หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568

Modern Tourism Geography I

ทัศนคติของเจ้าบ้านที่มีต่อการพัฒนาการท่องเที่ยว

RESIDENTSATTITUDES TOWARD TOURISM DEVELOPMENT: A CASE STUDY OF WASHINGTON, NC

พัฒนา ราชวงศ์ อาศรมภูมิวิทยาศาสตร์

สาขาวิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

 

การศึกษาครั้งนี้ต้องการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างรายละเอียดทางด้านสังคม-เศรษฐกิจ และลักษณะทางประชากรของผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น กับทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อการท่องเที่ยวใน Washington, NC ชุมชนเล็กๆ ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนเริ่มแรกของการพัฒนาการท่องเที่ยว โดยทัศนคติที่มีต่อการท่องเที่ยววัดมาจากการปรับปรุงแบบตรวจวัดผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่มีต่อทัศนคติของประชาชน (Tourism Impact Attitude Scale) ที่ Lankford and Howard (1994) พัฒนาขึ้นมา การวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis) จะเป็นเครื่องมือทางสถิติที่ช่วยแยกแยะปัจจัยสำคัญแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า อายุ เพศ และการได้มีโอกาสสัมผัสกับการท่องเที่ยวของชุมชน ไม่มีความสัมพันธ์กับสองปัจจัยดังกล่าว แต่ว่าระดับการศึกษากลับมีความสัมพันธ์กับปัจจัยหนึ่ง และการรับรู้ถึงผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลมีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมากกับทั้งสองปัจจัย การศึกษาครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องทำการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติของผู้อยู่อาศัยในบริเวณแหล่งท่องเที่ยวในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาการท่องเที่ยว และสิ่งที่งานวิจัยฉบับนี้ค้นพบยังช่วยยืนยันอย่างชัดเจนว่า การให้ความรู้และการศึกษาเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวแก่ประชาชนในท้องถิ่น มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อดึงดูให้พวกเขาหันมาการสนับสนุนการท่องเที่ยว ปรับปรุงการมีส่วนร่วมกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว  และจะทำให้เกิดการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนต่อไป

This study examined the relationship between socio-economic and demographic attributes of local residents and their attitudes toward tourism in Washington, NC, a small community where tourism is in its development stage. Residentsattitudes toward tourism were measured by adapting 20 items from the Tourism Impact Attitude Scale developed by Lankford and Howard (1994). Factor analysis resulted in a factor solution. Findings indicate that age, gender, and community attachment do not have relationships with the two factors, but education is associated with one of the factors, and perceived personal benefit has strong positive relationships with both factors. The study reinforced the need for further research on factors influencing residentsattitudes toward tourism during a destinations preliminary development stage. The findings support previous assertions that educating local residents about the potential benefits of tourism is critical in obtaining their support for tourism, enhancing their involvement in the industry, and achieving sustainable community development.

บทนำ

เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า การพัฒนาการท่องเที่ยวเป็นดาบสองคมสำหรับชุมชนที่เป็นเจ้าบ้านแหล่งท่องเที่ยว ไม่เพียงแค่สร้างผลประโยชน์ให้เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีหลายอย่างที่มีต้นทุน (Jafari 2001) โดยการประเมินผลประโยชน์และค่าใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้คนในท้องถิ่นได้พัฒนาทัศนคติที่มีต่อการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม งานวิจัยที่มีมาก่อนหน้านี้เคยระบุว่า การพัฒนาทัศนคติต่อการท่องเที่ยวของผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นไม่ได้ถูกกำหนดโดยการรับรู้ถึงประโยชน์และการต้องจ่ายสิ่งที่เป็นต้นทุน แต่จะถูกปรับเปลี่ยนตัวแปรที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม (Lankford et al. 1994) สามทศวรรษที่ผ่านมา มีการศึกษาจำนวนมากที่ค้นหาตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติต่อการท่องเที่ยวของผู้อยู่อาศัย (Brougham & Butler 1981, Perdue et al. 1987, Ap 1992, Lankford 1994, Cavus & Tanrisevdi 2002) ตัวแปรที่ผ่านการทดสอบเหล่านั้น รวมถึงคุณลักษณะทางสังคมเศรษฐกิจของผู้อยู่อาศัย แต่ผลลัพธ์ได้รับการผสมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันไม่ชัดเจนว่าทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่มีต่อการท่องเที่ยวเกี่ยวข้องกับคุณลักษณะของพวกเขาหรือไม่เมื่อการท่องเที่ยวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาในชุมชนที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้สังเกตเห็นได้ชัดเจน (Mason & Cheyne 2000)

การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะทางสังคมเศรษฐกิจสังคมของผู้อยู่อาศัย และทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อการท่องเที่ยว โดยเน้นไปที่ชุมชนเล็กๆ ที่การท่องเที่ยวอยู่ในช่วงเริ่มต้นพัฒนา ด้วยการดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยหวังว่าจะได้ทราบถึงทัศนคติของผู้อยู่อาศัย และจับภาพการรับรู้การท่องเที่ยวในปัจจุบันของพวกเขา ตามความคาดหวังที่ได้รับการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า และข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์เกี่ยวกับการท่องเที่ยว

