาลที่ 1 ทรงพระราชทานพระนามว่า “สมเด็จพระนารายน์รามาธิบดี ศรีสุริโยพรรณ บรมสุรินทรามหาจักรพรรดิราช บรมนาถบพิตร เจ้ากรุงกัมพูชา” ครองราชย์ที่เมืองอุดงได้เพียงสองปีก็สวรรคตลงในปี 1796 หลังจากเสด็จพระราชดำเนินเยือนกรุงเทพฯ อย่างเป็นทางการ ชาวกัมพูชาเชื่อกันว่าฝ่ายไทยวางยาพิษพระองค์ที่นั่น แต่ไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากหลักฐานทั้งหมดบ่งชี้ว่าพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในการแสดงความจงรักภักดีต่อรัชกาลที่ 1 อย่างไรก็ตาม การสวรรคตตั้งแต่ยังเยาว์วัยของพระองค์ทำให้ฝ่ายไทยสามารถควบคุมการบริหารประเทศกัมพูชาได้อย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้น เพราะออกญากลาโหม (ปก) ที่ปรึกษาของนักองค์เอง ได้ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โดยมีอำนาจเต็มในการปฏิบัติหน้าที่แทนนักองค์จันพระราชโอรสวัยหกพรรษาของนักองค์เอง

นักองค์จันเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์กัมพูชาในช่วงนี้ ระหว่างรัชสมัยของพระองค์ (1806-1835) พระองค์ทรงนำประเทศออกจากอิทธิพลของไทยและเข้าสู่การปกครองโดยตรงของเวียดนาม ช่วงเวลาหลายปีที่พระองค์ยังทรงพระเยาว์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจทัศนคติของพระองค์เมื่อทรงขึ้นครองราชย์ ดังที่พระยาดำรงราชานุภาพทรงชี้ให้เห็น นักองค์จันทรงใช้ชีวิตวัยเยาว์ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของราชสำนักกัมพูชาที่ขมขื่น แบ่งฝักแบ่งฝ่าย และประจบสอพลอ แทนที่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของรัชกาลที่ 1 ที่เป็นเสมือนบิดามากกว่า เหล่าข้าราชบริพารของพระองค์ไม่พอใจที่นักองค์จันต้องพึ่งพาออกญากลาโหม (ปก) และรัชกาลที่ 1 พวกเขาเอาแต่เฝ้าเสียใจกับการสูญเสียดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือ และระลึกถึงการรุกรานของไทยในช่วงทศวรรษ 1770 และ 1780 พวกเขาได้สื่อสารความขุ่นเคืองเหล่านี้ไปยังนักองค์จัน ซึ่งในระหว่างการเสด็จเยือนกรุงเทพฯ ของพระองค์เองในปี 1802 และ 1805 พระองค์ได้ทรงสร้างความขัดแย้งกับรัชกาลที่ 1 โดยการคบหากับนักพนันและการละเมิดพิธีการในพระราชวัง

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์สำคัญที่สุดที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาในช่วงเวลานี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในทั้งสองประเทศ แต่เกิดขึ้นทางตะวันออก ซึ่งจักรพรรดิเกียลองจักรพรรดิองค์ใหม่ ได้สถาปนาราชวงศ์เหงียนขึ้นใหม่ที่เมืองเว้ และพระราชทานนามใหม่ว่า “เวียดนาม” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จักรวรรดินี้แผ่ขยายจากชายแดนจีนไปจนถึงสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งปัจจุบันสามารถกำกับและควบคุมการล่าอาณานิคมและแรงกดดันทางทหารที่ผู้ปกครองในพื้นที่นี้ใช้ต่อสู้กับกัมพูชามาเป็นเวลาประมาณ 200 ปี

ในช่วงหลายปีที่ทรงต่อสู้เพื่อแย่งชิงบัลลังก์ จักรพรรดิเกียลองได้ส่งบรรณาการมายังกรุงเทพฯ บ่อยครั้ง เพื่อแลกกับความช่วยเหลือทางทหารและการสนับสนุนทางการเมือง เมื่อพระองค์ได้สถาปนาเป็นจักรพรรดิ พระองค์ก็ทรงหยุดส่งบรรณาการและเริ่มแสวงหาบรรณาการแทน ในปี 1805 พระองค์ทรงส่งคณะทูต 98 คน มายังเมืองอุดง ดูเหมือนว่าคณะทูตจะนำจดหมายจากจักรพรรดิเกียลองมาด้วยเพื่อเสนอให้กัมพูชาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระองค์ แม้ว่าออกญากลาโหม (ปก) และนักองค์จันจะทรงต้อนรับอย่างอบอุ่น แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาใดๆ ไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากคณะทูตจากไป เจ้าชายหนุ่มและที่ปรึกษาของพระองค์ก็รีบเสด็จฯ มายังกรุงเทพฯ เพื่อขอรับพระราชทานคำแนะนำเรื่องนี้กับรัชกาลที่ 1 อย่างไม่ต้องสงสัย

แม้ว่าแหล่งข้อมูลของไทยและกัมพูชาจะไม่ได้ระบุเจาะจงในประเด็นนี้ แต่ดูเหมือนว่ารัชกาลที่ 1 ทรงอนุญาตให้ออกญากลาโหม (ปก) และนักองค์จันส่งบรรณาการมายังเวียดนาม พระองค์ทรงปรารถนาที่จะรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับจักรพรรดิเกียลอง และทรงสันนิษฐานว่าการกระทำของนักองค์จันจะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะของพระองค์เองในราชสำนักกัมพูชา

ออกญากลาโหม (ปก) ถึงแก่กรรมลงระหว่างการเดินทางกลับมาเยือนกรุงเทพฯ ครั้งนี้ และอีกหนึ่งเดือนต่อมา นักองค์จันก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ในกรุงเทพฯ จากรัชกาลที่ 1 ขึ้นเป็นสมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดี

ไม่นานหลังจากที่นักองค์จันในพระราชอิสรายศ “สมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดี” เสด็จกลับอุดง ในช่วงต้นปี 1807 จักรพรรดิเกียลองได้ส่งตราสัญจรทองคำซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับตราสัญจรรูปอูฐที่พระองค์เคยได้รับจากองค์อุปถัมภ์ของพระองค์เอง คือ จักรพรรดิจีนแห่งปักกิ่ง ในขณะนี้ ฝ่ายเวียดนามไม่ได้พยายามติดตามการกระทำนี้ด้วยความพยายามควบคุมทางการเมือง อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระอุไทยราชาฯ ซึ่งในที่สุดพระองค์เองก็ทรงมองเห็นข้อได้เปรียบในระยะสั้นของการให้ผู้อุปถัมภ์คนหนึ่งแข่งขันกับอีกคนหนึ่ง

