การรับรู้ของประชาชนเจ้าของแหล่งท่องเที่ยว
Host Perceptions of Tourism
พัฒนา ราชวงศ์ อาศรมภูมิวิทยาศาสตร์
สาขาวิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
เป็นที่ทราบกันมานานว่า
ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการวางแผนการท่องเที่ยว
เพื่อให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยในบริเวณแหล่งท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็จะต้องลดต้นทุนการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวให้ต่ำที่สุดไปพร้อมๆ
กัน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ความสนใจทางวิชาการจะมุ่งไปสู่ประเด็นทางด้านผลกระทบทางสังคมของการท่องเที่ยวต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน
อีกทั้งยังต้องการสร้างความเข้าใจการรับรู้ของชุมชนที่เจ้าของแหล่งท่องเที่ยวและผลกระทบจากการรับรู้นั้นๆ
เป็นการเฉพาะ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสิ่งสำคัญเพิ่มมากขึ้นและขอบเขตการวิจัยขยายกว้างออกไป
แต่ขอบเขตของความเข้าใจการรับรู้ด้าน
การท่องเที่ยวของผู้อยู่อาศัยในแหล่งท่องเที่ยวยังคงมีความไม่แน่นอน ดังนั้น
จุดประสงค์ของการทบทวนความก้าวหน้าครั้งนี้ จึงต้องการสำรวจการพัฒนางานวิจัยเกี่ยวกับการรับรู้ด้านการท่องเที่ยวของผู้อยู่อาศัยในแหล่งท่องเที่ยว
โดยประเด็นสำคัญและแนวโน้มที่พบในวรรณกรรมต่างๆ ระบุถึงข้อจำกัดในการวิจัย
รวมถึงกรณีศึกษาย่อยๆ ที่ใช้วิธีการเชิงปริมาณ
การเน้นการรับรู้ที่ตรงกันข้ามกับการตอบสนอง และการวิจัยที่คัดแยกนักท่องเที่ยวออกจากคนกลุ่มใหญ่
เพราะเหตุนี้ จึงเป็นการหาแนวทางหลายมิติในการวิจัย
It has
long been recognised that it is incumbent on those responsible for the planning
of tourism to seek to optimise the well-being of
local residents whilst minimising the costs of tourism development. It is not
surprising, therefore, that academic attention has long been paid to the social
impacts of tourism in general and to the understanding of host communities’ perceptions
of tourism and its impacts in particular. Nevertheless,
despite the significant volume and increasing scope of the research, the extent to
which understanding of residents’ perceptions
of tourism has been enhanced remains uncertain. Thus, the
purpose of this Progress Review is to explore critically the development of the
research into residents’
perceptions of tourism. Highlighting
key themes and trends in the literature, it identifies
a number of limitations in the research, including a narrow case study base, a
dependence on quantitative methods, a focus on perceptions as opposed to
responses, and the exclusion of the tourist from the majority of the research. Consequently,
it argues for a multidimensional approach to the research.
1. บทนำ
พื้นฐานการพัฒนาที่ประสบความสำเร็จของการท่องเที่ยวคือความสัมพันธ์ที่สมดุลหรือกลมกลืนระหว่างนักท่องเที่ยวผู้คนและสถานที่ที่พวกเขาพบและองค์กรและธุรกิจที่ให้บริการด้านการท่องเที่ยว
(Zhang,
Inbakaran, & Jackson, 2006) กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า 'การเคลื่อนไหวอย่างสันติที่ใหญ่ที่สุดของผู้คน' (Lett,
1989: 277)
ในประวัติศาสตร์ทั้งภายในและข้ามเขตแดนของประเทศการท่องเที่ยวนับเป็นหนึ่งในการโอนถ่ายโอนความมั่งคั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก
รายได้และการจ้างงานของรัฐบาลการพัฒนาธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐานทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาในพื้นที่ปลายทางกว้างขึ้น
ดังนั้นบทบาทของการท่องเที่ยวในฐานะตัวแทนของการเติบโตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจจึงถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางและถูกลงโทษอย่างเป็นทางการ
(Jenkins, 1991, WTO, 1980)
อย่างไรก็ตามประโยชน์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจริงโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
การพัฒนาของการท่องเที่ยวเกิดขึ้นในระดับที่แตกต่างกันของผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมปลายทางและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนในท้องถิ่นที่ทำหน้าที่เป็น
"โฮสต์" ต่อนักท่องเที่ยว (Wall & Mathieson, 2006)
อันที่จริงชุมชนปลายทางต้องเผชิญกับ 'การพัฒนาภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
"(Telfer & Sharpley, 2008)
ในแง่หนึ่งจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนระหว่างผลประโยชน์ที่พวกเขารับจากการท่องเที่ยวและผลกระทบด้านลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนา
นอกจากนี้ตามที่ Andriotis และ Vaughan (2003: 172) สังเกตว่าหลายคนอ้างว่าการรับรู้ 'สมดุลของผู้อยู่อาศัย'
ของต้นทุนและผลประโยชน์ของการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยสำคัญในความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวและเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
' นั่นคือการสนับสนุนของชุมชนปลายทางสำหรับการท่องเที่ยวหรือสิ่งที่
Snaith และ Haley (1999: 597) เรียกว่า
'เจ้าภาพที่มีความสุข' ถือเป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากความสำเร็จและความยั่งยืนของภาคธุรกิจขึ้นอยู่กับความปรารถนาดีของชาวท้องถิ่น
(Jurowski และ Gursoy, 2004, Pérezและ
Nadal, 2005) ดังนั้นจึงเป็นที่แนะนำอย่างกว้างขวางว่าหากชุมชนท้องถิ่นรับรู้ต้นทุนการท่องเที่ยวเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ที่เกินดุลจากนั้นพวกเขาจะถอนการสนับสนุนเพื่อการท่องเที่ยวซึ่งคุกคามความสำเร็จในอนาคตและการพัฒนาภาค
(Lawson, Williams, Young, & Cossens, 1998)
ในทางปฏิบัติหลักฐานของการถอนตัวของการสนับสนุนการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่เป็นโฮสต์นั้นมี
จำกัด กล่าวอีกนัยหนึ่งการยืนยันจากนักวิจารณ์หลายคนว่าการรับรู้เชิงลบของการท่องเที่ยวในส่วนของชุมชนปลายทางอาจถูกแปลเป็นเชิงลบในทำนองเดียวกัน
(หรือตามที่ Doxey
(1975) แนะนำอย่างมีชื่อเสียงพฤติกรรมต่อต้านศัตรู)
ต่อนักท่องเที่ยวหรือภาคการท่องเที่ยว ในวรรณคดี อย่างไรก็ตามได้รับการยอมรับมานานว่าด้วยความสามารถในการ
'แทรกซึมชุมชนซึ่งแตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ ' (Harrill, 2004: 2)
จึงเป็นหน้าที่ของผู้ที่รับผิดชอบในการวางแผนการท่องเที่ยวเพื่อแสวงหาความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนปลายทาง
ในขณะที่ลดต้นทุนของการพัฒนาการท่องเที่ยว ดังนั้นจึงแนะนำมานานแล้วว่าทัศนคติและการรับรู้ของผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นควรแจ้งการวางแผนการท่องเที่ยวโดยตรง
(Ap, 1992) อุดมคติในการวางแผนการท่องเที่ยวแบบ 'ตอบสนองผู้อยู่อาศัย' (Vargas-Sánchez, Plaza-Mejía & Porras-Bueno, 2009)
จึงไม่แปลกที่ความสนใจด้านวิชาการได้รับผลกระทบทางสังคม
เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของการท่องเที่ยวโดยทั่วไปและเพื่อความเข้าใจในการรับรู้ของชุมชนท้องถิ่นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
งานวิจัยที่เก่าแก่ที่สุดบางส่วนกลับมาในช่วงปลายทศวรรษ 1970 (ตัวอย่างเช่น Pizam, 1978, Rothman, 1978, Thomason et al., 1979)
เนื่องจากเมื่อมีการตีพิมพ์งานจำนวนมากในเรื่องนี้
อันที่จริงในการเตรียมการทบทวนนี้การค้นหาวารสารเพียงสามฉบับ
(การจัดการการท่องเที่ยว, การวิจัยการท่องเที่ยวและวารสารการวิจัยการเดินทาง)
ตามคำสำคัญสี่คำ ('ถิ่นที่อยู่', 'การรับรู้',
'ทัศนคติ' และ 'การท่องเที่ยว') บทความที่เผยแพร่ทั้งหมด 1,070 บทความ
ในทุกโอกาสนี้แสดงให้เห็นถึงสัดส่วนที่ค่อนข้างเล็กของงานวิชาการที่ตีพิมพ์/ไม่ได้เผยแพร่ทั้งหมดเกี่ยวกับทัศนคติของผู้อยู่อาศัยที่มีต่อการท่องเที่ยว
แต่สะท้อนถึงความนิยมที่ยั่งยืนในฐานะจุดสนใจของการวิจัย ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ได้เป็นเพียงปริมาณงานที่เป็นที่ทราบ
เมื่อสองทศวรรษที่แล้ว John Ap แสดงความเสียใจต่อธรรมชาติที่ถูก
จำกัด
และเป็นคำอธิบายของการวิจัยที่มีอยู่มากมายซึ่งเรียกร้องให้มีการให้ข้อมูลเชิงทฤษฎีมากขึ้น:
'เว้นแต่นักวิจัยจะเริ่มต้นจากขั้นตอนการอธิบายเบื้องต้นของสถานะปัจจุบันของการวิจัย
ซึ่งการวิจัยได้รับการพัฒนาภายใต้กรอบทฤษฎีบางอย่างพวกเขาอาจไม่พบว่าตัวเองฉลาดในเวลาอีกสิบปี
'(Ap, 1990: 615)
ตั้งแต่นั้นมาและตามที่กล่าวในภายหลังในการตรวจสอบนี้ไม่เพียง
แต่มีขอบเขตของการวิจัยที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ความพยายามได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตั้งอยู่บนรากฐานทางทฤษฎีที่เข้มงวด
ทั้งปริมาณที่เพิ่มขึ้นและวิถีของมันตอนนี้ถึงเวลาที่จะทบทวนการพัฒนาของการวิจัยนี้
ดังนั้นจุดประสงค์ในวงกว้างของบทความนี้คือการพิจารณาว่ามีความคืบหน้าในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรับรู้และการตอบสนองต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวของชุมชนเจ้าบ้านหรือไม่หรือในความเป็นจริงเรายังคงเป็น
"ผู้ฉลาด"
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันพยายามที่จะตอบคำถามที่สำคัญจำนวนหนึ่งไม่น้อยกว่าขอบเขตที่ซึ่งบางคนแนะนำว่าการวิจัยสามารถสรุปให้เป็นแบบสากลหรือเข้าใจการรับรู้ของผู้อยู่อาศัย
(Draper
et al., 2011, Vargas-Sánchez et al., 2011)
และดังนั้นจึงแจ้งกรอบที่ใช้โดยทั่วไปเพื่อสนับสนุนการวางแผนและการจัดการการท่องเที่ยว
หรือการวิจัยอาจจะยังคงเป็นแหล่งรวมของการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับบริบทของการศึกษาแต่ละครั้งหรือไม่
ในการทำเช่นนั้นกระดาษมีวิวัฒนาการของการวิจัยเน้นประเด็นสำคัญและวิธีการและสำรวจทิศทางและความท้าทายในอนาคต
อย่างไรก็ตามภารกิจแรกคือการทบทวนแนวคิดการท่องเที่ยว - โฮสต์โดยสังเขปสั้น ๆ
เพราะนี่คือบริบทที่การศึกษาการรับรู้ของผู้อยู่อาศัยหรือควรจะอยู่
2. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยวกับประชาชนที่เป็นเจ้าของบ้าน
แม้ว่าจะมีคำนิยามหลากหลาย แต่การท่องเที่ยวก็ได้รับการกำหนดเป็นกรอบแนวคิดมานานแล้วว่าเป็น
“แก่นสารของความสัมพันธ์ที่เกิดจากการเดินทางและการพักแรมของบุคคลภายนอก” (Hunziker & Krapf, 1942: 21 อ้างถึงใน Dann
& Parrinello, 2009: 15) นั่นคือ การท่องเที่ยวเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ถูกกำหนดโดยผลพวงจากการเดินทางของผู้คน
และการเข้ามาพักชั่วคราวในสถานที่ที่อยู่ห่างจากที่อยู่อาศัยปกติของพวกเขา การท่องเที่ยวเป็นปฏิสัมพันธ์ของประชาชนกับสถานที่อื่นและบุคคลอื่น
ซึ่งได้รับประสบการณ์ที่อาจมีอิทธิพลต่อทัศนคติ ความคาดหวัง ความคิดเห็น และวิถีชีวิตของพวกเขาเอง
(Sharpley, 2008: 1–2) ดังนั้น หลักการพื้นฐานของการท่องเที่ยวจึงอาจเรียกได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณแหล่งท่องเที่ยวกับแขกผู้มาเยือน
(Smith,
1977) ลักษณะที่อาจเป็นตัวกำหนดขอบเขตที่นักท่องเที่ยวประสบความสำเร็จหรือต้องการเติมเต็มประสบการณ์
(Reisinger & Turner, 2002) และในทางกลับกัน ระดับของผลกระทบที่เป็นไปในทางบวกหรืออย่างอื่น
อาจเกิดกับชุมชนเจ้าของแหล่งท่องเที่ยวหรือเกิดกับผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ปลายทางของการท่องเที่ยว
และเกิดการรับรู้ที่มีต่อการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยว แม้ว่าการศึกษาบางฉบับจะได้สำรวจการรับรู้ต่อการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว (Keogh, 1990, Mason และ Cheyne, 2000, Nepal, 2008)
แต่ก็มีเหตุผลที่จะแนะนำเพื่อบ่งชี้และอธิบายชุมชนท้องถิ่นเกี่ยวกับการรับรู้และการตอบสนองต่อการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยว
ซึ่งงานวิจัยควรอยู่ในกรอบแนวคิดของความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนผู้อาศัยอยู่ ณ