นอกจากนี้ งานวิจัยฉบับนี้ยังมีความสำคัญมาก เนื่องจากนักวิจัยส่วนใหญ่ให้การยอมรับว่า ทัศนคติของชุมชนต่อการท่องเที่ยวมีความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของชุมชนในรูปแบบของอุตสาหกรรม (Murphy 1981) การก่อตัวของภาพลักษณ์ที่ดีของแหล่งท่องเที่ยว (Echtner & Ritchie 1991) การสนับสนุนทางการเมืองเพื่อให้เกิดการพัฒนา (Schroeder 1996) และการพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนเจ้าของแหล่งท่องเที่ยว (Owen et al. 1993)

หลักการทางทฤษฎี

ทัศนคติถูกกำหนดให้เป็น “สภาวะจิตใจของบุคคลที่แสดงออกต่อคุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง” (Allport 1966, p.24) และเป็น “ความแรงจูงใจที่จะนำไปสู่แง่มุมเฉพาะของสภาพแวดล้อมหนึ่งๆ” (McDougall & Munro 1987, p.87) แม้ว่าทัศนคติจะถูกสร้างขึ้นจากการรับรู้และความเชื่อที่มีต่อความจริง แต่ก็มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับค่านิยมและความเป็นส่วนตัว นักวิจัยยอมรับว่าทัศนคติของประชาชนที่มีต่อการท่องเที่ยว ไม่ได้เป็นเพียงการสะท้อนการรับรู้ของผู้คนจากผลกระทบของการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เป็นผลลัพธ์ของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ของผู้อยู่อาศัยและปัจจัยที่มีผลต่อทัศนคติของพวกเขา (Lankford และคณะ 1994) การวิจัยก่อนหน้านี้ได้เปิดเผยผลกระทบที่สำคัญของการท่องเที่ยว พร้อมระบุตัวแปรที่เกี่ยวข้อง เพียงแต่ยังไม่มีการพัฒนาทฤษฎีขึ้นมา “ปัจจุบันนี้ มีความเข้าใจค่อนข้างจำกัดว่าเพราะเหตุใดผู้อยู่อาศัยจึงต้องตอบสนองต่อผลกระทบของการท่องเที่ยวเช่นนั้น” (Ap 1992, p.666) อีกทั้ง Husband (1989, p.239) ยังได้กล่าวถึงปัญหานี้ว่า "ยังไม่มีเหตุผลทางทฤษฎีว่าทำไมบางคนถึงหรือไม่ชอบการท่องเที่ยว"

เพื่อที่จะให้เกิดความกระจ่างชัดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผลกระทบและทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่มีต่อการท่องเที่ยว จึงได้มีการพัฒนาแบบจำลองหลายขึ้นมาอธิกบายในรูปแบบ หนึ่งในแบบจำลองที่มีอิทธิพลมากที่สุด คือ โมเดลแสดงความระคายเคือง (Doxeys Irridex) ของ Doxey (1975) โดยแบบจำลองนี้แสดงให้เห็นว่า ทัศนคติต่อการท่องเที่ยวของผู้อยู่อาศัยเป็นไปอย่างมีขั้นตอนจาก "ความรู้สึกสบาย" ผ่านไปเป็น "ความไม่แยแส" และ "ความระคายเคือง" กระทั่งกลายไปเป็น "ปรปักษ์" เนื่องจากต้องแบกรับผลเสียมากเกินคาดหมาย แบบจำลองนี้ได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยของ Long et al.(1990) ซึ่งผลการวิจัยชี้ว่า ทัศนคติของผู้อยู่อาศัยในระยะเริ่มแรกนั้น พวกเขารู้สึกพึงพอใจต่อการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา แต่ว่านานเข้าความพอใจกลับติดลบเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งที่เกินพอดี แบบจำลองแสดงความระคายเคือง ระบุว่า ทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่มีต่อการท่องเที่ยวจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาในทิศทางเดียวที่สามารถคาดการณ์ได้ กล่าวคือแสดงให้เห็นว่าทัศนคติและปฏิกิริยาของผู้อยู่อาศัยต่อการท่องเที่ยวมีความเป็นเนื้อเดียวกัน (Mason et al. 2000) อย่างไรก็ตาม ความคิดนี้ถูกท้าทายโดยงานวิจัยบางส่วนที่รายงานการตอบสนองของชุมชนที่แตกต่างกัน และทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่หลากหลายที่มีอยู่ในชุมชน (Brougham et al. 1981, Rothman 1978)

ตามที่ได้กล่าวข้างบนนี้ ได้มีการพัฒนาแบบจำลองที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นโดย Butler (1975) ที่เป็นผู้เสนอแนะว่า ทั้งทัศนคติเชิงบวกและลบสามารถเกิดขึ้นกับผู้อยู่อาศัยในชุมชนได้พร้อมๆ กัน อีกทั้งพวกเขายังสามาถแสดงออกผ่านการสนับสนุนหรือการต่อต้านอย่างแข็งขันได้ แบบจำลองนี้ได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยของ Murphy (1983) ที่เผยให้เห็นถึงความแตกต่างของทัศนคติระหว่างผู้อยู่อาศัย เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเจ้าของธุรกิจในศูนย์การท่องเที่ยวในอังกฤษสามแห่ง แม้ว่าแบบจำลองจะบอกถึงความซับซ้อนของทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่มีต่อการท่องเที่ยว แต่นักวิจัยยังขาดทฤษฎีที่จะนำมาใช้ในการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติของผู้อยู่อาศัยกับผลกระทบด้านการท่องเที่ยว จนกระทั่ง Ap (1992) ได้นำเอาทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคม (social exchange theory) มาใช้ในการอธิการการท่องเที่ยว