สองปีต่อมา รัชกาลที่ 1 เสด็จสู่สวรรคาลัย และเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระตะบอง ก็ถึงแก่กรรม ในเวลาไล่เลี่ยกัน หนึ่งในพระราชกรณียกิจแรกๆ ของรัชกาลที่ 1 คือ การแต่งตั้งบุตรของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ขึ้นเป็นเจ้าเมืองพระตะบอง อันเป็นการปิดฉากอิทธิพลทางการเมืองของไทยในภูมิภาคนี้ พระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ 2 สร้างความโกรธเคืองเป็นอย่างมากให้กับสมเด็จพระอุไทยราชาฯ  พระองค์ดูเหมือนจะทรงคิดว่าจังหวัดพระตะบองจะต้องกลับไปเป็นของกัมพูชาหลังจากมรณกรรมของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ โดยมีความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภายหลัง สมเด็จพระอุไทยราชาฯ ไม่ได้เสด็จไปร่วมพระราชพิธีพระบรมศพของรัชกาลที่ 1 ที่กรุงเทพฯ จึงส่งพระอนุชาสามพระองค์ คือ นักองค์สงวน นักองค์อิ่ม และนักองค์ด้วง ไปแทน รัชกาลที่ 2 ทรงตอบโต้คำตำหนินี้ด้วยการเลื่อนยศให้พระอนุชาสองพระองค์โดยไม่ปรึกษาสมเด็จพระอุไทยราชาฯ ช่วงเวลาของพระราชกรณียกิจนี้บ่งชี้ว่ารัชกาลที่ 2 ทรงมีพระประสงค์ที่จะทรงยืนยันพระราชอำนาจของราชวงศ์จักรีเหนือราชสำนักกัมพูชาอีกครั้ง และทรงหวังที่จะได้รับความจงรักภักดีจากพระอนุชาของสมเด็จพระอุไทยราชาฯ  ซึ่งล้วนมีอายุต่ำกว่า 20 ปี ในเดือนพฤษภาคม 1810 รัชกาลที่ 2 ทรงส่งพวกเขากลับไปยังเมืองอุดง โดยมีพระบัญชาให้สมเด็จพระอุไทยราชาฯ  ส่งกำลังพล 5,000 นาย มายังกรุงเทพฯ เพื่อช่วยทำสงครามกับพม่า

จากมุมมองของรัชกาลที่ 2 การกระทำเหล่านี้อยู่ภายใต้พระราชอำนาจที่พระองค์ทรงมี อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระอุไทยราชาฯ เห็นว่าเป็นการดูหมิ่น จึงได้เพิกเฉยต่อคำสั่งให้เกณฑ์ทหาร ครั้นเมื่อเสนาบดีสองคนของพระองค์ระดมพลขึ้นเอง สมเด็จพระอุไทยราชาฯ จึงสั่งให้ประหารชีวิตพวกเขา และมีราชสาส์นส่งไปถึงจักรพรรดิเกียลองว่าในไม่ช้าเขาอาจต้องการความช่วยเหลือทางทหารจากเวียดนาม แหล่งข้อมูลทั้งจากไทยและกัมพูชาเห็นพ้องต้องกันว่า การกระทำเหล่านี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนในความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับสยาม นับแต่นั้นมา ราชสำนักของสมเด็จพระอุไทยราชาฯ ก็แตกออกเป็นสองฝ่าย คือ มีฝ่ายสนับสนุนไทยและฝ่ายต่อต้านไทย นักองค์สงวน พระอนุชาของพระองค์ ซึ่งพระรามาธิปไตยทรงแต่งตั้งให้เป็นอุปราชแห่งกัมพูชาในนาม “สมเด็จพระไชยเชษฐา มหาอุปโยราช” ในปี 1810 ทรงสนับสนุนไทยอย่างเปิดเผย ในช่วงต้นปี 1811 พระองค์ได้เสด็จหนีไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ และถวายสวามิภักดิ์ต่อรัชกาลที่ 2 อย่างเป็นทางการ

สมเด็จพระอุไทยราชาฯ คาการณ์ได้ถูกต้องว่าการหลบหนีของนักองค์สงวนจะนำไปสู่การรุกรานของไทย เพื่อตอบโต้ พระองค์จึงขอความช่วยเหลือจากเวียดนาม และลี้ภัยไปยังเวียดนาม ณ จุดนี้ พระอนุชาคนอื่นๆ ของพระองค์ ทั้งนักองค์อิ่มและนักองค์ด้วง ก็ได้เสด็จย้ายไปอยู่กับฝ่ายไทย

กองกำลังไทยที่เดินทางมาถึงเมืองอุดงในเดือนพฤษภาคม 1811 แต่ว่ามีจำนวนน้อยเกินไปที่จะตั้งฐานทัพหรือเอาชนะเวียดนามที่ยังไม่ได้โจมตี หลังจากเผาเมืองอุดงและพนมเปญแล้ว ฝ่ายไทยจึงถอนทัพออกไปในเดือนมิถุนายน ไม่นานหลังจากนั้น สมเด็จพระอุไทยราชาฯ เดินทางกลับกัมพูชา พร้อมด้วยกองกำลังที่ปรึกษาชาวเวียดนาม ตามคำขอของพวกเขา สมเด็จพระอุไทยราชาฯ ได้ย้ายเมืองหลวงไปยังพนมเปญด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์ ฝ่ายเวียดนามได้รับประโยชน์สูงสุดจากเหตุการณ์ในช่วงปี 1810-1811 นี้ เพราะแม้ว่าฝ่ายไทยจะล้มเหลวในการยึดครองเมืองและตั้งสมเด็จพระไชยเชษฐา หรือนักองค์สงวนขึ้นครองราชย์ แต่สมเด็จพระอุไทยราชาฯ เองกลับเพียงแค่เปลี่ยนสถานะการพึ่งพาอาศัยจากรูปแบบหนึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง และพระอนุชาทั้งสามพระองค์ในกรุงเทพฯ กลายเป็นภัยคุกคามทางการเมืองต่อเขา สมเด็จพระอุไทยราชาฯ ได้กวาดล้างฝ่ายสนับสนุนไทยในราชสำนักของเขาไปชั่วคราว แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการควบคุมทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เวียดนามเริ่มบังคับใช้กับประเทศของเขา ซึ่งเจ็บปวดและมีค่าใช้จ่ายสูง

