หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2568

แผนที่ช่วยป้องกันความรุนแรงได้

 แผนที่ช่วยอธิบาย คาดการณ์ และป้องกัน ความรุนแรงได้

16 February 2018 

Gordon Corera, Warwick University

ขณะที่ ดร.เว่ย สี กัว นักวิทยาการสารสนเทศศาสตร์ กำลังรับประทานอาหารเย็น และฟังข่าวร้ายเกี่ยวกับความขัดแย้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นในซีเรีย ด้วยความสนใจ เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2015


ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ดร.กัว เริ่มมีความรู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จากความรุนแรงที่เกิดส่งผลกระทบกับพลเรือน เนื่องจากเขาเคยทำงานในค่ายผู้ลี้ภัย UNHCR ในประเทศแอลจีเรีย และมองเห็นต้นทุนหลายๆ ด้านที่จะเกิดขึ้นโดยตรงกับมนุษย์


ความเชี่ยวชาญของเขาเองในฐานะนักวิชาการที่ผู้รอบรู้และลึกซึ้งด้านโครงข่ายการสื่อสารโทรคมนาคม ที่ดูเหมือนว่าจะยังอยู่ห่างไกลจากโลกแห่งความเป็นจริงในหลายๆ ส่วน แต่ว่าด้วยฐานะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์กายภาพ เขาต้องการสร้างแบบจำลองที่จะเข้ามาช่วยให้เกิดเข้าใจธรรมชาติของความขัดแย้งที่ว่านั้น นั่นเองจึงเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นรูปเป็นร่างของแนวทางนวัตกรรมขั้นสูง 


คืนนั้นเขาเฝ้าเพ่งมองแผนที่ที่กลุ่มรัฐอิสลามปฏิบัติการอยู่ และสังเกตเห็นการทับซ้อนกับสถานที่ต่างๆ บนเส้นทางสายไหมสายเก่า ซึ่งเป็นเส้นทางที่นำพ่อค้าจากจีนผ่านเอเชียและตะวันออกกลางไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อหลายพันปีก่อน


“สิ่งที่ผมเริ่มสังเกตเห็นอย่างช้าๆ ก็คือ พื้นที่จำนวนมากที่มีแนวโน้มที่จะเกิดความรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้น อยู่ตามเส้นทางการค้าโบราณ และผมก็นั่งคิดตรึกตรองว่า 'มีเหตุผลอะไรซ่อนอยู่ภายในเรื่องนี้หรือไม่'"


คืนนั้น ดร.เว่ย สี กัว จึงได้เขียนอัลกอริทึมบนแล็ปท็อปของเขาขึ้นมาอันหนึ่ง ด้วยการสร้างความเชื่อมโยงตำแหน่งของเมืองขนาดใหญ่และเมืองขนาดเล็กๆ หลายเมืองเข้าด้วยกัน และจัดทำแผนที่เมืองเหล่านั้นร่วมกับข้อมูลความขัดแย้งที่มาจากฐานข้อมูลการก่อการร้ายสากล (global terrorism database) และสถาบันวิจัยสันติภาพออสโล (PRIO - peace research institute Oslo)


“ผลลัพธ์ที่ได้นั้น มันน่าทึ่งมาก” เขากล่าว ทั้งๆ ที่ปฏิกิริยาแรกของเขา คือ การคิดว่าเขาทำผิดพลาด เขาจึงลองใหม่อีกครั้ง และผลลัพธ์ที่ได้ก็ดีขึ้น หลังจากนั้นจึงขอร้องให้เพื่อนร่วมงานที่เป็นนักคณิตศาสตร์ช่วยทำการทดสอบอย่างเป็นอิสระปราศจากการครอบทางความคิดจากเขา ซึ่งได้คำตอบเดียวกัน


อัลกอริธึมของ ดร.เว่ย สี กัว เชื่อมโยงโลกในฐานะโครงข่ายเมืองขนาดใหญ่และเมืองขนาดเล็กทั้งหลายเข้าด้วยกัน และพิจารณาความเชื่อมโยงระหว่างเมืองทั้งสองระดับขนาดเข้าด้วยกัน บนกราฟของ ดร.กัว เมืองบางแห่งปรากฏเป็นวงกลมขนาดใหญ่ที่แสดงถึงการเชื่อมต่อที่หนาแน่นมากๆ


บนกระดานไวท์บอร์ด เขาวาดแผนที่ของเมืองต่างๆ ที่เชื่อมต่อกัน และชี้ให้เห็นว่าหากนักเดินทางจากแต่ละเมืองต้องการเดินไปรอบๆ แผนที่ พวกเขาจะเดินมาประทะกันตรงทางแยกบางแห่งบ่อยกว่าที่อื่นถึง 100 เท่า


ความไม่มั่นคงที่เกิดขึ้นจริง? 