หากพิจารณาตามทฤษฎีแล้ว การแลกเปลี่ยนจะเริ่มต้นเมื่อภาวะอสมมาตรก่อตัวขึ้น (Sutton 1967) ทั้งนี้ Ap (1992) เสนอว่า “ผู้อยู่อาศัยประเมินการท่องเที่ยวในแง่ของการแลกเปลี่ยนทางสังคม คือประเมินในแง่ของผลประโยชน์ที่คาดหวัง หรือต้นทุนที่ได้รับจากการบริการที่พวกเขาจัดหาให้” (หน้า 670) Ap สรุปว่า เมื่อการแลกเปลี่ยนทรัพยากรเกิดขึ้นมาก ผู้อยู่อาศัยจะเกิดความสัมพันธ์กับการท่องเที่ยวในณุปแบบที่สมดุลหรือไม่สมดุล อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งผลกระทบจากการท่องเที่ยวอาจจะถูกมองในเชิงบวก แต่ว่าผลกระทบด้านการท่องเที่ยวจะถูกมองในแง่ลบ หากการแลกเปลี่ยนทรัพยากรอยู่เกิดขึ้นไม่มากนัก ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมถูกนำมาใช้เป็นกรอบทฤษฎีโดยนักวิจัย เพื่ออธิบายทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่มีต่อผลกระทบด้านการท่องเที่ยว (Perdue et al. 1990, McGehee & Andereck 2004)

จากการทบทวนงานวิจัยต่างๆ พบว่า การศึกษาทัศนคติส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบความแตกต่างของทัศนคติของผู้อยู่อาศัยตามลักษณะทางสังคม-เศรษฐกิจ และลักษณะประชากร แต่ผลการศึกษากลับมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก การศึกษาที่ชุมชนชนบทรัฐโคโลราโด 16 แห่ง ทำให้ Perdue et al. (1990) สรุปว่า ทัศนคติในการท่องเที่ยวของผู้อยู่อาศัยแตกต่างกันเล็กน้อยตามลักษณะทางสังคมและประชากร แต่พวกเขากลับพบว่าประโยชน์ส่วนตัวมีความสัมพันธ์กับการรับรู้เกี่ยวกับผลกระทบของการท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด การศึกษาของ Flagstaff, Arizona, Schroeder (1992) ชี้ว่า ตัวแปรทางสังคม-เศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นตัวทำนายทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่มีต่อการท่องเที่ยวที่ดีนัก อย่างไรก็ตาม การศึกษาของ Husband (1989) พบว่า อายุและการศึกษา เป็นตัวแปรสำคัญในการศึกษาที่ประเทศแซมเบีย นอกจากนี้ Harrill and Potts (2003) ยังพบอีกว่า ความเป็นชายหญิงและการพึ่งพาทางเศรษฐกิจ เป็นตัวทำนายที่สำคัญของการรับรู้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของการท่องเที่ยว แม้ว่าจะไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาที่อยู่อาศัยและการรับรู้ประโยชน์การท่องเที่ยวในเมืองชาร์ลสตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา ก็ตาม ในทางกลับกัน Liu and Var (1986) ระบุว่า ความยาวนานของการอยู่อาศัยในพื้นที่เป็นหนึ่งในตัวแปรทางสังคมและประชากรที่สำคัญที่สุด ที่ช่วยอธิบายความแตกต่างทางทัศนคติในการวิจัยที่รัฐฮาวายของพวกเขา อย่างไรก็ดี เนื่องจากการศึกษาทั้งหลายเหล่านี้ดำเนินการโดยใช้วิธีการและเครื่องมือที่หลากหลาย จึงเป็นการยากที่จะเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่หลากหลายดังกล่าว

เพื่อตอบสนองต่อการเรียกร้องให้มีการสร้างเครื่องมือมาตรฐานสำหรับใช้ในการวิจัยผลกระทบการท่องเที่ยว (Cromption 1990) Lankford และ Howard (1994) ได้พัฒนามาตรวัดทัศนคติต่อการท่องเที่ยว (TIAS) ซึ่งช่วยให้นักวิจัยสามารถวัดทัศนคติของผู้คนที่มีต่อการท่องเที่ยวในบริบทต่างๆ มันถูกใช้ในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เช่น Lankford (1994) ในรัฐโอเรกอนและวอชิงตัน Lankford et al.(1994) ในไต้หวัน Rollins (1997) ในบริทิช โคลัมเบีย Vesey and Dimanche (2001) ในนิว ออร์ลีนส์ และหลุยส์เซียนา Harrill et al.(2003) ในเมืองชาร์ลสตัน รัฐเซาท์ แคโรไลนา ผลการศึกษาก่อนหน้านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าแบบตรวจวัดผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่มีต่อทัศนคติของประชาชนเป็นเครื่องมือที่เชื่อถือได้ และมีความถูกต้องในการวัดทัศนคติของผู้อยู่อาศัย แม้ว่ากรณีศึกษาก่อนหน้านี้ได้ทดสอบผลกระทบของตัวแปรด้านประชากรและสังคมเศรษฐกิจ ที่มีต่อทัศนคติของผู้อยู่อาศัยโดยใช้แบบตรวจวัดผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่มีต่อทัศนคติของประชาชน แต่ก็ไม่มีการดำเนินการในชุมชนขนาดเล็กบริเวณชายฝั่งตะวันออก ที่การท่องเที่ยวยังไม่เฟื่องฟู

จากการทบทวนทางทฤษฎีทำให้พบว่าคำถามวิจัยที่สำคัญในการศึกษาเรื่องนี้ ประกอบด้วย 1) TIAS เป็นเครื่องมือที่เชื่อถือได้และถูกต้องในการวัดทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่มีต่อการท่องเที่ยวสำหรับกรณีศึกษานี้หรือไม่ ? 2) ทัศนคติของผู้อยู่อาศัยต่อการท่องเที่ยวในพื้นที่ศึกษาคืออะไร ? 3) ตัวแปรทางสังคมเศรษฐกิจและประชากรมีความหมายอย่างมากต่อทัศนคติของการท่องเที่ยวหรือไม่ ? และ 4) ผลลัพธ์ในกรณีศึกษานี้สนับสนุนทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมเพื่ออธิบายทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่มีต่อการท่องเที่ยวหรือไม่ ?

