หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

การเลื่อนไหลของความเสี่ยงระหว่างภูมิภาค

 การเลื่อนไหลของความเสี่ยงระหว่างภูมิภาค

Inter-regional Flows of Risks and Responses to Risk

 

โลกของเราในปัจจุบันมีลักษณะของความเชื่อมโยงระหว่างกันเป็นกระแสโลกาภิวัตน์ในระดับที่สูงมากๆ ซึ่งกระแสดังกล่าวช่วยสร้างเส้นทางสำหรับการส่งผ่านความเสี่ยงอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ข้ามภาคส่วนและข้ามพรมแดนในระดับที่มีความเชื่อมั่นสูง ในขณะที่รายงานการประเมินครั้งที่ห้าของ IPCC ได้ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของความเสี่ยงข้ามภูมิภาคว่าเป็น 'ปรากฏการณ์ข้ามภูมิภาค - cross-regional phenomena' อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้น ที่ผนวกเอาแง่มุมความเชื่อมโยงข้ามกันไปมาระหว่างภูมิภาคเข้ากับการประเมินความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็ยังคงเป็นประเด็นหลักเพียงแค่ระดับชาติหรือระดับท้องถิ่นเท่านั้น

 

ความเสี่ยงระหว่างภูมิภาคจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ—เรียกอีกอย่างว่า ความเสี่ยงข้ามพรมแดน ข้ามเขตแดน ข้ามชาติ หรือความเสี่ยงโดยอ้อม (cross-border, transboundary, transnational or indirect risks) เหล่านี้เป็นความเสี่ยงที่ถูกส่งผ่านข้ามพรมแดนออกไป เช่น การใช้น้ำข้ามพรมแดน และ/หรือผ่านการเชื่อมต่อกันจากระยะไกล เช่น ห่วงโซ่อุปทาน และตลาดอาหารโลก ความเสี่ยงอาจเป็นผลมาจากผลกระทบ ซึ่งรวมถึงผลกระทบแบบทบต้นหรือพร้อมกัน ซึ่งลดหลั่นกันไปในหลายระดับ ในลักษณะที่ลดหรือเพิ่มความเสี่ยงภายในระบบระหว่างประเทศ การส่งผ่านความเสี่ยงอาจเกิดขึ้นผ่านเครือข่ายการค้าและการเงิน การไหลเวียนของผู้คน การไหลทางชีวฟิสิกส์ (เช่น น้ำ) และการเชื่อมต่อของระบบนิเวศ อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ความเสี่ยงที่ส่งผ่านข้ามพรมแดนและระบบเท่านั้น การตอบสนองในการปรับตัวยังอาจลดความเสี่ยงที่ต้นทางของความเสี่ยง ตามช่องทางการส่งสัญญาณหรือที่ผู้รับความเสี่ยง รายละเอียดงต่อไปนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับช่องทางการส่งผ่านความเสี่ยง ระหว่างภูมิภาค 4 ช่องทาง ได้แก่ช่องทางการค้า การเงิน อาหาร และระบบนิเวศ

 

การค้าพาณิชย์

 

สินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่มีการซื้อขายอย่างกว้างขวางในตลาดโลก เรียกว่าซื้อขายกันผ่านระบบห่วงโซ่อุปทาน ทำให้โลกาภิวัตน์มากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น สินค้าอุตสาหกรรมเฉพาะทาง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ จะกระจุกตัวกันอยู่ตามสภาพที่เหมาะสมทางภูมิศาสตร์ในบางประเทศ เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตทางภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วมหรือความร้อนขึ้นสูง จะส่งผลกระทบต่อที่ตั้งของกิจกรรมการผลิตเหล่านี้ ภาวะทางเศรษฐกิจจะไม่หยุดชะงักเฉพาะแค่เพียงในท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการข้ามพรมแดนและข้ามไปถึงดินแดนของประเทศที่อยู่ห่างไกลด้วย ดังตัวอย่างจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2011 ในประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่การขาดแคลนปัจจัยการผลิตที่เป็นกุญแจสำคัญหลายอย่างสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ที่ไม่เพียงแต่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในประเทศญี่ปุ่น ประเทศในยุโรป และสหรัฐอเมริกาด้วย นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานเพิ่มเติมว่าประเทศอุตสาหกรรมหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ได้รับผลกระทบทางการค้าอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอย่างมาก ระบบการค้าที่ได้รับการปรับปรุงแล้วจะสามารถส่งผ่านความเสี่ยงข้ามพรมแดนออกไปและด้วยเหตุนี้จึงเท่ากับเป็นการขยายความเสียหายให้เพิ่มมากขึ้น แต่ก็สามารถเพิ่มความยืดหยุ่นได้เช่นกัน

 


ภาพที่ 1 น้ำท่วมใหญ่ประเทศไทยปี 2011 สร้างความเสี่ยงจากสภาพอากาศระหว่างภูมิภาคผ่านช่องทางการส่งผ่านการค้า ครอบคลุมทุกส่วนของโลก  (Abe and Ye, 2013; Haraguchi and Lall, 2015; Carter et al., 2021)

 

การเงินการคลัง

 

นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังสามารถแพร่กระจายออกไปผ่านตลาดการเงินได้ทั่วทั้งโลก สำหรับกรณีของการเกิดน้ำท่วมชายฝั่งและน้ำลิ้นตลิ่งแม่น้ำ ที่มีการปรับตัวต่ำ 2080 (RCP 8.5-SSP5) ระบบการเงินคาดว่าจะเกิดการสูญเสียทางตรงเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า (ค่าเฉลี่ยทั่วโลก) แต่จะสูงมากกกว่าอีกถึง 10 เท่าสำหรับประเทศต่างๆ ที่เป็นประเทศศูนย์กลางทางการเงิน รวมถึงผลกระทบทางอ้อมที่อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบทางอ้อมต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ กระแสการส่งเงิน และความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ

 

ห่วงโซ่การผลิตอาหาร

 

อุปทานสินค้าเกษตรทั่วโลกกระจุกตัวอยู่ที่อู่ข้าวอู่น้ำหลักไม่กี่แห่ง ตัวอย่างเช่น อเมริกากลางและใต้ ที่เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงสุดในการเพิ่มเสบียงอาหารไปยังภูมิภาคที่มีประชากรหนาแน่นในเอเชีย ตะวันออกกลาง และยุโรป การส่งออกสินค้าเกษตร อย่างกาแฟ กล้วย น้ำตาล ถั่วเหลือง ข้าวโพด อ้อย และเนื้อวัว มีความความสำคัญเป็นอย่างมากในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากการค้าระหว่างประเทศและตลาดโลกาภิวัตน์ ได้หล่อหลอมระบบอาหารเกษตรทั่วโลก

 

การส่งออกพืชอาหารหลัก เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด และถั่วเหลือง จากพื้นที่ขาดแคลนน้ำหลายแห่งของโลก เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ บางส่วนของเอเชียใต้ ที่ราบจีนตอนเหนือ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ไปยังพื้นที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ของโลกนี้ ที่ดูเหมือนว่าจะมีปริมาณน้ำสูงกว่า (ปริมาตรสุทธิของน้ำที่ฝังอยู่ในการค้า) ปรากฏการณ์เช่นนี้ ถือได้ว่าทั้งประเทศผู้นำเข้าและส่งออก “มีความเสี่ยงข้ามพรมแดน” ผ่านผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อแหล่งน้ำที่อยู่ห่างไกล การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคาดว่าจะเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงและเพิ่มช่องโหว่ใหม่สำหรับการส่งผ่านความเสี่ยง โดยความเข้มข้นของ CO2 ในชั้นบรรยากาศที่เพิ่มขึ้น คาดว่าจะไปทำให้ประสิทธิภาพการใช้น้ำของการปลูกข้าวโพดและธัญพืชเขตอบอุ่นลดลงในพื้นที่บางส่วนของสหรัฐอเมริกา ยุโรปตะวันออกและเมดิเตอร์เรเนียน แอฟริกาใต้ อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างมีนัยสำคัญสำหรับการค้าธัญพืชอาหารในอนาคต ภายในปี 2050 (สถานการณ์จำลอง SRES B2) ประเทศผู้นำเข้าน้ำเสมือนในทวีปแอฟริกาและดินแดนตะวันออกกลาง อาจเผชิญกับความเครียดจากน้ำที่มีการนำเข้านี้ เนื่องจากต้องพึ่งพาการนำเข้าธัญพืชอาหารจากประเทศที่มีการใช้น้ำอย่างไม่ยั่งยืน จนถึงปี 2100 การค้าเสมือนจริงที่ใช้น้ำจากระบบชลประทานคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเกือบสามเท่า (สำหรับสถานการณ์ SSP2-RCP6.5) และทิศทางของการไหลของน้ำเสมือนจริงคาดว่าจะกลับด้าน โดยภูมิภาคที่ส่งออกอยู่ในปัจจุบัน เช่น เอเชียใต้ จะต้องกลายเป็นผู้นำเข้าน้ำเสมือนจริงเหล่านั้นคืนกลับมา การไหลเวียนของการค้าเพิ่มเติม 10–120% จากภูมิภาคที่อุดมสมบูรณ์ไปยังภูมิภาคที่ขาดแคลนน้ำ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาข้อกำหนดการไหลของสิ่งแวดล้อมในระดับโลกภายในสิ้นศตวรรษนี้ การส่งออกสินค้าเกษตรนำไปสู่การตัดไม้ทำลายป่า การแสวงหาผลประโยชน์มากเกินไปจากทรัพยากรธรรมชาติและมลพิษ ส่งผลกระทบต่อฐานทุนทางธรรมชาติและบริการของระบบนิเวศ

 

ระบบนิเวศและชนิดพันธุ์

 

การกระจายเชิงพื้นที่ของชนิดพันธุ์บนบกและในมหาสมุทร กำลังเปลี่ยนไป เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คาดว่าจะตัวเร่งให้ขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงต่อๆ ขึ้นอีก เมื่อเกิดภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้น 'การเคลื่อนย้ายของชนิดพันธุ์ที่สามารถเคลื่อนไหวได้' เหล่านี้ จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบนิเวศและความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ และนำความท้าทายต่อการกำกับดูแลเข้ามา ตัวอย่างเช่น จำนวนปลาข้ามพรมแดนที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้น เนื่องจากชนิดพันธุ์การประมงหลักถูกแทนที่ด้วยภาวะโลกร้อนในมหาสมุทร ความขัดแย้งเกี่ยวกับการจับปลาแมคเคอเรลหมุนเวียนได้เกิดขึ้นแล้วระหว่างประเทศในยุโรป เนื่องจากหน่วยงานกำกับดูแลเพียงไม่กี่แห่ง มีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการย้ายแหล่งจับ สิ่งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้แสวงประโยชน์จากชนิดพันธุ์อย่างไม่ยั่งยืนเกิดขึ้นในน่านน้ำใหม่ หากไม่มีการจัดสรรการจับที่อัปเดตเป็นประจำ เพื่อสะท้อนถึงการกระจายแหล่งจับที่เปลี่ยนแปลง

 

สุขภาพของมนุษย์จะได้รับผลกระทบจากโรคที่มีพาหะนำโรค เช่น การกระจายทางภูมิศาสตร์ของมาลาเรียและไข้เลือดออกจะเปลี่ยนไป นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานว่าชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่สามารถปรับตัวเข้ากับเขตอบอุ่นได้ดีหลายชนิด เช่น ไซยาโนแบคทีเรียในน้ำจืดที่เป็นผู้รุกราน ได้แพร่กระจายไปยังละติจูดที่สูงขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

