หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน

 ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน - digital nomad

พัฒนา ราชวงศ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 






(Credit: Getty Images) 


ไม่ว่าจะมองในแง่บวกหรือแง่ลบ กระแสการเป็นของชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนยังคงดำเนินต่อไป ด้วยระบบการให้วีซ่าแบบใหม่และจัดองค์กรใหม่ๆ ที่เอื้อให้กับประชากรกลุ่มนี้ ที่ขณะนี้ได้ปรากฏขึ้นทั่วทุกมุมโลก


คำว่า "digital normad - ผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน" อาจดูหยาบคาย แต่จริงๆ แล้วมีที่มาจากหนังสือชื่อเดียวกันของสึจิโอะ มากิโมโตะ และเดวิด แมนเนอร์ส ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1997 โดยเขาทำสองคนทำนายว่าแรงงานที่เป็นนักเดินทางจากต่างประเทศจะเข้าสู่ระบบในอนาคต ผู้เขียนเสนอว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความตั้งใจของมนุษยชาติในการสำรวจจะช่วยให้มีพนักงานที่ทำงานนอกสถานประกอบการได้มากขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นในรอบมาแล้วในรอบเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา และด้วยการถือกำเนิดของ Wi-Fi และแหล่งข้อมูลออนไลน์ที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับนักเดินทาง เทรนด์ดังกล่าวก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ว่าก็ยังคงมีความขัดแย้งอยู่บ้างเช่นกัน อย่างน้อยที่สุดก็มีการไม่ยอมรับกันในบางจุด


สำหรับหลายๆ คนแล้ว การใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนถือเป็นไลฟ์สไตล์ในฝันขั้นสูงสุด ที่ให้อิสระในการเคลื่อนไหว และการแสดงความสามารถในการสำรวจโลกไปพร้อมๆ กับหาเลี้ยงชีพ ขณะเดียวกัน คนอื่นๆ ก็บอกว่าสิ่งนี้มีส่วนทำให้เกิดพื้นที่และการท่องเที่ยวที่ล้นเกิน ทำให้ราคาข้าวของสูงขึ้น และทำให้เมืองต่างๆ แทบไม่น่าอยู่สำหรับคนในท้องถิ่น ขณะนี้ หลายประเทศแสดงท่าทีตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความปรารถนาที่จะดึงดูดผู้เข้าชมทางมือถือที่สูงขึ้นเหล่านี้ และเริ่มเสนอให้วีซ่ารูปแบบใหม่สำหรับคนทำงานแบบนี้ ในขณะที่องค์กรต่างๆ ก็ลุกขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกแรงงานเร่ร่อนแบบนี้


แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีที่จำเป็นอยู่ แต่ขบวนการของผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนก็ไม่ได้เริ่มขยายตัวมากนักจนกระทั่งช่วงทศวรรษ 2010 ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในหมู่คนหนุ่มสาวที่กำลังมองหาการหลบหลีกหนีออกจากระบบการทำงานในสำนักงานที่เคยมีมาในช่วง 9-5 ทศวรรษที่พวกเขาเห็นว่าปรากฏอยู่ต่อหน้า ’เมื่อเราคิดถึงพ่อแม่ของเรา มันเป็นเรื่องของการได้งานมีงานทำ มีรายได้ 4 แสนล้านเหรียญ แล้วก็ก้าวเดินขึ้นบันไดความก้าวหน้าขององค์กร‘ คำอธิบายของเอวิต้า โรบินสัน เจ้ารางวัลเอมมีของ NOMADNESS Travel Tribe ซึ่งเป็นชุมชนโซเชียลสำหรับนักเดินทางผิวสี ‘เรากำลังระเบิดอุดมการณ์นั้นในหลายๆ ด้านจริงๆ เพราะเราจะไม่รอจนเกษียณ แล้วออกไปท่องเที่ยวและชมโลก‘


แต่ตามที่ลอเรน ราซาวี นักเขียน นักพูด และนักรัฐศาสตร์ กล่าวในหนังสือของเธอ Global Natives: The New Frontiers of Work, Travel, and Innovation ระบุว่าผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนดั้งเดิมจำนวนมาก เป็นคนผิวขาวที่ร่ำรวย ซึ่งทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี หรือเป็นต้นกำเนิดอินฟลูเอนเซอร์ด้านการท่องเที่ยวยุคปัจจุบันประเภทหนึ่ง คนพวกนี้ได้นำเสนอไลฟ์สไตล์อันหรูหราพร้อมคู่มือหาเงินให้กับผู้ที่สนใจทำแบบเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความเป็นไปได้ของการทำงานจากระยะไกลได้แพร่กระจายออกไป กระแสการทำงานจากทุกที่ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน


Look at where you're spending your money and above all, if you're in a place for a month, and you don't at least make one friend there that's from there, I'm sorry, you're not doing it right – Marquita Harris ดูที่ที่คุณใช้จ่ายเงินของคุณ และเหนือสิ่งอื่นใด หากว่าคุณอยู่ในสถานที่หนึ่งเป็นเวลาหนึ่งเดือน และคุณไม่มีเพื่อนที่นั่นสักคนจากที่นั่น ขอโทษนะ คุณคงไม่ทำแบบนั้น ใช่ไหมละ – มาร์กิตา แฮร์ริส


การระบาดใหญ่ของโควิด-๑๙  มีแต่เติมเชื้อไฟให้กับกองเพลิง เนื่องจากการล็อคดาวน์ทั่วโลกพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผู้คนจำนวนมากกว่าที่เคยสามารถทำงานออนไลน์ได้ แม้ว่าข้อจำกัดต่างๆ จะถูกยกเลิกแล้ว และผู้คนก็สามารถกลับมาที่สำนักงานได้ แต่หลายคนก็เลือกที่จะไม่ทำแบบเดิม จากข้อมูลของมูดีส์ ผู้ให้บริการโซลูชันอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ การวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ พบว่า อสังหาริมทรัพย์ขององค์กรมากกว่าร้อยละ 20 ยังคงว่างเปล่า ขณะที่รายงานปี 2023 ของเอ็มบีโอ พาร์ทเนอร์ บริษัทโซลูชันระดับองค์กรที่ให้บริการบริษัทต่างๆ ที่มีพนักงานที่ทำงานทางไกล ประมาณการว่ามากกว่า มีแรงงานทั่วโลก มากกว่า 35 ล้านราย ที่ตอนนี้พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน


ด้วยความสนใจที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวหลังการระบาดใหญ่ และลักษณะการทำงานทางไกลที่ยืดหยุ่น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เทรนด์นี้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้เป็นห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของเราที่เรามีหนังสือเดินทางมากที่สุด และเราเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดนี้ได้” มาร์ควิต้า ฮาร์รีส นักข่าวและบ่อยครั้งเป็นผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน กล่าวว่า "การเป็นผู้เร่ร่อนทางดิจิทัลทำให้มีโอกาสได้เดินทางได้ลึกซึ้งขึ้น เพื่อทำความเข้าใจมากขึ้นกว่าที่เคยทำได้เมื่อไปเที่ยวพักผ่อนเป็นเวลา 4 วันที่ไหนสักแห่ง และรู้สึกว่าได้เรียนรู้มากมายจากประสบการณ์เหล่านั้น "


อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นว่าแนวโน้มนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งรายงาน Digital Nomads Report ของเอ็มบีโอ พาร์ทเนอร์ ประมาณการว่าผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนได้เติบโตขึ้นมากถึงร้อยละ 131 นับตั้งแต่เกิดโรคระบาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นเรื่องดี การไหลเข้าของผู้มาเยือนสถานที่ต่างๆ อย่างเช่น สเปนและกรีซ ยังกระตุ้นให้เกิดการประท้วงอย่างดุเดือดต่อการท่องเที่ยวที่เกินขนาด ส่วนในสถานที่อื่นๆ เช่น สาธารณรัฐโดมินิกัน บาหลี และแอฟริกาใต้ คนในพื้นที่จำนวนมากรู้สึกว่าผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนทำให้เกิดความตึงเครียดกับทรัพยากรที่หายากอยู่แล้ว และทำให้ราคาสินค้าและที่อยู่อาศัยสูงขึ้นเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถซื้อได้อย่างสมเหตุสมผล


“คิดว่าปัญหาเดียวกันนี้เกิดขึ้นมากมายกับการท่องเที่ยวโดยทั่วไป เมื่อเราพูดถึงผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน” เมคี อานนาส เอสต์เวซ ครูซ นักเขียนและชาวสาธารณรัฐโดมินิกัน อธิบายว่า "ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะคุ้นเคยกับความสะดวกสบายในระดับหนึ่ง ดังนั้น แอร์บีเอ็นบีที่พวกเขากำลังมองหาก็จะเป็นของต่างชาติ ดังนั้น เมื่อใครก็ตามที่เดินทางเข้ามาและบอกว่าข้าวของและอาหารมีราคาถูกจริงๆ … ใช่ มันเป็นแบบนั่นจริงๆ แล้วที่มันราคถูกแบบนั่น มันเป็นแบบนั้นเพื่อใคร? เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อคุณปรากฏตัว และบอกเพื่อนๆ ให้เดินทางเข้าปรากฏตัว และสถานที่แห่งนี้ ก็กลายเป็นที่หลบภัยสำหรับผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน นั่นหมายความว่า คุณกำลังทำให้ต้นทุนของทุกอย่างเพิ่มขึ้นจริงๆ"