เป็นหลายๆ สถานที่ที่ผู้คนจะต้องเดินทางผ่านจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งและมีเส้นทางอื่นอีกเพียงไม่กี่เส้นทางเท่านั้น - ซึ่งนั่นคือ ความสัมพันธ์ที่มีกับเส้นทางสายไหม 


สิ่งที่เขาพบ คือ ความสัมพันธ์อย่างมากกับข้อมูลเกี่ยวกับความรุนแรง รวมถึงการก่อการร้าย สงครามระหว่างรัฐ และกลุ่มอาชญากรที่ชอบใช้ความรุนแรง นั่นแสดงว่า เมืองใหญ่น้อยต่างๆ บนทางแยกเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่ดำรงอยู่บนความไม่มั่นคงโดยเนื้อแท้ 


ซีเรียอยู่บนที่ตั้งที่แสดงให้เห็นนัยยะดังกล่าวได้อย่างชัดเจนว่า เป็นเส้นทางขาขึ้นมาจากแอฟริกาผ่านลิแวนต์ อีกทั้งยังเป็นทางสัญจรจากเอเชียด้วย


เมืองเดียร์ อัล-ซูร์ ที่ค่อนข้างเล็กในซีเรีย แต่มีมีความสัมพันธ์ดังกล่าวสูงมาก จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองสุดท้ายที่กลุ่มไอเอสยึดครองอำนาจ


“มันเป็นทางแยกที่โดดเดี่ยวระหว่างอารยธรรมต่างๆ ในภูมิภาค (ซีเรียและอิรัก) และโดดเดี่ยวมากสำหรับโลกโดยรวม เป็นจุดเชื่อมโยงดินแดนยูเรเซียตะวันตกเข้ากับดินตะวันออกไกล” ดร.กัว อธิบาย 


“แท้จริงแล้ว ในอดีตมันเป็นจุดค้าขายที่สำคัญระหว่างจักรวรรดิโรมันกับอินเดีย และต่อมาก็ได้เป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางสายไหมที่สำคัญ ทำหน้าที่เชื่อมโยงตะวันออกเข้ากับทั้งอียิปต์และยุโรป”


แบบจำลองของ ดร.กัว ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ เนื่องจากเป็นแบบจำลองที่ให้ความสำคัญกับภูมิศาสตร์ทางกายภาพของพื้นที่ต่างๆ มากกว่าปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม หรือศาสนาอื่นๆ ซึ่งอาจมองว่าเป็นวิธีหนึ่งในการทำความเข้าใจความขัดแย้ง 


แต่เขาเชื่อว่า ทฤษฎีของเขาสามารถขยายคำอธิบายไปสู่ระดับโลกได้ 


ดินแดนแถบตะวันออกกลางเป็นทางแยกของภูมิภาคที่ชัดเจนที่สุด ทั้งบนแกนตะวันออก-ตะวันตก ซึ่งเชื่อมโยงเอเชียกับยุโรป และบนแกนเหนือ-ใต้ ที่ขึ้นมาจากทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาราของแอฟริกา 


ลักษณะเช่นเดียวกับทางเดินแคบๆ ในอเมริกากลาง ที่เชื่อมระหว่างอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ เป็นภูมิภาคที่นับตั้งแต่โคลอมเบียขึ้นไปจนถึงชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก


ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัญญาว่าจะสร้างกำแพงตามแนวชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งครั้งแรก เมื่อปี 2016 เพื่อลดการย้ายถิ่นฐาน


สมมติฐานที่ ดร.กัว กำลังดำเนินการพิสูจน์อยู่ ก็คือ บางพื้นที่มีแนวคิดที่ถกเถียงกันไหลผ่านแนวคิดเหล่านั้นมากกว่าพื้นที่อื่นๆ และทำให้แนวคิดเหล่านั้นไม่ได้รับการยืนยันอย่างมั่นคงไปในทางใดทางหนึ่ง 


ดร.กัว ระมัดระวังที่จะไม่กล่าวว่าความหลากหลายทางวัฒนธรรม เนื่องจากเป็นปัจจัยความไม่มั่นคงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับสังคม แต่พื้นที่ที่มีการเคลื่อนย้ายมาก ไม่ว่าจะเป็นในวัฒนธรรม การค้า ความคิด หรือผู้คน ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยง 