 

การปรับตัวตอบสนองความเสี่ยงความเสี่ยงระหว่างภูมิภาค

 

การตอบสนองการปรับตัวเพื่อลดความเสี่ยงระหว่างภูมิภาคสามารถดำเนินการได้ในระดับต่างๆ ณ จุดที่เกิดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะเริ่มต้น เช่น ความช่วยเหลือในการฟื้นฟูหลังเหตุการณ์รุนแรง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น เทคโนโลยีภูมิอากาศอัจฉริยะเพื่อการเกษตร ที่หรือตามเส้นทางที่ผลกระทบถูกส่งไป (เช่น การกระจายความหลากหลายทางการค้า การเปลี่ยนเส้นทางการขนส่ง ยังประเทศผู้รับ เช่น การเพิ่มพื้นที่จัดเก็บเพื่อรองรับการหยุดชะงักของอุปทาน) หรือโดยบุคคลที่สาม เช่น การเงินเพื่อการปรับตัว การถ่ายโอนเทคโนโลยี ความรู้ออกจากความต้องการ ประสิทธิผล และข้อจำกัดในการปรับตัวภายใต้อนาคตทางเศรษฐกิจและสังคมและการใช้ที่ดินที่แตกต่างกัน

 

เนื่องจากมีกการพึ่งพาระหว่างกันระดับภูมิภาคและระดับโลก ความสามารถฟื้นกลับคืนของสภาพภูมิอากาศจึงเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ต่อสาธารณะในระดับโลก ดังนั้น ประโยชน์ของการปรับตัวจึงถูกแบ่งปันนอกเหนือจากจุดที่เริ่มใช้การปรับตัว ในทางกลับกัน การปรับตัวอาจประสบความสำเร็จในระดับท้องถิ่นขณะที่มีการกระจายความเสี่ยงไปท้องที่อื่นๆ หรือแม้แต่ผลักดันออกไปหรือไปเพิ่มความเสี่ยงในที่อื่นๆ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อให้แน่ใจว่าผลกระทบระหว่างภูมิภาคได้รับการพิจารณาในการปรับตัว และความพยายามปรับตัวนั้นได้รับการประสานงานเพื่อหลีกเลี่ยงการปรับตัวที่ผิดพลาดอย่างไรก็ตาม ธรรมาภิบาลการปรับตัวในระดับภูมิภาคและระดับโลกเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

 

กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามข้อตกลงกรุงปารีสข้อ 7.2 ได้กำหนดกรอบการปรับตัวเป็น 'ความท้าทายระดับโลก' และข้อ 7.1 กำหนดเป้าหมายระดับโลกเกี่ยวกับการปรับตัว ซึ่งให้พื้นที่สำหรับการเจรจาระหว่างฝ่ายต่างๆ เกี่ยวกับความท้าทายระดับโลกของการปรับตัว และความจำเป็นในการลงทุนทางการเมืองและการเงินในการปรับตัว รวมถึงเพื่อจัดการกับผลกระทบระหว่างภูมิภาค

 

แผนงานการปรับตัวแห่งชาติ (NAPs: national adaptation plans) สามารถพัฒนาเพื่อพิจารณาผลกระทบระหว่างภูมิภาครวมถึงผลกระทบภายในประเทศ การประสานงานระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศของ NAPs ควบคู่ไปกับการสร้างขีดความสามารถและการจัดการช่องว่างความรู้ที่มีอยู่ในระดับประเทศ สามารถช่วยให้แน่ใจว่าทรัพยากรมุ่งเน้นไปที่การลดความเสี่ยงระหว่างภูมิภาคและสร้างความยืดหยุ่นเชิงระบบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลก

 

เนื่องจากบทบาทที่สำคัญของภาคเอกชนในการจัดการความเสี่ยงด้านสภาพอากาศระหว่างภูมิภาค จึงจำเป็นต้องมีความพยายามในการปรับกลยุทธ์ภาครัฐและเอกชนในการจัดการความเสี่ยงด้านสภาพอากาศระหว่างภูมิภาคเพื่อหลีกเลี่ยงการปรับตัวที่ไม่เหมาะสม และรับประกันว่าจะมีการปรับตัวอย่างยุติธรรมและเท่าเทียมกันในระดับต่างๆ

กตัญญูกตเวที

 

กตัญญูกตเวที

ช่วงก่อนปีใหม่ปีนี้ ๒๕๖๖ ได้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนทัศนะกับผู้บริหารระดับหนึ่งของธุรกิจใหญ่ของเมืองไทย เราคุยกันเรื่อง ‘ความกตัญญูกตเวที’ ซึ่งแน่นอนล่ะว่า ในบริบทของคนไทยอย่างเราๆ ที่เป็นสังคมตะวันออกที่มีบรรทัดฐานแบบนี้ เราถือกันว่า สิ่งนี้มีความสำคัญมากๆ ในทุกระดับทุกช่วงของชีวิต

 

คุยกันว่า ‘ความกตัญญูกตเวที’ มีความสำคัญมาก มหาปราชญ์อย่างซิเซโรถึงขนาดกล่าวว่าความกตัญญูเป็น ‘คุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด’ และความกตัญญูเป็น ‘มารดาแห่งคุณธรรมอื่นๆ ที่เหลือ ทั้งหมดทั้งมวลรวมถึงยังมีงานวิจัยอีกจำนวนไม่น้อยที่ยืนยันว่าความกตัญญูกระตุ้นให้คนเห็นคุณค่าของสิ่งดีๆ ในชีวิตและคอยบังคับให้ตอบแทนความดีงามเหล่านี้ต่อไป บนความเชื่อที่ว่า ‘คนที่มีความกตัญญูกตเวทีจะเป็นผู้มีความสุขและมีความพึงพอใจกับชีวิตของตัวเองมากขึ้น‘ อีกทั้งความกตัญญูกตเวทียังทำหน้าที่เป็น ‘กาวทางสังคม ที่หล่อเลี้ยงการก่อตัวของมิตรภาพใหม่ เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มีอยู่ของเรา และสนับสนุนรากฐานของสังคมมนุษย์

 

ต่อเรื่องนี้ เดวิด ฮูม นักปราชญ์ต้นตำหรับ empirical science หรือวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์ เคยกล่าวว่า ‘บรรดาอาชญากรรมทั้งหมดที่มนุษย์สามารถกระทำได้ สิ่งที่น่ากลัวและผิดธรรมชาติที่สุด คือ ความอกตัญญู’ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่เจ้าของแนวคิด division of labour อย่างอดัม สมิธ เองก็เชื่อว่า ‘ความกตัญญูเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสังคมที่อยู่บนพื้นฐานของความปรารถนาดี’

 

นักจิตวิทยาเชื่อว่า ‘ความกตัญญูกตเวที’ เป็นนิสัยของมนุษย์ที่สามารถปลูกสร้างขึ้นมาได้ แต่ว่าต้องสร้างตั้งแต่เด็กเล็ก ตอนอายุสัก - ขวบเท่านั้น อายุมากกว่านั้น ก็จะปลูกยากแล้ว ที่สำคัญมาก คือ ความกตัญญูมีประโยชน์มาก คู่สนทนาของผมยกประโยชน์อย่างหนึ่งจากหน้าที่การงานในหน่วยงานของตัวเอง นัยว่าความก้าวหน้าเหล่านั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากพื้นฐานที่หัวหน้าได้เพาะบ่มความกตัญญูให้เป็นจริยธรรมอย่างหนึ่งขององค์กร ซึ่งเขาเองก็ได้รับอิทธิพลอันนั้นด้วย

 

ด้วยความที่คู่สนทนาเป็นศิษย์เก่าจึงขอให้ผมช่วยนำเรื่องนี้เข้าสู่บทเรียนในสถาบันการศึกษาด้วย พร้อมแนะนำสมุดปกขาวเล่มพอดีๆ ว่าด้วย ‘วิทยาศาสตร์ของกตัญญูกตเวที’ (The Science of Gratitude) ที่ซัมเมอร์ อัลเลน เขียนเอาไว้เมื่อปี ๒๐๑๘ อ่านได้ใจความไม่ยาก อ่านแล้วทำให้ได้รับรู้และเรียนรู้ถึงจุดกำเนิดของความกตัญญู ปัจจัยและประโยชน์ของความกตัญญู การจัดการความกตัญญู รวมถึงทิศทางงานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ด้านความกตัญญู

 

ครับ! ลองมาดูกัน

 

ความกตัญญูกตเวที

 

คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจโดยสัญชาตญาณด้วยตนเองว่า ‘ความกตัญญูคืออะไร’ แต่อาจเป็นเรื่องยากอย่างน่าประหลาดใจที่จะนิยามว่า มันเป็นอารมณ์? เป็นคุณธรรม? หรือว่าเป็นพฤติกรรม? แท้จริงแล้ว ความกตัญญูอาจหมายถึงสิ่งที่แตกต่างกันสำหรับผู้คนที่แตกต่างกันในบริบทที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม นักวิจัยได้พัฒนากรอบแนวคิดบางอย่างสำหรับการสร้างกรอบความคิดเกี่ยวกับความกตัญญูกตเวทีเพื่อให้สามารถศึกษาได้ในเชิงวิทยาศาสตร์

 

ตัวอย่างเช่น โรเบอร์ต เอมมอนส์ และมิเชล แมคคัลเลาจ์ นิยามความกตัญญูว่า เป็นกระบวนการสองขั้นตอน คือ ๑) "ตระหนักว่าคนเราได้รับผลลัพธ์เชิงบวกและ ๒) "ตระหนักว่ามีแหล่งที่มาภายนอกสำหรับผลลัพธ์เชิงบวกนี้โดยผลประโยชน์เชิงบวกเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ความกตัญญูจึงได้ชื่อว่าเป็น ‘ความรู้สึกที่ผูกติดอยู่กับคนอื่น’ (other-oriented emotion) ที่ผู้คนอาจสามารถรู้สึกขอบคุณต่อพระเจ้า โชคชะตา ธรรมชาติ ฯลฯ ได้เช่นกัน

 

นักจิตวิทยาบางคนแบ่งประเภทของความกตัญญูกตเวทีเพิ่มเติม  ประเภท ได้แก่ ความกตัญญูที่เป็น ‘อุปนิสัย’ (แนวโน้มโดยรวมของคนๆ หนึ่งที่จะมีอุปนิสัยเป็นคนสำนึกในบุญคุณ) ‘อารมณ์’ (ความรู้สึกขอบคุณโดยรวมที่ผันผวนไปในแต่ละวันและ ‘ความรู้สึก’ (ความรู้สึกชั่วคราวเกี่ยวกับความกตัญญูที่บุคคลอาจรู้สึกได้หลังจากได้รับของขวัญหรือความโปรดปรานจากผู้อื่น)

 

จุดกำเนิดของความกตัญญูกตเวที

 

งานวิจัยจำนวนหนึ่งชี้ให้เห็นว่าความกตัญญูไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่มันมีรากลึกที่ฝังอยู่ในประวัติศาสตร์วิวัฒนาการ สมองและดีเอ็นเอของเรา อีกทั้งยังมีอยู่ในการพัฒนาของเด็กด้วย

 

