หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ภูมิศาสตร์อาหารเกษตร - โครงข่าย ข้อตกลง และภูมิภาคการผลิตอาหาร

ภูมิศาสตร์อาหารเกษตร - โครงข่าย ข้อตกลง และภูมิภาคการผลิตอาหาร


อาหารเป็นกิจกรรมการผลิตที่มีมายาวนานซึ่งมีคุณลักษณะการผลิตและการบริโภคที่แตกต่างกันหลายประการ อย่างไรก็ตาม งานเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่าสุดส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ลักษณะ การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่การผลิตอาหารและสถานที่ผลิตอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีการให้ความสนใจอย่างมากต่อ   โลกาภิวัตน์ การขยายอำนาจของบรรษัทข้ามชาติ และการแสวงประโยชน์จากธรรมชาติอย่างไม่หยุดยั้ง

 

ในบทนี้ เรายืนยันว่าการมุ่งเน้นประเภทนี้ไม่เพียงพอที่จะอธิบายความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของภูมิศาสตร์อาหารเกษตรร่วมสมัย ซึ่งมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารและโภชนาการที่เพิ่มขึ้นทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากในประเทศทุนนิยมขั้นสูงต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพซึ่งฝังอยู่ในระบบนิเวศและวัฒนธรรมในภูมิภาค นี่คือการสร้างภูมิศาสตร์ทางเลือกใหม่ของอาหาร โดยยึดตามห่วงโซ่อาหารของระบบนิเวศ และความสนใจใหม่ต่อสถานที่และธรรมชาติ เผยให้เห็นภาพโมเสกที่แตกต่างกันอย่างมากของผลผลิต—สิ่งที่แตกต่างในประเด็นสำคัญกับการกระจายที่โดดเด่นของกิจกรรมการผลิตที่เห็นได้ชัดเจนในภาคส่วนของอาหารทั่วโลก

 

เป้าหมาย คือการพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ที่ช่วยทำให้เข้าใจภูมิศาสตร์อาหารเกษตรรูปแบบใหม่นี้ และแนะนำให้เข้าใจถึงความซับซ้อนของภาคส่วนอาหารร่วมสมัยได้มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงต้องเริ่มต้นด้วยการพิจารณาเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์ของภาคการผลิตอาหาร และโดยแสดงให้เห็นว่าการวิเคราะห์ต่างๆ เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เปิดเผยถึงแรงจูงใจสำคัญบางประการที่ขับเคลื่อนกระบวนการโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความต้องการทุนด้านอุตสาหกรรมที่ทั้งจะ "เอาชนะ" ระบบชีวภาพ และแยกอาหารออกจากบริบทวัฒนธรรมดั้งเดิมของภูมิภาคการผลิตและการบริโภค หลังจากพิจารณาการยืนยันคุณภาพตามภูมิภาคเมื่อเร็วๆ นี้ (ซึ่งถือได้ว่าเป็นการตอบสนองต่อกลวิธีที่ตรงไปตรงมาซึ่งมีอยู่ในอุตสาหกรรม) จะได้ทำการพิจารณาแนวทางต่างๆ อันประกอบด้วยทฤษฎี เศรษฐศาสตร์การเมือง ทฤษฎีเครือข่ายองค์กร และทฤษฎีระเบียบแบบแผนที่มีความสำคัญอย่างต่อเนื่อง การศึกษาอาหารและได้เปิดเผยแง่มุมต่างๆ ของระบบอาหารสมัยใหม่ โดยเน้นสิ่งที่จะพิจารณาถึงข้อจำกัดหลักของแนวทางเหล่านี้ นั่นคือ แนวโน้มที่จะกำหนดแนวความคิดเกี่ยวกับภูมิศาสตร์อาหารเกษตรร่วมสมัยในแง่ของความขัดแย้งแบบสองขั้วตรงข้าม ตัวอย่างเช่น แบบแผนที่ยึดถือกับทางเลือก และการมีเป้าหมายระดับโลกกับท้องถิ่น เป็นต้น

 

เพื่อที่จะเริ่มเอาชนะการคิดแบบสองขั้วตรงข้าม ท้ายที่สุดจะจัดวิเคราะห์และขยายความทฤษฎีโลกของการผลิต (theory productive worlds) ของสตอร์เปอร์ ทฤษฎีนี้จะช่วยให้สามารถมีส่วนร่วมกับผลลัพธ์ที่หลากหลายในภาคอาหารร่วมสมัย และช่วยเน้นย้ำถึงความหมายของระบบการผลิตที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่และสถานที่ อย่างไรก็ตาม บทความนี้ยังจะให้คำแนะนำว่าทฤษฎีของสตอร์เปอร์นั้นมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่าง เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการวิเคราะห์ภาคส่วนการผลิต - บริโภคอาหารร่วมสมัย สองด้านที่ด้านหนึ่งเป็นบทบาทสำคัญที่ธรรมชาติมีต่อการผลิตและการบริโภคอาหาร และด้านที่สอง เป็นกิจกรรมของสถาบันทางการเมืองที่ตั้งอยู่ในระดับต่างๆ ของการเมือง—รวมถึงภูมิภาค รัฐระดับชาติ และองค์กรระหว่างประเทศ เราพยายามที่จะรวมคุณสมบัติทั้งสองนี้เข้ากับแนวทางทั่วไปของสตอร์เปอร์ เพื่อสร้างโลกของอาหารที่แตกต่างกัน แนวคิดเรื่องโลกของอาหารที่เกิดขึ้นมาใหม่ออกมาจากการวิเคราะห์นี้ จะเป็นแนวทางในการอภิปรายอันเป็นประโยชน์ต่อไป