“ในปี 2017 การโจมตีของผู้ก่อการร้ายทั่วโลก โดยเฉลี่ยร้อยละ 76 เกิดขึ้นภายในเมืองจริงๆ ตามที่ได้คาดการณ์เอาไว้แล้วตั้งแต่ปี 2016 ว่ามันจะเกิดขึ้น และการก่อการร้ายประมาณร้อยละ 90 เกิดขึ้นภายในรัศมี 50 กิโลเมตรของเมืองเหล่านั้น จึงถือได้ว่าระดับของการคาดการณ์ มีความแม่นยำ” เขากล่าว


สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิธีการวิเคราะห์ตามลักษณะของสิ่งที่ปรากฎ (topographical approach) ก็คือ การนำเสนอวิธีที่เป็นไปได้ในการลดแนวโน้มที่จะเกิดความขัดแย้ง


บ่อยครั้งที่ ดร.กัว โต้แย้งนักวางแผนที่มักชวนให้คำนึงถึงความเป็นท้องถิ่นเป็นสำคัญ อย่างเช่นข้อเสนอที่ว่า “คุณต้องซูมออกสักหน่อยหนึ่ง แล้วให้คิดถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงทั่วโลก” แบบนั้นเป็นต้น


'จุดอับ'


การตอบสนองอย่างหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ การลดความกดดันและความตึงเครียดในเมืองบางเมือง ด้วยการสร้างเส้นทางเลี่ยงออกไปเมืองเหล่านั้น นั่นอาจเป็นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เช่น ถนน หรือแม้แต่เมืองใหม่ๆ หรือบางทีอาจเป็นผ่านการสื่อสารใหม่ๆ หรือแม้แต่การเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม 


สิ่งนี้อาจมีความสำคัญเป็นพิเศษในพื้นที่ที่เกิดจากความขัดแย้ง เมื่อมีโอกาสที่จะสร้างขึ้นใหม่ในลักษณะที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากความรุนแรงในอนาคตให้เหลือน้อยที่สุด 


แต่ ดร.กัว ยอมรับว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป “จุดอับเหล่านี้ท้าทายมากในการเชื่อมโยง และมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์มาก” โดยเขาชี้ให้เห็นว่าการสร้างทางเบี่ยงที่จุดสำคัญบางจุดจะต้องทอดข้ามทะเลทรายหรือทะเล

ชายแดนเมียนมาร์-บังกลาเทศถูกกดดันจากชาวโรฮิงญาหลายแสนคนที่หลบหนีความรุนแรงในรัฐยะไข่


ดร.กัว ใช้เวลาหนึ่งในห้าของเขา เพื่อทำงานในฐานะทัวริ่งนักวิจัยในสถาบันอลันทัวริงแห่งลอนดอน (Alan Turing Institute in London) ซึ่งทำให้มีโอกาสทำงานร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลชั้นนำของโลกได้ 


ผู้ร่วมวิจัยของเขาในโครงการนี้ คือ เซอร์ อลัน วิลสัน ซึ่งมีประวัติยาวนานในการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของพื้นที่ทางกายภาพ (mathematical modelling of physical spaces)


ชายทั้งสองเคยพบกันโดยบังเอิญที่เวิร์คช็อปของทัวริง และมีความรู้สึกร่วมกันที่ทำให้ทราบได้ทันทีว่าพวกเขาจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน พันธมิตรโครงการอื่นๆ ได้แก่ GCHQ และกระทรวงกลาโหม


นอกจากนี้ ดร.กัว ยังทำงานร่วมกับผู้ทำงานร่วมกันในเม็กซิโกและโคลอมเบีย เพื่อค้นหาเส้นทางการค้ายาเสพติด


จนถึงขณะนี้ งานนี้ใช้ข้อมูลจากห้วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมา โดยหลักแล้วเป็นเพราะตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 เป็นต้นมา มีชุดข้อมูลที่ใหญ่กว่าและเชื่อมโยงกันมากขึ้นสำหรับความขัดแย้ง


ก่อนหน้านั้น ดร.กัว กล่าวว่าข้อมูลค่อนข้างกระจัดกระจายและมักมีการติดแท็กตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ไม่ดี


เทคนิคการทำแผนที่ของ ดร.กัว ถูกนำมาใช้เพื่อสำรวจเส้นทางการค้ายาเสพติดในอเมริกาใต้


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดูยั่วเย้ามากที่สุด คือ ความสามารถที่เป็นไปได้ในการทำนายว่าความขัดแย้งในอนาคตอาจปะทุขึ้นที่จุดใด แม้ว่า ดร.กัว จะระมัดระวังในการพยากรณ์ต่อสาธารณะในระยะนี้ 


ประเด็นที่เป็นประโยชน์อีกประการหนึ่ง คือ การมองดูสถานที่ต่างๆ ที่แบบจำลองชี้ว่าน่าจะเกิดความขัดแย้งขึ้น แต่ยังไม่เกิดขึ้น แล้วตั้งคำถามว่าทำไม 