แหล่งท่องเที่ยว กับนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม บทความนี้จะเปิดเผยให้เห็นถึงกรณีที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก ดังที่ Woosnam (2012: 315) ได้ตั้งข้อสังเกต
'ปัจจุบันนี้วรรณกรรมเกี่ยวกับทัศนคติของผู้อยู่อาศัยในบริเวณแหล่งท่องเที่ยว
มักไม่ได้พิจารณาถึงความรู้สึกของผู้อยู่อาศัยระดับบุคคลที่มีต่อนักท่องเที่ยว ซึ่งอาจจะมีอิทธิพลต่อทัศนคติต่อการท่องเที่ยวอย่างใดอย่างหนึ่ง
แม้ว่า 'การท่องเที่ยว' และ 'นักท่องเที่ยว' มักเป็นคำที่ถูกนำมาใช้ในวรรณกรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวบ่อยๆ
ก็ตาม แต่การศึกษาส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับทัศนคติของผู้อยู่อาศัยต่อสิ่งที่อาจเรียกว่าการพัฒนาการท่องเที่ยวและผลประโยชน์/ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยว
ในทางกลับกัน ทัศนคติที่มีต่อนักท่องเที่ยวซึ่งอาจจะค่อนข้างแตกต่างจากที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการท่องเที่ยวไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึง
แน่นอนว่าบริบทภายในที่ความสัมพันธ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแตกต่างกันไปแทบไม่
จำกัด ตั้งแต่ขั้นตอน ขนาด และประเภทของการพัฒนาการท่องเที่ยว หรือความคาดหวัง/พฤติกรรมของนักท่องเที่ยว
ไปจนถึงโครงสร้างและลักษณะทางสังคมของปลายทางการท่องเที่ยว (Pearce, 1994) อันที่จริงแล้ว การวิจัยส่วนใหญ่ได้มีการระบุถึงตัวแปรเหล่านี้ที่อาจเป็นตัวกำหนดการรับรู้การท่องเที่ยวที่แตกต่างกันของประชาชนผู้อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว โดยการศึกษาที่มีอยู่ในระยะแรกๆ จะให้ความสนใจต่อความสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยวกับประชาชนผู้อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว ด้วยการพยายามสร้างแบบจำลองโครงสร้าง และการกำหนดรูปแบบการเผชิญหน้าระหว่างนักท่องเที่ยวและคนในท้องถิ่นเพื่อเป็นพื้นฐานในการทำนายสภาวการณ์อันสมมาตรของพวกเขา
ดังเช่นที่ Sutton (1967) ระบุลักษณะการเผชิญหน้าส่วนใหญ่ที่พบ
5 รูปแบบ ได้แก่ การติดต่อชั่วคราวของทั้งสองฝ่ายที่แสวงหาความพึงพอใจในทันที
การเผชิญหน้ากันที่ถือเป็นประสบการณ์ใหม่หรือเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติสำหรับนักท่องเที่ยว
การติดต่อกันเพื่อธุรกิจตามปกติธรรมดาสำหรับประชาชนในท้องถิ่น
ความแตกต่างทางวัฒนธรรมอยู่กันของทั้งสองฝ่าย และโดยภาพรวมแล้วการเผชิญหน้ากันมักเกิดภาวะที่ไม่สมดุล
ทำนองเดียวกันงานวิจัยของยูเนสโกรายงานว่า การเผชิญหน้าระหว่างนักท่องเที่ยวและประชาชนที่เป็นเจ้าของบ้านนั้น
เป็นไปในลักษณะชั่วคราว อยู่ภายใต้เงื่อนไขของเวลาและพื้นที่ และเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมและไม่เป็นไปตามธรรมชาติ
(UNESCO,
1976: 82) สรุปแล้ว งานวิจัยทั้งสองฉบับนี้ต่างให้ความสนใจการเผชิญหน้าระหว่างนักท่องเที่ยวและประชานในท้องถิ่นในประเด็นที่จะต้องนำไปจัดการแหล่งท่องเที่ยว
อีกนัยหนึ่งการเผชิญหน้าไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ภายในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว
(โรงแรม/ร้านอาหาร/ร้านค้า/ตลาด/ชายหาด และอื่นๆ) แต่ยังรวมถึงการเผชิญหน้าของนักท่องเที่ยวกับและผู้คนที่ทำงานในภาคการท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการด้วย
ซึ่งทั้ง Sutton และ UNESCO อธิบายล้วนเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเผชิญหน้าซึ่งเกิดขึ้นในสามหลักการแรกที่
de Kadt (1979: 50) เคยกล่าวเอาไว้ คือ “นักท่องเที่ยวจับจ่ายสินค้าหรือบริการจากประชาชนผู้อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว” “นักท่องเที่ยวและประชาชนผู้อาศัยอยู่ ณ แหล่งท่องเที่ยว ต่างพบตัวเองยืนอยู่เคียงข้างกันและกัน”
และ “สองฝ่ายเผชิญหน้ากันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือความคิด”
มีจุดสนใจสองสามประการ ประการแรก รูปแบบและลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนในท้องถิ่นกับนักท่องเที่ยวที่แตกต่างกันหลายอย่างจากโครงสร้าง
การแลกเปลี่ยนเชิงพาณิชย์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ การพบประกันโดยบังเอิญ หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ที่ไม่มีการติดต่อหรือการสื่อสารเลย
(เนื่องจากมีข้อจำกัดเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ร่ววมกัน)
ความแตกต่างดังกล่าวได้รับการยอมรับมานานแล้ว ตัวอย่างเช่น Krippendorf
(1987) ยอมรับว่า ผู้อยู่อาศัยอยู่ ณ ปลายทางของการท่องเที่ยว ไม่ได้จัดตั้งกลุ่มที่เป็นเนื้อเดียวกัน
จึงได้นำเสนอว่ามีผู้อาศัยอยู่ ณ แหล่งท่องเที่ยวในบริบททางธุรกิจ 4 ประเภท คือ 1) ผู้ที่อยู่ในภาคธุรกิจโดยตรงที่มีการติดต่อกับนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง
2) ผู้ที่สัมผัสกับนักท่องเที่ยวอย่างไม่เป็นรูปแบบแลไม่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งหลาย
3) ผู้ที่สัมผัสนักท่องเที่ยวเป็นประจำ แต่มีผลประโยชน์เพียงบางส่วนเท่านั้นที่ได้รับจากการท่องเที่ยว
และ 4) ผู้ที่ไม่มีการติดต่อกับนักท่องเที่ยวเลย
ในทำนองเดียวกันมันเป็นไปได้ที่จะกำหนดแนวความคิดที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยวกับประชาชนเจ้าของแหล่งท่องเที่ยวให้วางอยู่บนระนาบที่ต่อเนื่อง
แต่โดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับลักษณะของการติดต่อและอิทธิพลที่ตามมาในการรับรู้ของเจ้าของแหล่งท่องเที่ยว
มากกว่าที่จะเป็นไปตามบริบทเฉพาะทางธุรกิจอย่างที่ Krippendorf เคยนำเสนอ (ดูภาพที่ 1)
ภาพที่ 1 ความสัมพันธ์ต่อเนื่องระหว่างนักท่องเที่ยวกับประชาชนที่อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว
หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องนี้
จะเป็นการลดรายละเอียดที่เป็นจริงของลักษณะอันซับซ้อนและแปรปรวนของการเผชิญหน้าระหว่างนักท่องเที่ยวและประชาชนที่เป็นเจ้าของแหล่งท่องเที่ยว
ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเน้นให้เห็นรูปแบบที่แตกต่างกันของการเผชิญหน้าดังกล่าว และที่สำคัญคือบทความนี้ต้องการแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวและการรับรู้ของประชาชนที่อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว อาจได้รับอิทธิพลจากความสัมพันธ์เหล่านั้น (Krippendorf,
1987: 46–47) ที่สุดแล้ว ผู้ที่มีส่วนร่วมแลกเปลี่ยนเชิงพาณิชย์กับนักท่องเที่ยวเป็นประจำ
อาจส่งผลโดยตรงต่อระดับความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว ขณะที่ตัวเองก็จะได้รับผลกระทบจากทัศนคติและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว
จึงเป็นกลุ่มประชาชนในท้องถิ่นที่มีความสำคัญที่สุดในแง่ของความเข้าใจการรับรู้และการตอบสนองต่อการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยว
ในทางกลับกัน อีกขั้วหนึ่งประชาชนผู้อยู่อาศัยอยู่ ณ แหล่งท่องเที่ยว จะใช้พื้นที่ร่วมกับนักท่องเที่ยว
แต่ผู้ที่ไม่ได้มาติดต่อสัมพันธ์โดยตรงกับนักท่องเที่ยว ก็จะมีแนวโน้มที่จะมีอิทธิพลต่อประสบการณ์การท่องเที่ยวน้อยลง
ด้วยความที่ไม่ได้คำนึงถึงการรับรู้การท่องเที่ยวมากนัก
ความเข้าใจเกี่ยวกับการรับรู้ทั้งหลายของกลุ่มหลังนี้ จึงมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา
แต่ด้วยความไม่ใส่ใจในเนื้อหาสาระจึงทำให้ความสำเร็จที่จะเกิดจากการท่องเที่ยวเป็นไปได้ยาก
ประการที่สอง มีสิ่งสำคัญที่จะต้องบันทึกเอาไว้ว่าความสัมพันธ์กันบนความต่อเนื่อง
ณ จุดที่มีการแลกเปลี่ยนเชิงพาณิชย์นี้ อาจอธิบายได้ว่าเป็นวัฒนธรรมการท่องเที่ยวที่จำกัด
(liminal tourism culture) (Reisinger
& Turner, 2003)
นั่นคือ แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะคาดหวัง แสดงพฤติกรรม และมีอคติต่อวัฒนธรรมของกันและกัน
แต่สิ่งเหล่านี้อาจถูกระงับชั่วคราวเพื่อแสดงออกถึงการรับรู้ร่วมกันถึงลักษณะของการเผชิญหน้าแบบธุรกิจของคนในท้องถิ่น
ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับนักท่องเที่ยว ผลที่ตามมาไม่เพียงแต่เป็นการอธิบายถึงนักท่องเที่ยวในฐานะ
'แขก' ส่วนประชาชนคนท้องถิ่นเป็น
'เจ้าของบ้าน' 'ลูกค้า' และ 'ผู้ให้บริการ' ซึ่งนี้เองที่อาจเป็นคำอธิบายที่ถูกต้องมากขึ้น
(ดู Aramberri, 2001) - แต่ยังขอบเขตที่คนท้องถิ่น
การตอบสนองต่อทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อนักท่องเที่ยวอาจถูกจำกัดโดยบริบทของการเผชิญหน้า
แม้ว่าพวกเขาอาจมีทัศนคติเชิงลบต่อนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม แต่พวกเขาก็อาจระงับทัศนคติเช่นนี้เอาไว้
เพื่อประโยชน์ในการให้บริการหรือสร้างผลกำไรที่ดีให้กับตัวเอง ตัวอย่างเช่น การศึกษารีสอร์ทในตุรกีของ
Reisinger, Kozak & Visser (2013)
ที่พบว่า ผู้ประกอบการโรงแรมในท้องถิ่นส่วนใหญ่ มีทัศนคติเชิงลบต่อนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย
แต่เพื่อให้บรรลุสู่ความสำเร็จพวกเขาจึงเรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างพวกเขาและแขกต่างประเทศของพวกเขาได้ค่อนข้างดี
ในระยะสั้น การตอบสนองของคนท้องถิ่นต่อนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีส่วนร่วมในภาคการท่องเที่ยว
มีแนวโน้มที่จะถูกกำหนดโดยพื้นฐานเชิงพาณิชย์ของการเผชิญหน้ากับนักท่องเที่ยวมากกว่าสะท้อนทัศนคติที่แท้จริงของพวกเขาต่อพวกเขา
ประการที่สาม ลักษณะหรือโครงสร้างที่แตกต่างกันของความสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยว
และความแตกต่างกันของสมาชิกชุมชน ณ แหล่งท่องเที่ยว
ล้วนมีนัยยะสำคัญต่อการวางกรอบทฤษฎีที่จะนำมาทำการวิเคราะห์การรับรู้ของชุมชนเจ้าของแหล่งท่องเที่ยว
ที่แตกต่างกันมีผลกระทบต่อกรอบทางทฤษฎีภายในการรับรู้ของชุมชนเจ้าบ้าน
ดังที่ระบุไว้ข้างต้นว่าตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 ที่มีการศึกษาจำนวนเพิ่มมากขึ้นที่ได้พยายามดึงทฤษฎีและแนวคิดที่เป็นที่ยอมรับมาใช้เป็นกรอบ
อย่างเช่นทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคม (social
exchange theory) ซึ่ง Ap (1992) ได้กล่าวถึงอย่างรายละเอียดว่าเป็นกรอบความคิดที่เป็นประโยชน์สำหรับการวิจัยที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม
ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมโดยคำนิยามแล้ว เป็นความสนใจเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนทรัพยากรหรือสัญลักษณ์ระหว่างคนหรือกลุ่มบุคคล
คือความปรารถนาที่จะวิเคราะห์กระบวนการแลกเปลี่ยนโดยสมัครใจระหว่างนักท่องเที่ยวและประชาชนที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่น
ในกรณีที่ไม่มีการแลกเปลี่ยนดังกล่าว
(ตัวอย่างเช่นที่ผู้อยู่อาศัยใช้พื้นที่ร่วมกันแต่ไม่ได้ติดต่อหรือสื่อสารกับนักท่องเที่ยว)
– หรือในกรณีที่บ่อยครั้งการวิจัยมุ่งเน้นไปที่ฝ่ายเดียว เฉพาะประชาชนที่อยู่ในท้องถิ่นเท่านั้น
(Woosnam, 2012) ซึ่งการนำเสนอทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมเพื่อให้เข้าใจการรับรู้ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่น
จึงเป็นสิ่งน่าสงสัยและเป็นกรอบแนวคิดทางเลือกอีกอย่างหนึ่ง ที่อาจมีความเหมาะสมมากกว่า อย่างเช่นทฤษฎีการเป็นตัวแทนทางสังคม
(social representation theory) (Andriotis
& Vaughan, 2003)
กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัยเกี่ยวกับการรับรู้ด้านการท่องเที่ยว
อาจพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติมได้ดังต่อไปนี้
อย่างไรก็ตามประเด็นสำคัญสำหรับตอนนี้ ก็คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยวกับประชาชนที่อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยวนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนและมีหลายมิติ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างนักท่องเที่ยวและสมาชิกของชุมชน
ซึ่งแตกต่างกันไปตามบริบท บทบาท ความคาดหวัง และอื่นๆ ในขั้วด้านหนึ่งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่น
อาจมีปฏิสัมพันธ์กันบ่อยครั้งและเต็มรูปแบบต่อการรับรู้และตอบสนองต่อการความสัมพันธ์แบบเผชิญหน้า
รวมถึงความสำคัญกับการทำความเข้าใจที่มีความจำเป็นในการสร้างจินตนาการถึงสิ่งต่างๆ