แหล่งข้อมูลทั้งจากไทยและกัมพูชาไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกัมพูชาตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีภายใต้การปกครองของเวียดนามมากนัก สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ สมเด็จพระอุไทยราชาฯ ยังคงส่งคณะผู้แทนไปยังกรุงเทพฯ และเมืองเว้อย่างต่อเนื่อง ยกเว้นในปี 1820 เมื่อการกบฏต่อต้านเวียดนามปะทุขึ้นตามแนวชายแดนกัมพูชา คณะผู้แทนเดินทางไปกรุงเทพฯ เป็นประจำทุกปีระหว่างปี 1816-1828 ในครั้งแรก สมเด็จพระอุไทยราชาฯ ได้ส่งไหเคลือบไป 200 ใบ แต่สินค้าที่คณะผู้แทนอื่นๆ ส่งมานั้น ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด

แม้ว่าจะดูผิดปกติที่สมเด็จพระอุไทยราชาฯ ผู้ซึ่งเคยต่อต้านรัชกาลที่ 2 อย่างเปิดเผย ยังคงส่งบรรณาการแด่พระองค์ รวมถึงส่งต่อในรัชกาลที่ 3 อีกต่อไป แต่ภารกิจเหล่านี้ก็บรรลุวัตถุประสงค์หลายประการของกัมพูชา ภารกิจเหล่านี้ช่วยป้องกันการแทรกแซงทางทหารของไทย ให้ข้อมูลข่าวสารทางการเมืองและการทหารที่เป็นประโยชน์ และอาจทำให้สมเด็จพระอุไทยราชาฯ สามารถรักษาความสัมพันธ์กับพี่น้องของเขาได้ ในปี 1829 ดูเหมือนว่าภารกิจที่คล้ายคลึงกันนี้ได้เป็นช่องทางในการขอความช่วยเหลือจากฝ่ายไทย ประโยชน์อีกประการหนึ่งของภารกิจเหล่านี้ คือ สินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผ้าไหมปัก ซึ่งฝ่ายไทยได้มอบให้กับเอกอัครราชทูต การที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนละคนนำภารกิจนี้ในแต่ละปี บ่งชี้ว่าสมเด็จพระอุไทยราชาฯ ใช้สถานทูตเพื่อตอบแทนมิตรสหายของเขา อย่างไรก็ตาม ไม่มีเหตุผลที่จะสันนิษฐานว่าภารกิจเหล่านี้ ซึ่งชาวเวียดนามรู้จักดี จะเป็นการเปลี่ยนใจ ดังที่สมเด็จพระอุไทยราชาฯ ได้แสดงให้เห็นในปี 1833-1834 อคติต่อต้านไทยของพระองค์ยังคงอยู่

ในมุมมองของไทย ภารกิจดังกล่าวเป็นช่องทางที่ดีในการได้มาซึ่งสินค้าต่างๆ เช่น เครื่องเขิน และกระวาน การรับข้อมูลเกี่ยวกับชาวกัมพูชาและชาวเวียดนาม และการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ชาวกัมพูชา ซึ่งในบางกรณีอาจเบี่ยงเบนความภักดีที่มีต่อสมเด็จพระอุไทยราชาฯ ได้

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งสืบราชสันตติวงศ์ต่อจากพระราชบิดาในปี 1824 ทรงปรารถนาที่จะแก้แค้นการเข้าร่วมกบฏของเวียดนามในลาวระหว่างปี 1826-1827 ในปี 1833 พระองค์ทรงเห็นโอกาส เมื่อเกิดการกบฏต่อจักรพรรดิเหงียนองค์ที่ 2 คือ จักรพรรดิมิญหมัง ในเวียดนามตอนใต้ รัชกาลที่ 3 ทรงตัดสินพระทัยที่จะโจมตีกองทหารเวียดนามที่ลดจำนวนลงในกัมพูชา สถาปนาสมเด็จศรีไชยเชฐ พระมหาอุปราช หรือ นักองค์อิ่ม ขึ้นครองราชย์ที่นั่น (เพราะสมเด็จพระไชยเชษฐา หรือ นักองค์สงวน สิ้นพระชนม์ที่กรุงเทพฯ ในปี 1823) และเดินหน้าเข้าสู่เวียดนามตอนใต้เพื่อช่วยเหลือกบฏต่อต้านชาวเว้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เหล่านี้ พระองค์ทรงเลือกผู้บัญชาการที่มีประสบการณ์ คือ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา เป็นหัวหน้ากองกำลังสำรวจ

การแผ่อำนาจของไทยนั้นกินเวลาสั้นๆ และไม่ประสบผลสำเร็จ แม้ว่าในช่วงแรกการป้องกันของกัมพูชาเองจะล้มเหลวก็ตาม ฝ่ายไทยได้รบหลายครั้งในเวียดนามในช่วงต้นปี 1834 แต่กองทัพเรือของฝ่ายไทยกลับทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง และในเดือนมีนาคม 1834 กองทัพของพวกเขาก็ถอยทัพอย่างเต็มกำลัง ถอยร่นผ่านกัมพูชา เผากรุงพนมเปญ และทำลายล้างชนบทไปพร้อมๆ กัน ระหว่างทาง กองทหารไทยถูกกลุ่มกองโจรกัมพูชารังควานและซุ่มโจมตีตามคำสั่งของผู้นำประจำจังหวัดและจากสมเด็จพระอุไทยราชาฯ

การทรยศของกัมพูชาอย่างบาดลึกคราวนั้น ทำให้เจ้าพระยาบดินทร์เดชาประหลาดใจ เพราะเขาเพิ่งตระหนักได้ว่า นักองค์อิ่ม และนักองค์ด้วง สองพี่น้องที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 20 ปี แทบไม่รู้จักกัมพูชาและได้รับการสนับสนุนจากกัมพูชาเลย ทั้งหมดเพื่อเตรียมการให้นักองค์อิ่มมีความพร้อมสำหรับการขึ้นครองราชบัลลังก์ เจ้าพระยาบดินทร์เดชาจึงมอบหมายหน้าที่บางอย่างให้กับนักองค์อิ่มในเมืองพระตะบอง ซึ่งเป็นสถานที่ที่เจ้าเมืองที่ไทยแต่งตั้งเพิ่งเสียชีวิตไป นักองค์ด้วงได้รับมอบจังหวัดเล็กๆ ที่เคยเป็นของกัมพูชามาก่อน โดยเจ้าชายเขมรทั้งสองเข้ารับตำแหน่งในปี 1834