พื้นที่ศึกษา

การศึกษาครั้งนี้ดำเนินการที่เมืองวอชิงตัน เอ็นซี ทีเป็นชุมชนขนาดเล็กที่มีประชากร 9,500 คน ชุมมชนนี้ตั้งอยู่บนชายฝั่งด้านตะวันออกของรัฐนอร์ธ แคโรไลนา เป็นทำเลยุทธศาสตร์ที่มีแม่น้ำและทะเลบรรจบกัน จึงเป็นศูนย์กลางการเดินเรือ มีฐานการผลิตอุตสาหกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิตอื่น ปัจจุบันอุตสาหกรรมบริการเริ่มมีความสำคัญในพื้นที่นี้มากขึ้น โดยเฉพาอย่างยิ่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง ทำให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่น มีรายได้เข้ารัฐจากภาษี และมีความหลากหลายทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกมากมาย

ปัจจุบัน วอชิงตัน เอ็นซี อยู่ระหว่างการฟื้นฟูเพื่อนำธุรกิจและนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ให้มากขึ้น เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น บ้านยุควิคตอเรียในย่านใจกลางเมืองกำลังได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้เป็นสมบัติด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ ชุมชนริมน้ำได้รับการปรับปรุงเพื่อดึงดูดผู้เข้าชมมากขึ้น และอาคารประวัติศาสตร์หลายแห่งตามถนนสายหลัก ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ชุมชนแห่งนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ แหล่งจับจ่าย และร้านอาหาร ไปจนถึงกิจกรรมพิเศษ เช่น ดนตรีบนถนน และเทศกาลฤดูร้อน รวมถึงการพัฒนาเต็มเวลาของการท่องเที่ยวเพื่อช่วยให้เมืองวอชิงตัน เอ็นซี ได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ริมน้ำและเขตประวัติศาสตร์ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2002 นอกจากนี้ สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยวของเมืองได้ว่าจ้างผู้อำนวยการคนแรกในปี 2001 หลังจากที่ใช้เวลาดำเนินการด้วยอาสาสมัครยาวนากว่าสิบปี ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ เมืองวอชิงตัน เอ็นซี จึงจำเป็นจะต้องทำการศึกษาทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่มีต่อการท่องเที่ยว นับตั้งแต่เริ่มต้นของกระบวนการวางแผนและพัฒนา



ระเบียบวิธีวิทยา

งานวิจัยนี้พยายามแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น กับทัศนคติต่อการท่องเที่ยว ซึ่งอยู่ในขั้นเริ่มต้นในพื้นที่ศึกษา เพื่อตรวจสอบทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่มีต่อการท่องเที่ยวใน Washington, NC นักวิจัยได้นำ 20 ประเด็นจาก TIAS และสร้างรูปแบบการตอบสนองแบบ Likert-type 5 ระดับ รวม 20 รายการ (1 = ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง; 2 = ไม่เห็นด้วย; 3 = เป็นกลาง; 4 = เห็นด้วย; 5 = เห็นด้วยอย่างยิ่ง)

การรับรู้เกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม จะเป็นตัวบ่งบอกให้เห็นถึงตัวแปรที่สำคัญที่มีความเกี่ยวพันกับทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่มีต่อการท่องเที่ยว (Ap 1992, McGehee et al. 2004) ดังนั้น การศึกษาครั้งนี้ จึงพิจารณาการรับรู้เกี่ยวกับผลประโยชน์ของบุคคลเป็นชุดผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ มรดกทางสังคม-วัฒนธรรม และกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ศึกษา จัดเป็นผลประโยชน์ 8 รายการ โดยศึกษาทบทวนมาจากเอกสารที่เผยแพร่สาธารณะ โบรชัวร์เผยแพร่ข่าวสาร และหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น (Fridgen 1996) ผลประโยชน์ส่วนบุคคลแต่ละรายการจะถูกการประเมินโดยผู้ตอบแบบสอบถาม 4 ระดับ (1 = ไม่เลย; 2 = น้อยมาก; 3 = ค่อนข้าง; 4 = มาก) เพื่อทดสอบการเชื่อมโยงของตัวแปรผลประโยชน์ส่วนบุคคลที่มีทัศนคติต่อการท่องเที่ยวที่ระบุไว้ ตัวแปรจะถูกนำไปใส่รหัสเพิ่มคะแนนเฉลี่ยในแต่ละรายการทั้งแปด

ยังมีการทดสอบตัวแปรอื่นๆ อีก อันได้แก่ อายุ เพศ ระดับการศึกษาในระบบ และการความสัมพันธ์กับชุมชน ซึ่งการวิจัยครั้งนี้ทำการวัดความผูกพันของชุมชนสองวิธี คือ 1) ระยะเวลาที่อยู่อาศัยของผู้ตอบแบบสอบถาม และ 2) การเป็นสมาชิกที่แข็งขันในองค์กรพลเมืองใน Washington, NC ทั้งนี้ ความยาวนานของการอยู่อาศัยถูกนำมาใช้ในการวัดความผูกพันของชุมชนกันค่อนข้างมาก (Sheldon & Var 1984, Um & Crompton 1987) ขณะที่การเป็นสมาชิกชุมชนเป็นตัวแปรสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการวัดความผูกพันของชุมชนที่มีนัยสำคัญกับทัศนคติต่อการท่องเที่ยว (Vesey et al. 2001)