สัตว์ชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปลา นก และค้างคาวดูดเลือด ต่างก็มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ "เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น" (reciprocal altruism) ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สัตว์ตัวหนึ่งทำเพื่อช่วยสมาชิกในสายพันธุ์เดียวกันของพวกมัน แม้จะต้องแลกกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดของตัวมันเองก็ตาม อาจเป็นเพราะพวกมันรับรู้ในระดับสัญชาตญาณว่าสัตว์อื่นๆอาจได้รับผลตอบแทนบุญคุณในภายหลัง นักวิทยาศาสตร์หลายคนเห็นว่าความปรารถนาที่จะตอบแทนความเอื้ออาทรนี้ เป็นการแสดงความรู้สึกขอบคุณ และในความเป็นจริง นักวิทยาศาสตร์บางคนเสนอว่า ความกตัญญูกตเวทีอาจพัฒนาเป็นกลไกในการผลักดันการเห็นแก่ผู้อื่น ซึ่งส่งผลให้คนแปลกหน้ากลายเป็นเพื่อนและพันธมิตรที่มีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ต่อไปในอนาคต

 

การสนับสนุนแนวคิดที่ว่าความกตัญญูกตเวทีอาจเกิดขึ้นจากการปรับตัวเชิงวิวัฒนาการ ส่วนหนึ่งมาจากการวิจัยเกี่ยวกับไพรเมต ที่การศึกษาพบว่าลิงชิมแปนซีมีแนวโน้มที่จะแบ่งปันอาหารกับลิงชิมแปนซีที่เคยดูแลพวกมันเมื่อเช้า และมีแนวโน้มที่จะช่วยลิงชิมแปนซีตัวอื่นทำงาน หากชิมแปนซีตัวนั้นเคยช่วยพวกมันในอดีต

 

การศึกษาด้านประสาทวิทยาระบุพื้นที่สมองที่น่าจะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์และการแสดงความกตัญญูกตเวที ซึ่งเป็นหลักฐานเพิ่มเติมสำหรับแนวคิดที่ว่าความกตัญญูเป็นองค์ประกอบภายในของประสบการณ์ของมนุษย์ นอกจากนี้ การศึกษาบางชิ้นยังระบุถึงยีนเฉพาะที่อาจสนับสนุนความสามารถของเราในการสัมผัสความรู้สึกขอบคุณ

 

การศึกษาล่าสุดได้เริ่มสำรวจรากเหง้าของพัฒนาการของความกตัญญูด้วย งานวิจัยที่ว่านี้ชี้ให้เห็นว่า แม้แต่เด็กที่ค่อนข้างเล็ก ก็มีแนวคิดเกี่ยวกับความกตัญญูที่พัฒนาขึ้นเมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ สิ่งนี้บ่งบอกให้เห็นว่ารากของความกตัญญูนั้นหยั่งรากลึก

 

ปัจจัยส่วนบุคคลที่เชื่อมโยงกับความกตัญญู

 

แม้ว่ามนุษย์ในฐานะที่เป็นสายพันธุ์หนึ่งจะมีแนวโน้มทั่วไปสำหรับความรู้สึกขอบคุณหรือความกตัญญู มีอะไรเป็นตัวกำหนดว่าแต่ละคนรู้สึกขอบคุณแบบนั้นหรือไม่? การวิจัยได้เชื่อมโยงปัจจัยต่างๆ เช่น ปัจจัยด้านบุคลิกภาพ ความรู้ความเข้าใจ และเพศ เข้ากับความน่าจะเป็นที่บุคคลจะได้รับความรู้สึกขอบคุณหรือมีอุปนิสัยสำนึกในบุญคุณ

 

งานวิจัยหลายชิ้นได้ทำการสำรวจว่า ปัจจัยด้านบุคลิกภาพบางอย่าง เช่น การแสดงอารมณ์ภายนอก การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความมีมโนธรรม ลัทธิประสาทนิยม หรือการเปิดกว้างต่อประสบการณ์ พบว่า มีความเกี่ยวข้องกับความรู้สึกขอบคุณทางอารมณ์แตกต่างกัน การศึกษาอื่นๆ ยังพบหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ความกตัญญูอาจถูกมองว่าเป็นปัจจัยบุคลิกภาพของตนเอง

 

มีปัจจัยด้านความรู้ความเข้าใจหลายอย่าง ที่สามารถมีอิทธิพลต่อความรู้สึกในการมีความกตัญญูของบุคคลในสถานการณ์หนึ่งๆ สิ่งเหล่านี้รวมถึงเจตนาที่รับรู้ของผู้มีพระคุณ เช่น เห็นว่าผู้มีพระคุณนั้นทำไปเพราะเห็นแก่ประโยชน์อันบริสุทธิ์ หรือเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เช่น ต้องการทำให้ชื่อเสียงของตนดีขึ้น หรือไม่ก็เกี่ยวกับต้นทุนที่เห็นได้ชัดเจนของผู้มีพระคุณ คุณค่าของของขวัญ/ความโปรดปรานแก่ผู้รับ ไม่ว่าของขวัญ/ความโปรดปรานนั้นให้โดยทางเลือกหรือข้อผูกมัด และขอบเขตที่ผู้รับเชื่อในเจตจำนงเสรี

 

งานวิจัยหลายชิ้น ระบุว่า เด็กผู้หญิงและผู้หญิงมีความรู้สึกขอบคุณมากกว่าเด็กผู้ชายและผู้ชาย อาจเป็นเพราะเด็กผู้ชายและผู้ชาย (อย่างน้อยก็ในสหรัฐอเมริกา) มีแนวโน้มที่จะเชื่อมโยงความรู้สึกขอบคุณเข้ากับความอ่อนแอหรือการเป็นหนี้บุญคุณมากกว่า ขณะที่การศึกษาอื่นๆ ได้ระบุลักษณะบางอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อความกตัญญู ซึ่งรวมถึงความอิจฉาริษยา วัตถุนิยม การหลงตัวเอง และการเหยียดหยาม เข้าไว้ด้วย

 

เชื่อมโยงของปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรมกับความกตัญญู

 

การวิจัยยังได้เสนออีกว่าปัจจัยทางสังคม รวมถึงศาสนา อิทธิพลทางวัฒนธรรม และรูปแบบการเลี้ยงดู อาจมีอิทธิพลต่อแนวโน้มของบุคคลที่จะเกิดความกตัญญูกตเวทีขึ้นมาได้

 

การศึกษาหลายฉบับรายงานความเชื่อมโยงระหว่างองค์ประกอบของศาสนา/จิตวิญญาณเข้ากับความกตัญญูกตเวที โดยชี้ว่าศาสนาและความกตัญญูกตเวทีอาจมีความเกี่ยวข้องกัน การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่าคนที่ได้รับมอบหมายให้อธิษฐานเผื่อคู่ของตนหรืออธิษฐานโดยทั่วไป เป็นเวลาสี่สัปดาห์ เมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาของการศึกษา จะแสดงความรู้สึกขอบคุณสูงกว่าคนที่ได้รับมอบหมายให้คิดเกี่ยวกับกิจกรรมประจำวันหรือคิดแง่บวกเกี่ยวกับคู่ของตน อย่างไรก็ตาม การศึกษาอีกชิ้นหนึ่งพบว่าการให้ผู้คนนึกถึงแนวคิดทางศาสนาไม่ได้เพิ่มความกตัญญูหรือความเอื้ออาทรแต่อย่างใด

 

นอกจากนี้ปัจจัยด้านวัฒนธรรมอาจมีอิทธิพลต่อประสบการณ์ของความกตัญญูของผู้คน ตัวอย่างเช่น การศึกษาหนึ่งพบว่าผู้ชายในสหรัฐอเมริกามีความกตัญญูน้อยกว่าผู้ชายในเยอรมนี และการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งพบว่าเด็กอเมริกัน บราซิล จีน และรัสเซีย ที่มีอายุและบริบทที่แตกต่างกัน จะแสดงความขอบคุณในรูปแบบต่างๆ แตกต่างกัน

 

งานวิจัยบางชิ้นได้พิจารณาว่า พ่อแม่จะมีอิทธิพลต่อประสบการณ์ความกตัญญูของลูกๆ ได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น การศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และ 5 และพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด พบว่า มีความสัมพันธ์เล็กน้อยแต่มีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างความกตัญญูที่เด็กๆ เล่าด้วยตนเองและคุณแม่ของพวกเขา แต่ไม่ใช่ระหว่างเด็กกับคุณพ่อของพวกเขา การศึกษาอีกชิ้นหนึ่งสำรวจว่าเหตุใดพ่อแม่ที่มีความกตัญญูกตเวทีอาจมีลูกที่กตัญญูมากขึ้น โดยพบว่าพ่อแม่ที่มีความกตัญญูกตเวทีมักจะให้ลูกๆ อยู่ในสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดความรู้สึกขอบคุณ เช่น การเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ

 

ประโยชน์ส่วนบุคคลของความกตัญญู

 

การวิจัยชี้ให้เห็นว่าความกตัญญูอาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มากมายสำหรับแต่ละบุคคล รวมถึงสุขภาพกายและจิตใจที่ดีขึ้น มีความสุขและความพึงพอใจในชีวิตเพิ่มขึ้น วัตถุนิยมลดลง และอื่นๆ

 

การศึกษาจำนวนหนึ่งแนะนำว่าคนที่มีรู้สึกขอบคุณคนอื่นมากขึ้น อาจมีสุขภาพดีขึ้น และยังมีการศึกษาอื่นๆ อีกที่เสนอแนะว่าวิธีปฏิบัติที่ได้รับการออกแบบทางวิทยาศาสตร์เพื่อเพิ่มความกตัญญูยังสามารถปรับปรุงสุขภาพของผู้คน และกระตุ้นให้พวกเขารับเอานิสัยที่ดีต่อสุขภาพเข้ามา

 

การศึกษาอีกมากมายได้ตรวจสอบความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้ระหว่างความกตัญญูและองค์ประกอบต่างๆ ของความผาสุกทางจิตใจ โดยทั่วไปแล้ว คนที่สำนึกบุญคุณมากขึ้นจะมีความสุขมากขึ้น พอใจกับชีวิตมากขึ้น มีวัตถุนิยมน้อยลง และมีโอกาสน้อยที่จะทนทุกข์ทรมานจากความเหนื่อยหน่าย นอกจากนี้ งานวิจัยบางชิ้นยังพบว่าการแสดงความขอบคุณ เช่น การเก็บ "บันทึกความรู้สึกขอบคุณหรือการเขียนจดหมายแสดงความขอบคุณ สามารถเพิ่มความสุขและอารมณ์เชิงบวกโดยรวมของผู้คนได้

 

ความกตัญญูอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีความท้าทายทางการแพทย์และจิตใจ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีความรู้สึกขอบคุณมาก จะสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น เหนื่อยล้าน้อยลง และระดับการอักเสบของเซลล์ลดลง และงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่าผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวที่เก็บบันทึกเรื่องราวที่ต้องแสดงความขอบคุณเป็นเวลา ๘ สัปดาห์ จะมีรู้สึกขอบคุณมากขึ้น และหลังจากนั้นจะมีอาการอักเสบลดลง ขณะที่งานวิจัยอีกหลายชิ้นพบว่าคนที่รู้สึกขอบคุณมากขึ้น จะมีอาการซึมเศร้าน้อยลง และสามารถปรับตัวได้ดีขึ้นหลังจากที่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ

 

การศึกษาอื่นๆ เสนอแนะว่า ความกตัญญูกตเวทีอาจดำรงสถานะ ‘มารดาแห่งคุณธรรมทั้งปวง’ ด้วยการมีศักยภาพในการส่งเสริมการพัฒนาคุณธรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความอดทน ความอ่อนน้อมถ่อมตน และสติปัญญา

 