อีกขั้วหนึ่ง การรับรู้ต่อการท่องเที่ยวของประชาชนในท้องถิ่นอาจขึ้นถูกจำกัดของการติดต่อกับนักท่องเที่ยวที่แท้จริง
ดังนั้น การแลกเปลี่ยนจึงอาจเป็นรูปธรรมน้อยและอาจไม่มีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันเลย
อย่างไรก็ตาม ทุกรูปแบบของปฏิสัมพันธ์ล้วนต้องการการวิจัยและการสร้างความเข้าใจ
ถึงแม้ว่างานวิจัยต่างๆ ที่ถูกนำมาพิจารณาแล้วจะมีอยู่อย่างจำกัดก็ตาม กล่าวคือ ความสนใจที่มีอย่างต่อเนื่องและมีการพิมพ์เผยแพร่เป็นกรณีศึกษาและเป็นกรอบแนวความคิดเพิ่มมากขึ้น
ทำให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อการรับรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวของประชาชนที่อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว
3. วิวัฒนาการของการวิจัยการรับรู้ของประชาชนที่อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว
ตั้งแต่ทศวรรษ
1960 เป็นต้นมา การท่องเที่ยวได้สร้างความขัดแย้งด้านสิ่งแวดล้อมหลายอย่าง (Dowling,
1992) ยิ่งมีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับศักยภาพของการท่องเที่ยวแล้ว
ก็จะต้องความตระหนักถึงต้นทุนอันจะเกิดจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
อย่างรอบคอบให้มากขึ้นตามไปด้วย (de Kadt, 1979; Turner & Ash, 1975; Young, 1973) อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการตอบสนองต่อการท่องเที่ยวของชุมชนท้องถิ่น บางทีอาจเป็นข้อเสนออันยอดเยี่ยมของ
Doxey (1975) ที่ได้รับการอ้างอิงอย่างกว้างขวาง
(เท่าๆ กับที่มีข้อสงสัย) คือ แบบจำลองความเป็นปรปักษ์ (irridex’ model) ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการวิจัยการรับรู้ของประชาชนที่อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว ตั้งแต่นั้นมา 'งานวิจัยเกี่ยวกับทัศนคติของการท่องเที่ยว
... [กลายเป็น] ... หนึ่งในประเด็นสำคัญของการศึกษาวิจัยที่เป็นระบบและดีมากที่สุดของการท่องเที่ยว'
(McGehee & Anderek, 2004: 132) ซึ่งถูกผลักจากความเชื่อที่ว่า
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรับรู้และการสนองของประชาชนที่อาศัยอยู่ ณ
แหล่งท่องเที่ยว เป็นพื้นฐานนำไปสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวให้ประสบผลสำเร็จและมีความยั่งยืนเกิดขึ้น
สิ่งเหล่านี้เป็นการขยายการวิจัยไปสู่การรับรู้และทัศนคติของผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยวหรือชุมชนที่มีต่อการท่องเที่ยว
ซึ่งการทบทวนทั้งหมดทั้งมวลคงเป็นไปได้ยาก และเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม วัตถุประสงค์ของบทความบทนี้
ต้องการที่จะบ่งชี้แนวโน้ม ประเด็นหลัก
และสารัตถะของการวิจัยที่อาจจะใช้เป็นตัวอย่างจากการศึกษาวิจัยที่มีค่อนข้างจำกัด
การทบทวนงานวิจัยต่างๆ ต่อไปนี้
จึงเป็นการศึกษาที่ไม่เพียงแต่ถูกอ้างถึงมากที่สุดว่าเป็นการศึกษาทัศนคติ/การรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1970
เป็นต้นมาเท่านั้น
แต่ยังมีความสำคัญที่เป็นการสร้างรากฐานการศึกษาที่เกี่ยวเนื่องกันให้เกิดขึ้นอย่างน่าสนใจ ยิ่งกว่านั้น ยังมีการรวมงานล่าสุดเพื่อแสดงให้เห็นถึงการมุ่งเน้นการขยายและการสนับสนุนแนวคิดของการวิจัยเพื่อติดตามการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของการวิจัยเกี่ยวกับการรับรู้ของการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริบทการพัฒนาการวางแผนและการจัดการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม เราควรจะตรวจสอบและทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเสียก่อน
ประการแรก
การท่องเที่ยวร่วมสมัยเติบโตและเป็นนานาชาติต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญ คือ
มีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะประเทศพัฒนาน้อยที่นำนักท่องเที่ยวเข้าแต่ละปีมากกว่า 1 พันล้านคน ในปี
2012 มีมากกว่า 70 ประเทศที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าประเทศได้มากกว่า 1 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ด้วยขนาด
ขอบเขต และความสำคัญระดับนี้ มันไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงงานวิจัยที่เกี่ยวกับการรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว ตรงกันข้ามกับงานวิจัยที่ Nunkoo and Gursoy (2012) รวบรวมเอาไว้ โดยพบว่างานวิจัยจำนวนมากทำอยู่ในประเทศพัฒนาแล้ว
ดังเห็นได้ในตารางที่ 1 ที่มีงานวิจัยหลายฉบับทำในอเมริกาเหนือ
และมีบ้างในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักร
จากรายการที่แสดงเอาไว้ในตารางที่ 1 ข้างล่างนี้
จะเห็นได้ว่ามีงานวิจัยที่ประเทศฟิจิ (King, Pizam, & Milman, 1993) กานา (Amuquandoh, 2010; Teye et al., 2002) ตุรกี (Tosun, 2002)
อูกานดา (Lepp, 2007) มาริทุส (Zamani-Farahani
& Musa, 2012) เกาหลี (Ko & Stewart, 2002)
และลัตเวีย (Upchurch & Teivane, 2000)
ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ไม่ได้แสดงไว้ในตารางที่ 1
ก็มีอีก เช่น การวิจัยในประเทศไซปรัส (Akis, Peristianis, & Warner, 1996) และอิตาลี (Canosa, Brown, & Bassan, 2001)
ก็ยังมีการศึกษาวิจัยที่เน้นการวิเคราะห์การรับรู้ของประชาชนผู้อาศัยอยู่ ณ
แหล่งท่องเที่ยว และความสัมพันธ์กับการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งที่นักวิจัยไม่ค่อยสนใจภูมิภาคหรือปลายทางการท่องเที่ยวสำคัญ
อย่างแคริบเบียนและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยกเว้นจะมีก็แค่การศึกษาของ Pérez & Nadal (2005) ขณะที่การท่องเที่ยวในประเทศกำลังพัฒนากลับถูกมองข้ามไปอย่างมากเช่นกัน
ดังนั้น ปลายทางที่มีการท่องเที่ยวโดดเด่น และ/หรือ ที่มีระบบเศรษฐกิจพึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ
และสถานที่ที่มีประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว ที่อาจมีความอ่อนไหวมาก
จึงจำเป็นจะต้องขยายงานวิจัยเข้าไปให้ทั่วถึง
ตารางที่ 1 การรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว - ลักษณะของงานวิจัยที่สำรวจพบ
|
นักวิจัย |
กรณีศึกษา, ประเทศ |
ขนาดตัวอย่าง |
วิธีวิจัย |
กรอบแนวความคิด |
|
|
Lake Bosomtwe Basin, Ghana |
628 |
Quantitative: household survey |
Symbolic intercationism |
||
|
Arizona (state-wide), USA |
695 |
Quantitative: postal survey |
Social exchange theory |
||
|
Factor analysis |
|||||
|
Arizona (state-wide), USA |
695 |
Quantitative; postal and phone
survey |
Quality of Life |
||
|
Factor analysis |
|||||
|
Crete: four urban areas |
194 |
Quantitative: face-to-face interviews |
Social exchange theory/Social representations theory |
||
|
Cluster analysis |
|||||
|
Darwin, Australia |
200 |
Quantitative: self-administered questionnaire |
n/a |
||
|
Factor analysis |
|||||
|
Santa Marta, Colombia |
108 |
Quantitative: interview via questionnaire |
n/a |
||
|
Factor analysis |
|||||
|
Colorado, USA: Los Caminos Antiguos Byway |
329 |
Quantitative: postal survey |
Cultural benefit/disbenefit |
||
|
Balearic Islands |
791 |
Quantitative: questionnaire survey – scaled items |
Social exchange theory/Theory of reasoned action |
||
|
Canada: tertiary education students |
125 |
Quantitative: questionnaire survey |
n/a |
||
|
University of Hawaii |
90 |
Quantitative: self-administered |
n/a |
||
|
questionnaire – scaled items |
|||||
|
Isle of Skye, Scotland |
123 |
Quantitative: structured interviews |
n/a |
||
|
Dawlish (seaside resort) UK |
12 |
Qualitative: interviews |
n/a |
||
|
Connecticut, USA |
203 |
Quantitative: telephone survey |
Attitude-behaviour model |
||
|
Factor analysis |
|||||
|
Florida |
415 |
Quantitative: postal survey |
n/a |
||
|
Cluster analysis |
|||||
|
South Carolina, USA: two counties |
994 |
Quantitative: self-administered and postal survey |
Tourism Use History |
||
|
Gold Coast, Australia (Gold Coast Indycar event) |
337 |
Quantitative: face-to-face survey |
Social representations theory |
||
|
Cluster analysis |
|||||
|
Sunshine Coast, Australia |
n/a |
Quantitative: survey |
n/a |
||
|
Structural equation modelling |
|||||
|
USA: Rural counties surrounding a
national Recreation Area (not specified) |
776 |
Quantitative: postal survey |
n/a |
||
|
Invariance testing |
|||||
|
Virginia, USA: Rural counties surrounding a
national Recreation |
776 |
Quantitative: postal survey |
n/a |
||
|
Structural modelling |
|||||
|
Washington and Idaho, USA |
290 |
Quantitative: survey |
n/a |
||
|
Structural modelling |
|||||
|
Samos, Greece |
85 |
Quantitative: pre-structured questionnaire |
n/a |
||
|
Factor analysis |
|||||
|
Island community, Alaska, |
200
(1995) 385 (2001) |
Quantitative longitudinal study: postal surveys |
Cohort analysis |
||
|
Factor analysis |
|||||
|
Livingstone, Zambia |
195 |
Quantitative: questionnaire survey – scaled items |
n/a |
||
|
Shoshone County (Silver Valley), Idaho, USA |
349 |
Quantitative: secondary data and survey, scaled
items |
n/a |
||
|
Mt Rogers NRA, Virginia, USA |
776 |
Quantitative: postal survey |
Social exchange theory |
||
|
Virginia, USA |
327 |
Quantitative: postal survey |
Quality of life |
||
|
Factor analysis |
|||||
|
Nadi, Fiji |
199 |
Quantitative: structured interviews |
n/a |
||
|
Variance analysis |
|||||
|
Cheju Island, Korea |
732 |
Quantitative: postal survey |
n/a |
||
|
Structural equation modelling |
|||||
|
Belek, Antalya, Turkey |
167 |
Quantitative: structures interviews |
n/a |
||
|
Variance analysis |
|||||
|
Colunbia River Gorge, Oregon and
Washington, USA |
1436 |
Quantitative: postal questionnaire |
n/a |
||
|
Factor analysis |
|||||
|
New Zealand, 10 towns |
1056 |
Quantitative: postal questionnaire |
n/a |
||
|
Bigodi, Uganda |
48 |
Qualitative: interviews |
n/a |
||
|
Oregon, USA (coastal communities) |
945
(phone) |
Quantitative: phone and postal survey |
n/a |
||
|
571(mail) |
Structural equation modelling |
||||
|
Hawaii |
636 |
Quantitative: postal survey |
n/a |
||
|
Hawaii, North Wales, Istanbul |
636 |
Quantitative: postal; survey and structured
interview |
n/a |
||
|
54 |
|||||
|
461 |
Factor analysis |
||||
|
Colorado, USA: 28 rural communities |
Approx
1300 |
Quantitative: self administered questionnaire – scaled items |
n/a |
||
|
Factor analysis |
|||||
|
Sedona, Arizona, USA |
428 |
Quantitative: postal survey |
n/a |
||
|
York, UK |
315 |
Cluster analysis |
|||
|
Pohangina Valley, North Island,
New Zealand |
124 |
Quantitative: postal survey |
n/a |
||
|
Montana, USA |
1128 |
Quantitative: postal survey – scaled items |
n/a |
||
|
Arizona, USA: 12 rural communities |
1403 |
Quantitative: self-administered questionnaires- scaled items |
Social exchange theory |
||
|
Valemount, BC, Canada |
85 |
Quantitative: face-to-face questionnaires |
n/a |
||
|
Mauritius |
300 |
Quantitative: self-administered questionnaire |
Social exchange theory; identity
theory |
||
|
Wales |
307 |
Quantitative: on-line survey |
Identity |
||
|
Structural equation modelling |
|||||
|
Colorado, USA: 5 rural communities |
264 |
Quantitative: self-administered questionnaire |
n/a |
||
|
Correlation analysis |
|||||
|
Colorado, USA: 16 rural communities |
1346 |
Quantitative self-administered questionnaire |
n/a |
||
|
Factor analysis |
|||||
|
Balearic Islands |
791 |
Quantitative: postal survey |