 

ทางสองแพร่ของการผลิตอาหารเกษตร

 

ปัจจุบันนี้ผู้คนทุกวงการล้วนเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าระบบอาหารเกษตรมีลักษณะเป็นโลกาภิวัตน์ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการวิจัยจำนวนมาก ได้ถือเอาโลกาภิวัตน์ มาเป็นหลัก ด้วยการเน้นว่ากระบวนการของโลกาภิวัตน์ถูกนำมาใช้ขับเคลื่อนปรับโฉมกระบวนการผลิตอาหารตามรูปแบบของการสะสมทุน ในหลายๆ ด้าน โลกาภิวัตน์ของระบบอาหารเป็นไปในแนวทางเดียวกับโลกาภิวัตน์ในภาคเศรษฐกิจอื่น กล่าวคือ มีการประสานห่วงโซ่การผลิต บนระยะทางที่ไกลกันมากขึ้น โดยองค์กรนี้มีบทบาททางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มักที่จะเป็นบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่เพียงสองสามรายเท่านั้น (Dicken 1998) อย่างไรก็ตาม ในประเด็นสำคัญอื่นๆ การพัฒนาระบบอาหารมักจะเป็นไปตามแนวทางของตนเอง เนื่องจากมีลักษณะเฉพาะบางประการของการผลิตอาหาร ที่ยังคงเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดอยู่กับฐานทรัพยากรธรรมชาติและรูปแบบวัฒนธรรมการบริโภค (Goodman and Watts 1994) อย่างไรก็ดี โลกาภิวัตน์ของภาคการผลิและการบริโภคอาหารมีข้อจำกัด ที่ไม่เหมือนภาคส่วนอื่นทั้งโดยธรรมชาติและวัฒนธรรม กล่าวคือ การผลิตอาหารต้องการการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติให้มาอยู่ในรูปแบบที่มนุษย์สามารถรับประทานได้ ขณะที่ด้วยตัวของกิจกรรมการกินเองก็เป็นประเด็นเชิงวัฒนธรรมที่มีความลึกซึ้ง ซึ่งรูปแบบของอาหารและนิสัยการรับประทานแตกต่างกันไปตามแนวทางที่ก่อตัวตามวัฒนธรรมที่มีอยู่อย่างกว้างขวางและหลากหลาย ประเด็นสำคัญทั้งสองนี้จำเป็นต้องนำมาเชื่อมโยงห่วงโซ่อาหารกับการก่อตัวของพื้นที่เข้าด้วยกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ห่วงโซ่อาหารไม่เคยหลีกหนีจากระบบนิเวศและวัฒนธรรม ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจการพัฒนาอาหารเกษตร จึงจำเป็นต้องพิจารณาว่าพลังของโลกาภิวัตน์ที่จะไปมีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติ และวัฒนธรรมในพื้นที่ต่างๆ นั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร  โดยหน้าต่อไปนี้จะเน้นการพิจารณาถึงลักษณะที่คงที่ของธรรมชาติและวัฒนธรรมที่มีอยู่ในสภาพความเป็นจิรง และแสดงให้เห็นว่ามีการทำงานร่วมกันระหว่างทรัพยากรที่คงที่และสามารถเคลื่อนที่ได้ ภายใต้กรอบการศึกษาของภูมิศาสตร์ใหม่ของอาหาร

 

ธรรมชาติ: ฤดูกาล ภูมิภาค บูมเมอแรง

 