ทำการสุ่มตัวอย่างผู้อยู่อาศัย 436 คนในเขตพื้นที่ Washington, NC โดยเลือกครัวเรือนทั้งหมดที่ปรากฏในรายการเรียกเก็บเงินที่จัดทำโดยบริษัทบริการสินค้าท้องถิ่น ส่งแบบสำรวจทางจดหมายตามแบบอย่างของ Dillman (2000) ส่งจดหมายแจ้งพร้อมแนบแบบสำรวจให้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวอย่าง ในซองมีซองเปล่าติดแสตมป์เขียนชื่อและที่อยู่ของผู้วิจัย เพื่อให้ส่งกลีบเมื่อกรอกแบบสำรวจเสร็จแล้ว ผู้วิจัยจะส่งจดหมายฉบับที่สองไปยังตัวอย่างที่ไม่ได้ส่งคืนแบบสำรวจเมื่อผ่านสองสัปดาห์ไปแล้ว และสุดท้ายจะส่งไปรษณียบัตรถึงผู้ที่ไม่ตอบสนองกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ผลลัพธ์

แบบสำรวจทั้งหมดที่ได้รับคืนกลับมา 130 ฉบับ คิดเป็นอัตราส่วนการตอบกลับ ร้อยละ 32 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 54.3 ปี การแจกแจงคร่าวๆ แบ่งเป็นชายและหญิง ร้อยละ 49.2 และ 50.8 ระดับการศึกษายังมีการกระจายอย่างเท่าเทียมกัน ร้อยละ 26.6 จบการศึกษาระดับมัธยมหรือต่ำกว่า ร้อยละ 23.4 มีวุฒิการศึกษาอื่นๆ ที่เทียบเท่าระดับเดียวกันกับการศึกษาในระบบ ร้อยละ 25.8 จบการศึกษาระดับวิทยาลัย และอีกร้อยละ 24.2 จบการศึกษาระดับปริญญา ส่วนระยะเวลาพำนักของผู้ตอบแบบสำรวจ อยู่ในช่วง 1 - 80 ปี โดยมีระยะเวลาเฉลี่ย 30.42 ปี ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ ร้อยละ 64.7 ไม่ได้อยู่ในองค์กรพลเมืองของท้องถิ่น (ดูตารางที่ 1)

การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสำรวจดำเนินการเพื่อประเมินมิติ TIAS ทั้ง 20 รายการของ Kaiser (1974) การวัดความเพียงพอของการสุ่มตัวอย่างโดยรวม เท่ากับ 0.85 บ่งชี้ว่า ข้อมูลมีความเหมาะสมสำหรับแบบจำลองส่วนประกอบหลัก จำเป็นต้องมีค่าตั้งแต่ 0.6 ขึ้นไป สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยที่ดี (Tabachnick & Fidell 1989)

ตารางที่ 1 ตัวอย่างคุณลักษณะของผู้ที่อยู่อาศัยในแหล่งท่องเที่ยว

ตัวแปร

ร้อยละ

ตัวแปร

ร้อยละ

เพศ (130 ตัวอย่าง)

 

การเป็นสมาชิกองค์กรท้องถิ่น

 

       ชาย

50.8

       เป็นสมาชิก

35.3

       หญิง

49.2

       ไม่ได้เป็นสมาชิก

64.7

อายุa

 

ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่b

 

       20-29

08.1

       01-10 ปี

23.8

       30-39

11.3

       11-20 ปี

19.4

       40-49

15.3

       21-30 ปี

17.9

       50-59

24.2

       31-40 ปี

10.4

       60-69

21.0

       41-50 ปี

06.0

       70-79

16.1

       51-60 ปี

09.0

       มากกว่า 80

04.0

       61-70 ปี

07.5

การศึกษา

 

       71-80 ปี

06.0

       มัธยมศึกษาหรือต่ำกว่า

26.6

a ค่าเฉลี่ย = 54.34 ค่ามัธยฐาน = 55 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 16.0

       อนุปริญญา

23.4

b ค่าเฉลี่ย = 30.42 ค่ามัธยฐาน = 25 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 22.9

       ปริญญาตรี

25.8

 

       สูงกว่าปริญญาตรี

24.2

 

การวิเคราะห์องค์ประกอบหลักด้วยการหมุนแกนเพื่อให้ทั้งสองปัจจัยมีความเหมาะสมกับข้อมูล ปัจจัยทั้งสองนี้สามารถอธิบายความแปรปรวนของทัศนคติต่อการท่องเที่ยวได้ ร้อยละ 51 แม้ว่าค่าดังกล่าวนี้จะน้อยกว่าร้อยละ 58 ตามที่ Lankford et al.(1994) เคยพบมาก่อนนี้นี้ก็ตาม แต่ว่ามิติที่เกิดจากการวิเคราะห์นี้เป็นเช่นเดียวกับการแก้ปัญหาสองปัจจัยของพวกเขา (คือ ความกังวลสำหรับการพัฒนาการท่องเที่ยวในท้องถิ่น และผลประโยชน์ส่วนบุคคลและชุมชน) ทั้งนี้ องค์ประกอบที่ 1 มี 12 รายการ (α = 0.917) และองค์ประกอบที่ 2 มี 8 รายการ (α = 0.813) โดยองค์ประกอบที่ 1 เป็น “ความห่วงใยต่อการพัฒนาการท่องเที่ยว” ขณะที่องค์ประกอบที่ 2 เป็น “การมีส่วนร่วมต่อคุณภาพชีวิต” โดยความน่าเชื่อถือโดยรวมของ TIAS ในการศึกษาที่ Washington, NC ครั้งนี้ เท่ากับ 0.904 ซึ่งไม่แตกต่างไปจากความเชื่อมั่นของ Landford and Howard (1994) ที่ได้จากการศึกษาตัวอย่างที่ Oregon มีค่าเท่ากับ 0.964 (ดูตารางที่ 2)