ช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา การศึกษาหลายฉบับได้ตรวจสอบผลประโยชน์ที่เป็นไปได้ของความรู้สึกขอบคุณสำหรับเด็กและวัยรุ่น ตัวอย่างเช่น มีการศึกษาสองสามฉบับพบว่าวัยรุ่นที่สำนึกบุญคุณ จะมีความสนใจและพอใจกับชีวิตในโรงเรียนมากขึ้น มีเมตตาและช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น และเข้ากับสังคมได้มากขึ้น งานวิจัยบางชิ้นพบว่าการจดบันทึกความรู้สึกขอบคุณในห้องเรียน สามารถช่วยปรับปรุงอารมณ์ของนักเรียนได้ และหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักเรียนเห็นคุณค่าของประโยชน์ที่ได้รับจากผู้อื่น สามารถสอนเด็กให้คิดอย่างขอบคุณมากขึ้นและแสดงพฤติกรรมขอบคุณมากขึ้นได้สำเร็จ

 

ประโยชน์ทางสังคมของความกตัญญู

 

เมื่อพิจารณาถึงบทบาทในฐานะ "กาวทางสังคม - social glueจึงไม่น่าแปลกใจที่หลักฐานต่างๆ จะชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ทางสังคมของความกตัญญูเช่นกัน การวิจัยชี้ให้เห็นว่า ความกตัญญูเป็นแรงบันดาลใจช่วยให้ผู้คนใจกว้าง ใจดี และช่วยเหลือ (หรือ "ช่วยเหลือสังคม") มากขึ้น ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์รวมถึงความสัมพันธ์ที่โรแมนติก และอาจช่วยปรับปรุงบรรยากาศในที่ทำงาน

 

งานวิจัยหลายชิ้นสนับสนุนความเชื่อมโยงระหว่างความกตัญญูกับพฤติกรรมทางสังคม การศึกษาเหล่านี้พบว่าคนที่รู้สึกขอบคุณมากขึ้นจะสร้างบรรยากาศแห่งการช่วยเหลือและความีใจกว้างมากขึ้น รวมถึงสร้างความรู้สึกกตัญญูของผู้คนสามารถที่จะทำให้พวกเขามีความปรารถนาจะช่วยเหลือและแสดงความใจกว้างมากขึ้น เช่นเดียวกับกิจกรรมต่างๆ เช่น การเขียนจดหมายแสดงความขอบคุณ

 

ความกตัญญูกตเวทียังมีความสำคัญต่อการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางสังคม มีงานวิจัยสนับสนุนสิ่งที่นักวิจัยบางคนอ้างถึงฟังก์ชันการ ‘ค้นหา เตือน และผูกมัด’ ของความกตัญญูกตเวทีว่าเป็นการปรับให้ผู้คนเข้ากับความคิดของผู้อื่น ความกตัญญูช่วยให้พวกเขา ‘ค้นหา’ หรือระบุผู้ที่เหมาะสมที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพต่อกันได้ในอนาคต ความกตัญญูจะช่วย ‘เตือน’ ผู้คนให้ระลึกถึงความดีของความสัมพันธ์ที่มีอยู่และเคยมีอยู่ และความกตัญญูจะช่วย ‘ผูกมัด’ พวกเขากับคู่และเพื่อนของพวกเขาโดยทำให้พวกเขารู้สึกชื่นชมและกระตุ้นให้พวกเขามีส่วนร่วมในพฤติกรรมที่จะช่วยยืดอายุความสัมพันธ์ของพวกเขา ตัวอย่างเช่น งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าผู้เข้าร่วมที่ได้รับการขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือนักเรียนคนหนึ่งในงานมอบหมายมีความสนใจที่จะผูกพันกับนักเรียนคนนั้นมากขึ้นในอนาคต การศึกษาอื่นๆ ยังพบอีกว่าคู่สนทนาที่แสดงความรู้สึกขอบคุณต่อคู่ของตนนั้น ความเป็นอยู่ส่วนตัวและความสัมพันธ์ของพวกเขาจะดีขึ้น มากกว่าคู่สนทนาที่เปิดเผยเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับตนเอง

 

แม้ว่าจะยังไม่มีงานวิจัยจำนวนมากพอที่จะเน้นเรื่องความกตัญญูในที่ทำงานอย่างชัดเจน แต่ก็มีการศึกษาจำนวนหนึ่งเสนอแนะว่า ความกตัญญูอาจช่วยให้พนักงานปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รู้สึกพึงพอใจในที่ทำงานมากขึ้น และปฏิบัติตัวที่เป็นประโยชน์และเคารพต่อเพื่อนร่วมงานมากขึ้น

 

การจัดการเกี่ยวกับความกตัญญู

 

การวิจัยชี้ให้เห็นว่าเมื่อเด็กโตเต็มที่และมีพัฒนาการ การแสดงความรู้สึกขอบคุณก็เช่นกัน การศึกษาในเด็กชาวสวิสที่มีอายุระหว่าง ๗-๑๕ ปีในปี ๑๙๓๘ พบว่า ความกตัญญูในรูปแบบของการแสดงความขอบคุญอย่างเป็นรูปธรรม (การต้องการตอบแทนผู้มีพระคุณ) พบได้บ่อยในเด็กเล็ก ในขณะที่การแสดงความขอบคุณด้วยวาจา (การขอบคุณบุคคลนั้น) พบได้บ่อยในเด็กโต แม้ว่าจะมีความแปรปรวนของแต่ละบุคคลอยู่มากก็ตาม การศึกษาในภายหลังพบว่า เด็กอายุ ๑๑ ปี หรือมากกว่านั้น พูดคำว่า "ขอบคุณอย่างเป็นธรรมชาติบ่อยกว่าเด็กที่อายุน้อยกว่า  ขวบ ถึง  เท่า แสดงให้เห็นอีกครั้งว่า เด็กมีแนวโน้มที่จะแสดงความขอบคุณมากขึ้นเมื่อโตขึ้น อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาข้ามวัฒนธรรมเมื่อเร็วๆ นี้ พบความแตกต่างทางวัฒนธรรมในการพัฒนาการแสดงออกถึงความกตัญญูในรูปแบบต่างๆ ซึ่งบ่งชี้ว่า การขัดเกลาทางสังคมผ่านผู้ปกครองและวัฒนธรรมที่ใหญ่กว่า มีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการและการแสดงความกตัญญูกตเวทีในเด็ก

 

แม้ว่าการศึกษาเหล่านี้อาจบอกเราบางอย่างเกี่ยวกับวิธีที่เด็กๆ เข้าสังคมเพื่อแสดงความรู้สึกขอบคุณ แต่ก็ไม่ได้บอกเรามากนักว่าเด็กๆ รู้สึกขอบคุณอย่างไร การศึกษาเกี่ยวกับเด็กเล็กพบว่า เด็กส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจเกี่ยวกับความกตัญญูเมื่ออายุได้  ขวบ โดยพวกเขาเชื่อมโยงการรับบางสิ่งด้วยความรู้สึกเชิงบวกที่บางครั้งเชื่อมโยงกับผู้มีพระคุณ แต่ว่าก็จะมีความแปรปรวนของแต่ละคนด้วยเช่นกัน โดยทั่วไปแล้ว เด็กจะมีความรู้เรื่องอารมณ์ดีขึ้นเมื่ออายุ ๓ ขวบ และจะเข้าใจสภาพจิตใจของผู้อื่นมากขึ้นเมื่ออายุ ๔ ขวบ โดยจะมีความเข้าใจเรื่องความกตัญญูมากขึ้นเมื่ออายุ ๕ ขวบ การวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าความกตัญญูหรือความรู้สึกขอบคุณ อย่างเช่นที่เป็นอยู่นี้ ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงจูงใจของผู้มีพระคุณที่มีต่อเด็กอายุ ๕-๖ ขวบ แต่ว่าเด็กโตจะมีความรู้สึกขอบคุณน้อยลง เมื่อมีคนบอกว่ามีคนใจดีทำสิ่งต่างให้เพียงเพื่อให้เป็นไปตามกฎ นอกจากนี้ เด็กอายุ ๖ ขวบสามารถรับรู้ได้ว่าความกตัญญูแตกต่างจากการแสดงมารยาทที่ดี พวกเขามีปัญหาในการตอบคำถามที่ใช้วัดความกตัญญูในพวกผู้ใหญ่ นั่นบ่งชี้ว่าพวกเขาอาจมีแนวคิดเกี่ยวกับความกตัญญูแตกต่างจากพวกผู้ใหญ่

 

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น การศึกษาได้ทดสอบประสิทธิภาพของการปฏิบัติต่างๆ มีจำนวนมากขึ้น ('การแทรกแซง') ถูกออกแบบมาเพื่อเกิดความกตัญญูเพิ่มขึ้น เช่น การนับคำอวยพร (บันทึกความกตัญญูกตเวที) และการเขียนจดหมายแสดงความขอบคุณถึงบุคคลที่ไม่เคยขอบคุณอย่างเหมาะสม (จดหมายขอบคุณ) สิ่งเหล่านี้ช่วยระบุประโยชน์มากมายซึ่งได้กำหนดไว้แล้ว แต่ผลจากการศึกษาเหล่านี้ยังชี้ให้เห็นว่า คนบางคนมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์จากการแทรกแซงเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที

 

สำหรับผู้เริ่มต้น การศึกษาบางชิ้นได้ระบุปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อว่าผู้คนเต็มใจที่จะยอมรับและ/หรือดำเนินการแทรกแซงเหล่านี้ให้สำเร็จหรือไม่ ตัวอย่างเช่น คนที่อยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติมักจะมีแนวโน้มที่จะให้สิ่งแทรกแซงเพื่อแสดงความขอบคุณ

 

การศึกษาวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis studies) ชุดหนึ่ง ได้พยายามกำหนดประสิทธิภาพของวิธีการแสดงความขอบคุณ และส่วนใหญ่ได้ข้อสรุปว่าการแทรกแซงความรู้สึกขอบคุณดูเหมือนจะเพิ่มความสุข ความเป็นอยู่ที่ดี และอารมณ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของการแทรกแซงเหล่านี้ต่อผลลัพธ์อื่นๆ นั้นไม่ชัดเจนนัก

 

การวิจัยในอนาคต

 

การวิจัยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ความกตัญญูนั้นค่อนข้างใหม่ ด้วยเหตุนี้จึงยังมีคำถามปลายเปิดอยู่อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้รวมถึงการศึกษาที่มองด้านมืดที่อาจเกิดขึ้นของความกตัญญู (เช่น การสร้างความรู้สึกขอบคุณเพื่อบงการผู้คน) การให้คำจำกัดความเพิ่มเติมและจัดหมวดหมู่ประสบการณ์ความกตัญญูประเภทต่างๆ การพิจารณาว่าทำไมการแทรกแซงบางอย่างจึงได้ผลกับบางคน แต่ใช้ไม่ได้กับคนอื่นๆ และการระบุวิธีที่ดีที่สุดในการใช้การแทรกแซงความกตัญญูในห้องเรียนและที่ทำงาน

คาร์สต์รูปหอคอย ณ อ่าวพังงา

 