เช่นเดียวกับในปี 1811 ผู้ที่ได้รับประโยชน์มาก คือ ชาวเวียดนาม เมื่อสมเด็จพระอุไทยราชาฯ สวรรคตในต้นปี 1835 พวกเขาจึงได้สถาปนาพระราชธิดาองค์โต พระองค์เม็ญ (ซึ่งพระองค์ไม่มีพระโอรส) ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีเป็นการชั่วคราว พระองค์เม็ญ เป็นเด็กสาวผู้สับสนผู้นี้ วัยเพียงสิบเก้าปี ใช้ชีวิตใน "รัชสมัย" ยาวนานถึง 12 ปี ภายใต้การกักบริเวณในบ้านหลายรูปแบบ และแทบไม่มีอิทธิพลต่อเหตุการณ์ใดๆ อำนาจการบริหารในเมืองหลวงตกไปอยู่ในมือของข้าราชการชาวเวียดนาม ที่ถูกส่งมาจากไซ่ง่อน เพื่อบริหารกัมพูชาในฐานะดินแดนที่เวียดนามครอบครอง ภารกิจส่งบรรณาการมายังสยามดูเหมือนจะหยุดลง อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าราชการจังหวัดยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ และในขณะนั้นไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านใดๆ อย่างมีนัยสำคัญ

ปลายปี  1839 ชาวเวียดนามล่อลวงสมเด็จศรีไชยเชฐ(นักองค์อิ่ม) จากพระตะบองมายังพนมเปญ โดยสัญญาว่าจะมอบเงินทอนให้ อย่างไรก็ตาม เมื่อไปถึงที่นั่น ชาวเวียดนามจึงจับพระองค์ใส่กรงขังและส่งไปยังเมืองเว้ ด้วยความกลัวว่าสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี (นักองค์ด้วง) จะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย ชาวไทยจึงจับกุมและคุมขังไว้ที่กรุงเทพฯ ในเวลานี้ เมืองพระตะบองก็กลับคืนสู่การปกครองของไทย

โดยการจำคุกสมเด็จศรีไชยเชฐและพระองค์เม็ญ ชาวเวียดนามสันนิษฐานว่าพวกเขาได้เพิ่มอิทธิพลเหนือกัมพูชาโดยการดับสูญแหล่งพลังทางการเมืองของกัมพูชา อันที่จริง อำนาจทางการเมืองที่มีอยู่ในกัมพูชา นั่นคือ ความสามารถในการระดมการสนับสนุน ดูเหมือนว่าในเวลานี้ส่วนใหญ่อยู่ในมือของผู้ว่าราชการจังหวัดที่แทบจะเป็นอิสระและผู้ช่วยของพวกเขา มีผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ช่วยเหล่านี้ประมาณ 500 คน กระจายอยู่ทั่ว 34 จังหวัดของกัมพูชา แต่ละคนมีอำนาจควบคุมผู้คนตั้งแต่ 20-100 คน กษัตริย์กัมพูชาทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์แก่พวกเขา และพวกเขาก็รับใช้ตามพระทัยของพระองค์ โดยไม่มีกำหนดเวลาดำรงตำแหน่ง ในทางกลับกัน บรรดาศักดิ์เหล่านี้ทำให้พวกเขามีอำนาจควบคุมประชาชนและสินค้าในเขตปกครองของตนในแต่ละวันได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน เพราะนอกจากความพยายามที่ล้มเหลวของชาวเวียดนามในการสถาปนากรรมสิทธิ์ที่ดินและภาษีที่ดิน ซึ่งในกัมพูชานั้น เรื่องเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินก็ไม่มีให้เห็นจนกระทั่งถึงช่วงทศวรรษ 1850 ในทางทฤษฎี ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นข้าราชบริพารของกษัตริย์ ซึ่งพระองค์คาดหวังให้พวกเขาจัดหาทหาร อาหาร และสินค้าฟุ่มเฟือย มาบรรณาการให้แก่พระองค์ เพื่อแลกกับบรรดาศักดิ์และการคุ้มครอง อย่างไรก็ตาม ภายใต้ระบอบกษัตริย์ที่อ่อนแอ ผู้นำของแต่ละจังหวัดไม่ตอบสนองต่อราชบัลลังก์ เมื่อพวกเขาได้รับตราประทับแห่งตำแหน่งแล้ว ในหลายกรณี พวกเขาแทบไม่แตกต่างจากโจร และบรรดาศักดิ์ของพวกเขามักถูกส่งต่อจากพ่อสู่ลูกในลักษณะที่ชาวเวียดนามมองว่าเป็น "ชนพื้นเมืองที่ป่าเถื่อน"

ตลอดช่วงหลายปีที่เวียดนามปกครอง ผู้นำระดับจังหวัดของกัมพูชายังคงนิ่งเฉยตราบเท่าที่อำนาจของตนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และตราบเท่าที่พระมหากษัตริย์ ที่แม้จะดูอ่อนแออย่างเช่นพระองค์เม็ญ ยังคงอยู่ในเมืองหลวงและมีอำนาจในการพระราชทานบรรดาศักดิ์และยศต่างๆ ผู้นำในภูมิภาคกระจัดกระจาย มีอาวุธไม่เพียงพอ และเป็นอิสระจากกัน การติดต่อสื่อสารระหว่างจังหวัดต่างๆ ยังไม่มีประสิทธิภาพ และกลไกทางสังคมสำหรับการประสานงานใดๆ เช่น การก่อกบฏ ยังไม่ได้รับการพัฒนา แม้ว่าผู้นำจะต้องการความช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อโค่นล้มอำนาจของเวียดนาม แต่ผู้นำหลายคนก็ไม่รีบร้อนที่จะขอความช่วยเหลือ โดยนึกถึงความเสียหายระหว่างการถอยทัพของไทยในปี 1834 เป็นบทเรียนที่ต้องจดจำ

ตลอดช่วงทศวรรษ 1830 ผู้นำในชนบทไม่ได้ถูกรบกวนอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางปี 1840 เวียดนามได้โจมตีพวกเขาโดยตรง ส่งผลให้สมดุลของกำลังที่ทำให้พวกเขาหรือใครก็ตามสามารถปกครองกัมพูชาได้ พังทลายลง โดยปฏิบัติตามคำสั่งของจักรพรรดิมิญหมัง เวียดนามจึงได้แบ่งราชอาณาจักรออกเป็น 3 เขตการปกครอง ยกเลิกจังหวัดต่างๆ โดยสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดส่งมอบตราประทับประจำตำแหน่ง ทุกคนได้รับคำสั่งให้สวมชุดเวียดนาม เวียดนามยังขับไล่พระองค์เม็ญและพระขนิษฐาออกจากพนมเปญอีกด้วย