ตารางที่ 2 มิติต่างๆ ของทัศนคติที่มีต่อการพัฒนาการท่องเที่ยว

มิติและปัจจัย

ค่าแฟคเตอร์

ค่าเฉลี่ย

สปส.อัลฟา

ประเด็นสำคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวa

 

3.91*

0.917

     ฉันเชื่อว่าควรจะมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวขึ้นอย่างจริงจังในชุมชน

.862

 

 

     ฉันสนับสนุนการท่องเที่ยว และต้องการให้การท่องเที่ยวเป็นส่วนสำคัญของชุมชน

.802

 

 

     ฉันจะต่อต้านสิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อการท่องเที่ยว เพราะมันจะทำให้ชุมชนของฉันเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มารบกวนชีวิตของฉัน

.781

 

 

     ฉันเชื่อว่าการท่องเที่ยวควรได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจังในรัฐนอร์ท   แคโรไลนา

.759

 

 

     รัฐบาลท้องถิ่นทำถูกต้องแล้วที่จะสนับสนุนการส่งเสริมการท่องเที่ยว

.753

 

 

     โดยทั่วไปแล้ว ประโยชน์ของการท่องเที่ยวมีมากกว่าผลกระทบด้านลบ

.731

 

 

     ชุมชนของฉันมีหลายพื้นที่ที่ควรเป็นแหล่งท่องเที่ยว

.706

 

 

     การวางแผนระยะยาวของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นง สามารถควบคุมผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านลบของการท่องเที่ยว

.636

 

 

     การท่องเที่ยวทำให้คุณภาพของการพักผ่อนกลางแจ้งในชุมชนลดลง

.596

 

 

     สิ่งสำคัญคือจะต้องพัฒนาแผนจัดการการเจริญเติบโตของการท่องเที่ยว

.578

 

 

     ภาคการท่องเที่ยวจะยังคงมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของชุมชน

.548

 

 

     หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการท่องเที่ยว คือ การปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพในท้องถิ่น

.468

 

 

ความเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตb

 

3.00*

0.813

     มาตรฐานการครองชีพของเราสูงขึ้น เพราะการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยว

770

 

 

     โปรแกรมนันทนาการในท้องถิ่นขยายมากขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาในชุมชนของฉัน

.752

 

 

     คุณภาพการบริการสาธารณะได้รับการปรับปรุงในชุมชนของฉัน

.718

 

 

     เนื่องจากนักท่องเที่ยวได้เดินทางเข้ามา ฉันจึงมีโอกาสพักผ่อนหย่อนใจมากขึ้นสำหรับฉัน

.681

 

 

     คุณภาพชีวิตในชุมชนของฉันดีขึ้น เพราะมีการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการท่องเที่ยว

.643

 

 

     การท่องเที่ยวเอื้อให้เกิดการจ้างงานคนท้องถิ่นมากมาย

.593

 

 

     ชุมชนของฉันมีถนนหนทางที่ดีขึ้นเพราะการท่องเที่ยว

.467

 

 

     โอกาสในการจับจ่ายดีขึ้นในชุมชนของฉัน เพราะการท่องเที่ยวนี่เอง

.430

 

 

ระดับความน่าเชื่อถือรวม 20 รายการ

0.904

 

 

a ค่าไอเกน 7.4 อธิบายความแปรปรวนได้ ร้อยละ 37.0

b ค่าไอเกน 2.8 อธิบายความแปรปรวนได้ ร้อยละ 14.0%

* p < .001

ตามที่ระบุในตารางที่ 2 ค่าเฉลี่ยขององค์ประกอบที่ 1 และ2 เท่ากับ 3.91 (ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.60) และ 3.00 (ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.62) ตามลำดับ ผลการทดสอบตัวอย่างหนึ่งที่สำคัญบ่งชี้ว่าผู้อยู่อาศัยโดยรวมมักชื่นชอบและเห็นถึงผลประโยชน์ที่ได้รับจากการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็มีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับผลในเชิงบวกของการพัฒนาการท่องเที่ยว ในอันที่จะมาช่วยปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพในอนาคต อย่างไรก็ตาม ผู้อยู่อาศัยมีความเห็นเป็นกลางๆ เกี่ยวกับผลกระทบเชิงบวกของการท่องเที่ยวที่มีต่อคุณภาพชีวิตในปัจจุบัน ผลลัพธ์เหล่านี้สอดคล้องกับแบบจำลองความเป็นปรปักษ์ของ Doxey (1975) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้อยู่อาศัยมักมีทัศนคติเชิงบวกต่อการท่องเที่ยว เนื่องจากมีการแนะนำการท่องเที่ยวกับชุมชนที่เป็นเจ้าของแหล่งท่องเที่ยว ขณะเดียวกันผลการศึกษาระบุว่า ผลประโยชน์การท่องเที่ยวยังไม่เพียงพอที่จะสังเกตเห็นได้ เนื่องจากการท่องเที่ยวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาใน Washington, NC