n/a |
||
|
Cluster analysis |
|||||
|
Victoria, Australia |
560 |
Quantitative: postal surveys |
n/a |
||
|
Variance analysis and spatial
preferences |
|||||
|
Alberta and BC, Canada |
1004 |
Quantitative: phone survey |
n/a |
||
|
Variance analysis |
|||||
|
Cairns, Australia |
508 |
Quantitative: structured interview |
n/a |
||
|
Bakewell, Derbyshire, UK |
101 |
Quantitative: administered and postal surveys |
|||
|
59 |
Factor/cluster analysis |
||||
|
North Wales |
54 |
Quantitative: postal survey |
n/a |
||
|
Factor analysis |
|||||
|
Sunshine Coast, Australia |
732 |
Quantitative: letter box drop survey |
n/a |
||
|
Factor/variance analysis |
|||||
|
Utah/Idaho, USA |
528 |
Quantitative: self-administered survey |
n/a |
||
|
Variance analysis |
|||||
|
Cape Coast and Elmina, Ghana |
464 |
Quantitative: structured interviews |
n/a |
||
|
Variance analysis |
|||||
|
Urgup, Turkey |
241 |
Quantitative: household survey |
n/a |
||
|
Factor analysis |
|||||
|
Riga, Latvia |
250 |
Quantitative: survey – scaled items |
n/a |
||
|
Huevla, Spain |
400 |
Quantitative: survey – scaled items |
n/a |
||
|
Variance analysis |
|||||
|
Washington, North Carolina, USA |
130 |
Quantitative: postal survey |
Social exchange theory |
||
|
Regression analysis |
|||||
|
10 towns, New Zealand |
1062 |
Quantitative: postal survey |
n/a |
||
|
Cluster analysis |
|||||
|
Galveston, County, Texas, USA |
446 |
Quantitative: self-completion questionnaire – scaled items |
Emotional solidarity |
||
|
Melbourne, Australia |
1022 |
Quantitative: postal survey |
n/a |
||
|
Masooleh and Sare’in, Iran |
500 |
Quantitative: survey- scaled items |
n/a |
||
ประการที่สอง
การศึกษาจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกาเหนือ มุ่งเน้นไปที่การท่องเที่ยวภายในประเทศ
ซึ่งตามที่ระบุไว้ในตารางที่ 1 นั้น
จะเห็นได้ว่ามีค่อนข้างน้อยที่เป็นการท่องเที่ยวนานาชาติ ซึ่งตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ของการศึกษาแต่ละเรื่อง
ก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพียงแต่ว่า การรับรู้และทัศนคติของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว อาจได้รับอิทธิพลจากลักษณะของการท่องเที่ยว/นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อต้องอยู่ในสภาพแตกต่างทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในการท่องเที่ยวนานาชาติ จึงมีประเด็นน่าสงสัยที่จะต้องทำวิจัยต่อไปอีก
และประการที่สาม
การวิจัยส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับการรับรู้ด้านการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ
แหล่งท่องเที่ยว ใช้วิธีการศึกษาเชิงปริมาณ (quantitative methods)
อย่างที่ได้แสดงรายละเอียดเชิงลึกเอาไว้สองบทความของ Deery, Jago, &
Fredline (2012) และ Nunkoo, Smith
& Ramkissoon (2013)
ในตารางที่ 1 ที่แสดงเท่านั้น ที่เป็นการทำงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยทั่วไปแล้ว
การวิจัยจะเป็นการสำรวจข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยแบบสอบถาม ที่มีรูปแบบคำถามหลากหลาย
ส่งไปถึงผู้ตอบแบบสอบถามทางไปรษณีย์หรือสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว
เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่เลือกถูกทดสอบ อีกแง่หนึ่ง
มีการใช้วิธีการเชิงปริมาณที่สามารถเข้าใจได้ง่าย
โดยวัตถุประสงค์ของการศึกษาส่วนใหญ่ต้องการระบุและทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ด้านการท่องเที่ยว
หรือบางกรณีต้องการแบ่งกลุ่มประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ
แหล่งท่องเที่ยวด้วยการวิเคราะห์จัดกลุ่ม (cluster analysis) ในทางกลับกัน การวิจัยด้วยวิธีการเชิงปริมาณส่วนใหญ่จะช่วยปรับปรุงและแสดงให้นักวิจัยเห็นคุณลักษณะบางอย่างที่เรียบง่ายและไม่เข้ากรอบทฤษฎีของการรับรู้ด้านการท่องเที่ยว
(Woosnam, 2012, Zhang et al., 2006) มีแนวโน้มที่จะเป็นการอธิบายสิ่งที่ประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยวรับรู้
แต่ไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลว่าเพราะอะไร ด้วยเหตุนี้ Deery et al.(2012) จึงเรียกร้องให้มีการศึกษาเชิงคุณภาพให้มากขึ้น
โดยตั้งข้อสังเกตว่าจะทำให้ได้ความรู้และความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยวเป็นกรณีๆ ไป
แต่ก็อาจจะไม่สามารถเยียวยาความสามารถในการสร้างลักษณะการอธิบายแบบทั่วไป (generalisability) ของการวิจัยได้ ยิ่งไปกว่านั้นแม้จะมีความเป็นไปได้ที่ทัศนคติของผู้อยู่อาศัยจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
แต่มีการศึกษาเพียงเล็กน้อยที่ใช้แนวทางระยะยาว (Hsu, 2000, Lee and Back, 2006) การศึกษาส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมข้อมูลในช่วงเวลาเดียว ดังนั้น ข้อสรุปของนักวิจัยที่ได้จากงานวิจัยอาจถูกจำกัด
(Huh & Vogt, 2008: 446) ดังนั้น
จะเห็นได้ทันทีว่ามีจุดอ่อนที่อาจเกิดขึ้นภายในกลุ่มงานวิจัยเกี่ยวกับการรับรู้ด้านการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว ซึ่งอาจจำกัดการแสดงความรู้ที่มีประโยชน์ต่อการวางแผนและการจัดการการท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพได้
3.1. พื้นฐานของงานวิจัย
การวิจัยเกี่ยวกับการรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว สืบย้อนกลับหลังไปได้นานกว่าสามสิบห้าปี ดังนั้น
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่จะมีผลงานตีพิมพ์ออกมาเป็นจำนวนมากในห้วงเวลาดังกล่าว
มีการทบทวนงานวิจัยจำนวนหนึ่ง (Deery et al., 2012; Easterling, 2004; Harrill, 2004)
ซึ่งเป็นเนื้อหาที่มีการวิเคราะห์รายละเอียดของบทความที่เกี่ยวข้องซึ่งตีพิมพ์ระหว่างปี
1984 ถึง 2010 ในวารสาร 3 ฉบับ(Nunkoo et al., 2013) การทบทวนดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของการวิจัยในรูปแบบต่างๆ
ยกตัวอย่างเช่น Harrill (2004)
ระบุประเด็นสำคัญ 3 ประการที่ปรากฏอยู่ในงานวิจัยเหล่านั้น
คือ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติของประชาชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว
วิธีการที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล และมุมมองเชิงทฤษฎี นอกจากนั้น Deery et
al. (2012) ยังได้นำเสนอแบบจำลอง 4
ขั้น (four stage model) ที่เริ่มต้นจาก 1) การนิยามและแนวความคิด 2) การพัฒนาแบบจำลอง 3) การออกแบบและพัฒนาเครื่องมือ ไปจนถึง 4)
การออกแบบและทดสอบเครื่องมือ และแม้ว่าลำดับเหตุการณ์ของทั้งสี่ขั้นตอนนี้
จะไม่ได้สะท้อนให้เห็นในงานวิจัยต่างๆ ที่รวบรวมมา
แต่ก็ยังมีฉันทามติในหมู่ผู้ตรวจสอบว่าเมื่อเวลาผ่านไปการวิจัยมีความซับซ้อนและก้าวหน้ามากขึ้น
ทั้งด้านแนวความคิดและการออกแบบระเบียบวิธีการวิจัย
การวิจัยที่มีมาก่อนหน้า
แง่หนึ่งเป็นการรวมเอาสองขั้นตอนแรกของ Deery et al. (2012) เข้ามา อีกด้านหนึ่งได้มีการพัฒนาแบบจำลองแบบง่ายๆ
จำนวนมากที่รู้จักกันดีอยู่ในขณะนี้
เพื่อสร้างทฤษฎีแสดงความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาการท่องเที่ยวและการรับรู้ต่อผลกระทบการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แบบจำลองดัชนีความเป็นปรปักษ์ (irredex
model) ของ Doxey (1975)
แบบจำลองวงจรชีวิตรีสอร์ท (seminal resort life-cycle
model) ของ Butler (1980)
และแบบจำลองการจำแนกประเภทนักท่องเที่ยวของ Smith (1977) โดยทั้งหมดนี้พบว่า ประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว
มีทัศนคติเชิงลบต่อการท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นคงเป็นเพราะว่าชุมชนท้องถิ่นมีความเป็นเนื้อเดียวกันและมีความสัมพันธ์กันแบบเส้นตรง
แม้ว่าในเวลาต่อมา Ap and Crompton (1993) จะกำหนดกลยุทธ์ 4 อย่าง เพื่อให้ประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว ปฏิบัติตามเพื่อตอบสนองต่อแต่ละระดับของการพัฒนาการท่องเที่ยว นับตั้งแต่การยอมรับด้วยความยินดีไปจนถึงการผละออกจากเป็นแหล่งท่องเที่ยว
งานชิ้นนี้มีความสำคัญไม่เพียงเน้นการรับรู้ แต่ตอบสนองต่อผลกระทบทางสังคมของการท่องเที่ยว
เป็นมุมมองที่หาได้ยากในงานวิจัย แต่ตามที่ถกเถียงกันในภายหลังซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าของการวิจัย
ในทางกลับกัน
การศึกษาก่อนหน้านี้จำนวนหนึ่งได้สำรวจขอบเขตของการรับรู้ต่อผลกระทบทางสังคม
เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของการท่องเที่ยว ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีทัศนคติเชิงบวกต่อการท่องเที่ยวในกรณีที่การท่องเที่ยวมีศักยภาพในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจต่อพื้นที่
ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงปัจจัยที่เป็นความปรารถนาอันแรงกล้าในการสนับสนุนการพัฒนาการท่องเที่ยว
ตัวอย่างเช่นการศึกษาของ Pizam
(1978) ที่พบว่าชาวเคปคอด (Cape Cod)
มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างไม่น่าแปลกใจระหว่างการพึ่งพาของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ
แหล่งท่องเที่ยว เพื่อการทำมาหากินจากการท่องเที่ยว
กับทัศนคติที่มีต่อการท่องเที่ยว ขณะที่งานวิจัยของ Belisle and Hoy (1980) ก็พบว่า
ยิ่งระยะทางห่างจากแหล่งท่องเที่ยวมากเท่าใด (โดยนัยยะพึ่งพาการท่องเที่ยวน้อยลง)
การรับรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว
จะยิ่งน้อยลงตามไปด้วย ในทำนองเดียวกันการวิจัยอื่นๆ
ก็นำมาใช้ในสิ่งที่ McGehee
and Anderek (2004: 132) อ้างว่าให้ความสนใจอย่างมากต่อ ‘ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว’ (Brougham
and Butler, 1981; Haralambopoulos และ Pizam, 1996; King et
al., 1993; Liu and Var, 1986; Milman
and Pizam, 1988; Um and Crompton, 1987) โดยรวมแล้ว
อัตลักษณ์ของงานนี้เป็นการยืนยันถึงการมีอยู่และประสบการณ์ของผลกระทบทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม
และสังคม ระหว่างชุมชนที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดย Deery et al. (2012: 67) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า
‘ขณะที่สิ่งสำคัญที่จะต้องรู้ว่าผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ
แหล่งท่องเที่ยว และเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการวิจัยเพิ่มเติมผลกระทบไม่ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสาเหตุที่ประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยวรับรู้’
ดังนั้น การวิจัยจึงนำวิธีการ
‘การรับรู้ด้านการท่องเที่ยว’ มาใช้มากขึ้น ซึ่ง McGehee
and Anderek (2004: 132) ให้เหตุผลว่า ด้วยมุมมองด้านการวางแผนแล้ว
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรับรู้ผลกระทบของการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว มีความสำคัญมาก โดยมีข้อสังเกตจากงานวิจัยเกี่ยวกับคำว่า
‘การรับรู้’ ที่ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย แม้ว่าจะมีนักวิจารณ์หลายคนอ้างว่ามันคือ
‘ทัศนคติ’ (ตัวอย่างเช่น Gursoy et al., 2002;
Lindberg and Johnson, 1997; Ryan and Montgomery, 1994; Smith and Krannich, 1998) ขณะที่ยังมีคนอื่นๆ ที่อ้างว่าเป็น ‘ความคิดเห็น’ ของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว (Williams
& Lawson, 2001) หรือเป็น ‘ปฏิกิริยา’ (Fredline &
Faulkner, 2000) ความแตกต่างระหว่างข้อกำหนดเหล่านี้มีความหมายมาก
กล่าวโดยง่ายการศึกษาส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ
แหล่งท่องเที่ยว เป็นผู้แสดงความคิด (หรือตอบสนอง)
ต่อการท่องเที่ยวและผลกระทบของการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม วิธีที่ผู้คน ‘คิด’ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวนั้นถูกกำหนดด้วยปัจจัยหลายอย่าง
นับตั้งแต่ค่านิยมส่วนบุคคลไปจนถึงตัวแปรทางสังคมและประชากร นั่นคือ