อาหารเน้นด้านผลิตของสารอินทรีย์และอนินทรีย์สาร หรือบางที่อาจมองว่า อาหารเป็นส่วนผสมของธรรมชาติกับ ดังนั้น ชีววิทยาจึงมีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ยกระบวนการทางสังคมของอุตสาหกรรม และกำหนดข้อจำกัดในการดึงผลกำไรหรือมูลค่าจากภาคอาหาร (Goodman and Redclift 1991) กล่าวโดยย่อ ธรรมชาติทำหน้าที่จำกัดหรือกำหนดกระบวนการผลิตอาหารในระดับภูมิภาค แน่นอน เพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุด ผู้ผลิตและผู้ผลิตพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อลดความสำคัญของธรรมชาติ เราสามารถยกตัวอย่างได้เพียงตัวอย่างเดียว: ฤดูกาล นักประวัติศาสตร์ด้านอาหารชาวอิตาลี มอนทานารี (Montanari 1996) เน้นย้ำว่าผู้ผลิตและผู้บริโภคมองว่าฤดูกาลเป็นความทุกข์ตามประเพณีมากเพียงใด เขาพูดว่า: 'การสัมพันธ์กับธรรมชาติและการพึ่งพาจังหวะของเธอเคยสมบูรณ์แล้ว แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าสถานการณ์ดังกล่าวเป็นที่น่าพอใจ แท้จริงแล้วบางครั้งมันถูกระบุว่าเป็นรูปแบบของการเป็นทาส' นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสังคมที่ยากจนกว่าซึ่งการบริโภคอาหารเช่นธัญพืชและพืชตระกูลถั่วเป็นบรรทัดฐานอย่างแม่นยำเพราะอาหารเหล่านี้สามารถอนุรักษ์ได้ง่าย การเข้าถึงอาหารสดและเน่าเสียง่าย เช่น ผัก เนื้อสัตว์ และปลา เป็นความหรูหราของชนชั้นสูงเพียงไม่กี่คน ดังนั้น 'ความปรารถนาที่จะเอาชนะฤดูกาลของผลิตภัณฑ์และการพึ่งพาธรรมชาติและภูมิภาคนั้นรุนแรงแม้ว่าวิธีการดังกล่าวจะมีราคาแพง (และมีชื่อเสียง) พวกเขาต้องการความมั่งคั่งและอำนาจ’ มอนทานารีจึงสรุปว่า 'น่าสงสัยว่าเราจะสามารถระบุถึงการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขกับธรรมชาติหรือความรักที่กระตือรือร้นตามฤดูกาลของอาหารกับวัฒนธรรมอาหาร'''ดั้งเดิม'' ได้หรือไม่

 

อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่ากระบวนการผลิตอาหารได้ก้าวไปไกลจากสถานะทางชีวภาพดังกล่าว ตั้งแต่กลางศตวรรษที่สิบเก้า อาหารได้กลายเป็นสิ่งที่ฟลองแดรง (Flandrin 1999) นักประวัติศาสตร์ด้านอาหารชาวฝรั่งเศส เรียกว่า 'การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ไม่มีวันสิ้นสุด' จุดประสงค์สำคัญประการหนึ่งของ 'การปฏิวัติ' นี้คือ การทำลายอำนาจจำกัดของธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยึดติดกับฤดูกาล เทคนิคการถนอมอาหารได้รับการขัดเกลาตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่สิบเก้าเป็นต้นมา ในขณะที่เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การทำความเย็นถูกนำมาใช้ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 ตามที่เลเวนสไตน์ (Levenstein 1999) นักเขียนเกี่ยวกับอาหารชาวอเมริกัน กล่าวไว้ว่า "ผู้ผลิตและผู้แปรรูปได้พัฒนาวิธีการใหม่ๆ ในการปลูก การเลี้ยง การเก็บรักษา การเตรียมอาหารล่วงหน้า และการบรรจุหีบห่ออาหาร" การปรับแต่งวิธีการดังกล่าวมีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงหลังสงคราม โดยมีสารเติมแต่งและสารกันบูดใหม่กว่าสี่ร้อยชนิดที่พัฒนาขึ้นในช่วงทศวรรษ 1950 เพียงปีเดียว ด้วยเหตุนี้ โครงสร้างโมเลกุลของอาหารจึงถูกเปลี่ยน เป็นการเปิดทางให้มีการดัดแปลงเพิ่มเติมในทศวรรษต่อมา (Capatti 1999)

 

ในเวลาเดียวกัน การต่อสู้กับฤดูกาลทำให้มีการขนส่งอาหารในระยะทางที่ไกลมากขึ้นและมากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่ามีอาหารพร้อมรับประทานตลอดทั้งปี ค่าขนส่งที่ลดลง (ค่าขนส่งทางทะเลและทางอากาศค่อยๆ ลดลงตลอดศตวรรษที่ 20 - ดู Millstone and Lang, 2003) หมายความว่าผู้ค้าปลีกสามารถกำหนด ตามที่มอนทานารี (Montanari 1996) สังเกต ผลลัพธ์ที่ได้คือในส่วนที่โชคดีของโลก เช่น ยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกา 'ความฝันได้เป็นจริงแล้ว . . ในที่สุด เราก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ชั่วขณะ (เช่นเดียวกับอาดัมและเอวาก่อนฤดูใบไม้ร่วง) โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการอนุรักษ์หรือสะสม อาหารตามฤดูกาลที่สดใหม่คือความหรูหราที่มีเพียงตอนนี้เท่านั้น . . สามารถเสิร์ฟที่โต๊ะของหลายๆ'

 