ตารางที่ 3 การวิเคราะห์ถดถอยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ

ปัจจัยอิสระ

ค่าเบต้า

ค่า t-statistic

แบบจำลองที่ 1 ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยว

       ค่าสถิติของแบบจำลอง                               Adjusted R-square = .435, F = 7.185, p = .00

       การได้รับผลประโยชน์ส่วนตัว

.656*

6.390

       การศึกษา

-.251

-1.778

       อายุ

-.144

-1.334

       การเป็นสมาชิกองค์กรของชุมชน

.045

.403

       ความยาวนานของการอาศัยอยู่ที่นี่

-.050

-.358

แบบจำลองที่ 2 ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงคุณภาพชีวิต

       ค่าสถิติของแบบจำลอง                                     Adjusted R-square = .507, F = 9.752, p = .00

       การได้รับผลประโยชน์ส่วนตัว

.697*

7.201

       การศึกษา

-.305*

-2.998

       อายุ

-.171

-1.623

       การเป็นสมาชิกองค์กรของชุมชน

-.049

-.381

       ความยาวนานของการอาศัยอยู่ที่นี่

.014

.103

* p < .05

เพื่อสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะทางสังคมเศรษฐกิจของผู้อยู่อาศัยกับทัศนคติของพวกเขา ที่มีต่อการท่องเที่ยว จึงได้ทำการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณดังแสดงในตารางที่ 3 ทำให้พบว่า ผลประโยชน์ส่วนบุคคลมีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับทั้งองค์ประกอบที่ 1 และ 2 แสดงว่าผลประโยชน์ส่วนบุคคลที่คาดหวังจากการท่องเที่ยวมีแนวโน้มมากขึ้น และเป็นเหตุผลของการปรับปรุงคุณภาพชีวิตที่เกิดจากการพัฒนาการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า การศึกษามีความสัมพันธ์เล็กน้อย แต่มีนัยสำคัญทางลบกับองค์ประกอบที่ 2 ในแบบจำลองที่ 2 ที่บ่งชี้ว่า ระดับการศึกษาที่เป็นทางการที่สูงขึ้นของผู้ตอบแบบสำรวจ มีโอกาสน้อยที่พวกเขาจะปรับปรุงคุณภาพชีวิตเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยว แบบจำลองที่ 1 อธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 43.5 และแบบจำลองที่ 2 อธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 50.7 เมื่อนำมารวมกันแบบจำลองที่ 1 และ 2 ชี้ให้เห็นว่า เมื่อมีการควบคุมลักษณะทางสังคมเศรษฐกิจของผู้อยู่อาศัย ผลประโยชน์ส่วนบุคคลเป็นเครื่องทำนายทัศนคติที่ดีต่อการท่องเที่ยว อีกทั้งการศึกษายังช่วยทำนายการรับรู้ของการท่องเที่ยวที่มีต่อคุณภาพชีวิตได้ด้วย

ตารางที่ 4 การทดสอบความป็นอิสระของปัจจัยเพศกับปัจจัยที่ 1 และปัจจัยที่ 2

เพศ

ค่าเฉลี่ย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ chi square symbol

p

ปัจจัยที่ 1 สนับสนุนการพัฒนาการท่องเที่ยวa

ชาย

3.93

.02

.818

หญิง

3.91

 

 

ปัจจัยที่ 2 สนับสนุนการก่อประโยชน์แก่ชุมชนb

ชาย

2.97

-.06

.587

หญิง

3.03

 

 

an = 120; bn = 121

 

เนื่องจากเพศเป็นตัวแปรแบบนามบัญญัติ (nominal variable) จึงทำการทดสอบความแตกต่างของทัศนคติต่อการท่องเที่ยวระหว่างชายและหญิงแตกต่างกันหรือไม่ ตามที่ระบุในตารางที่ 4 ไม่พบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในองค์ประกอบที่ 1 และ 2 ระหว่างเพศชายและเพศหญิง

อภิปรายผล

การศึกษาก่อนหน้านี้ TIAS ได้รับการระบุว่าเป็นเครื่องมือที่น่าเชื่อถือและมีความถูกต้องในการวัดทัศนคติต่อการท่องเที่ยวของประชาชนในสถานที่ต่างๆ ซึ่งรวมถึงแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ที่พัฒนาแล้ว (อย่างเช่น ฮาวาย ชาร์ลสตันในเซาท์แคโรไลนา นิวออร์ลีนส์ในหลุยส์เซียนา) แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติในภูมิภาค (อย่างเช่น Columbia River Gorge ของรัฐโอเรกอนและวอชิงตัน และ Penghu National Scenic Area ในไต้หวัน) และชุมชนเมืองขนาดใหญ่ (อย่างเช่น Nanaimo ในบริทิช โคลัมเบีย) ซึ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโตอย่างช้าๆ ผลของการศึกษาครั้งนี้ ช่วยเสริมสร้างข้อค้นพบจากการศึกษาก่อนหน้านี้ และบ่งชี้ว่า TIAS สามารถใช้เพื่อวัดทัศนคติที่มีต่อการท่องเที่ยวของผู้อยู่อาศัยในชุมชนเล็กๆ ที่การท่องเที่ยวยังไม่ปรากฏว่าเป็นภาคส่วนที่สำคัญทางเศรษฐกิจ