การรับรู้หรือทัศนคติที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม วิธีการศึกษา ‘การรับรู้ด้านการท่องเที่ยว’
เป็นความพยายามที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว
และการรับรู้การท่องเที่ยวของพวกเขาในสองวิธีกว้างๆ
แม้ว่าการระบุและการทดสอบตัวแปรที่อาจกำหนดหรือทำนายการรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว และผ่านการแบ่งส่วนของชุมชนท้องถิ่นตามระดับการสนับสนุนการท่องเที่ยว
ทั้งสองมุมมองมีการพูดคุยกันอย่างกว้างขวางในงานวิจัยต่างๆ (Andriotis and Vaughan,
2003; Draper et al., 2011; Harrill, 2004; Kuvan and Akan, 2005; Nunkoo et al., 2013) สำหรับบทความนี้มีวัตถุประสงค์ที่แสดงบทสรุปประเด็นหลักสำคัญๆ
ให้พอเหมาะสำหรับการอธิบายในภาพรวม
3.2
ตัวแปรที่มีบทบาทต่อการรับรู้ด้านการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว
งานวิจัยจำนวนมากเป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับการบ่งชี้
วัด และเปรียบเทียบตัวแปรต่างๆ
ที่อาจมีอิทธิพลต่อลักษณะการรับรู้ด้านการท่องเที่ยวและผลกระทบของการท่องเที่ยว
มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อทั้งอธิบายและทำนายการตอบสนองต่อการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ นักวิจารณ์ส่วนใหญ่มักให้ความสนใจกับการศึกษาที่กล่าวถึงประเด็นและความหลากหลายของตัวแปร
โดยพยายามการจัดหมวดหมู่ตัวแปรต่างๆ ให้อยู่ภายใต้หัวข้อเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น Harrill (2004)
ที่ได้กล่าวถึงปัจจัยทางสังคม-เศรษฐกิจและปัจจัยทางพื้นที่
และการพึ่งพาทางเศรษฐกิจ รวมถึงความแตกต่างอื่นๆ ระหว่างปัจจัยภาพกว้างของชุมชน
และปัจจัยระดับจุลภาคที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่อยู่อาศัยในพื้นที่ Deery et
al. (2012) ดำเนินการต่อไปด้วยการแบ่งปัจจัยย่อยออกเป็นส่วนที่เป็นปัจจัย
‘ภายนอก’ และปัจจัยภายใน ‘ตัวแปรค่า’ อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วการแบ่งขั้วระหว่างปัจจัยเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวที่กว้างกว่าและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับบุคคลนั้น
ถูกกำหนดให้เป็น "ปัจจัยภายนอก" และ "ปัจจัยภายใน" (Faulkner
& Tideswell, 1997) ดังแสดงไว้ในตารางที่ 2 เพื่อสรุปตัวแปรหลักในการรับรู้ถิ่นที่อยู่ภายใต้สองหัวข้อนี้
ตารางที่ 2
ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ด้านการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ
แหล่งท่องเที่ยว
|
อิทธิพลที่มีต่อการรับรู้ |
ตัวอย่างงานวิจัย |
|
|
ปัจจัยภายนอก (extrinsic variables) |
||
|
ขอบข่ายการพัฒนาการท่องเที่ยว (extent/stage of tourism development) |
‘Traditional’, linear models predict that
perceptions of tourism become more negative as the sector becomes more
developed/mature. However, results of studies are
contradictory. |
Allen et al., 1988, Butler, 1980, Doxey, 1975, Lepp, 2008, Long et al., 1990, Sheldon and Abenjona,
2001, Upchurch and
Teivane, 2000, Vargas-Sánchez et al., 2009 |
|
ธรรมชาติ/ประเภทการท่องเที่ยว/นักท่องเที่ยว
(nature/type
of tourism/tourists) |
The character of tourists,
including nationality, may correlate with positive/negative resident perceptions. |
|
|
ความหนาแน่นของนักท่องเที่ยว/การพัฒนาการท่องเที่ยว
(density of tourists/tourism
development) |
The greater the density of tourism/tourists, typically the more
negative the perceptions of tourism.
However, positive attitudes (e.g. economic benefits) may outweigh such concerns. เกินดุล |
|
|
ฤดูกาลท่องเที่ยว (seasonality) |
Perceptions of tourism are found
to vary according to seasonality, though high and low season may balance
attitudes. |
|
|
ขั้นการพัฒนาของประเทศ (national
stage of development) |
Though few studies address this
variable, the less (economically)
developed the destination, the
more positively are the opportunities presented by tourism perceived. |
|
|
ปัจจัยภายใน (intrinsic variables) |
||
|
เศรษฐกิจ-การจ้างงานที่พึงพาการท่องเที่ยว
(economic/employment
dependency on tourism) |
The results of many studies
suggest that a working in the tourism sector/dependence on tourism as a source
of income is related to more positive attitudes towards tourism. However, a variety of variables (e.g level of wages in tourism) may temper these attitudes. อาจกระตุ้นให้เกิดทัศนคติเหล่านี้ |
Brougham and Butler,
1981, King et al., 1993, Smith and Krannich,
1998, Snaith and Haley,
1999, Um and Crompton, 1987, Wang and Pfister, 2008 |
|
ความแนบชิดกับชุมชน (community attachment) |
Community attachment, measured by
variables such as length of residency, property ownership, extended family
and so on, has been found to have an ambiguous and sometimes contradictory
influence on perceptions of tourism.
คลุมเครือและบางทีขัดแย้ง |
Andereck et al., 2005, Gursoy et al., 2002, Mason and Cheyne,
2000, McCool and Martin, 1994, Nepal, 2008, Ross, 1992, Sheldon and Var,
1984, Woosnam et al., 2009; Woosnam, 2012 |
|
ระยะห่างจากย่านพื้นที่ท่องเที่ยว (distance from tourism zone) |
Although it may be assumed that
the greater proximity to the tourism zone, the more negative are perceptions
of tourism. However,
such a relationship has not been consistently found in studies, other factors
(e.g. nature of development/economic dependency being
influential) |
Belisle and Hoy, 1980, Jurowski and Gursoy,
2004, Raymond and Brown, 2007, Sharma and Dyer,
2009 |
|
ปฏิสัมพันธ์กับนักท่องเที่ยว (interaction with tourists) |
Contact or interaction with tourists
has been found to be correlated positively with support for tourism, though
this varies with the nature of contact and the type of tourist. |
Andereck et al., 2005, Lawson et al., 1998, Teye et al., 2002. |
|
ค่านิยมส่วนบุคคล (personal values) |
More recently, studies have
explored the relationship between personal values and tourism perceptions |
|
|
อัตลักษณ์ทางสังคม/สถานะทางสังคม (social identity/social status) |
Some correlation has been found to
exist between residents' social status and the extent to which they identify
themselves with the destination. |
Husbands, 1989, Nunkoo and Gursoy,
2012, Palmer et al., 2013; |
|
ลักษณะประชากร-อายุ เพศ การศึกษา (demographic: age, gender, education) |
Some studies have associated
certain socio-demographic
characteristics with positive/negative attitudes –
for example, older residents may
view tourism less favourably than younger people. However, most conclude that such
variables do not explain variations in resident perceptions of tourism. |
Fredline and Faulkner, 2000, Haralambopoulos and
Pizam, 1996, Huh and Vogt, 2008, Mason and Cheyne, 2000, Snaith and Haley, 1999, Tosun, 2002 |
งานวิจัยที่ปรากฏในตารางที่ 2 นี้ ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ทบทวนองค์ประกอบของงานวิจัยในระดับที่น้อยกว่าหรือมากกว่า โดยทั่วไปแล้วเป็นวิธีในการกำหนดกรอบการวิจัยเฉพาะ
ขณะที่ทำงานโดย Nunkoo et al. (2013) อ้างถึงข้างต้น พิจารณาจุดเน้น เนื้อหา และวิธีการของงานวิจัย 140 ชิ้นที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว
ที่เผยแพร่ในระยะเวลา 26 ปี อย่างไรก็ตาม ตารางที่ 2 นี้ เป็นการสรุปความหลากหลายของตัวแปรที่นักวิจัยพยายามนำมาใช้ในการทำนายว่าประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว รับรู้ถึงความเป็นจริง หรืออาจจะมีบ้างที่พยายามจะวางแผนพัฒนาการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่งานวิจัยให้การยอมรับอย่างกว้างขวางมาก คือ
นอกเหนือจากการที่ระบบเศรษฐกิจต้องพึ่งพาการท่องเที่ยว งานวิจัยบางส่วนให้ความสนใจต่อความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นด้วยการทดสอบสหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรกับทัศนคติที่มีต่อการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว ในขณะเดียวกัน จะเห็นได้ชัดว่าการศึกษาจำนวนมากพยายามอย่างยิ่งที่จะบ่งชี้และวัดตัวแปรตัวหนึ่งหรือหลายๆ
ตัว ที่อาจมีอิทธิพลต่อการรับรู้ด้านการท่องเที่ยว ตามที่ Andriotis and Vaughan
(2003) ได้บันทึกถึงตัวแปรเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นไปเฉพาะตัวแปรตัวหนึ่งตัวใด
หรือตัวแปรที่สัมพันธ์กับตัวแปรอื่น ถือเป็นอิสระจากกลุ่มย่อยภายในกลุ่มประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว จึงเห็นศักยภาพที่แตกต่างกันของกลุ่มประชากรในการยืนยันทัศนคติเกี่ยวกับการท่องเที่ยวโดยรวมที่แตกต่างกันเอาไว้ ดังนั้น เมื่อพิจารณาในรายละเอียดย่อยๆ แล้ว
จะเห็นได้ว่ามีการศึกษาจำนวนหนึ่งที่พยายามสำรวจทัศนคติของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ
แหล่งท่องเที่ยว ด้วยวิธีการวิเคราะห์จัดกลุ่ม
3.3. การศึกษาแบ่งกลุ่ม
ตารางที่
3 ข้างล่างเป็นการสรุปการศึกษาการรับรู้ที่สำคัญด้วยการวิเคราะห์จัดกลุ่มอีกครั้ง
รายการเหล่านี้ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
การศึกษาแต่ละครั้งจะดำเนินการในบริบทที่แตกต่างกัน
มีวัตถุประสงค์และเครื่องมือวัดที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น Fredline and Faulkner (2000)
ทำการสำรวจปฏิกิริยาของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว
ต่อเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่ง นั่นคือ การแข่งขันรถยนต์ Gold Coast Indy 300 ในออสเตรเลีย ได้ข้อสรุปเป็น 6 ปัจจัยหลักของการตอบสนองของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว
จากสิ่งเหล่านี้พวกเขาสามารถระบุกลุ่มประชาชนได้อย่างชัดเจน 5 กลุ่ม เริ่มจาก ‘กลุ่มผู้ที่รักและชื่นชอบการท่องเที่ยว’
ซึ่งเป็นผู้ที่ยอมรับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับชุมชน
การมีส่วนร่วมร่วมในกิจกรรมระดับนานาชาติ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
และการไม่ยอมรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบเชิงลบ ไปจนถึง
‘กลุ่มผู้ที่มีความเกลียดชังการท่องเที่ยว’ ซึ่งมีลักษณะตรงข้ามกับที่กล่าวข้างต้น
ในทางกลับกัน Pérez and Nadal (2005)
ได้ทำการศึกษากลุ่มประชาชนผู้อยู่อาศัยในหมู่เกาะ Balearic ในทะเลเมดิเตอเรเนียน ที่เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งที่เป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวที่ผู้คนนิยมมาก
การวิจัยดังกล่าวสามารถแบ่งกลุ่มประชาชนออกได้เป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนหรือที่ต้องการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบใหม่ๆ ดังนั้น ‘ผู้สนับสนุนการพัฒนา’
จึงเชื่อว่าการท่องเที่ยวจะนำการจ้างงานและโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญเข้ามา และพวกเขาแสดงความกังวลต่อผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า
ในขณะที่ ‘ผู้ปกป้อง’ จะมีความเชื่อว่าจะมีผลกระทบเชิงลบเกิดขึ้น ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวกับสิ่งที่ต้องสูญเสียไปจากการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว
เป็นผลให้กลุ่มหลังมีการต่อต้านการพัฒนาการท่องเที่ยวต่อไปและสนับสนุนให้มีการลดจำนวนนักท่องเที่ยวลง
ที่น่าสนใจมากก็คือ
‘นักพัฒนาทางเลือก’ (alternative
developers)
สามารถมองเห็นผลประโยชน์ของการท่องเที่ยวได้เช่นเดียวกับ ‘นักอนุรักษ์’ (protectionists) ที่จะคอยช่วยลดจำนวนนักท่องเที่ยว
และให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆ ผ่านโครงการพัฒนาทางเลือกขนาดเล็ก