คาร์สต์รูปหอคอย ณ อ่าวพังงา

พัฒนา ราชวงศ์ สมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย

ผลงานศิลปะที่สวยงามและโดดเด่นที่สุดบางส่วนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แสดงให้เห็นถึงภูมิทัศน์ที่ดูราวกับมีมนต์ขลังของเสาหินอันงดงามที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือพื้นหุบเขา (alluvial valley) และทำให้ลักษณะที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งอาจปรากฏในงานศิลปะที่บ่งบอกถึงความประเสริฐของธรรมชาติและสภาวะแห่งความกลมกลืนตามอุดมคติระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ภูมิทัศน์ดังกล่าวเรียกว่าสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอย (Tower Karst) และด้วยความสวยงามที่โดดเด่น จึงทำหน้าที่เป็นฉากหลังในภาพยนตร์นานาชาติยอดนิยม อย่างเช่น เจมส์บอนด์ ตอน Man with a Golden Gun และต่อมาอีกไม่นานก็เป็นภาพยนต์ดัง เรื่อง “The Beach” ก็มาถ่ายทำที่นี่ รวมถึงซีรีย์ทีวี Survivor ตอนล่าสุดก็ยังต้องมาจัดทำขึ้นที่หมู่คาร์สต์รูปหอคอยในประเทศไทยด้วย บทความบทนี้ที่เรียบเรียงจากงานของศาสตราจารย์มาร์คุส จิลเลสพีร์ ภาควิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยแซม ฮูสตัน สเตต เรื่อง Tower Karst of Peninsular Thailand จึงจะได้กล่าวถึงจุดกำเนิดของคาร์สต์รูปหอคอยให้เห็นแบบภาพกว้างๆ โดยเน้นเฉพาะส่วนอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันตกของประเทศไทยใกล้ๆ อ่าวพังงาแถบทะเลอันดามัน

 

ภาพที่ 1 ภาพเขียนจีนแสดงให้เห็นถึงมนต์ขลังและความสวยงามของคาร์สต์รูปหอคอย

Photo credit – https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/Gillespie.htm

 

สัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยในประเทศไทยมีลักษณะเช่นเดียวกับที่พบในที่อื่นๆ ในเขตร้อน แต่ไม่เหมือนกับภูมิประเทศที่พบในทวีปอเมริกาเหนือหรือทวีปยุโรป สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้พบเห็นความยิ่งใหญ่ของมันแล้ว จะเกิดความประทับใจไม่รู้ลืม การได้เรียนรู้ถึงต้นกำเนิดของภูมิทัศน์ที่สวยงามและน่าหลงไหลเช่นนี้ จะช่วยเพิ่มความเคารพอย่างซาบซึ้งต่อธรรมชาติที่สวยงามและได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนานของบุคคลให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง

 

ภูมิประเทศใดๆ ที่มีลักษณะส่วนใหญ่มาจากการสลายตัวของหินปูนเราจะเรียกรวมๆ ว่า ภูมิทัศน์แบบคาร์สต์ โดยหินปูนเป็นหินตะกอน (sedimentary rock) ชนิดหนึ่ง ที่ก่อตัวขึ้นโดยกระบวนการทางเคมีแบบนิ่งๆ ในมหาสมุทร ซึ่งส่งผลให้เกิดการตกตะกอนของแคลเซียมคาร์บอเนต ในช่วงเวลาหลายพันถึงล้านปีแคลเซียมคาร์บอเนตสามารถสะสมเป็นชั้นหินปูนหนาหลายพันฟุตได้ เมื่อแนวหินปูนใต้มหาสมุทรนี้ถูกยกด้วยแรงทางธรณีวิทยาขึ้นสูงเหนือระดับน้ำทะเล น้ำใต้ดินจะซึมผ่านและละลายออกอย่างช้าๆ ทำให้เกิดรูปลักษณ์ต่างๆ ปรากฏขึ้นมาอย่างหลากหลาย ดังนั้น หากมีน้ำอยู่ในกระบวนการละลายหินปูน ภูมิประเทศแบบคาร์สต์ก็จะสามารถพัฒนาได้ในเกือบทุกภูมิภาคอากาศ รวมถึงพื้นที่อาร์กติกและเขตพื้นที่แห้งแล้งด้วย อย่างไรก็ตาม สัณฐานแบบคาร์สต์รูปลักษณ์ต่างๆ มักจะพัฒนาขึ้นในเขตอากาศอบอุ่นและเขตร้อน เนื่องจากเขตพื้นที่เหล่านี้จะมีปริมาณน้ำมากกว่าพื้นที่อื่นๆ

 

ภาพที่ 2 แผนที่แสดงอาณาบริเวณของภูมิประเทศแบบคาร์สต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Photo credit – http://ebookcentral.proquest.com/lib/unimelb/detail.action?docID=422592.

 

หินปูน คือ แคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งโดยทั่วไปมีสีขาว ในช่วงหลายล้านปีที่ผ่านมา โครงร่างจากการทับถมของซากสิ่งมีชีวิตในทะเลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับการตกตะกอนทางเคมีของแคลเซียมคาร์บอเนตที่มากขึ้นทำให้เกิดตะกอนหนา และในที่สุดความร้อนและความกดของน้ำหนักตัวเองจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชั้นตะกอนที่หนาหลายร้อยเมตรให้กลายเป็นหินปูน มีเหตุผลสำคัญทางธรณีวิทยา 4 ประการ ที่ช่วยอธิบายการเปลี่ยนแปลงชั้นตะกอนที่ชายฝั่งอันดามัน

 

1. ซุนดาเชลฟ์ที่ประกอบด้วยภาคใต้ของประเทศไทย คาบสมุทรมลายู สุมาตรา ชวา บาหลี และบอร์เนียว ทั้งหมดยังคงมีเสถียรภาพทางธรณีวิทยาบนแนวศูนย์สูตรมาหลายสิบล้านปี ขณะที่มวลทวีปอื่นๆ กำลังเคลื่อนตัวไปบนแผ่นเปลือกโลกเข้าสู่เขตภูมิอากาศต่างๆ โดยสัมพันธ์กับขั้วโลกทั้งสองฝั่ง เนื่องจากการไร้เสถียรภาพนี้ จึงทำให้เกิดป่าฝนเขตร้อนขึ้นในภูมิภาคนี้ระหว่างยุคเทอร์เชียรีซึ่งเป็นยุคท้ายสุดทางธรณีวิทยา

 

2. อีกเหตุผลหนึ่งสำหรับความเก่าแก่และความซับซ้อนของระบบนิเวศที่ไม่เหมือนใครที่ไหน คือสภาพภูมิอากาศไม่ได้รับผลกระทบจากยุคน้ำแข็งที่จะทำให้พืชพันธุ์ของยูเรเซียเปลี่ยนแปลงไปมาก ในช่วงเวลานั้นน้ำจืดในโลกส่วนใหญ่ถูกขังอยู่ในแอ่งน้ำแข็งอเมซอนและแม่น้ำแซอีร์ในแอฟริกา ถูกผึ่งให้แห้ง และพื้นที่ส่วนใหญ่กลายเป็นทุ่งหญ้าสะวันนาที่แห้งแล้งแทนที่จะเป็นป่าฝน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่าง เนื่องจากไม่ได้อยู่ที่ศูนย์กลางของมวลพื้นทวีป การมีเกาะหลายพันเกาะ และเป็นคาบสมุทรแคบๆ ล้อมรอบไปด้วยน้ำ จึงมีทั้งความชุ่มชื้นและความชื้นเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของป่าฝนเขตร้อน

 

3. ปัจจัยที่สามที่มีอิทธิพลต่อความหลากหลายทางชีวภาพที่ยิ่งใหญ่ของภูมิภาคนี้ ยังเป็นผลมาจากยุคน้ำแข็ง ในช่วงยุคไพลส์โตซีน ที่มีหลายครั้งที่ระดับน้ำทะเลต่ำกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ประมาณ 180 เมตร สิ่งนี้ส่งผลให้สะพานธรรมชาติข้ามซุนดาที่เชื่อมคาบสมุทรมาเลย์ด้วยน้ำตื้นๆ กับเกาะใหญ่อย่างบอร์เนียว สุมาตรา และชวา มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างสายพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการอย่างโดดเดี่ยว เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงได้รับความอุดมสมบูรณ์ทางชีวภาพที่ไม่มีใครเทียบได้ มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายร้อยชนิด นกมากกว่า 1.5 พันชนิด และสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมากกว่า 1 พันชนิด

 

4. ยังมีอีกปัจจัยที่น่าสนใจ ส่งผลต่อความหลากหลายของสายพันธุ์ในพื้นที่นี้ ขอบเขตทางชีวภาพที่แบ่งแยกกันระหว่างอนุภูมิภาคอินโดจีนและอนุภูมิภาคซุนดา บริเวณ “คอคอดกระ” ที่อยู่ทางเหนือของเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก ซึ่งอุทยานแห่งชาติเขาสกนี้เองที่วางตัวอยู่ในเขตการเปลี่ยนแปลงระหว่างสองอนุภูมิภาคอันกว้างใหญ่และอุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิตจากทั้งสองพื้นที่ ผลเช่นเดียวกันที่เราได้พบเห็นในพื้นที่ของอ่าวพังงา เพียงแต่ว่าน้อยกว่านั้นนิดหน่อย

 

การก่อตัวของเกาะแก่งที่น่าทึ่งซึ่งมองเห็นได้บนผืนน้ำอันเงียบสงบของอ่าวพังงา ทำให้เห็นความแตกต่างของพื้นที่มากกว่าลักษณะภูมิประเทศอื่นๆ การผุดขึ้นมาของหอคอยหินปูนขนาดใหญ่เหล่านี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของแนวปะการังโบราณที่ทอดยาวจากจีนแผ่นดินใหญ่พาดลงมาผ่านเวียดนาม ลาว ไทย และบอร์เนียวตอนเหนือ ด้วยแนวที่ทอดยาวลงมานี้และที่ได้ทราบกันดีว่ามีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นด้วย จึงเป็นที่เข้าใจได้ง่ายว่า อ่าวพังงาทั้งหมดเคยเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ (ความลึกของบริเวณกลางอ่าวที่จมลงอยู่ที่ 10 ถึง 15 เมตรเท่านั้น) ที่ปลายอ่าวแห่งนี้ล้อมรอบด้วยจังหวัดกระบี่ทางตอนใต้ และจังหวัดพังงาทางส่วนบน เราสามารถมองเห็นดินแดนหลักนั้นที่มีลักษณะเป็นหินปูนแบบเดียวกัน แตกต่างเพียงอย่างเดียว คือ การก่อตัวเหล่านั้นเรียกว่า "ภูเขา" และ “เกาะ" เท่านั้น ชุมชนปะการังมีชีวิตที่เคยรุ่งเรือง ณ บริเวณนี้เมื่อราว 225-280 ล้านปีก่อน พวกมันได้ร่วมกันก่อแนวปะการังที่ยาวกว่าแนวปะการังเกรต แบริเออร์ รีฟ ของทวีปออสเตรเลียถึงห้าเท่า การยกตัวขึ้นของเปลือกโลกบวกกับการกัดเซาะอย่างต่อเนื่องจากความผันผวของระดับน้ำทะเล และฝนจากมรสุม ทำให้เกิดรูปทรงภูมิประเทศที่สวยงามอย่างที่เห็น

 

โดยทั่วไปภูมิประเทศแบบคาร์สต์มักมีโพรงเล็กโพรงน้อยประกอบกันเป็นระบบถ้ำที่กว้างขวาง เป็นแหล่งอยู่อาศัยของค้างคาวนับล้านๆ ตัว ค้างคาวเหล่านี้มีบทบาทสำคัญมากต่อระบบนิเวศป่าฝนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้หมู่เกาะต่างๆ ในอ่าวพังงายังมีถ้ำอีกจำนวนมาก แต่จะมีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่เราจะผ่านเข้าไปถึงทะเลสาบป่าชายเลนภายในนั้นที่มีโลกอันสวยงามของความหลากหลายทางชีวภาพอันน่าทึ่ง ซึ่งมนุษย์ได้รับประโยชน์โดยตรงจากระบบถ้ำบนภูมิประเทศแบบคาร์สต์นี้ประวัติศาสตร์แหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในส่วนนี้ของโลก ถูกพบที่นี่ย้อนหลังไป 5 หมื่นปี ถ้ำบางแห่งมีภาพวาดสีที่สวยงามแสดงอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ และยังพบสถานที่ฝังศพโบราณ เช่น "ถ้ำไวกิ้ง" ที่มีชื่อเสียงบนเกาะพีพี