หมายเหตุุ: แอร์บีเอ็นบี - Airbnb เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันที่ดำเนินการในสถานที่ซื้อขายออนไลน์ที่มีประสบการณ์ด้านรอนแรมในประเทศและภูมิภาคต่างๆ ในระยะสั้นและระยะยาว


เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสาธารณรัฐโดมินิกันเท่านั้น คนในท้องถิ่นทั่วโลกล้วนแล้วแต่พบว่า บ้านเมืองของตนมีต้นทุนที่มีราคาถูกกว่าเมืองยอดนิยมอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ตามรายงานล่าสุดของ Idealista ระบุว่า เมื่อปีที่แล้ว ราคาค่าเช่าในหมู่เกาะแบลีแอริก เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 18


นอกจากนี้ โรบินสันยังเห็นการแบ่งขั้วของสถานการณ์นี้ “นี่เป็นคำถามเกี่ยวกับพื้นที่” เธอบอกแบบนั้น “ฉันเห็นสิ่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกในงานที่ฉันทำ มันน่าเสียใจจริงๆ และมันขัดแย้งกัน สถานการณ์เหล่านี้ซึ่งผู้เข้ามาเยี่ยมเยือนกำลังทำให้ความเป็นชุมชนของพวกเขาหมดไป”









เมื่อเวลาผ่านไป ข้อมูลประชากรของผู้เร่ร่อนทางดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงตามแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้น (Credit: Getty Images) 


มีวิธีใดบ้าง ที่จะเป็นการทำให้ผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนไม่ไปสร้างความไม่เท่าเทียมและภาวะนักท่องเที่ยวล้นเกิน?  ฮวน บาร์เบด ผู้ร่วมก่อตั้งรูราลครีเอทีฟ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงกับคนในท้องถิ่นและการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนรูราล ที่เป็นองค์กรที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับคนทำงานระยะไกลที่สนใจใช้เวลาทำงานในเมืองชนบทที่ประสบปัญหาในสเปน สำหรับบาร์เบด กุญแจสำคัญในการทำให้โมเดลนี้เป็นความช่วยเหลือมากกว่าอุปสรรคต่อชุมชนท้องถิ่น คือ การให้พวกเขามีส่วนร่วมในกระบวนการแบบล่วงหน้า “เราไม่ใช่ความคิดริเริ่มส่วนตัวที่เปิดขึ้นในสถานที่หนึ่งแล้วเรา” บาร์เบดอธิบาย “เราพูดคุยกับผู้นำของชุมชนเหล่านั้น เพื่อดูว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาอยากลองหรือไม่ หากคำตอบ คือ ไม่ นั่นมันก็เหมือนกับว่า ทุกอย่างตกลงตามนั้น และบอกเลิกลากันได้เลย”


หมายเหตุ: รูราลครีเอทีฟ (ROORAL) เป็นกลุ่มธุรกิจสร้างสรรค์ที่มีหลักคิดว่าโลกในชนบทสอนให้ค้นหาสิ่งสำคัญในชีวิต เพื่อเชื่อมโยงกับสิ่งที่เป็นธรรมชาติและในท้องถิ่น พวกเขาให้ความสำคัญกับการใช้มือของตัวเองสร้างชีวิต เปิดประตูไว้ เพื่อโทรหาเพื่อนบ้าน และเพื่อเฉลิมฉลองในชุมชน


แนวทางที่อิงชุมชนมากกว่านี้ตรงกันข้ามกับองค์กรและบริษัทก่อนหน้านี้หลายแห่งที่ให้บริการระยะยาวและระบบไวไฟความเร็วสูง แต่มักส่งผลให้เกิดชุมชนชาวต่างชาติที่โดดๆ และมีราคาแพง อย่างไรก็ตาม เมื่อกระแสเติบโตขึ้น ผู้คนที่ประกอบกันเป็นชุมชนผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อนก็เปลี่ยนไป แทนที่จะเป็นคนหนุ่มสาวที่ทำงานด้านเทคโนโลยีอันเป็นจุดเริ่มต้นในกระแสนี้ แต่กลับมีครอบครัวจำนวนมากขึ้น ที่กำลังรองรับเอาวิถีชีวิตแบบนี้เข้ามา และองค์กรต่างๆ อย่างเช่น NOMADNESS ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก  ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะมีผลกระทบที่แตกต่างกันเป็นอย่างมากต่อจุดหมายปลายทางที่จะให้การต้อนรับคนเหล่านี้


การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ดูเหมือนจะสะท้อนให้เห็นในความคิดของแฮร์ริสเกี่ยวกับช่วงเวลาของเธอในฐานะผู้ใช้ชีวิตดิจิทัลเร่ร่อน "มันสำคัญมากที่จะตรวจสอบให้แน่ใจว่าใครจะเข้ามามีส่วนสนับสนุนสถานที่นี้ ไม่ใช่แค่เพียงด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังชื่นชอบวัฒนธรรมของสถานที่ด้วย โดยพื้นฐานแล้วบุคคลผู้นั้นจะได้มีส่วนสนับสนุน เพื่อเพิ่มพื้นที่ หากไม่ระวัง ดูที่ที่คุณใช้จ่ายเงินของคุณ และเหนือสิ่งอื่นใด ถ้าคุณอยู่ในสถานที่นั้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน และอย่างน้อยคุณก็ไม่มีเพื่อนที่นั่นสักคนซึ่งมาจากที่นั่น สำหรับฉัน ฉันขอโทษ คุณทำไม่ถูกต้อง” 


อย่างไรก็ตาม ครูซยังคงไม่มั่นใจ "คุณอาศัยอยู่ในสถานที่นั้นในลักษณะที่เคารพศักดิ์ศรีของผู้คนที่ต้องฝืนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาตั้งแต่ปี 1492 อย่างแท้จริงได้อย่างไร และผมขอเสริมในขณะที่พยายามทำเช่นนั้นด้วยความสง่างาม ถูกเอารัดเอาเปรียบ ฉันต้องการใครก็ตามที่มีหนังสือเดินทางที่ทรงพลังและเดินทางเพื่อพักผ่อนเพื่อนั่งจัดการกับความตึงเครียดนั้นโดยสิ้นเชิง”


I think people need to approach travel overall, but definitely a digital nomad lifestyle, with a sense of consciousness and accountability – Evita Robinson ฉันคิดว่าผู้คนจำเป็นต้องเข้าถึงการเดินทางโดยรวม แต่แน่นอนว่าเป็นวิถีชีวิตเร่ร่อนทางดิจิทัลที่มีสำนึกและความรับผิดชอบ – เอวิต้า โรบินสัน


ด้วยวีซ่าใหม่ในประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดแรงงานข้ามชาติที่ทำงานนอกสถานที่ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น มีแนวโน้มว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวจะยังคงขยายไปยังกลุ่มประชากรและสถานที่ตั้งมากยิ่งขึ้น แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่วีซ่าจะช่วยควบคุมจำนวนผู้เร่ร่อนทางดิจิทัล และช่วยให้แน่ใจว่าพวกเขาจะมีส่วนช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่นมากขึ้น


สำหรับโรบินสันแล้ว การขยายตัวและความต่อเนื่องของแนวโน้มนี้ถือเป็นเรื่องดี แต่เธอก็เตือนว่านักเดินทางและประเทศต่างๆ จะต้องระมัดระวังมากขึ้นอีกเล็กน้อย เพื่อต่อสู้กับผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นจากไลฟ์สไตล์ของการเร่ร่อนทางดิจิทัล (digital nomad lifestyle)


“ฉันคิดว่าผู้คนจำเป็นต้องเข้าถึงการเดินทางโดยรวม แต่ต้องกลายมาเป็นผู้มีไลฟ์สไตล์แบบเร่ร่อนทางดิจิทัลด้วยความรู้สึกมีสติและความรับผิดชอบ” เธอกล่าว “มีวิธีต่างๆ ที่จะทำมันให้ถูกต้อง แต่ฉันคิดว่าผู้คนนั้น…โรแมนติกมากอาจจะเพราะไลฟ์สไตล์และสิ่งที่พวกเขาจะได้รับจากมัน จนพวกเขาลืมไปว่าพวกเขากำลังเข้ามาในชุมชนของคนอื่น และพวกเขาก็ต้องคิดให้ดีๆ ด้วย เกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาจะสามารถตอบแทนชุมชนนั้นๆ ได้”


ที่มา:


Lynn Brown (2024) ”How has the digital nomad trend evolved over the years?“ BBC Online. 30 September 2024

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น