แม้จะมีความแตกต่างเหล่านี้
แต่บางคนมีหลักฐานว่าการศึกษาไม่น้อยใช้คำศัพท์อธิบายแตกต่างกัน งานวิจัย 4 ชิ้นจาก
6 ชิ้นที่อยู่ในตารางที่ 3
แสดงให้เห็นว่ามีความชื่นชอบการท่องเที่ยวมากที่สุด เรียกได้ว่าเป็น
‘คนรักการท่องเที่ยว’ เลยทีเดียว
สำหรับกลุ่มทั่วไปนี้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว พวกเขาจึงถูกพิจารณาในว่าเป็นกลุ่มที่มีทัศนคติแง่บวกมากที่สุด
เหมือนกับกลุ่ม ‘คนเกลียดการท่องเที่ยว’
ที่มักจะให้ความสำคัญกับผลกระทบด้านลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ส่วนกลุ่มที่ไม่สนับสนุนหรือเป็นพวก ‘คนช่างสงสัย’ (Andriotis &
Vaughan, 2003) จากผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของการท่องเที่ยว
ขณะเดียวกันการศึกษาวิจัยเพื่อแบ่งกลุ่มยังพยายามเชื่อมโยงกลุ่มประชาชนกับตัวแปรเฉพาะ
ตัวอย่างเช่น Pérez and Nadal (2005) สร้างความเชื่อมโยงกลุ่มประชาชนกับระดับรายได้และสถานที่อยู่อาศัย
ในขณะที่ Andriotis and Vaughan (2003)
ระบุว่าการรับรู้ด้านการท่องเที่ยวเชิงบวกของประชาชนมีความสัมพันธ์กับระดับการศึกษา
การศึกษาเหล่านี้จึงแสดงให้เห็นว่าประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยวที่มีการศึกษาสูงที่สุดถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม
‘คนที่ให้ความสำคัญกับประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อม’ อย่างไรก็ตาม
การศึกษาเหล่านี้ยังคงมีจุดอ่อนในการค้นหาตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว กล่าวคือ พวกเขาอธิบายลักษณะของกลุ่ม
และอธิบายตัวแปรที่เป็นเงื่อนไขกำหนดกลุ่มเหล่านั้น
แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดสมาชิกของกลุ่มโดยรวม
จึงลงความเห็นร่วมกันในการรับรู้การท่องเที่ยวเป็นไปในลักษณะเช่นนั้น
ตารางที่ 3
การวิเคราะห์จัดกลุ่ม (cluster analysis) การรับรู้ด้านการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว
|
การรับรู้เชิงบวก |
การรับรู้เชิงลบ |
||||
|
|
|||||
|
Lovers (20%) |
Love ’Em for a Reason (26%) |
In-Betweeners (18%) |
Cautious Romantics (21%) |
Haters (16%) |
|
|
Enthusiast (22.2%) |
Middle of the Road (54.3%) |
Somewhat Irritated (24.2%) |
|||
|
Lover (13%) |
Realistic (56%) |
Hater (31%) |
|||
|
Lover (23%) |
Ambivalent Supporter ผู้สนับสนุนที่ค่อนข้างสับสน (29%) |
Realistic (24%) |
Concerned for a Reason (9%) |
Hater (15%) |
|
|
Lover (44%) |
Taxpayer (25%) |
Cynics พระรูป (10%) |
Innocents (20%) |
||
|
Advocates (42%) |
Socially & Environmentally Concerned (40%) |
Economic Skeptics คลางแคลงทางเศรษฐกิจ (18%) |
|||
|
Development Supporters (11%) |
Prudent Developers นักพัฒนาที่มีความรอบคอบ (26%) |
Ambivalent and Cautious (24%) |
Protectionists (20%) |
||
|
Alternative Developers (18%) |
|||||
สำหรับด้านหนึ่งนั้น สิ่งนี้สะท้อนความจริงที่ว่าแม้ว่าวิธีการวิเคราะห์และการตรวจสอบข้อมูลจะมีความซับซ้อนมากขึ้น
(Nunkoo et al.,
2013) แต่ว่าการศึกษาส่วนใหญ่ใช้วิธีเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามวัดทัศนคติออกมาเป็นระดับต่างๆ ในอีกด้านหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงการยืนยันว่า
‘มีความพยายามที่จะสร้างแบบจำลองแสดงทัศนคติของประชาชนในชุมชนที่มีต่อการท่องเที่ยวให้ง่ายแก่การทำความเข้าใจ’
(Zhang et al., 2006: 185) ประเด็นหนึ่งที่มีผู้แสดงความคิดเห็นให้ความสนใจ คือตัวอย่างของ Liu
and Var (1986: 196)
ที่ชี้ว่า ‘ไม่มีทฤษฎีการท่องเที่ยวใดที่สามารถอธิบายได้อย่างครอบคลุม
และยังขาดแคลนวิธีการที่ได้รับการพิสูจน์แล้วที่จะนำมาใช้วัดผลกระทบที่ไม่ใช่ทางเศรษฐกิจ’
ทั้งนี้ในบทนำของบทความนี้ Ap (1990)
ได้กล่าวเตือนถึงการขาดความก้าวหน้าในการวิจัย
เว้นแต่จะได้รับการพัฒนาภายใต้กรอบทฤษฎีที่เหมาะสม ทั้งนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะตอบสนองต่อการเรียกร้องของ
Ap ให้ทำงานวิจัยที่ยึดโยงกับทฤษฎีเป็นสำคัญ
ดังที่เห็นจากตารางที่ 1 ที่มีงานวิจัยจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในกรอบทฤษฎีที่ชัดเจน
แต่ก็พบว่ามีอยู่มากที่ใช้ในทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมและทฤษฎีการเป็นตัวแทนทางสังคม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะถูกนำไปใช้ในที่ใดๆ การยกเอากรอบทฤษฎีเหล่านี้มาใช้อธิบายหรือทำความเข้าใจถึงการรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว ก็ยังไม่ชัดเจนอยู่ดี
3.4. Resident perceptions: theoretical
frameworks
แม้ว่านักวิจารณ์จะอ้างว่ามีทฤษฎีมากมาย
เป็นต้นว่า ทฤษฎีการชดเชย (compensation theory) ทฤษฎีความขัดแย้ง (conflict
theory) และทฤษฎีการพึ่งพา (dependency theory)
แต่ก็ไม่มีใครสามารถให้มุมมองทางทฤษฎีที่ครอบคลุมปรากฏการณ์เกี่ยวกับการรับรู้ด้านการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยวได้ Ap (1992) จึงแนะนำต่อว่าทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคม
(social exchange theory) ที่อ้างถึงก่อนหน้านี้โดย Perdue
et al.(1990) ‘สามารถรองรับคำอธิบายของการรับรู้ทั้งเชิงบวกและเชิงลบ
... ในระดับบุคคลหรือระดับส่วนรวมได้ค่อนข้างดี’ (Ap, 1992: 667) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเป็นตัวแทนทางสังคม (social
representations theory) กับการศึกษาจำนวนมาก ไม่เฉพาะแค่ที่ยังขาดความเห็นพ้องต้องกันในการใช้ประโยชน์เพื่ออธิบายการรับรู้ของการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังมีทฤษฎีอื่นๆ ที่ถูกนำเสนอเพื่อใช้เป็นกรอบแนวคิดทางเลือก
(Andriotis & Vaughan, 2003;
Fredline & Faulkner, 2000)
เราเริ่มต้นกล่าวถึงสิ่งหลังก่อน คือ
การเป็นตัวแทนทางสังคมเป็นกลไกที่ประชาชนพยายามทำความเข้าใจหรือสร้างความเข้าใจต่อเรื่องราวบนโลกของพวกเขา
(Moscovici, 1981)
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ อิทธิพลภายในสังคมหนึ่งๆ (และแลกเปลี่ยนกันและกันโดยสมาชิกของสังคมนั้น)
ที่กำหนดว่าประชาชนคิดอะไรและคิดอย่างไรกันเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของพวกเขา
ซึ่งจะส่งผลให้เกิดชุดความคิด ค่านิยม ความรู้
และคำอธิบายที่ประกอบด้วยความเป็นจริงของสังคม (Pearce, Moscardo, &
Ross, 1996) แน่นอนว่า การเป็นตัวแทนนั้นไม่เป็นไปแบบตายตัว
หากแต่มีลักษระเป็นพลวัต และถูกกำหนดกำหนดโดยตรงจากประสบการณ์ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
และสื่อ (Fredline & Faulkner, 2000) ด้วยเหตุนี้ทฤษฎีการเป็นตัวแทนทางสังคมจึงไม่แตกต่างจากแนวคิดของการสร้างความเป็นจริงทางสังคม
(social construction of reality) ของ Berger
and Luckmann (1991) ที่กำหนดว่าความเป็นจริงในชีวิตประจำวันของผู้คนถูกกำหนดโครงสร้างและคงสภาพนั้นผ่านปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกันกับครอบครัว
เพื่อน และคนแปลกหน้า (ซึ่งโดยนัยยะก็คือนักท่องเที่ยวนั่นเอง) กุญแจสำคัญในแนวคิดทั้งสอง
คือ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (หรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยวกับประชาชนผู้อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว) ซึ่งดังที่กล่าวก่อนหน้าในบทความนี้ ว่าเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรับรู้ของผู้อยู่อาศัย
ณ ปลายทางของการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเป็นตัวแทนทางสังคม และ/หรือ การสร้างความจริงทางสังคม
(social
construction of reality) จะเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าบริบทเชิงแนวคิดสำหรับการวิจัย
ที่สามารถอธิบายผลลัพธ์ของการวิจัยได้หรือไม่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ
การบ่งชี้ถึงการที่ Fredline and Faulkner
(2000: 768) อ้างอิงว่า ‘ฉันทามติของการรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว’
(โดยทั่วไปแล้วทฤษฎีการเป็นตัวแทนทางสังคมมักจะสนับสนุนการวิเคราะห์กลุ่ม) อาจเป็นตัวแทนทางสังคมเฉพาะกลุ่ม
โดยไม่ใช่การอธิบายให้ทราบถึงเหตุผลว่าปรกติกทั่วไป ทำไมการรับรู้จึงเป็นเช่นนั้น
ในทางตรงข้าม
ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมพยายามอธิบายกระบวนการปฏิสัมพันธ์หรือการแลกเปลี่ยนทรัพยากรทางกายภาพหรือสัญลักษณ์ระหว่างผู้คนหรือกลุ่มคน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในรูปแบบของการทำธุรกรรม
ซึ่งในบริบทการท่องเที่ยวชี้ให้เห็นว่านักท่องเที่ยวและประชาชนผู้อาศัยอยู่ ณ
แหล่งท่องเที่ยว
จะมีการเจรจาหรือแลกเปลี่ยนให้เป็นไปตามเป้าหมายสูงสุดที่แต่ละฝ่ายจะได้รับประโยชน์สูงสุด
(Sharpley,
2008: 9-6) ดังนั้น
การแลกเปลี่ยนทางสังคมจึงถือเป็นกระบวนการต่อเนื่อง (Ap, 1992)
ที่ขั้นตอนแรก เป็นการระบุถึงความต้องการอันเป็นที่พึงพอใจ นั่นคือ
ทั้งฝ่ายนักท่องเที่ยวและประชาชนผู้อาศัยอยู่ ณ แหล่งท่องเที่ยว
ต้องได้รับการกระตุ้นให้มีส่วนร่วมในกระบวนการแลกเปลี่ยน
เมื่อกระบวนการดังกล่าวเริ่มต้นขึ้น ความสำเร็จทั้งหลายที่คาดหวังจะขึ้นอยู่กับความเป็นเหตุเป็นผล
ความเป็นธรรม ความสัมพันธ์ซึ่งมีต่อกันและกัน และความพึงพอใจในกระบวนการแลกเปลี่ยน
นี่ก็หมายความว่า ทั้งสองฝ่ายเลือกที่จะมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนทางสังคมบนความคาดหวังของ
‘การเจรจา’ ที่สมดุล ที่ทำให้เกิดผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ดังนั้น หากกระบวนการไม่สมดุล
หรือหากผลประโยชน์ที่คาดหวังไม่เป็นจริง กระบวนการจะได้รับการประเมินผลในเชิงลบ และจะไม่มีการแลกเปลี่ยนเกิดขึ้น
ภายในงานวิจัยการรับรู้ของประชาชนผู้อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยวนั้น ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมมักจะถูกนำมาตีความแบบง่ายๆ ในแง่ที่ว่าเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ว่า
หากประชาชนผู้อาศัยอยู่ ณ แหล่งท่องเที่ยว รับรู้ว่าต้นทุนการท่องเที่ยว (สังคม
เศรษฐกิจ และ/หรือ สิ่งแวดล้อม) มีมากกว่าประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น
พวกเขาจะถอนตัวจากการสนับสนุนการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่เป็นข้อโต้แย้งที่ใช้งานง่าย
แต่มันสามารถมองเห็นกระบวนการที่เสนอโดยทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมที่เป็นรากฐานว่าทำไมกระบวนการแลกเปลี่ยนอาจจะถือว่าไม่สำเร็จได้โดยปริยาย อันที่จริงแล้ว Pearce et al.(1996) ชี้ให้เห็นว่า ความเกี่ยวข้องของทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมที่ใช้สำหรับอธิบายการรับรู้ของประชาชนผู้อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยวนั้นถูกจำกัดด้วยปัจจัยสามประการ คือ ก)
ประชาชนทั้งหลายเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการประมวลสารสนเทศด้วยเหตุผลอย่างเป็นระบบ
ข) บ่อยครั้งที่ความรู้ถูกนำมาใช้มากกว่าประสบการณ์ และ ค) การรับรู้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นภายในบริบททางประวัติศาสตร์ของสังคม-วัฒนธรรม
กล่าวอีกนัยหนึ่ง
ความเป็นเหตุเป็นผลตามกระบวนการเชิงเส้นของทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมนั้น จะมีให้พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก
ขณะที่มองข้ามบริบททางสังคม-วัฒนธรรมภายในการแลกเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดขึ้นคือการเพิกเฉยต่ออิทธิพลภายนอกที่มีต่อกระบวนการนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นฐานของทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมคือทั้งสองฝ่ายมีส่วนร่วมโดยสมัครใจและเชิงรุกในกระบวนการ
อย่างไรก็ตามสำหรับผู้พักอาศัยจำนวนมากในสถานที่ท่องเที่ยวรูปแบบใด ๆ
ของการมีปฏิสัมพันธ์กับนักท่องเที่ยวที่พิจารณาก่อนหน้านี้ในบทความนี้อาจไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจในขณะที่ในหลายกรณีไม่มีปฏิสัมพันธ์ที่มีตัวตน
(หรือแลกเปลี่ยน) นอกจากนี้เกือบจะไม่มีการศึกษายกเว้นการรับรู้ของผู้อยู่อาศัยที่มุ่งเน้นไปที่
'ตัวแปรที่ใช้ในการทำนายทัศนคติของผู้อยู่อาศัย ...