งานวิจัยนี้สนับสนุนหลักการของแบบจำลองความระคายเคือง และบ่งชี้ว่าผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ศึกษาโดยรวมมีทัศนคติที่ดีต่อการท่องเที่ยว ผลการวิจัย พบว่า พวกเขาสนับสนุนการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง และแสดงทัศนคติเชิงบวกต่อการพัฒนาและการวางแผนการท่องเที่ยวต่อไป เนื่องจากการพัฒนาการท่องเที่ยวเป็นเพียงในระยะเริ่มแรกเท่านั้น ผลกระทบด้านการท่องเที่ยวที่ไม่เอื้ออำนวยในวอชิงตันจึงยังไม่ปรากฏชัดเจนนัก การวิจัยนี้มีข้อจำกัดด้วยไม่สามารถระบุชัดได้ว่าทัศนคติของผู้อยู่อาศัยจะก้าวไปถึงความระคายเคืองที่จะส่งผลให้การสนับสนุนการท่องเที่ยวของประชาชนลดลง ได้หรือไม่ นอกจากนี้ ระดับการพัฒนาการท่องเที่ยวในปัจจุบันอาจอธิบายได้ว่า เพราะเหตุใดทัศนคติต่อการท่องเที่ยวจึงไม่แตกต่างกันไปตามอายุ เพศ และความผูกพันของชุมชน ผลลัพธ์ที่ได้นี้จึงสนับสนุนการยืนยันของ Dogan (1989) ที่เคยโต้แย้งว่า การตอบสนองต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวในระยะเริ่มต้นในพื้นที่ชนบทหรือพื้นที่กำลังพัฒนานั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวอาจมีลักษณะเป็นแบบแผนเดียวกัน

แม้ว่า อายุ เพศ และความผูกพันกับชุมชน จะไม่ได้รับการบ่งชี้ว่าเป็นปัจจัยกำหนดทัศนคติที่ต่อการท่องเที่ยวของผู้อยู่อาศัย แต่การรับรู้ผลประโยชน์ส่วนตัวกลับมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดเชิงบวกกับทัศนคติของผู้อยู่อาศัย ผลลัพธ์ที่ได้นีมีความสอดคล้องกับผลการวิจัยก่อนหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลประโยชน์ส่วนตัวมีความสัมพันธ์กับการสนับสนุนการพัฒนาการท่องเที่ยว และมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยว (McGehee et al. 2004) ผลลัพธ์ดังกล่าวสามารถอธิบายได้โดยทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคม ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว ทัศนคติในชุมชนเจ้าบ้านน่าจะดี เมื่อพวกเขาได้รับรู้ถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ มากกว่าการรับรู้ถึงผลกระทบที่ที่จะเกิดขึ้น นั่นถือได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนทางสังคมในเชิงบวก นอกจากนี้ การศึกษานี้ยังให้การสนับสนุนการค้นพบก่อนหน้านี้ ที่ว่าผู้มีการศึกษาสูงมีแนวโน้มที่จะแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านการท่องเที่ยว (Andriotis & Vaughn 2003)

ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า การได้รับการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวจากประชาชนในเมืองวอชิงตัน เอ็นซี และวางแผนการพัฒนาที่ดี จะทำให้หน่วยงานท้องถิ่นมีความมั่นใจว่าประชาชนมีความตระหนักถึงผลประโยชน์ระยะยาวของพวกเขา อันจะทำให้การพัฒนาการท่องเที่ยวมีความเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การวิจัยในอนาคตจึงควรระบุว่า ตัวแปรแสดงรายละเอียดของผู้อยู่อาศัยต่างๆ มีความสัมพันธ์กับทัศนคติที่มีต่อการท่องเที่ยวของพวกเขาในแต่ละขั้นตอนของการพัฒนาการท่องเที่ยวหรือไม่ อย่างไร และจะต้องชี้ให้ได้ว่าการท่องเที่ยวจะถึงเกณฑ์หรือไม่หลังจากการสนับสนุนของผู้อยู่อาศัยลดลง

สรุป

การศึกษานี้เป็นการตอกย้ำผลการวิจัยก่อนหน้านี้ และสนับสนุนหลักฐานที่ว่า TIAS เป็นเครื่องมือที่เชื่อถือได้ และมีความถูกต้องในการวัดทัศนคติต่อการท่องเที่ยวของผู้อยู่อาศัย นอกจากนี้ยังมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สามารถสนับสนุนสมมติฐานที่เกี่ยวข้องกับแบบจำลองความระคายเคืองและทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคม นอกจากนี้ ผลการศึกษายังแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่มีต่อการท่องเที่ยวในพื้นที่ศึกษา ที่บ่งชี้ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ ชื่นชอบการท่องเที่ยวค่อนข้างน้อยในระยะเริ่มแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การค้นพบหลายอย่างนี้เป็นการยืนยันว่า การให้ความรู้แก่ผู้อยู่อาศัยเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวเป็นสิ่งสำคัญ ควรได้รับการสนับสนุนทางการเมืองเพื่อที่จะส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของผู้อยู่อาศัยในการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต่อไป

 


Source: Wang, Yasong.; Pfi ster, Robert E.; and Morais, Duarte B. (2006). “RESIDENTSATTITUDES TOWARD TOURISM DEVELOPMENT: A CASE STUDY OF WASHINGTON, NCin Proceedings of the 2006 Northeastern Recreation Research Symposium GTR-NRS-P-14. Edited by Robert Burns and Karen Robinson., pp.411-418., April 9-11, 2006, Bolton Landing, New York.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น