ตัวอย่างของฤดูกาลแสดงให้เห็นว่าเมื่อธรรมชาติถูกบีบออกจากกระบวนการผลิต ความเชื่อมโยงทั่วโลกจึงมีความสอดคล้องกันมากขึ้น ทำให้ระบบอาหารกลายเป็นส่วนแท้จริงของการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ในยุคโลกาภิวัตน์ งานจำนวนมากในการศึกษาเกษตร-อาหารจึงเกี่ยวข้องกับวิธีที่บริษัทข้ามชาติ หน่วยงานวิจัยและพัฒนา และหน่วยงานของรัฐรวมกันเพื่อผลักดันกระบวนการโลกาภิวัตน์ในภาคอาหารในลักษณะที่บรรเทาข้อจำกัดตามธรรมชาติ ทว่าในขณะที่งานล่าสุดเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์ของอาหารมีความเกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างภาคอาหารให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมอาหารเกษตรที่เป็นสากล เป็นที่ยอมรับด้วยว่ากระบวนการผลิตยังคงเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องและบางครั้งก็หักเหโดยลักษณะเฉพาะของภูมิภาคและท้องถิ่น การหักเหไปตามท้องถิ่นของกระบวนการทั่วโลกนี้ดูเหมือนว่าจะมีอยู่ในอุตสาหกรรมของภาคอาหาร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะส่วนผสม ระหว่างสารอินทรีย์และอนินทรีย์นั้นยากที่จะแยกออกไปจากพื้นที่และสถานที่ สำหรับการเกษตรแล้ว เพจ (Page 1996) กล่าวว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมยังคงดำเนินการต่อเนื่องด้วยการถูกกำหนดเงื่อนไขโดยพื้นฐานทางธรรมชาติของการผลิต เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ทางสังคมที่มักจะติดตามมาอย่างใกล้ชิด อันเนื่องมาจากความแตกต่างตามธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดกระบวนการทางเศรษฐกิจและการเติบโตเชิงพื้นที่ ซึ่งเพจให้เหตุผลว่าลักษณะเฉพาะเหล่านี้หมายถึง 'รูปแบบของการพัฒนาที่ไม่สม่ำเสมอในการเกษตร ไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของพลวัตทางอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อที่ซับซ้อนของกระบวนการเหล่านี้ ในสถานที่ที่หลากหลาย' นอกจากนี้ 'สภาพท้องถิ่นที่เป็นเช่นนั้นมีผลกระทบต่อการเกษตรอย่างมาก ซึ่งมักเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม'

 

กล่าวโดยย่อ ห่วงโซ่อาหารร่วมสมัยไม่ได้ 'แยกตัวออกจากธรรมชาติของท้องถิ่น' เนื่องจากการอ่านงานเขียนเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์เพียงผิวเผินอาจบ่งบอกถึง อย่างไรก็ตาม บทบาทของธรรมชาติไม่ควรจำกัดอยู่เพียงแค่ "สิ่งตกค้าง" ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะค่อยๆ ถูกแทนที่โดยการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ (เช่น การดัดแปลงพันธุกรรม) ค่อนข้างเป็นธรรมชาติที่เบค (Back 1992) เรียกว่า 'บูมเมอแรง' กล่าวคือ ธรรมชาติมีลักษณะที่จะเด้งกลับหลังจากดัดแปลงจากมนุษย์ ตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดของบูมเมอแรงธรรมชาติในภาคอาหาร คือ เอนเซ็ปฟาโลพาทีที่มีรูปร่างเหมือนฟองน้ำ (Bovine Spongi-form Encephalopathy - BSE) ซึ่งดูเหมือนว่าการรวมตัวกันของสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติต่างๆ ได้ก่อให้เกิดนักแสดงหน้าใหม่ที่น่าสะพรึงกลัว (โปรตีนไพรีออน) ที่ทำให้สมองและชีวิตมนุษย์ถูกทำลายโดยไม่สามารถย้อนกลับได้ กรณีนี้แสดงให้เห็นภาคอาหารสามารถพยายามที่จะ 'เปิดแผล' ให้กับธรรมชาติ แต่การกระทำที่ตรงไปตรงมาเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหาได้

 