 

กลุ่มพืชพรรณที่ก่อเกิดอยู่บนภูมิประเทศแบบคาร์สต์นี้ มีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของหินปูนได้ดีเป็นพิเศษ เพราะการไม่มีดินและแห้งเป็นเวลานาน การย่อยสลายใบไม้จากต้นไม้และพืช เมื่อผนวกเข้ากับฝนที่ตกชุกตามฤดูกาล ทำให้เกิดน้ำกรดเจือจางทำหน้าที่ละลายหินปูนที่ค่อนข้างอ่อนได้ รวมถึงหินงอกหินย้อยที่สวยงามที่มองเห็นได้ทั้งภายในถ้ำและอีกด้านหนึ่งของถ้ำ เป็นผลมาจากการกัดเซาะของน้ำกรดอ่อนๆ ที่คงที่พัดพาแคลเซียมคาร์บอเนตออกไป

 

การก่อตัวของภูมิประเทศแบบคาร์สต์ในประเทศไทยที่มีความเด่นชัดมากที่สุด ปรากฎให้เห็นได้ในพื้นที่จังหวัดกระบี่ พังงา และสุราษฎร์ธานี และถือกันว่าที่อุทยานแห่งชาติพังงา และอุทยานแห่งชาติเขาสก มีการก่อตัวที่งดงามที่สุดของภูมิประเทศประเภทนี้

การละลายของหินปูนมักทำให้เกิดหลุมยุบตัว (sinkholes) และโพรงถ้ำ ลักษณะเหล่านี้ที่ผู้คนในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ยืนยันได้ดีว่ามีความเชื่อมโยงกับภูมิประเทศแบบคาร์สต์ ชั้นหินปูนในเขตลติจูดกลางส่วนใหญ่มักจะหนาและแข็ง มีรูพรุน และเป็นหินปูนค่อนข้างบริสุทธิ์ กล่าวคือมีแคลเซียมคาร์บอเนตมากกว่า 60% ตัวอย่างเช่น ถ้ำแมมมอธในรัฐเคนตักกี้ และถ้ำคาร์ลสแบดในนิวเม็กซิโก ที่เป็นระบบถ้ำที่พัฒนาขึ้นในชั้นดังกล่าว หินปูนที่มีความหนาและทนทาน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาตัวของสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอย อีกทั้งยังจะพบถ้ำได้ทั่วไปในบริเวณหอคอยเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม สัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยนั่นสามารถพัฒนาได้เฉพาะในเขตร้อน เพราะสภาพแวดล้อมแบบนี้เท่านั้นที่หินและอากาศจะทำปฏิสัมพันธ์กันเพื่อสร้างสรรค์ศิลปะแห่งธรรมชาติที่งดงามเหล่านี้ขึ้นมาได้ ตัวอย่างสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยที่งดงามที่สุด ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในย่านมรสุมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงหมู่เกาะมาลายัน และอินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีนก็มีสิ่งที่อาจเป็นสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยที่สวยงามและกว้างขวางที่สุด รวมถึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมของภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ดี สัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยยังเกิดขึ้นในปาปัว นิวกินี ออสเตรเลีย ฮอนดูรัส คิวบา จาเมกา และเปอร์โตริโก ด้วยเช่นกัน

 

หอคอยที่เป็นตัวกำหนดลักษณะภูมิประเทศแบบนี้ จะมีความสูงได้มากกว่า 1 พันฟุต และมีความชันมาก ตั้งแต่ใกล้จะเป็นแนวดิ่งไปจนถึงที่มีชะง้อนยื่นออกมา หอคอยแต่ละแท่งจะมีขนาดตั้งแต่เป็นยอดแหลมขนาดเล็ก ไปจนถึงเป็นบล็อกที่มีพื้นที่หลายตารางไมล์ หอคอยเหล่านี้มักเกิดอยู่กันเป็นกลุ่ม และมีแม่น้ำ มีที่ราบลุ่มตะกอนทับถม หรือมีแอ่งน้ำป่าโกงกางล้อมรอบ สภาพชื้นเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการสร้างสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอย

 

ภาพที่ 3 ด้านข้างของหอคอยเป็นสีเทาของหินปูนกลุ่มราชบุรี และเหล็กออกไซด์จากดินเขตร้อนมักทำให้มันเป็นสีส้ม

Photo credit – www.viator.com

 

สำหรับประเทศไทยสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยปรากฏตัวให้เห็นมากมายในบริเวณคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศ ที่มีความยาวถึง 5 ร้อยไมล์ มีบริเวณที่กว้างสุด 124 ไมล์ ส่วนนี้ของประเทศมีพรมแดนติดกับอ่าวไทยทางตะวันออก และติดกับพม่าหรือทะเลอันดามันทางตะวันตก ซากดึกดำบรรพ์ในหินปูนสีเทาอ่อน (ดูภาพที่ 3 ประกอบ) ที่ก่อตัวกับเป็นหอคอยเป็นส่วนหนึ่งของหินปูนขุดราชบุรี ซึ่งเป็นหน่วยธรณีวิทยาที่เกิดการตกตะกอนทับถมในยุคเปอร์เมียน เมื่อราว 286-245 ล้านปีก่อน หน่วยของหินปูนชุดนี้มีองค์ประกอบร่วมเป็นหินทรายและหินดินดานบางส่วน ความหนาของชั้นหินปูนชุดราชบุรีแถบนี้ อยู่ระหว่าง 2,467-3,000 ฟุต ในคาบสมุทรไทย และจะหนามากกว่า 6,500 ฟุต ในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของประเทศไทย เมื่อแนวหินเหล่านี้เปิดตัวขึ้นมาให้เห็น มันจะสร้างแนวสันเขาและสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยที่โดดเด่น สันเขาพัฒนาขึ้นเนื่องจากหินปูนโผล่ขึ้นมาเป็นแนวแคบยาวทอดไปเป็นภูเขาบนคาบสมุทร การจัดเรียงตัวเป็นสันเขาทำให้ชั้นหินโดยรอบจะถูกกำจัดออกไปด้วยกระบวนการผุกร่อน (weathering) และการกัดเซาะ (erosion)

 

https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/MGfig8.jpg

ภาพที่ 4 ลักษณะที่พืชปกคลุมอาจแตกต่างกันไปตามความลาดชัน เห็นอย่างชัดเจนในภาพของเกาะหอคอยเล็กๆ นี้ พื้นที่หินปูนด้านข้างของคาร์สต์รูปหอคอยที่เห็นนั้นมีความแข็งแกร่งทนทานต่อการผุกร่อน

Photo credit – https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/Gillespie.htm

 

ความจริงแล้วสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยสามารถพัฒนาได้เฉพาะในเขตร้อนชื้นเท่านั้น ยืนยันได้จากนักวิจัยคนหนึ่งที่พิจารณาแล้วว่า การพัฒนาสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยต้องมีฝนตกอย่างน้อย 47 นิ้วต่อปี และมีอุณหภูมิเฉลี่ย 64°ทั้งนี้บริเวณคาบสมุทรไทยมีปริมาณน้ำฝนต่ำสุด 51 นิ้วต่อปี และอุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีประมาณ 82°ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดด้านสภาพอากาศอย่างชัดเจน ดังนั้น สัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยในบริเวณนี้ จึงได้รับการมีพัฒนาขึ้นอย่างดีและงดงามอย่างปรากฏในสายตาของทุกคนจากปัจจัยสำคัญด้านอุตุนิยมวิทยาที่เป็นลักษณะเฉพาะของภูมิภาคดังกล่าว

 

เนื่องจากหินปูนละลายได้ในน้ำ สิ่งหนึ่งที่ชวนพิศวงอย่างยิ่ง ไม่ใช่มีเพียงแค่คำถามที่ว่า หอคอยหินปูนขนาดยักษ์ก่อตัวขึ้นได้อย่างไร เท่านั้น แต่ยังมีสิ่งที่ต้องไขขานต่อไปอีกว่า แล้วมันเติบโตสูงเด่นอยู่ในสภาพอากาศที่ทั้งร้อนทั้งชื้นและเต็มไปด้วยมรสุมแบบนี้ได้อย่างไร? คำตอบที่ชัดเจน แต่ยังไม่ค่อยมีการอธิบายที่ตรงประเด็นอย่างชัดเจนนัก คือ ความเกี่ยวพันกับพืชพรรณ จุลินทรีย์ ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายในน้ำ และความพรุนของหินปูนเพื่อให้น้ำสามารถเข้าไปละลายหินปูนได้ ก่อนอื่นเลยนั้น น้ำจะต้องทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อสร้างกรดคาร์บอนิกเสียก่อน จากนั้นจึงเป็นกรดคาร์บอนิกที่จะทำหน้าที่ละลายหินปูน ไม่ใช่น้ำ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำปฏิกิริยาจนกลายสภาพเป็นกรดคาร์บอนิกนี้ เกิดขึ้นตามธรรมชาติในบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ปริมาณน้ำฝนลงมาแล้วน้ำกลายเป็นกรดตามธรรมชาติที่มี pH ประมาณ 5.6

 

ความเป็นกรดของน้ำฝนส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของมันด้วย โดยคาร์บอนไดออกไซด์จะละลายในน้ำอุ่นได้น้อยลง หมายความว่า ด้วยเงื่อนไขของปัจจัยอื่นๆ ทั้งหมดที่เท่าเทียมกัน ฝนที่ตกลงมาเขตร้อนและเขตอบอุ่น มักจะมีความเป็นกรดน้อยกว่าสายฝนอันเย็นเฉียบในเขตอบอุ่น ดังนั้น น้ำฝนที่ตกลงบนหินปูนที่เปลือยเปล่า ไม่มีพืชพรรณปกคลุมในเขตร้อน จึงไม่ค่อยส่งผลให้เกิดการละลายมากนัก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาพอากาศที่อบอุ่นและเปียกชื้นของภูมิภาคมรสุมเขตร้อน พืชพรรณเขียวชอุ่มจึงปกคลุมพื้นผิวเกือบทั้งหมดที่ไม่ชันเกินไป (ดูภาพที่ 4 ประกอบ) ซึ่งรากของพืชนี่เองที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงสู่ดิน และจะช่วยยกระดับความเข้มข้นของก๊าซนี้ให้อยู่ในระดับที่สูงกว่าความเข้มข้นในอากาศ นอกจากนี้จุลินทรีย์ยังช่วยย่อยสลายซากพืชและสัตว์ที่ตายแล้วในดิน ส่งผลให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ด้วยกระบวนการเหล่านี้ ทำให้ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในดินของภูมิภาคเขตร้อนสูงกว่าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศถึง 15 เท่า เป็นผลให้น้ำในดินมีความเป็นกรดมากกว่าน้ำฝน น้ำกรดในดินจึงทำกน้าที่ละลายหินปูนใต้พื้นผิวอย่างรุนแรง มีบันทึกข้อมูลเคยระบุว่าพื้นที่แอ่งน้ำคาร์สต์บางแห่ง น้ำในแอ่งนั้นมี pH ต่ำมากถึง 3.ความเป็นกรดระดับนี้เทียบเท่ากับน้ำส้มสายชูเลยทีเดียว

 

สัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยหลายแห่งมักห้อมล้อมด้วยแม่น้ำ ที่ราบลุ่มดินเลน หรือป่าชายเลน สภาพแวดล้อมเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะทำให้น้ำอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรียสาร แต่ยังมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ละลายอยู่สูงด้วย อันเป็นผลสืบเนื่องจากพืชพรรณจำนวนมากที่เติบโตที่นั่น ด้วยเหตุนี้สัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยจึงถือกำเนิดขึ้นในพื้นที่แบบนี้ สภาพแวดล้อมเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการละลายของหินปูนตรงฐานของหอคอย และเมื่อผิวดินถูกกัดเซาะ การละลายตัวของชั้นหินปูนจะลดลง

 

ภาพที่ 5a แม้ว่าถ้ำในเขตร้อนจะไม่ได้รับการพัฒนาตามธรรมชาติเทียบเท่ากับถ้ำในเขตละติจูดกลาง แต่ถ้ำเหล่านี้ก็สามารถพัฒนาสัณฐานภายในที่สวยงามได้ เฉกเช่นหินไหลสีส้มในถ้ำแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้ตัวเมืองพังงาก้อนนี้ สีส้มที่เห็นเกิดจากออกไซด์ของเหล็กที่ก่อตัวในดินเขตร้อนเหนือถ้ำ

Photo credit – https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/Gillespie.htm

 

ลักษณะของหอคอยหินปูนที่ด้านข้างมีความสูงชันมาก บริเวณดังกล่าวนั้นจะมีปริมาณดินน้อยมากและมีพืชพรรณไม่มากนักที่สามารถเติบได้ น้ำที่ไหลผ่านพื้นผิวตรงนั้นจึงไม่เป็นกรดมากนัก ด้านข้างของหอคอยจึงไม่ละลายเร็วเท่ากับบริเวณฐานของหอคอย ยิ่งกว่านั้น ภายใต้แสงอาทิตย์ที่แผดร้อนของเขตร้อนชื้น จะทำให้น้ำระเหยได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเป็นเช่นนั้น แคลเซียมคาร์บอเนตที่ละลายอยู่ในน้ำจะตกตะกอน วัสดุที่ตกตะกอนนี้จะอุดรอยแตกและรูพรุนในหินปูน และช่วยลดปริมาณน้ำที่ไหลผ่านออกไป กระบวนการนี้เรียกว่าเป็นการแช่แข็ง ที่จะไปช่วยจำกัดปริมาณการละลายด้วย ลักษณะเช่นนี้จะช่วยเพิ่มอายุความคงทนของหอคอยได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งการตกตะกอนนี้ยังจะส่งผลให้เกิดหินย้อยบริเวณด้านข้างของหอคอยทุกด้าน และช่วยสร้างหินในถ้ำรูปลักษณะต่างๆ มีประกายระยิบระยับที่เกิดจากการสะสมแร่ภายในหอคอย (ดูภาพที่ 5a และ 5b ประกอบ) ผลมาจากการผสมผสานของกระบวนการต่างๆ เหล่านี้ ทำให้บริเวณฐานของหอคอยมีการละลายเร็วกว่าด้านบนและด้านข้าง ดังนั้นมันจึงดูเหมือนเติบโตสูงขึ้น เมื่อพื้นผิวดินโดยรอบลดระดับลงจากการกัดเซาะ

 

https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/MGfig11b.jpg

ภาพที่ 5b หินงอกและแท่งเสาภายในถ้ำใกล้ตัวเมืองพังงา

Photo credit – https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/Gillespie.htm

 

ระยะแรกของพัฒนาการสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอย พื้นผิวที่ถูกละลายเป็นโพรงที่เรียกว่าโดลีนส์ (dolines) จะยุบตัวลงไป แล้วพัฒนาการด้วยการกดทับบริเวณผนังสูงชัน กลายเป็น ห้องนักบิน (cockpits) หากการแก้ปัญหาดำเนินไปเนินเขาที่สูงชันจะก่อตัวขึ้นระหว่างห้องนักบิน หากตะกอนจากแม่น้ำหรือโดยการไหลบ่าจากเนินเขาทำให้เกิดความหดหู่ของห้องนักบินอัตราการผุกร่อนที่ตัดกันที่อธิบายไว้ข้างต้นจะนำไปสู่การพัฒนาหอคอยคาร์สต์

 

การสัมผัสกันระหว่างตะกอนน้ำพัดพากับฐานของหอคอยเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดขึ้นของน้ำพุและการก่อตัวของถ้ำ เนื่องจากมีรอยแตกและรูพรุนในหินปูน น้ำจึงสามารถซึมเข้าไปในนั้น และไหลลงสู่ด้านล่างได้อย่างง่ายดาย จนกว่าจะพบกับชั้นที่ผ่านไม่ได้หรือหินเกิดการอิ่มตัว เมื่อเป็นเช่นนี้ น้ำจึงไหลซึมออกมาจากหินกลายเป็นน้ำพุ มีตัวอย่างที่ชัดเจนมากสามารถดูได้ที่ถ้ำน้ำตกในอุทยานแห่งชาติสระโบกขรณี ที่นี่มีลำธารเล็กๆ โผล่ออกมาจากถ้ำที่ฐานของหอคอยหิน จากนั้นแคลเซียมคาร์บอเนตบางส่วนในน้ำจะตกตะกอนกลายเป็น "น้ำตก" ขนาดเล็ก (ดูภาพที่ 6 ประกอบ)

 

ภาพที่ 6 น้ำตกขนาดเล็กที่อุทยานแห่งชาติสระโบกขรณี เป็นสายน้ำเล็กๆ ไหลออกมาจากถ้ำตรงฐานของหอคอย แคลเซียมคาร์บอเนตจะตกตะกอนกลายเป็นหินย้อยที่สร้างสระน้ำและน้ำตกที่สวยงามแห่งนี้

Photo credit – www.notquitesusie.com/2013/12/thai-holidays-reasons-to-choose-krabi-over-bangkok.html

 

Koh Phi Phi from Phuket - Thailand | Dizzy Traveler Around The World

ภาพที่ 7 นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม "หอคอย" ที่เป็นถ้ำนกนางแอ่นบนเกาะพีพีเล ในภาพจะเห็นไม้ไผ่ที่คนท้องถิ่นใช้เป็นเครื่องมือหลักในการเก็บเกี่ยวรังนกที่อยู่สูงภายในถ้ำ รังนกเหล่านี้ใช้ทำซุปราคาแพง ในประเทศญี่ปุ่นซุบรังนกแบบนี้ขายได้ถึง $100 ต่อถ้วยเลยทีเดียว

Photo credit – www.dztraveler.com/koh-phi-phi-from-phuket-thailand/

 

ถ้ำในภูมิประเทศแบบคาร์สต์ในเขตอากาศร้อนชื้นนั้น มีความแตกต่างจากละติจูดกลางที่มีอากาศอบอุ่น โดยจะอยู่ในระดับตื้นและไม่ได้รับการพัฒนาที่ดี โดยปกติจะประกอบด้วยเครือข่ายของอุโมงค์ขนาดเล็ก มากกว่าที่จะเป็นระบบถ้ำขนาดใหญ่และกว้างขวางแบบที่พบในถ้ำคาร์ลสแบดในรัฐนิวเม็กซิโก ความแตกต่างดังกล่าวเป็นผลมาจากอัตราการอิ่มน้ำของดินที่แตกต่างกันในพื้นที่ โดยในเขตร้อนชื้นน้ำจะละลายหินปูนใกล้พื้นผิวได้เร็วขึ้น เนื่องจากมีความเป็นกรดมากกว่า เมื่อน้ำอิ่มตัวด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต มันจะไม่สามารถละลายหินปูนต่อไปได้ในระดับความลึกมากขึ้น ดังนั้น ถ้ำลึกจึงไม่สามารถก่อตัวในภูมิประเทศแบบคาร์สต์ในเขตร้อนชื้นได้ ตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ น้ำที่อิ่มตัวจะเติมแคลเซียมคาร์บอเนตเข้ามาใหม่ ซึ่งจะช่วยลดความพรุนของหินปูนและจำกัดการพัฒนาตัวเองของถ้ำเพิ่มเติม ในที่สุด เนื่องจากสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยมีการแตกตัวกระจายออกเป็นหอคอยแต่ละหอ สิ่งนี้จึงเป็นตัวการสำคัญในการขัดขวางการพัฒนาระบบถ้ำ อย่างไรก็ตาม ถ้ำระดับตื้นขนาดใหญ่บางแห่งก็สามารถเกิดขึ้นได้ และเมื่อเกิดขึ้นมันก็จะมีความเกี่ยวข้องกับแม่น้ำที่ไหลผ่านเป็นถ้ำน้ำตก

 

ถ้ำสำคัญแห่งหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทยเกิดขึ้นบนสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยที่เกาะพีพีเลในทะเลอันดามัน (ดูภาพที่ 7 ประกอบ) เกาะแห่งนี้เป็นที่อยู่ของนกชนิดหนึ่งที่สร้างรังโดยใช้น้ำลายของมันเอง คนพื้นเมืองหลายชั่วอายุคนได้เสี่ยงชีวิตสร้างนั่งร้านไม้ไผ่ เพื่อไต่ขึ้นไปยังรังของมันที่อยู่ด้านบนผนังของถ้ำ คนเหล่านี้ปีนขึ้นไปบนนั่งร้านสูงกว่าร้อยฟุตโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันใดๆ ขึ้นไปบนยอดเขาซึ่งยึดด้วยเชือกที่รัดอยู่กับหินย้อย และเกาะไต่ไปตามหินย้อยที่สูงมากๆ ท่ามกลางความมืดมิดของถ้ำ แรงจูงใจในการทำเช่นนี้ คือ เงินล้วนๆ รังนกชนิดนี้ใช้ทำซุปที่เชื่อว่าจะทำให้ผู้รับประทานมีความชุ่มชื่น ในประเทศญี่ปุ่นซุปชนิดนี้จะขายดีราคาสูงถึงถ้วยละ 100 ดอลลาร์ คนเก็บรังนกคนหนึ่งระบุว่าตนสามารถเก็บรังนกได้มากถึงสามครั้งต่อปี โดยไม่ทำให้นกเครียดมากเกินไป

 

หากตะกอนน้ำพัดพาสะสมตัวอยู่ที่ฐานของหอคอย ยังคงสัมผัสกับฐานในระดับความสูงที่กำหนดเป็นระยะเวลานาน สิ่งที่ยื่นออกมาอาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากมีน้ำในดินเป็นตัวการกัดเซาะฐานด้านข้าง การกระทำของคลื่นและการผุกร่อนของเกลือยังกัดเซาะฐานของหอคอยที่โผล่ขึ้นมาจากทะเล ในบางพื้นที่สิ่งที่ยื่นออกมาเหล่านี้อาจสูงได้ถึง 20 ฟุต และกว้าง 66 ฟุต และหากไม่ใช่เพราะความแข็งแรงตามธรรมชาติของหินปูน พวกมันจะพังทลายลงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดความแข็งแรงของหินปูนจะมากเกินพอดี และแผ่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านข้างของหอคอยก็จะเอียงตัวลงแบบในภาพ (ดูภาพที่ 8 ประกอบ) โดยกระบวนการนี้เช่นเดียวกับการสลายตัวทีละน้อยหอคอยจะหดตัวลงจนไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย การตัดตัวเองตรงด้านข้างของหอคอยเป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นอย่างไม่ต้องสงสัยแม้ว่าจะค่อนข้างอันตรายต่อใครก็ตามที่อยู่ใกล้ๆ