หลังจากการยั่วยุของเวียดนามมาหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสถาบันทางพุทธศาสนา การกระทำเหล่านี้สร้างความเดือดดาลให้กับผู้นำจังหวัดในกัมพูชา ในเดือนกันยายนและตุลาคม 1840 พวกเขาได้นำราชอาณาจักรส่วนใหญ่ ยกเว้นบริเวณโดยรอบพนมเปญ เข้าสู่การก่อกบฏ สังหารหมู่ทหารเวียดนามที่ประจำการอย่างโดดเดี่ยว ในยามที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ ผู้นำกบฏบางคนได้ประดิษฐ์บรรดาศักดิ์และตราประทับประจำตำแหน่งของตนเองให้สูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น

ในเดือนพฤศจิกายน 1840 ผู้นำสองคนเดินทางไปกรุงเทพฯ และขอความช่วยเหลือทางทหารจากรัชกาลที่ 3 พวกเขายังขอให้เขาอนุญาตให้สมเด็จพระหริรักษ์ รามมหาอิศราธิบดี (นักองค์ด้วง) กลับไปกัมพูชาในฐานะกษัตริย์ รัชกาลที่ 3 ทรงยินยอมปล่อยตัวเจ้าชายพระองค์นั้นกลับสู่ดินแดนเขมร และทรงมอบจดหมายโดยละเอียดซึ่งเต็มไปด้วยคำแนะนำทางการเมืองและการทหารซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ ในจดหมายนั้น รัชกาลที่ 3 ทรงโต้แย้งว่าเหตุผลสำคัญประการหนึ่งในการแทรกแซงในกัมพูชา คือ เพื่อป้องกันการสูญหายของพระพุทธศาสนาที่นั่น

เจ้าพระยาบดินทร์ได้รับมอบหมายให้กลับมาดูแลกองกำลังทหารของไทยอีกครั้ง หลังจากยึดป้อมโพธิสัตว์ของเวียดนามได้ และทดสอบความภักดีอันลึกซึ้งที่ผู้นำจังหวัดมีต่อสมเด็จพระหริรักษ์ฯ เจ้าชายจึงได้รับอนุญาตให้เสด็จกลับไปยังเมืองหลวงที่ถูกทิ้งร้างที่เมืองอุดง ซึ่งพระองค์ได้สร้างพระราชวังไม้และเริ่มแต่งตั้งข้าราชการประจำตำแหน่งต่างๆ ด้วยความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์เหล่านี้ และภายใต้คำสั่งของจักรพรรดิองค์ใหม่แห่งเวียดนาม คือ จักรพรรดิเถี่ยวจิ ให้ตั้งถิ่นฐานอย่างสันติในกัมพูชา ชาวเวียดนามจึงส่งพระองค์เม็ญภายใต้การคุ้มกันกลับไปยังพนมเปญ ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำการสถาปนาพระราชินี ซึ่งเป็นการกระทำที่พวกเขาล้มเหลวในปี 1835 จากนั้นชาวเวียดนามจึงพยายามสงบสติอารมณ์ประชาชนโดยส่งจดหมายจากพระองค์เม็ญเพื่อแจ้งให้ทราบถึงมิตรภาพอันเปี่ยมด้วยความเมตตาของจักรพรรดิเถี่ยวจิที่มีต่อกัมพูชา ชาวเวียดนามแอบกระซิบว่าสันติภาพอาจเกิดขึ้นได้หากสมเด็จพระหริรักษ์ฯ อภิเษกสมรสกับพระราชินี ซึ่งเป็นหลานสาวของพระองค์ เมื่อกลยุทธ์เหล่านี้ล้มเหลว ชาวเวียดนามจึงเขียนจดหมายทำนองเดียวกันนี้ถึงสมเด็จศรีไชยเชฐ ซึ่งพวกเขาได้นำตัวมาในฐานะ "นายกรัฐมนตรี" ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้อความทั้งหมดนี้ไม่ได้ผล ส่วนใหญ่เป็นเพราะสัญญากับฝ่ายกบฏว่าจะไม่ให้อำนาจหรือการให้อภัย ในเดือนพฤศจิกายน 1841 ฝ่ายเวียดนามถอนทัพออกจากพนมเปญ พร้อมกับพาพระราชโอรสไปด้วย สมเด็จศรีไชยเชฐฯ เสียชีวิตในเวลาต่อมา และผู้บัญชาการเวียดนามก็ฆ่าตัวตาย ตามคำสั่งของจักรพรรดิเถี่ยวจิ

ในทางทฤษฎี สมเด็จศรีไชยเชฐฯ และเจ้าพระยาบดินทรเดชาได้บรรลุภารกิจแล้ว เพราะเมืองหลวงอยู่ในมือของพวกเขา พื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ปลอดจากชาวเวียดนาม และผู้นำฝ่ายกบฏได้รวมพลกันอย่างเป็นทางการเพื่อช่วยเหลือพวกเขาเป็นจำนวนมาก ในทางทฤษฎี สมเด็จศรีไชยเชฐฯ สามารถขึ้นครองราชย์ได้ และเจ้าพระยาบดินทรเดชาสามารถนำกองทัพไทยกลับบ้านได้

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง มีอุปสรรคหลายประการขัดขวางพวกเขา ในทางการทูต ฝ่ายเวียดนามยังไม่ได้เรียกร้องสันติภาพ ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่กัมพูชาเองหรือจากเมืองเว้ ในทางการเมือง เครื่องราชกกุธภัณฑ์ของกัมพูชา อันได้แก่ ดาบ สังข์ และสัญลักษณ์พราหมณ์อื่นๆ ของระบอบกษัตริย์ที่ครองราชย์ ยังคงอยู่ในมือของเวียดนาม ชนบทรกร้างว่างเปล่าหลังจากการสู้รบอย่างหนักหน่วงเป็นเวลา 2 ปี และผู้นำท้องถิ่นดูเหมือนจะไม่สนับสนุนสมเด็จศรีไชยเชฐฯ อย่างจริงจังเท่ากับการขับไล่ หรือบางทีอาจเพียงแค่สังหารชาวเวียดนาม ในทางทหาร ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเวียดนามไม่มีกำลังพลเพียงพอที่จะได้รับชัยชนะอย่างชัดเจน แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีเดิมพันสูงเกินกว่าจะเรียกร้องสันติภาพได้ การสงบศึกอย่างไม่สงบกินเวลาเกือบตลอดปี 1843 และ 1844 โดยกองกำลังไทย-กัมพูชาควบคุมพื้นที่ชนบท ขณะที่ฝ่ายเวียดนามยึดป้อมปราการที่ตั้งตระหง่านและควบคุมลำน้ำที่เดินเรือได้