ความกลัวด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับเอนเซ็ปฟาโลพาที และความเจ็บป่วยอื่นๆ เช่น sal-monella และพิษจาก E. coli— ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความอ่อนไหวต่อแนวทางและวิธีการผลิตและแปรรูปอาหารมากขึ้น ในทางกลับกัน ความอ่อนไหวนี้ได้กดดันผู้ผลิตและผู้แปรรูปเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารของพวกเขาปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการนี้จำเป็นอีกครั้งที่สิ่งนี้มีแนวโน้มที่จะเน้นย้ำถึงสถานะของธรรมชาติในอาหาร บางทีอาจมีนัยสำคัญมากกว่านั้นอีก แรงกดดันดังกล่าวได้ส่งเสริมการปลูกฝังกระบวนการผลิตอาหารขึ้นใหม่ตามบริบทของท้องถิ่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาหารที่มาจากท้องถิ่นมักจะถือว่ามีคุณภาพสูงกว่า (กล่าวคือ 'ปลอดภัย') มากกว่าอาหารอุตสาหกรรม (ทีมักไร้สถานที่ Placeless) ด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภคส่วนน้อยที่มีขนาดใหญ่และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จึงหันมาใช้ผลิตภัณฑ์อาหารในท้องถิ่นและภูมิภาค ด้วยความหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยป้องกันความเหลื่อมล้ำของอุตสาหกรรมได้ เฟอร์นันเดซ-อาร์เมสโต (FornaldezAvmesto 2001) สรุปแนวโน้มนี้เอาไว้ตอนท้ายประวัติศาสตร์อาหารของเขา โดยกล่าวว่า: 'ปฏิกิริยาทางศิลปะกำลังดำเนินการอยู่ ความรังเกียจในท้องถิ่นจากแรงกดดันในการยอมรับผลิตภัณฑ์ที่มีรสชาติมาตรฐาน ได้กระตุ้นการฟื้นตัวของอาหารแบบดั้งเดิม . . . ในตลาดที่เจริญรุ่งเรือง ความสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนจากราคาถูกไปเป็นคุณภาพ ความหายาก และความเคารพในวิธีการทางศิลปะ . . . อนาคตจะเหมือนอดีตมากเกินกว่าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอนาคตวิทยาได้ทำนายไว้' แน่นอนว่าการสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นของอาหารนี้ เกิดขึ้นในบริบทของโลกาภิวัตน์ ดังนั้นเราจึงสามารถแยกแยะปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างขนาดเชิงพื้นที่ได้ เนื่องจากกิจกรรมการผลิตและผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน ถูกกำหนดไว้ในบริบทเชิงพื้นที่ที่แตกต่างกัน อาหารบางชนิดเป็น 'สากล' (โคคาโคลา, เบอร์เกอร์ของแมคโดนัลด์ McDonald เป็นต้น) แต่ส่วน อื่นๆ เป็นของ 'ท้องถิ่น' (ปลาร้า ไข่เค็ม เนื้อเค็ม) ในขณะที่อาหารอื่นๆ ก็มีทั้งอาหารท้องถิ่นและระดับโลก (ไวน์บอร์กโด ปาร์มาแฮม เนื้ออเบอร์ดีนแองกัส) ผลที่ได้คือตลาดอาหารที่มีการแยกส่วนและมีความแตกต่างมากขึ้น

 

วัฒนธรรม

 

บางครั้งดูเหมือนว่า พลังของการสร้างมาตรฐานและการทำให้เป็นอุตสาหกรรม (standardization and industrialization) จะประสบความสำเร็จในการสร้างวัฒนธรรมอาหารที่เป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งทำให้ความผันแปรเชิงพื้นที่มีนัยสำคัญลดลง ตามความเห็นนี้ นักวิจารณ์คนหนึ่งได้อ้างว่า 'ความหลากหลาย' ที่เห็นในซูเปอร์มาร์เก็ตนั้นชัดเจนมาก เนื่องจากองค์ประกอบพื้นฐานมักจะเหมือนกัน ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือในบรรจุภัณฑ์ที่ระบุเครื่องปรุงและสีเอาไว้ ผลไม้และผักสดมีขนาดและสีมาตรฐาน และพันธุ์ที่จำหน่ายมีอยู่อย่างจำกัดมาก’ (Boge 2001) ดูเหมือนว่าผู้บริโภคสมัยใหม่ไม่สามารถพึ่งพาสินค้าอาหารอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้อย่างง่ายอีกต่อไป ดังที่เบ็ค (Back 2001) กล่าวไว้ 'หลายสิ่งหลายอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยถือว่าแน่นอนและผู้บริโภคปลอดภัยในระดับสากล และได้รับการรับรองโดยผู้มีอำนาจทุกรายที่มองเห็น ได้กลับกลายเป็น สิ่งที่หลุดกรอบมาตรฐานจนอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ เบ็คแนะนำว่าในบริบทการบริโภคที่ไม่แน่นอนนี้ ผู้บริโภคจำนวนมากจะ 'สะท้อน' อะไรบางอย่างออกมาเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับอาหารและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ มากขึ้น ผลที่จะตามมาอย่างหนึ่งของทัศนคติที่สะท้อนกลับมากขึ้นนี้ คือ ความกังวลต่อที่มาซึ่งก็คือสถานที่ผลิตอาหารเท่านั้น ดังที่แนะนำไว้ข้างต้น เนื่องจากสภาพทางนิเวศวิทยาที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตสามารถแยกแยะได้ง่ายขึ้น หากทราบแหล่งที่มา นอกจากนี้ยังมีมิติทางวัฒนธรรมในเรื่องที่ว่า อาหารท้องถิ่นน่าจะผลิตขึ้นตามขนบประเพณีที่มีมาช้านาน เรียกได้ว่าเป็นงานของช่างมีฝีมือมากกว่าเป็นผลผลิตจากกระบวนการทางอุตสาหกรรม นอกจากนี้ อาหารดังกล่าวอาจจะฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมการบริโภคที่มีมาช้านาน ซึ่งคุณภาพของผลิตภัณฑ์สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องรสชาติของท้องถิ่น

 