ซึ่งในบางกรณี ปัจจัยทางการเมือง เช่น รัฐตำรวจ ที่มีอำนาจล้นฟ้า อาจเป็นคำตอบต่อคำถามนั้นให้กระจ่างได้


แบบจำลองมาร์ไมต์


แบบจำลองนี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับผลกระทบที่จะตามมาจากการปิดล้อมและการคว่ำบาตรสถานที่ที่คาดว่าจะเกิดความขัดแย้งรุนแรง


หากประเทศถูกตัดขาดจากประเทศอื่นๆ แบบจำลองนี้แนะนำว่าประเทศต่างๆ ควรมีเสถียรภาพและสอดคล้องกันมากขึ้น เนื่องจากจะมีการจราจรผ่านน้อยที่สุด แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อประเทศโดดเดี่ยวเหล่านี้เปิดกว้าง? จะรับมือกับความเสี่ยงของความไม่มั่นคงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างไร?


ดร.กัว ยอมรับว่า แบบจำลองของเขาค่อนข้างจะเป็นอะไรที่มาร์ไมต์มาก และแบ่งแยกความคิดเห็นออกจากกัน โดยเขาชี้ว่าเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม หรืออาจเป็นสิ่งที่โง่เขลาจริงๆ ก็ได้


หมายเหตุ - เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน (1933-2021) เคยเสนอแนะว่า ความขัดแย้งระหว่างอาหรับกับอิสราเอลอาจคลี่คลายได้ด้วยมาร์ไมต์ ในระหว่างการบรรยายให้เจ้าหน้าที่ในสำนักงานต่างประเทศของอังกฤษฟังในปี 1999 ผู้ริเริ่มคำว่า การคิดนอกกรอบ พร้อมยืนยันว่าสารสกัดจากยีสต์ แม้จะเป็นที่เลื่องลือกันว่าทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม แต่ก็สามารถทำสิ่งที่นักการเมืองและนักการทูตล้มเหลวมานานหลายปี โดยเขาเห็น ปัญหาว่าผู้คนในตะวันออกกลางกินขนมปังไร้เชื้อ ทำให้ร่างกายขาดธาตุสังกะสี ซึ่งทำให้พวกเขาหงุดหงิดและทะเลาะวิวาทกัน การให้อาหารมาร์ไมต์จึงจะช่วยสร้างความสงบสุขได้


คนอื่นๆ ที่ทำงานด้านการวิจัยความขัดแย้งและเคยดูการศึกษาเหล่านี้ แล้วก็กล่าวว่า แบบจำลองนี้เป็นวิธีที่น่าสนใจในการมองหามุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับปัญหาที่ทราบกันดี


ความขัดแย้งในซีเรียได้ทำลายล้างเมืองต่างๆ มากมาย รวมถึงเมืองอเลปโป และทำให้ผู้คนหลายล้านคนต้องพลัดถิ่น


“มันไม่ใช่กระแสหลัก” ศาสตราจารย์คริสเตียน เกลดิตช์ จากมหาวิทยาลัยเอสเซกแสดงอาการยอมรับแบบจำลองของ ดร.กัว


พร้อมกับกล่าวเสริมต่ออีกว่า "นักสังคมศาสตร์หลายคนอาจสงสัยต่อประโยชน์ของแนวทางเหล่านี้ แต่ผมคิดว่านี่อาจมีประโยชน์ และสามารถดึงดูดความสนใจไปยังวิธีมองปัญหาที่แตกต่างจากการวิจัยความขัดแย้งแบบเดิมๆ" 


ผู้ที่ชื่นชอบวิธีการเชิงคุณภาพมักจะวิพากษ์วิจารณ์มันว่าเป็นการลดรูป (reductionist) โดยอ้างว่ามันต้องใช้ปัญหาของมนุษย์ที่ซับซ้อนอย่างมหาศาล ที่มีหลายชั้น และทำให้มันง่ายเกินไป โดยขจัดบทบาทของปัจจัยทางประวัติศาสตร์ออกไป


แต่ ดร.กัว เชื่อว่าการเริ่มต้นจากสิ่งง่ายๆ ที่มีพลังในการทำนายที่แข็งแกร่ง จะเป็นพื้นฐานในการสร้างความรู้เพิ่มเติม และสำรวจความสัมพันธ์และสาเหตุที่เป็นไปได้ 


ความหวังของเขา คือ ความทะเยอทะยาน อันหมายถึงความสามารถที่จะสร้างหลักฐานซึ่งจะช่วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนบนพื้นฐานระดับโลกอย่างแท้จริง และในการทำเช่นนั้นจะช่วยลดความขัดแย้งได้อย่างมาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น