ในปี 1845 ขณะที่ทั้งสองฝ่ายเริ่มได้รับกำลังเสริม ฝ่ายเวียดนามได้ดำเนินการผ่านเจ้าหน้าที่กัมพูชาที่ต่อต้านไทย เพื่อยึดกรุงพนมเปญคืนโดยไม่ถูกยิงแม้แต่นัดเดียว ฝ่ายเวียดนามได้นำตัวพระองค์เม็ญกลับมายังกรุงพนมเปญอีกครั้ง โดยพยายามเอาชนะสมเด็จศรีไชยเชฐฯ และผู้นำท้องถิ่น แต่ก็ไม่เป็นผล ในปี 1845 สมเด็จศรีไชยเชฐฯ ได้กลับมาส่งส่วยให้กรุงเทพฯ อย่างเป็นทางการอีกครั้ง

ในปีต่อมา กำลังเสริมของไทยก็มาถึง และฝ่ายเวียดนามก็เริ่มเจรจาสันติภาพ เหตุผลหนึ่งที่พวกเขาทำเช่นนั้นคือการปลดปล่อยทหารเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อสู้กับฝรั่งเศส ซึ่งเรือของฝ่ายเวียดนามเพิ่งยิงถล่มชายฝั่งตอนกลางของเวียดนาม แม้ว่าฝ่ายเวียดนามจะประกาศว่าต้องการกลับสู่ระบบการควบคุมแบบสองฝ่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขากำลังสละอิทธิพลเหนือกัมพูชา และพวกเขาก็รู้ดีอยู่แล้ว ถึงกระนั้น สมเด็จศรีไชยเชฐฯ ก็ได้ส่งคณะผู้แทนไปยังเว้ในปี 1847 เมื่อคณะผู้แทนกลับมาหกเดือนต่อมา ฝ่ายเวียดนามก็ปล่อยตัวพระองค์เม็ญ สละเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และถอนกำลังทหารออกไป ในวันที่ 4 ของสัปดาห์ วันขึ้น 4 ค่ำเดือน 4 ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม 1848 สมเด็จศรีไชยเชฐฯ ได้ถวายความเคารพพระอิสริยยศที่ส่งมาจากกรุงเทพฯ ซึ่งจารึกไว้บนแผ่นทองคำ หลังจากนั้นไม่นาน พระองค์ก็ทรงได้รับการสวมมงกุฎ ขณะมีพระชนมายุ 53 พรรษา แม้ว่ากองทัพของเจ้าพระยาบดินทรเดชาจะเดินทางกลับสยามในไม่ช้า แต่ที่ปรึกษาทางการเมืองของไทยยังคงอยู่ ในขณะนั้น ฝ่ายไทยยังได้ขยายอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองเหนือจังหวัดโพธิสัตว์ของกัมพูชาอีกด้วย ด้วยที่ปรึกษาของไทยที่เมืองอุดง ฝ่ายเวียดนามก็ยึดครองพื้นที่อื่น และอีกจังหวัดหนึ่งของกัมพูชาอยู่ในมือของพวกเขาอย่างเต็มกำลัง ฝ่ายไทยจึงอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งกว่าที่เคยมีมาเป็นเวลาห้าสิบปี

ในบางประการ ตำแหน่งของสมเด็จพระหริรักษ์ฯ ในปี 1848 นั้นคล้ายคลึงกับตำแหน่งของสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี ในปี 1794 อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างอยู่บ้าง ดวงมีอายุมากกว่าพระราชบิดาถึง 30 ปีในสมัยที่ทรงขึ้นครองราชย์ ต่างจากสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี พระองค์เป็นผู้บริหารที่มีประสบการณ์ และมีอิสระในการตัดสินใจในแต่ละวันมากกว่า บุตรชายคนโตทั้งสามของเขา ซึ่งรวมถึงกษัตริย์กัมพูชาอีกสองพระองค์ ล้วนตกเป็นตัวประกันของราชสำนักสยาม

ความสำเร็จในการบริหารของสมเด็จพระหริรักษ์ฯ ในช่วงไม่กี่ปีต่อมา ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่เขามีอำนาจควบคุมจังหวัดต่างๆ ได้มากกว่าทั้งสมเด็จพระอุไทยราชาฯ (นักองค์จัน) และพระองค์เม็ญ ด้วยความภักดีอย่างไม่มีข้อกังขาต่อรัชกาลที่ 3 ฝ่ายไทยจึงสนับสนุนให้สมเด็จพระหริรักษ์ฯ ไปประจำการในจังหวัดต่างๆ ด้วยบุคคลที่เคยภักดีต่อพระองค์และต่อไทยในช่วงต้นทศวรรษ 1840 ด้วยการเริ่มต้นใหม่ สมเด็จพระหริรักษ์ฯ ได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างเมืองหลวงและชนบทที่พังทลายลงในช่วงทศวรรษ 1830 หรืออาจจะก่อนหน้านั้นเสียด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม สันติภาพที่กัมพูชาได้รับในขณะนี้ ไม่ได้เกิดจากการฟื้นตัวของไทยหรือความสามารถของสมเด็จพระหริรักษ์ฯ หากแต่ว่าเกิดจากการที่เวียดนามไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้ชั่วคราว ประวัติศาสตร์กัมพูชาทั้งหมด อย่างน้อยก็ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ล้วนถูกแต่งแต้มด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าเมืองอุดงและพนมเปญเข้าถึงไซ่ง่อนได้ง่ายกว่ากรุงเทพฯ ซึ่งแตกต่างจากเจ้านาย อย่างสมเด็จพระหริรักษ์ฯ ที่มีความรู้สึกขอบคุณเป็นการส่วนตัวที่ไทยปกป้อง พระองค์ยังคงทรงถูกบีบให้รักษาความเป็นมิตรกับเวียดนาม อย่างน้อยก็ด้วยเหตุผลทางทหาร