วัฒนธรรมการบริโภคในท้องถิ่นเหล่านี้จึงถูกประเมินค่าใหม่ เนื่องจากความหวาดกลัวของอาหารร่วมสมัย คุณค่าส่วนหนึ่งที่เพิ่มขึ้นของวัฒนธรรมดังกล่าวมาจากสถานะที่ล่อแหลม ที่ดูเหมือนว่าอาหารจากท้องถิ่นจะถูกคุกคามอย่างต่อเนื่องจากการแพร่กระจายของผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้มาตรฐานและโลกาภิวัตน์ นอกจากนี้ วัฒนธรรมอาหาร 'ทางเลือก' เหล่านี้ยังเป็นเครื่องมือต่อต้านการกำหนดมาตรฐานของอาหารอย่างต่อเนื่อง ตามที่องค์กรสโลว์ฟู้ดในประเทศอิตาลี เคยระบุว่า การทำให้เป็นอุตสาหกรรมและการกำหนดมาตรฐานในห่วงโซ่อาหาร สามารถท้าทายได้ด้วยการค้นพบ 'ความอุดมสมบูรณ์และกลิ่นหอมยวนใจของอาหารท้องถิ่น' เป็นการทำให้ได้พบรสชาติและรสชาติของการปรุงอาหารในภูมิภาคอีกครั้ง และช่วยขจัดผลกระทบที่เสื่อมโทรมของอาหารจานด่วน . . . นั่นคือทั้งหมดที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมที่แท้จริง: เป็นการพัฒนารสชาติมากกว่าการละเลยและดูถูก" กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ใช่แค่ธรรมชาติเท่านั้นที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสุขภาพและโภชนาการของอาหาร  แต่ว่าวัฒนธรรมอาหารที่มีมาช้านานก็มีบทบาทเช่นกัน

 

กลุ่มต่างๆ เช่น สโลว์ฟู้ดที่มุ่งมั่นต่อสู้กับแรงกระตุ้นที่เป็นมาตรฐานของห่วงโซ่อาหารโลกาภิวัตน์ เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการค้นพบใหม่และปกป้องความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ให้ดีในตัวเอง Slow food ดำเนินกิจกรรมมากมายที่มุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารในท้องถิ่นและภูมิภาค (เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับระบบการผลิตและการบริโภคในท้องถิ่น—สิ่งที่ชาวฝรั่งเศสเรียกว่า terroir) ในเรื่องนี้ Slow food วิพากษ์วิจารณ์ชัดเจนของ 'รสชาติที่เข้มข้น' ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่พูดชัดแจ้งในเชิงวัฒนธรรม Slow food มองว่าอาหารเป็นองค์ประกอบสำคัญของคุณภาพชีวิต ตามแถลงการณ์เอา Slow food จุดมุ่งหมายคือการเผยแพร่ 'ปรัชญาแห่งรสชาติ' ใหม่ และหลักการชี้นำคือ 'ความมีชีวิตชีวาและสิทธิและความพึงพอใจในการลิ้มรส' ความพึงพอใจของอาหารมาจากแง่มุมที่สวยงามและวัฒนธรรมของการผลิต การแปรรูป และการบริโภค กิจกรรมทั้งหมดนี้ถือเป็น งานศิลปะ ซึ่งงานต่างๆ เหล่านี้ต้องการทักษะและความเอาใจใส่และพัฒนาโดยการสร้างความรู้ในอดีต เพื่อตอบสนองความต้องการทางสังคมใหม่ของผู้บริโภคร่วมสมัย

 

โดยสรุป Slow food และผู้นำเสนออาหารท้องถิ่นและภูมิภาคอื่นๆ มีเป้าหมายที่จะท้าทายการแพร่กระจายของวัฒนธรรมอาหารจานด่วน ด้วยการยืนยันวัฒนธรรมทางเลือกของอาหาร เริ่มต้นจากการยอมรับว่าอาหารเปี่ยมด้วยความหมายเชิงสัญลักษณ์ และรูปแบบการบริโภคอาหารได้พัฒนาไปตามกาลเวลา ตามวิวัฒนาการที่ค่อยเป็นค่อยไปของรสนิยม โดยกลุ่มเหล่านี้ส่งเสริมคุณค่าของผลิตภัณฑ์ทั่วไปและอาหารประจำภูมิภาค เพราะเป็นอาหารท้องถิ่นสะท้อนศิลปะวัฒนธรรมของการใช้ชีวิต' ในฐานะนักเคลื่อนไหวด้าน Slow food ชั้นนำ คาพัทตี (Capatti 1999) กล่าวว่า "อาหารเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและควรบริโภคในลักษณะนี้" สำหรับ Slow food แล้วการซาบซึ้งในวัฒนธรรมของอาหารจึงต้องเห็นคุณค่าของอาหารที่มีอยู่ ณ ตอนนี้ที่สืบทอดมา จากอดีตสู่ปัจจุบันและสู่อนาคต ' Slow food' ในมุมมองของคาพัทตี 'เชื่อมโยงกับค่านิยมในอดีตอย่างลึกซึ้ง การเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ทั่วไป การปกป้องสายพันธุ์จากการดัดแปลงพันธุกรรม การปลูกฝังความจำและการศึกษารสชาติ—ทั้งหมดนี้เป็นแง่มุมของความหลงใหลในกาลเวลาของเรา”

 