 

https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/MGfig17.jpgที่สำนักสงฆ์ถ้ำเสือในจังหวัดพังงา พระสงฆ์ได้สร้างพื้นที่ใช้สอยเพื่อศาสนกิจขึ้นในถ้ำที่มีส่วนหนึ่งยื่นออกมา การเข้าถึงส่วนนี้ของสำนักสงฆ์จะต้องบันไดที่ขึ้นไปบนสันเขาหินปูนที่สูงเกือบเป็นแนวตั้ง จากนั้นค่อยเดินลงไปอีกด้านหนึ่งเข้าไปในหุบเขาหินปูนที่ปิดคลุมไปด้วยความเขียวชอุ่มของพืชพรรณในป่าฝนเขตร้อน ในเขตรักษาพันธุ์ธรรมชาติแห่งนี้ มีต้นไม้ที่มีอายุมากกว่าหนึ่งพันปีอยู่ด้วย พระสงฆ์จัดได้วางพระพุทธขนาดใหญ่ไว้ใต้ส่วนยื่นออกมานี้ เห็นแล้วเป็นที่น่าเลื่อมใสและประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็มีถ้ำขนาดเล็กจำนวนหนึ่งยื่นเข้าไปในผนังหินปูนใต้สิ่งที่ยื่นออกมา และมีทางเข้าบางส่วนก็มีพระสงฆ์สร้างที่พักพิงขนาดเล็กไว้ป้องกันฝนที่ตกลงมาทุกวัน พระสงฆ์เหล่านี้ยึดถือความวิเวกที่มีอยู่ในหุบเขาและถ้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เป็นสถานที่สร้างปัญญาจากการบำเพ็ญเพียร มีหลักฐานเชิงประจักษ์เพิ่มเติมจากการจัดวางพระพุทธรูปและเครื่องบูชาเอาไว้จำนวนมากภายในถ้ำ ในบริเวณเดียวกันนี้มีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ถูกตั้งเอาไว้ใต้เสา ด้วยความเลื่อมใสของคนไทยแบบนี้ถือเป็นเรื่องปรกติเหมือนที่เคยเป็นมาสำหรับคนส่วนใหญ่ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ภาพที่ 8 เมื่อสิ่งที่ยื่นออกมามีขนาดใหญ่พอ ในที่สุดหินที่วางทับอยู่ก็แตกออกเป็นอิสระ และบางครั้งก็ก่อตัวเป็นกำแพงเฉือนที่แบนราบเช่นนี้

Photo credit – https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/Gillespie.htm

 

ชะง่อนหินที่ยื่นออกมาและถ้ำที่พัฒนาตามแนวสัมผัสระหว่างฐานหอคอยและตะกอนดินพัดพานี้ สามารถใช้เป็นเครื่องมือติดตามลำดับพัฒนาการของหุบตะกอนน้ำพัดพา (alluvial valleys) ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการพัฒนาของชะง่อนหินปูนนี้แสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาหนึ่งที่มีการลดระดับลงอย่างช้าๆ ของที่ราบตะกอนน้ำพัดพา และนั่นทำให้มีเวลาเพียงพอสำหรับการละลายบริเวณด้านข้าง ในทางกลับกันการขาดระยะยื่นบ่งบอกถึงอัตราการลดลงของที่ราบตะกอนน้ำพัดพาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับการสะสมตัวให้เกิดชะง่อนยื่นและถ้ำ หากพบโบราณวัตถุของมนุษย์หรือวัสดุอื่นๆ ที่หาได้ภายในถ้ำ ก็จะช่วยบอกขั้นตอนของการพัฒนาหอคอยได้เช่นกัน

 

การใช้ข้อมูลบันทึกสนามแม่เหล็กของโลกในหินตะกอน (Paleomagnetic data) ที่ได้จากถ้ำในระดับต่างๆ ในหอคอยแห่งหนึ่งในประเทศจีนของนักวิจัยคนหนึ่ง พบว่า ช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมาสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยแห่งนี้เติบโตขึ้นจากการลดลงของฐานหอคอยในอัตราที่น้อยกว่า 0.91 นิ้วต่อ 1,000 ปี ด้วยอัตรานี้ทำให้จะต้องใช้เวลาประมาณ 1,318,700 ปีในการพัฒนาหอคอยให้สูง 100 ฟุต ทั้งนี้สัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยในประเทศจีนที่กำหนดอัตราการพัฒนาเท่านี้ เท่ากับว่ามันได้รับการพัฒนามาอย่างน้อย 2.5 ล้านปี เห็นได้ชัดว่าสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยเหล่านี้พัฒนาขึ้นมาอย่างช้าๆ และคงสภาพอยู่ได้เป็นระยะเวลานาน นักวิจัยเชื่อว่าในสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยส่วนอื่นๆ ของประเทศจีน มีหอคอยบางหลังเริ่มที่เพิ่งก่อตัวขึ้นเมื่อสิ้นสุดยุคครีเทเชียสเมื่อ 65 ล้านปีก่อนนี้เอง หากค่าประมาณนี้มีความถูกต้อง นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก เนื่องจากเป็นสัณฐานเพียงไม่กี่แห่งบนโลก ที่นอกเหนือจากแนวภูเขา ที่มีความเก่าแก่เช่นนี้ ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคุณลักษณะของสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยสามารถแสดงถึงลักษณะภูมิประเทศที่เก่าแก่อย่างแท้จริง และสามารถใช้ประโยชน์ทางวิชาการได้ดีสำหรับนักภูมิศาสตร์กายภาพ นักธรณีวิทยา นักธรณีสัณฐานวิทยา และนักโบราณคดี ที่ต้องการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต

 Thailand, Ao Phang Nga National Parc Photograph by Tuul & Bruno Morandi

ภาพที่ 9  ชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรไทยค่อยๆ จมตัวลงต่ำกว่าระดับน้ำทะเลอย่างช้าๆ เนื่องจากแรงขับเคลื่อนตัวของเปลือกโลกยังคงทำงานอยู่อย่างต่อเนื่องในภูมิภาคนี้ ขณะที่พื้นที่โดยรวมทรุดตัวลง คาร์สต์รูปหอคอยที่เคยล้อมรอบด้วยป่าชายเลนก็กลับกลายเป็นถูกทะเลล้อมรอบ

Photo credit – https://fineartamerica.com/featured/thailand-ao-phang-nga-national-parc-tuul--bruno-morandi.html

 

เนื่องจากการชนกันของแผ่นเปลือกโลกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาบสมุทรมลายูจึงกำลังมีการเปลี่ยนรูปอย่างช้าๆ ทำให้ชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรผุดขึ้นมาจากอ่าวไทย ขณะที่ชายฝั่งตะวันตกกลับตรงกันข้าม คือ กำลังมุดตัวลงอย่างช้าๆ และจมลงใต้ทะเลอันดามัน ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนรูปแบบทีละน้อยๆ ของภูมิภาค คือ การสร้างแนวชายฝั่งใหม่ขึ้นตลอดแนวชายฝั่งตะวันออก มีลักษณะเป็นหาดทรายกว้าง ขณะที่ชายฝั่งตะวันตกกลับมีชายหาดเพียงไม่กี่แห่ง และมีลักษณะเป็นหุบแม่น้ำ แหลมยื่นจมน้ำ ป่าชายเลน และเกาะโดดๆ ที่แยกตัวเป็นสัณฐานแบบคาร์สต์รูปหอคอยที่มีบางส่วนจมอยู่ใต้น้ำ สำหรับเกาะพีพีเลดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นนั้น เป็นหนึ่งในเกาะเหล่านี้ที่การจมตัวลงของพื้นที่โดยรอบ อีกทั้งยังได้รับปัจจัยเสริมจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลที่เกิดขึ้นในตอนปลายยุคไพลส์โตซีนเมื่อราวๆ หมื่นปีก่อน โดยในเวลานั้น แผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ปกคลุมทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปละลายเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นประมาณ 350 ฟุต การจมตัวลงของเปลือกโลกส่วนนี้ทำให้ชายฝั่งตะวันตกของประเทศไทยโดยเฉพาะในย่านพื้นที่รอบๆ เกาะภูเก็ต มีความน่าสนใจและสวยงามเป็นพิเศษ และตรงนั้นคือแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก

 

ภาพที่ 10 สังเกตเห็นบ้านหลังเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ที่ฐานของหอคอยที่อยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยวในทะเลอันดา เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงการดำเนินชีวิตที่อาศัยอยู่ในสถานที่ที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลอันกว้างใหญ่ และล้อมรอบด้วยกำแพงหินแนวดิ่งของหอคอยหินที่โผล่ขึ้นมาจากน้ำ

Photo credit – https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/Gillespie.htm

 

หอคอยหินปูนที่ผุดโผล่ขึ้นมาจากทะเลอย่างฉับพลันและน่าทึ่งเหล่านี้ สร้างทัศนียภาพของความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงเกาะรูปหอคอยเหล่านี้ได้โดยเรือ และพื้นที่รอบๆ เกาะหอคอยหลายแห่งก็เป็นหาดทรายขนาดเล็กที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้สามารถหยุดพัก ปิกนิก และดำน้ำดูปะการังบนแนวปะการังอันงดงามที่เติบโตบนพื้นที่ส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำของสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอย น่าแปลกใจที่เกาะเหล่านี้หลายแห่ง มีผู้คนอาศัยอยู่โดยประชากรในท้องถิ่นที่ดูเหใทอนกับว่าพวกเขาถูกกักขังอยู่ในแถบทรายแคบๆ ตามฐานของหอคอยที่ตั้งสูงตระหง่าน ลองนึกดูว่าชีวิตบนเกาะเหล่านี้จะเป็นอย่างไร ทิวทัศน์ของมหาสมุทรเปิดเป็นแนวนอนที่กว้างใหญ่ โดยมีกำแพงแนวสูงโผล่ขึ้นมาเป็นแนวตั้งเหนือน้ำหลายร้อยฟุต (ดูภาพที่ 10 ประกอบ) การเคลื่อนไหวถูกจำกัดอย่างรุนแรงด้วยด้านหนึ่งเป็นน้ำ และหน้าผาหินอีกด้านหนึ่ง พายุไซโคลนที่พวกเขารู้จักกันดีในภูมิภาคนี้ สามารถจมชุมชนเหล่านี้ให้อยู่ระดับเดียวกับพื้นดินรอบๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่ชีวิตของพวกเขาก็มีความสมดุลระหว่างความสุดขั้วเหล่านี้ได้

 

ภาพที่ 11 หมู่บ้านปันหยีในทะเลอันดาที่สร้างด้วยไม้ค้ำยันเกือบทั้งหมด

Photo credit – https://remthailand.asia/koh-panyee-thailands-floating-village/

 

ชาวบ้านในหมู่บ้านหนึ่งที่รู้จักกันดี คือ ปันหยี สามารถจัดการกับข้อจำกัดของพื้นที่ด้วยการสร้างหมู่บ้านทั้งหมดไว้บนไม้ค้ำถ่อ แม้แต่สนามฟุตบอลของโรงเรียนก็เคยต้องใช้ลานท่าเทียบเรือระหว่างอาคาร เพื่อให้เด็กๆ ได้ออกกำลังกายและเล่นฟุตบอล ชาวบ้านใช้หอคอยหินปูนที่อยู่ถัดจากหมู่บ้านออกไป เป็นสถานที่ฝังศพคนตายและเป็นที่ตั้งมัสยิด นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปถึงปันหยีได้โดยเรือ แต่การท่องเที่ยวกำลังเปลี่ยนแปลงชุมชนนี้ การขายของที่ระลึกราคาถูกได้เข้ามาแทนที่การจับปลาที่เคยเป็นแหล่งรายได้หลักของชาวเกาะปันหยี