ที่มีอยู่ภายในผู้อยู่อาศัยหรือเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ของผู้อยู่อาศัยและไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้อยู่อาศัยและนักท่องเที่ยว
(Woosnam, 2012: 316) .
กล่าวอีกนัยหนึ่งหนึ่งในสองผู้เล่นหลักในการติดต่อกับนักท่องเที่ยว -
นักท่องเที่ยวก็ถูกมองข้ามดังนั้นจึง จำกัด
ขอบเขตที่การรับรู้ของผู้อยู่อาศัยสามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการแลกเปลี่ยน
ดังนั้น
แม้ว่าทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคม จะชี้ให้เห็นว่า ทำไมผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นอาจนำทัศนคติเชิงบวกหรือเชิงลบที่มีต่อการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวมาใช้นั้น
ยังไม่เพียงพอที่จะเป็นกรอบแนวคิดสำหรับการวิจัยได้ดีและครบถ้วน อันที่จริงตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่า
ข้อจำกัดของทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมสะท้อนให้เห็นข้อจำกัดบางอย่างที่กว้างขึ้นของการวิจัยเกี่ยวกับการรับรู้การท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยวโดยทั่วไป
๔.
ความก้าวหน้าของงานวิจัยด้านการรับรู้ของประชาชนผู้อาศัยอยู่ ณ แหล่งท่องเที่ยว
ตามข้อสังเกตที่กล่าวเอาไว้ในบทนำของบทความนี้ว่า
ตลอดช่วง 35 ปีที่ผ่านมา มีความสนใจทางวิชาการเกี่ยวกับการรับรู้ด้านการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว เพิ่มขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่มีการทำงานวิจัยมากที่สุดด้านการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม อย่างที่บทความนี้ได้ตั้งคำถามเอาไว้ว่า เรื่องนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่นักวิจัยมีความเข้าใจดีขึ้นมากกว่าอันอื่นในเรื่องการท่องเที่ยวแล้วใช่หรือไม่
? หรืออีกนัยหนึ่ง ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเกี่ยวกับความรู้และความเข้าใจต่อการรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณงานวิจัยที่ได้ดำเนินการไปแล้วหรือไม่ ?
ย้อนกลับไปที่เป้าหมายเดิมของการวิจัยด้านนี้
ก็จะพบว่าการท่องเที่ยวทำให้เกิดทั้งผลประโยชน์และต้นทุนของชุมชนปลายทางแหล่งท่องเที่ยว
หากชุมชนเหล่านั้นรับรู้ถึงต้นทุนที่จะต้องเสียไปกับการพัฒนาการท่องเที่ยวว่ามีค่ามากมายกว่าผลประโยชน์ที่จะได้จากการท่องเที่ยวแล้ว
บางทีพวกเขาอาจถอนตัวไม่สนับสนุนการท่องเที่ยว นั่นถือเป็นภัยคุกคามต่อความสำเร็จในอนาคตของการพัฒนาเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในอนาคต
ดังนั้น ความเข้าใจเกี่ยวกับการรับรู้หรือทัศนคติของประชาชนในท้องถิ่นที่มีต่อการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยว
จึงถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการวางแผนและการจัดการการท่องเที่ยว
ในงานวิจัยไม่เพียงแต่ได้ระบุถึงตัวแปรที่หลากหลายและความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ด้านการท่องเที่ยวทั้งเชิงบวกและเชิงลบ
แต่สิ่งเหล่านี้ ยังเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาแบบจำลอง เช่นที่นำเสนอโดย Vargas-Sánchez et al.(2011) เป็นความพยายามที่จะสรุปคำอธิบายถึงทัศนคติของผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว
รูปแบบดังกล่าวทำให้เกิดแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสำคัญ ไประกอบด้วย
ความหนาแน่นของนักท่องเที่ยว การรับรู้ของนักท่องเที่ยว การรับรู้ผลกระทบ ผลประโยชน์ส่วนตัว
และระดับการพัฒนาการท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน
การวิจัยก็ยังคงมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ประการแรก การวิจัยส่วนใหญ่มักอยู่ในรูปการสำรวจ
ณ สถานที่ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทั้งในทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ
และสังคมวัฒนธรรม และสถานที่ที่มีความสำคัญต่อการท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติ
มีขนาดเหมาะสม และมีขั้นตอนของการพัฒนาที่ชัดเจน จึงไม่น่าแปลกใจที่จะได้ผลลัพธ์ที่ได้ที่แปลกแยกแตกต่างกันมากมาย
แม้ว่าจะใช้วิธีการสำรวจและมาตรวัดที่คล้ายกันก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น
สถานที่เหล่านั้นหลายแห่งยังไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นแบบฉบับของตัวเอง แต่กลับกลายเป็นจุดสนใจของการวิจัยด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างที่ถูกกำหนดมาเฉพาะ
ประการที่สอง แน่นอนว่าแหล่งท่องเที่ยวมีลักษณะเป็นพลวัต ไม่ว่าจะพิจารณาตามกรอบ
'วงจรชีวิต' ของแหล่งท่องเที่ยวเสนอที่ Butler (1980) เสนอ ที่ยังเป็นประเด็นถกเถียง
แหล่งท่องเที่ยวจะปรับตัวและเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทานและความท้าทาย
สภาพแวดล้อมการท่องเที่ยวที่มีการแข่งขันกันทั่วโลก โดยการศึกษาส่วนใหญ่เป็นแบบภาคตัดขวางที่พิจารณาแง่มุมต่างๆ
ของการรับรู้ของผู้อยู่อาศัย ณ ช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง แม้ว่าผลลัพธ์ของการศึกษาดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์การวิจัยภายในกรอบเวลาที่กำหนด
แต่ก็มีความหมายน้อยมากในบริบททางประวัติศาสตร์ จึงไม่มีหลักฐานที่แสดงวิวัฒนาการหรือพลวัตเกี่ยวกับทัศนคติของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว ที่มีต่อการท่องเที่ยวมีวิวัฒนาการหรือเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาหลักฐานที่จะเพิ่มมิติที่สำคัญต่อความเข้าใจทางวิชาการของปรากฏการณ์เช่นกัน
มุมมองการปฏิบัติแจ้งการวางแผนกลยุทธ์ระยะยาว
ยิ่งกว่านั้นดังที่เห็นได้จากตารางที่ 1 การวิจัย (ยังอ้างถึง)
ส่วนใหญ่ได้ดำเนินการในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 ตั้งแต่นั้นมา การท่องเที่ยวเติบโตขึ้นอย่างไม่มีการจำกัดขอบเขตและขนาด
แต่ตามที่ Urry (1994: 234) แนะนำการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมนั้นไม่ได้เป็นชุดปฏิบัติการทางสังคมที่แตกต่างอีกต่อไปด้วยกฎระเบียบ
เวลา และสถานที่ที่แตกต่างกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่เพียงแต่ความเป็นพลวัตของแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น
แต่ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมของการท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน เนื่องจากถูกรวมเข้ากับการปฏิบัติทางสังคมร่วมสมัยอื่นๆ
การท่องเที่ยวจึงมีความแตกต่างน้อยลงและอาจได้รับการพิจารณา/ยอมรับว่าเป็นองค์ประกอบของชีวิตร่วมสมัย
โดยทั้งหมดนี้มีบทบาทต่อการรับรู้ของผู้คน
ประการที่สาม ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับประเด็นก่อนหน้า
โดยการวิจัยส่วนใหญ่ที่เน้นให้การท่องเที่ยวเป็นศูนย์กลาง กล่าวคือ ยกให้การรับรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว เป็นประเด็นสำคัญตามที่ระบุไว้ข้างบน หนึ่งในประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ของทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคม
(social
exchange theory) เป็นกรอบความคิดคือการรับรู้ที่ได้รับอิทธิพลจากหรือเกิดขึ้นภายในกรอบกว้างทางสังคม-วัฒนธรรม
และประวัติศาสตร์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการมุ่งเน้นไปที่การแลกเปลี่ยนทางสังคมระหว่างประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยว ถือเป็นการมองข้ามบริบททางสังคม-วัฒนธรรมที่กว้างไปกว่าการแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้น
ไม่เพียงแต่อาจมีปัจจัยที่เกินขอบเขตการท่องเที่ยว
(และอยู่นอกเหนือขอบเขตของการวิจัย) ที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ของการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว แต่ยังอาจมีแง่มุมอื่นๆ ของชีวิตในสังคมที่แทนที่การรับรู้เหล่านี้
ประเด็นนี้ได้รับการแก้ไขโดยปริยายโดยการวิจัยล่าสุดที่พยายามระบุและวัดผลกระทบของการท่องเที่ยวที่มีต่อคุณภาพชีวิต
หรือความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว (Andereck
and Nyaupane, 2011; Andereck et al., 2007; Kim et al.,2013)
แต่ Deery et al.(2012) ที่เสนอแนะว่าการวิจัยดังกล่าวแทรกซึมเพียงชั้นแรกของการรับรู้ของการรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว พวกเขายังเสนอว่าด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ/ชาติพันธุ์วิทยา พฤติกรรม
และค่านิยมของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว ควรได้รับการพิจารณาด้วย
แต่หากมีความสำคัญไม่เท่ากับปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว เช่น สภาพอากาศ สภาพแวดล้อมทางกายภาพ โอกาสในการจ้างงาน
ความใกล้ชิดกับครอบครัวและเพื่อน ความพร้อมใช้งาน และค่าใช้จ่ายของที่อยู่อาศัย เป็นต้น
ปัจจัยทั้งหลายนี้เป็นตัวกำหนดว่าทำไมคนเลือกที่จะอาศัยอยู่ในสถานที่เฉพาะ
ในบริบทนี้ การปรากฏตัว/ผลกระทบของการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญ
หรือจะมีการยอมรับได้โดยง่าย เมื่อต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิต นั้นความเข้าใจที่สมบูรณ์ยิ่งต่อของการรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นวิธีการต่างๆ จากหลายมิติ
ในทางกลับกัน
ประเด็นนี้ชี้ไปที่ประเด็นที่สี่ ซึ่ง Deery et al.(2012) กล่าวถึงข้อจำกัดที่สำคัญที่สุด
คือ ‘ช่องว่างการดำเนินการตามมูลค่า’ (value-action
gap) (Blake, 1999) ที่มีอยู่ในการวิจัย
ในบริบทร่วมสมัยจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม มีช่องว่างการดำเนินงานตามค่านิยมหรือเจตนา
ที่ผู้คนมักกล่าวว่าพวกเขาจะปฏิบัติไปโดยไม่ได้สะท้อนให้เห็นในสิ่งที่พวกเขาทำขึ้นมาจริงๆ
ตัวอย่างเช่น ผลจากการสำรวจแสดงให้เห็นอย่างน่าเชื่อถือ นักท่องเที่ยวทั้งหลายพร้อมที่จะจ่ายเต็มราคาสำหรับประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบหรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
แต่ในทางกลับกัน ก็มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ เห็นว่าราคาเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการจ่ายเพื่อวันหยุดของพวกเขา
(Sharpley, 2012) ค่อนข้างชัดเจนแล้ว่า การวิจัยเกี่ยวกับการรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว ประสบปัญหาที่คล้ายกัน ซึ่งตามคำนิยามแล้ว การรับรู้ผลกระทบของการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว ไม่ใช่เป็นการตอบสนองต่อการท่องเที่ยวของพวกเขา ตามที่ Nunkoo
& Gursoy (2012) และนักวิจารณ์บางคน เช่น Jackson
& Inbarakan (2006) พยายามเชื่อมการแบ่งนี้โดยพิจารณาการสนับสนุนของผู้ประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว หรือการคัดค้านการท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่เป็นแต่เพียงเจตนา
จะมีที่ออกปฏิบัติการจริงให้เห็นนั้นมีค่อนข้างน้อย ข้อยกเว้นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่ง
คือ งานวิจัยของ Carmichael's (2000) ที่ทำการศึกษาทัศนคติของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว และการตอบสนองต่อการพัฒนาคาสิโนรีสอร์ทขนาดใหญ่