นอกจากนี้ มูลค่าทางวัฒนธรรมที่เพิ่มขึ้นซึ่งติดอยู่กับอาหารท้องถิ่นและภูมิภาคยังสามารถมองเห็นได้จากชื่อตราสินค้าหรือเครื่องหมายการค้าใหม่ๆ ที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ ตัวอย่างเช่น ในฝรั่งเศส ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจำนวนมาก รวมถึงชีส ไวน์ น้ำมันมะกอก ถั่วฮาริคอต และมันฝรั่ง ได้รับชื่ออันทรงเกียรติของประเทศ d'Origine controle´e (AOC) เครื่องหมายที่สะท้อนถึงที่มาและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น หลังจากความสำเร็จของโครงการฝรั่งเศส แนวทางที่คล้ายคลึงกันถูกนำมาใช้ในระดับยุโรป ในปี 1993 ประชาคมยุโรปได้ออกกฎหมายเพื่อปกป้องอาหารในภูมิภาคและอาหารแบบดั้งเดิม (Council Regulation (EEC) No. 2081/92, Official Journal L208, 24 กรกฎาคม 1992) กฎหมายนี้จัดทำคำจำกัดความสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีการกำหนดแหล่งกำเนิดสินค้าที่ได้รับการคุ้มครอง (PDO: protected designations of origin) และสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ได้รับการคุ้มครอง (PGI: protected geographical indicators) PDO หรือ PGI ถูกกำหนดให้เป็นชื่อของภูมิภาคหรือสถานที่เฉพาะ ตามด้วยตัวอักษร 'PDO/PGI' ซึ่งหมายถึงผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรหรืออาหารที่มีต้นกำเนิดในภูมิภาคหรือสถานที่นั้น สำหรับ PDO นั้น 'คุณภาพหรือคุณลักษณะอื่นๆ ของผลิตภัณฑ์โดยพื้นฐานแล้วหรือเฉพาะเนื่องจากสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์เฉพาะที่มีส่วนประกอบทางธรรมชาติและของมนุษย์โดยธรรมชาติและมีการผลิต การแปรรูปและการเตรียมการในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์' PGI มี 'คุณภาพหรือชื่อเสียงที่อาจเกิดจากสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่มีองค์ประกอบตามธรรมชาติและ/หรือมนุษย์โดยธรรมชาติ' กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันคือการผสมผสานอย่างใกล้ชิดระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรมที่แปลเป็นภาษาท้องถิ่นซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ PDO/PGI มีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่น

 

การเกิดขึ้นของ 'เครื่องหมาย' คุณภาพเหล่านี้ สามารถเห็นได้ว่าเป็นความพยายามที่จะผูกคุณสมบัติเฉพาะที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์เข้ากับคุณภาพเฉพาะที่มีอยู่ในบริบทเชิงพื้นที่ของการผลิต (คุณภาพระดับองค์กร วัฒนธรรม และระบบนิเวศ) อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตว่าการพัฒนา AOCs, PDO และ PGI นั้น มีความไม่สม่ำเสมออย่างมากในแต่ละพื้นที่ ขณะที่สิ่งเหล่านี้มีมานานแล้วในบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศสและอิตาลี แต่กลับแทบไม่มีอยู่เลยในบางประเทศ (ในปี 2001 มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 500 รายการจดทะเบียนเป็น PDO/PGI แต่ส่วนใหญ่พบในยุโรปตอนใต้—ระหว่าง ฝรั่งเศส อิตาลี โปรตุเกส กรีซ และสเปน คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 75) การกระจายแผนการรับรองคุณภาพที่ไม่สม่ำเสมอ สะท้อนให้เห็นถึงการกระจายแผนการผลิตที่มีคุณภาพที่ยังเหลืออยู่อย่างไม่สม่ำเสมอ

 

ในบริบทของยุโรป เราได้เห็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่สำคัญระหว่างภาคใต้และภาคเหนือ (Parrott et al., 2002) ในยุโรปตอนใต้ส่วนใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่างดินแดน ประเพณี และคุณภาพนั้น มีความชัดเจนในตัวเอง อย่างไรก็ตาม ในยุโรปเหนือ สมาคมดังกล่าวอ่อนแอกว่ามาก ตัวอย่างเช่น ในสหราชอาณาจักร ยกเว้นอาหารประจำภูมิภาคบางอย่าง (เช่น ยอร์กเชียร์พุดดิ้ง ฮอตพอตแลงคาสเชียร์ และขนมเปียกปูนเป็นขนมอบแบบอังกฤษคอร์นิช พาสตี) ไม่มีประเพณีที่แพร่หลายในการเชื่อมโยงอาหารกับแหล่งกำเนิดชีสของอังกฤษที่อาจมีชื่อสถานที่ (เช่น Cheshire และ Caerphilly เป็นต้น) แต่สิ่งเหล่านี้ใช้เพื่ออธิบายประเภทของชีส แทนที่จะเป็นแหล่งกำเนิดหรือวัฒนธรรมการผลิต ร่องรอยของความสัมพันธ์ทางภูมิศาสตร์ยังคงอยู่สำหรับผลิตภัณฑ์เพียงไม่กี่อย่าง เช่น เนื้อสก็อตแลนด์และเนื้อแกะของเวลส์ ทั้งสองอย่างนี้ยังคงรักษาชื่อเสียงดั้งเดิมของตนไว้ในฐานะผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่า ด้วยข้อยกเว้นเหล่านี้ (และอีกสองสามข้อที่คล้ายคลึงกัน) สหราชอาณาจักรจึงกลายเป็นแหล่งผลิต 'อาหารที่ไม่มีสถานที่' (Ilbery and Kneafsey 2000) ซึ่งถูกครอบงำด้วยชื่อตราสินค้าที่เป็นที่รู้จักในระดับประเทศและเป็นเนื้อเดียวกัน