ตลอดช่วงต้นยุคกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ ผู้นำจังหวัดของกัมพูชามีอำนาจและทรัพยากรมากกว่ากษัตริย์ที่พวกเขาเคยเชื่อฟังเป็นครั้งคราว ดูเหมือนว่าหน้าที่หลักในบ้านของพระมหากษัตริย์ คือ การพระราชทานบรรดาศักดิ์และยศศักดิ์ และประกอบพิธีทางศาสนา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์และนิยามความเป็นเอกภาพของราชอาณาจักร ในระดับนานาชาติ กษัตริย์สามารถขอให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงได้ แต่ความจริงที่ว่าผู้นำจังหวัดควบคุมชนบทเป็นตัวกำหนดว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผู้รุกราน การรุกรานของไทยในปี 1833-1834 และการปฏิรูปของเวียดนามในปี 1840 ทำให้บุคคลเหล่านี้แตกแยก ซึ่งเพื่อปกป้องตนเอง พวกเขาได้ทรยศต่ออำนาจจักรวรรดินิยมหนึ่งก่อน แล้วจึงเดินหน้าไปทรยศอีกอำนาจหนึ่ง ความสำเร็จของไทย และความล้มเหลวของชาวเวียดนาม ในการระดมพลและสั่งการให้ประชาชนสนับสนุนในกัมพูชา สามารถสืบย้อนไปได้ถึงปัจจัยทางวัฒนธรรมบางส่วน และบางส่วนมาจากแนวโน้มของไทยที่มักจะทำงานผ่านผู้นำจังหวัดที่ชาวเวียดนามรังแกหรือเพิกเฉย ชาวไทยเข้าใจถึงวิธีการสร้างสังคมกัมพูชา ในขณะที่ชาวเวียดนามดูถูกสถาบันต่างๆ ของกัมพูชา

ในปี 1794, 1806 และ 1848 ไทยได้สถาปนาเจ้าชายกัมพูชาขึ้นครองราชย์ ทั้งสามพระองค์ต่างอยู่ภายใต้การปกครองอย่างใกล้ชิดของไทยมาเกือบตลอดชีวิต กระนั้น ในปี 1812, 1833 และ 1841 ไทยจำเป็นต้องรุกรานกัมพูชาเพื่อยืนยันอำนาจที่มีอยู่โดยธรรมชาติของตนอีกครั้ง เพื่อให้ประสบความสำเร็จ พิธีราชาภิเษกและการรุกรานเหล่านี้ จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของไทย การสนับสนุนจากกัมพูชาที่มากขึ้น และการต่อต้านจากเวียดนามที่น้อยลงกว่าที่ได้รับ ห้วงเวลาดังกล่าวนี้ ไทยไม่เคยสามารถบังคับใช้เจตจำนงของตนต่อกัมพูชาได้นานเกินกว่า 2-3 ปี ในแต่ละครั้ง

ทั้งนี้เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา เช่นเดียวกับองค์ประกอบอื่นๆ ของประวัติศาสตร์กัมพูชาในช่วงเวลานี้ และนับตั้งแต่นั้นมา ได้รับการหล่อหลอมเป็นส่วนใหญ่จากการกระทำของจักรวรรดิเวียดนามและรัฐที่สืบทอด ซึ่งไทยแทบไม่ได้ให้การคุ้มครองที่สำคัญแก่กัมพูชาด้วยเหตุผลทางภูมิศาสตร์และการเมือง ผู้ปกครองกัมพูชาจำเป็นต้องทำข้อตกลงกับเวียดนามมาโดยตลอด แม้เพียงเพื่อความปลอดภัยของตนเองก็ตาม ซึ่งถือเป็นการทรยศต่อความสัมพันธ์อันยาวนานและลึกซึ้งระหว่างกัมพูชากับไทย แม้ในปัจจุบันจะมีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่ความอ่อนแอทางประชากรศาสตร์และความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากตะวันออกของกัมพูชา ก็ยังคงใกล้เคียงกับช่วงต้นศตวรรษที่ 19 แม้ว่ากลไกทางการทูตจะเปลี่ยนไป และแม้ว่าฝรั่งเศสและประเทศอื่นๆ จะเข้ามาแทนที่ราชสำนักสยามและเวียดนามในฐานะผู้อุปถัมภ์ของกัมพูชา

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2568

เมฆกระจาย

 cloudbursts


เฮเลน เรแกน และโซเฟีย ไซไฟ ผู้สื่อข่าวของซีเอ็นเอ็น รายงานข่าวการเกิด cloudburst ในพื้นที่สูงของแคว้นแคชเมียร์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2025 ที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดฝนตกหนักแบบถล่มทะลาย เกินกว่า 100 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 321 ราย จากน้ำท่วมและโคลนถล่ม


ปรากฏการณ์ cloudburst คืออะไร น่าสนใจ แม้ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดเฉพาะพื้นที่สูง แต่ผู้สนใจทั้งหลายก็ควรที่จะได้เรียนรู้ ด้วยเหตุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ climate change มีบทบาทอย่างมากต่อการทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่อันตรายมากๆ นี้


มาดูกัน


เฮเลนและโซเฟีย เล่าว่า เกิดฝนตกหนักอย่างกะทันหันและรุนแรงทำให้เกิดความเสียหายทั่วทั้งพื้นที่ภูเขาของเอเชียใต้ ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน โคลนถล่ม และดินถล่มขนาดใหญ่ที่พัดพาพื้นที่ใกล้เคียงทั้งหมด และเปลี่ยนชุมชนที่มีชีวิตชีวาให้กลายเป็นกองโคลนและเศษหิน


ทางตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน น้ำท่วมรุนแรงได้พัดถล่มหมู่บ้านต่างๆ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 321 ราย ภายในเวลาเพียงแค่ 48 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายงานเมื่อวันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2025 ที่ผ่านมา


หมู่บ้านมากกว่า 10 แห่ง ในภูมิภาคบูเนอร์ ของจังหวัดไคเบอร์ปัคตูนควา เสียหายหนักจากน้ำท่วมฉับพลัน และเชื่อว่ายังมีผู้คนหลายสิบคนยังคงติดอยู่ใต้โคลนหนาทึบและเศษซากต่างๆ


ในรัฐแคชเมียร์ที่ปกครองโดยอินเดีย มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 60 ราย และสูญหายอีกกว่า 200 ราย เมื่อคลื่นจากโคลนและน้ำทะลักผ่านเมืองชาโชตีในเทือกเขาหิมาลัยเมื่อวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2025 ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา น้ำท่วมอีกระลอกหนึ่งพัดผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัฐอุตตราขัณ ฑ์ภูเขาของอินเดีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 คน


เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในทั้งสองประเทศกล่าวว่าน้ำท่วมและดินถล่มร้ายแรงส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากฝนตกหนักฉับพลันและรุนแรงที่เรียกว่า เมฆกระจาย - cloudburst 


นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าฝนที่ตกหนักขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเมฆกระจายหรือฝนตกหนักเป็นเวลานานๆ คาดว่าจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้นในภูมิภาคที่เปราะบางทางนิเวศวิทยานี้ ในขณะที่วิกฤตสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้น


cloudburst คืออะไร


cloudburst หรือตรงนี้จะเรียกว่า เมฆกระจาย เป็นฝนที่ตกลงมาอย่างฉับพลันและมีเฉพาะพื้นที่สูง ซึ่งสามารถทำลายล้างได้ด้วยปริมาณน้ำที่ปล่อยออกมาในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งมักจะก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มที่เป็นอันตราย


เกิดขึ้นในพื้นที่ภูเขาโดยเฉพาะในช่วงฤดูมรสุมซึ่งมีความชื้นในอากาศมาก พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมและฝนทำลายล้างในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อยู่ที่เชิงเขาของเทือกเขาขนาดยักษ์ของเอเชียใต้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของยอดเขาและธารน้ำแข็งที่สูงที่สุดในโลก


อากาศมรสุมกระทบภูเขาเหล่านั้น และเย็นลงอย่างรวดเร็วเมื่อมันลอยขึ้นและควบแน่นเป็นเมฆหนาทึบที่สามารถปล่อยกระแสน้ำออกมาได้


กรมอุตุนิยมวิทยาอินเดีย ให้คำจำกัดความของ เมฆกระจาย ว่ามีอัตราฝนตกมากกว่า 100 มิลลิเมตร (4 นิ้ว) ต่อชั่วโมง


“เทือกเขาหิมาลัย คาราโครัม และฮินดูกูช มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ เนื่องจากมีทางลาดชัน ธรณีวิทยาที่เปราะบาง และหุบเขาแคบๆ ที่ทำให้พายุไหลบ่าไปสู่กระแสน้ำที่ทำลายล้าง” ร็อกซี แมทธิว โคล นักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศจากสถาบันอุตุนิยมวิทยาเขตร้อนแห่งอินเดีย กล่าวกับเฮเลนและโซเฟียของซีเอ็นเอ็น


ชาวบ้านในเมืองซาลาร์ไซของปากีสถานที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก บรรยายถึงกระแสโคลนและก้อนหินขนาดใหญ่ที่ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว


เหตุใดอำนาจทำลายล้างจึงสูงเช่นนี้


การเกิดฝนตกหนักแบบสุดขั้วและเฉพาะจุดเหล่านี้เป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ได้


“นี่เป็นภูมิภาคที่มีข้อมูลกระจัดกระจาย ไม่ว่าเราจะศึกษาการระเบิดของคลาวด์หรือการระเบิดของธารน้ำแข็ง ทำให้ยากต่อการทำความเข้าใจ ติดตาม และคาดการณ์เหตุการณ์เหล่านี้” โกลล์กล่าว และเสริมอีกว่า “พายุยังเล็กและเร็วเกินไปสำหรับการคาดการณ์ที่แม่นยำ”


นอกจากนี้ ระดับความยากจนที่สูงของภูมิภาค การขาดโครงสร้างพื้นฐาน และการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน ยังเป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่มีอยู่แก่ชุมชนที่อาศัยอยู่ที่นั่น


“ช่องว่างที่ใหญ่กว่าไม่ใช่ช่องว่างทางเทคโนโลยี แต่เป็นช่องว่างในการสื่อสาร” อาลี ตูเกียร์ ชีคห์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศในกรุงอิสลามาบัดกล่าว “ธรรมาภิบาลที่อ่อนแอลงและการขาดระบบเตือนภัยล่วงหน้า” ในภูมิภาคเหล่านี้ส่งผลให้ปัญหาเพิ่มมากขึ้น เขากล่าวเสริม


เมื่อรวมกับการตัดไม้ทำลายป่าอย่างแพร่หลายและการพัฒนาโดยไม่ได้วางแผนไว้ นับเป็นการรวมกันที่อันตรายถึงชีวิต “เนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่าอย่างหนัก ฝนตกหนักและเมฆมากจะส่งผลให้เกิดดินถล่ม โคลนถล่ม พวกมันจะนำก้อนหินและไม้ติดตัวไปด้วย” ชีคห์กล่าว


มักมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เนื่องจาก “ผู้คนจำนวนมากอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำ และเวลาในการเตรียมพร้อมมีจำกัดอย่างยิ่ง” เขากล่าว


วิกฤตสภาพภูมิอากาศทำให้ฝนตกหนักรุนแรงขึ้นอย่างไร?


เมฆกระจายในภูมิภาคนี้เกิดขึ้นโดยมีความรุนแรงและความถี่มากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุมาจากอุณหภูมิโลกที่ทำลายสถิติโลก


อากาศที่อุ่นกว่าจะดูดซับน้ำเหมือนฟองน้ำ และความชื้นที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดนี้อาจทำให้เกิดฝนตกหนักและฝนตกหนักอย่างกะทันหัน เช่น เมฆกระจาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออากาศนั้นบรรจบกับภูเขา


“มหาสมุทรที่อุ่นขึ้นทำให้มรสุมมีความชื้นเพิ่มมากขึ้น และบรรยากาศที่อุ่นขึ้นก็กักเก็บน้ำได้มากขึ้น ทำให้เกิดฝนตกหนักขึ้นเมื่ออากาศชื้นถูกบังคับให้ขึ้นไปบนเนินเขาสูงชัน” โกลล์จากสถาบันอุตุนิยมวิทยาเขตร้อนแห่งอินเดียกล่าว


ในช่วงฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ฝนตกทุกปีทั่วทั้งอินเดีย ปากีสถาน และบังคลาเทศ โดยได้รับแรงลมจากมหาสมุทรอินเดียและทะเลอาหรับ ซึ่งร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา


“ในแต่ละระดับที่สูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ย จะมีความชื้นในอากาศเพิ่มขึ้น 7%” ชีคกล่าว


“หากมีคลื่นความร้อนรุนแรงขึ้นในอนุทวีปเอเชียใต้ ในอินเดีย หรือในปากีสถาน เราก็สรุปได้ว่าฝนจะตกหนักกว่านี้”