จากแบบจำลองที่เชื่อมโยงทัศนคติและพฤติกรรม เธอแสดงขอบเขตทัศนคติเชิงบวก/ลบที่ระบุในการวิจัยนั้นสะท้อนให้เห็นในการดำเนินการในส่วนของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว
ภาพที่ 2 ทัศนคติและพฤติกรรม
Source: adapted from Carmichael (2000: 604)
น่าสนใจที่เธอเปิดเผยว่า
โดยทั่วไปแล้ว ทัศนคติที่เป็นบวกหรือลบ ไม่นำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง
ผู้ที่สนับสนุนคาสิโนรีสอร์ทส่วนใหญ่จะ ‘ยอมรับอย่างเงียบๆ’ ขณะที่คนส่วนใหญ่ที่มีทัศนคติเชิงลบจะแสดงการ
‘ยอมรับภายใต้การบงการ’ กล่าวสั้นๆ ได้ว่า การรับรู้หรือทัศนคติไม่สามารถใช้เป็นตัวแทนของเจตนาที่จะแสดงพฤติกรรมได้
แสดงให้เห็นว่าตรงกันข้ามกับการอ้างว่าประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว ที่มีทัศนคติเชิงลบต่อการท่องเที่ยว
จะถอนตัวจากการสนับสนุนหรือกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อนักท่องเที่ยว ซึ่งไม่สัมพันธ์เชิงเหตุผล
ประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว อาจไม่พอใจกับผลกระทบการท่องเที่ยวเป็นการเฉพาะ
แต่สิ่งนี้ไม่ได้บ่งบอกถึงการปฏิบัติหรือพฤติกรรมที่เป็นผลสืบเนื่องในส่วนของตน
ในทางกลับกัน สิ่งนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า จากมุมมองด้านการจัดการอาจเป็นประโยชน์มากกว่าในการสำรวจการรับรู้และการตอบสนอง/การกระทำของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว ในขณะที่ยังเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ ซึ่งยังการขาดการศึกษาตามยาวในการวิจัยที่กล่าวถึงข้างต้น
นั่นคือ ไม่เพียงแต่ทัศนคติของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว จะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
การตอบสนองก็ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่นในโมเดลของ Carmichael ‘การยอมรับภายใต้บงการ’
อาจถูกแทนที่ด้วย ‘การยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามชัดเจน’
หรือในทางกลับกันเป็นลักษณะของการท่องเที่ยวหรือนักท่องเที่ยวในรีสอร์ทที่มีวิวัฒนาการ
ประการที่ห้าตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ในบทความนี้
ลักษณะของปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยวและประชาชนในท้องถิ่นอาจถูกกำหนดโดยปัจจัยต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับทั้งโครงสร้างของการเผชิญหน้า และความแตกต่างทางสังคม-วัฒนธรรมระหว่างกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่งการรับรู้เกี่ยวกับนักท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ
แหล่งท่องเที่ยว (และในทางกลับกันด้วย) ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับอิทธิพลจากการรับรู้ถึงความแตกต่างเหล่านี้ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น เบื้องต้นพบว่าพฤติกรรมการท่องเที่ยวเป็นที่รับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว ซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ (Pizam &
Sussman, 1995) ขณะที่ในการศึกษาร่วมสมัยซึ่งเน้นทั้งนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนกับประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยวของ Griffiths & Sharpley (2012) เปิดเผยว่า ความรู้สึกชาตินิยมที่แตกต่างกันของคนทั้งสองกลุ่ม
อาจแตกต่างกันไปในทางที่ผิดต่อธรรมชาติของการเผชิญหน้าของพวกเขา กล่าวโดยสรุปแล้ว การรับรู้ต่อการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว มีแนวโน้มที่จะได้รับอิทธิพลจากทัศนคติหรือความเชื่อที่มีอยู่ก่อนเป็นการเฉพาะเกี่ยวกับประเภทของนักท่องเที่ยว
และเป็นไปตามลักษณะของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่เป็นผลมาจากการรับรู้ของนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับประชาชนท้องถิ่น
ในที่สุดแล้วอาจมีข้อโต้แย้งค่อนข้างมาก
แต่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า ขณะที่ความสำคัญและความเป็นธรรมจากมุมมองความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชน
เพื่อพิจารณาการรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยวโดยทั่วไป รวมถึงผู้ที่ติดต่อสัมพันธ์บ้างเล็กน้อยหรือที่ไม่ได้ติดต่อกันโดยตรงกับนักท่องเที่ยว
จากมุมมองด้านประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวที่เป็นการรับรู้ ทัศนคติ และการตอบสนองของพวกเขา
ที่แสดงในภาพ จะเห็นว่ามีการพบปะแลกเปลี่ยนตามปกติโดยเจตนาและเชิงพาณิชย์กับนักท่องเที่ยว
ที่ได้รับความสนใจจากนักวิจัยมากที่สุด ท้ายที่สุด ความสำเร็จของปลายทางการท่องเที่ยวก็ขึ้นอยู่กับนักท่องเที่ยวที่ได้รับประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจ
และขึ้นอยู่กับลักษณะของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยวและผู้ให้บริการที่พวกเขาต้องการ
การวิจัยเหล่านั้นดำเนินการมานานแล้ว
อย่างเช่นในงานที่มีการอ้างถึงอย่างกว้างขวางของ McKean (1989) ที่ได้พิจารณาถึงการตอบสนองของคนท้องถิ่นบนเกาะบาหลี
ที่มีต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวสำหรับการแสดงทางวัฒนธรรม ในขณะที่มีการปรับแก้ไขล่าสุดด้วยการมุ่งเน้นเฉพาะการตอบสนองของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว กับนักท่องเที่ยว (Moufakkir & Reisinger, 2013a) นอกจากนี้การวิจัย Brunt &
Courtney (1999: 498) ยังได้สำรวจการรับรู้ของ ‘ผู้คนที่ติดต่อโดยตรงอย่างต่อเนื่องกับนักท่องเที่ยว’
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสี่ประเภทของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว ที่ได้รับจากการวิจัยของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม
งานวิจัยจำนวนมากที่สนใจการรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย ณ แหล่งท่องเที่ยว กลุ่มย่อยนี้โดยปริยายในฐานะที่เป็นผู้ที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวเพื่อหาเลี้ยงชีพ
ซึ่งมักจะมองว่าเป็นประโยชน์มากกว่าคนที่ไม่ได้ให้ความสนใจหรือมองข้ามไป และนี่ไม่ได้เป็นการบอกว่าการรับรู้และทัศนคติของประชาชนโดยทั่วไปนั้นไม่สำคัญ
อย่างไรก็ตามหากวัตถุประสงค์ของการวิจัย ต้องการให้ได้การวางแผนและการจัดการการท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพแล้ว
ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะมุ่งเน้นการวิจัยไปยังผู้ที่มีแนวโน้มที่จะมีอิทธิพลต่อประสบการณ์การท่องเที่ยว
๕. สรุป
ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทนำแล้วว่าจุดประสงค์โดยรวมของบทความนี้
คือ การพิจารณาถึงความก้าวหน้าของการวิจัยเกี่ยวกับการรับรู้ด้านการท่องเที่ยวของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ได้ระบุเอาไว้ถึงความท้าทายที่กำหนดขึ้นมาโดย
Ap (1990) จากงานวิจัยว่า ปัจจุบันนี้ได้มีความเข้าใจและมีคำอธิบายเกี่ยวกับการรับรู้ของประชาชนผู้อยู่อาศัย
ณ แหล่งท่องเที่ยว เพิ่มขึ้นอย่างเพียงพอที่จะนำไปใช้ในการวางแผนและจัดการแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งแน่นอนว่า การวิจัยต่างๆ ได้สร้างความรู้ความเข้าใจต่อปรากฏการณ์อย่างกว้างขวางอย่างไม่ต้องสงสัย ขณะเดียวกัน
ความกว้างของงานนั้นในแง่ของการมุ่งเน้นและความแม่นยำของวิธีการวิเคราะห์ที่ใช้มีส่วนทำให้ความเข้าใจที่กว้างขึ้นของปัจจัยทั้งภายในและภายนอก
ที่อาจมีอิทธิพลต่อประชาชนผู้อาศัยอยู่ ณ แหล่งท่องเที่ยว
และกลุ่มบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้การท่องเที่ยวและผลที่ตามมา
อย่างไรก็ตาม ไม่แน่นักว่าองค์ความรู้ของงานชิ้นนี้จะมีส่วนทำให้เกิดความเข้าใจทางวิชาการเกี่ยวกับการรับรู้การท่องเที่ยวของประชาชน
โดยมีกรณีศึกษาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (แม้ว่าจะจำกัดขอบเขตและประเด็นศึกษาอยู่ก็ตาม)
ทำให้ระดับความรู้โดยรวมเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามเนื้อหานี้ไม่ได้มีส่วนช่วยในการพัฒนารากฐานทางความคิดที่กว้างขึ้น เพื่อที่จะทำให้เกิดทำความเข้าใจการรับรู้ของประชาชนผู้อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว คุณค่าของการวิจัยยังคงเป็นแต่เพียงกรณีเฉพาะเท่านั้น
เพื่อความก้าวหน้าที่จะนำไปสู่การมีรูปแบบทั่วไป
แบบจำลองที่มีศักยภาพเพื่ออำนวยต่อการวางแผนการท่องเที่ยวยังคงมีอยู่อย่างจำกัด แม้ว่าการศึกษาจำนวนมากเริ่มแสดงให้เห็นว่าสามาถสนับสนุนการวางแผนการท่องเที่ยวที่ยอมรับการ
‘ตอบสนองของคนในท้องถิ่น’ ได้ แต่วิธีการนำเสนออาจปรากฏในระดับท้องถิ่นหรือระดับทั่วไปที่ยังไม่ชัดเจน
ไม่ต้องแปลกใจ ที่มีความหลากหลายของบริบทภายในปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างประชาชนผู้อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว กับนักท่องเที่ยว ที่อาจเกิดขึ้นโดยที่แบบจำลองการวางแผนทั่วไปไม่สามารถทำได้
ขณะเดียวกันก็ยังคงมีความจำเป็นต้องใช้วิธีการหลายมิติเพื่อทำการวิจัยการรับรู้ของผู้อยู่อาศัยจากมุมมองของประชาชนผู้อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว และปฏิสัมพันธ์ของพวกเขากับนักท่องเที่ยว ย้อนกลับไปที่แบบจำลองที่เสนอโดย
Deery et
al.(2012) ซึ่งใช้วิธีการบางอย่างเพื่อให้เกิดการรับรู้ที่สามารถขยายขอบเขตของการวิจัยเพื่อให้ครอบคลุมถึงค่านิยมและบรรทัดฐานพฤติกรรมของประชาชนผู้อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ความต้องการให้มีการพิจารณาการรับรู้และตอบสนองต่อการท่องเที่ยวในชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนผู้อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว นั่นคือ การท่องเที่ยวอาจมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจวิถีชีวิตของประชาชนในท้องถิ่นค่อนข้างต่ำ
สำหรับประเด็นหลังนั้น เป็นไปตามที่ได้ระบุเอาไว้ก่อนแล้วว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะไม่ตัดตัวนักท่องเที่ยวทั้งหลายออกจากสมการ
โดยนักท่องเที่ยวในการรับรู้/คาดหวังของประชาชนผู้อาศัยอยู่ ณ แหล่งท่องเที่ยว
(และตอบสนองตามนั้น) ในลักษณะเดียวกันกับที่นักท่องเที่ยวรับรู้และคาดหวังกับพวกเขา
ซึ่งเรื่องนี้ Moufakkir and Reisinger (2013b: xiii) ได้ถกแถลงเอาไว้ว่า
‘การศึกษาการรับรู้มีแนวโน้มที่จะลดรูปแบบและลักษณะความเป็นจริงของประชาชนผู้อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยวลงไป เพื่อจับจ้องเฉพาะสิ่งที่พอมองเห็นและเข้าใจได้ ซึ่งพวกเราก็สามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งที่มองเห็นได้นั้น
ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด’ โดย ‘ความจริง’ นั้น จะเกิดขึ้นจากความเข้าใจที่ลึกซึ้งในปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชนผู้อาศัยอยู่
ณ แหล่งท่องเที่ยว กับนักท่องเที่ยว และการตอบสนองต่อกันและกัน จนกว่าความรู้ความเข้าใจจะเกิดขึ้นเหมือนดังที่
Ap (1990: 615) ได้กล่าวเตือนว่า
มีแนวโน้มว่าพวกเราที่จะพบว่าตัวเองยังเป็นคนที่ยัง "ไม่ฉลาดพอ"
ที่จะเข้าใจอะไรต่อมิอะไรได้ครบถ้วน
Source: Sharpley, Richard (2014) “Host perceptions of tourism: A review of the research” Tourism
Management. 42: pp.37-49.
doi.org/10.1016/j.tourman.2013.10.007
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น