 

ทฤษฎีการผลิตอาหารของโลก

 

ส่วนก่อนหน้านี้เน้นถึงความจำเป็นในการดูแลความหลากหลายในภูมิภาคที่พบในภูมิศาสตร์อาหารเกษตร หากเรามุ่งความสนใจไปที่แนวโน้มโลกาภิวัตน์เพียงอย่างเดียว เราจะเห็นเฉพาะภูมิภาคที่เป็น 'จุดที่โดดเด่น' ในระบบการผลิตอาหารแบบโลกาภิวัตน์ (เช่น อุตสาหกรรมสุกรของรัฐนอร์ทแคโรไลนา หรือการผลิตเมล็ดพืชของยานอีสต์แองเกลีย) สถานที่ที่การผลิตเชิงอุตสาหกรรมได้กระจุกตัวอยู่ใน หน่วยที่ใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น และที่ซึ่งระบบนิเวศน์ในท้องถิ่นและวัฒนธรรมการบริโภคมักจะสะท้อนถึงลักษณะที่เป็นมาตรฐานของการผลิตอาหารทางอุตสาหกรรม ความกังวลที่เกิดขึ้นใหม่เกี่ยวกับ 'การปลูกฝัง' การผลิตอาหารและการบริโภคอาหารในบริบทภูมิภาคธรรมชาติ-วัฒนธรรม (regionalized nature-cultures ) จะบังคับให้สร้างแผนที่อื่นๆ ขึ้นมาอีก เพื่อเน้นย้ำให้เห็นว่าพื้นที่เหล่านั้น ยังไม่ได้รวมเข้ากับรูปแบบการผลิตทางอุตสาหกรรมอย่างสมบูรณ์ และยังคงไว้ซึ่งสภาพทางนิเวศวิทยาและวัฒนธรรมที่จำเป็นสำหรับการผลิตอาหารที่มี 'คุณภาพ' อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีต่างๆ ได้ให้การตอบสนองที่แตกต่างกันต่อความซับซ้อนใหม่นี้ บางคนอาจโต้แย้งว่าการเกิดขึ้นของวัฒนธรรมอาหารในภูมิภาคใหม่ๆ แทบจะไม่สามารถยับยั้งกระแสโลกาภิวัตน์ของอาหารได้ แต่ก็มีคนอื่นที่ได้ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมเหล่านี้มากขึ้น ต่อไปนี้ จะเป็นการประเมินมุมมองทางทฤษฎีที่มีอิทธิพลจำนวนหนึ่งและการมีส่วนร่วมกับภูมิศาสตร์ใหม่ของอาหาร

 

เศรษฐศาสตร์การเมืองของห่วงโซ่สินค้า

 

ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว การศึกษาอาหารเกษตรได้รับความสนใจอย่างมากต่อกระบวนการของโลกาภิวัตน์ในภาคอาหาร นักวิเคราะห์ได้แสดงให้เห็นในรายละเอียดที่ยอดเยี่ยมบ่อยครั้งว่า ความเชื่อมโยงเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นระหว่างส่วนต่างๆ ของอุตสาหกรรมอาหารอย่างไร และการรวมพื้นที่ที่แตกต่างกันเข้าไปในการเชื่อมโยงเหล่านั้นได้อย่างไร โดยทั่วไป แนวทางเชิงทฤษฎีที่มีประสิทธิผลมากที่สุดในความพยายามนี้คือเศรษฐศาสตร์การเมือง (political economy) แม้ว่าจะไม่ง่ายเลยที่จะอธิบายลักษณะเศรษฐกิจการเมือง เนื่องจากมีรูปแบบที่หลากหลายและแสดงให้เห็นการเน้นย้ำที่หลากหลาย อาจกล่าวได้ว่าสิ่งนี้มีแนวโน้มที่จะพรรณนาถึงโลกาภิวัตน์เป็นเพียงขั้นตอนล่าสุดในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจทุนนิยม ดังที่โบนันโน (Bonanno 1994) กล่าวไว้ 'การพัฒนาทุนนิยมได้ละทิ้งขั้นตอนการนำพาธุรกิจแต่ละชาติก้าวข้ามเข้าสู่ขั้นตอนการนำพาธุรกิจข้ามชาติ ซึ่งความสัมพันธ์ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อัตลักษณ์ และความภักดีของกลุ่ม บริษัทกับประเทศใดประเทศหนึ่งจะถูกพิจารณาให้ลดความสำคัญลง' ในกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงไปสู่การข้ามชาติในวงกว้างนี้ การเกษตรและการผลิตอาหารจะถูกรวมเข้ากับชุดของกระบวนการผลิตข้ามชาตินี้ด้วย

 

มีการใช้เศรษฐศาสตร์การเมืองอย่างกว้างขวางในการคิดผ่านผลของการบูรณาการนี้ ตัวแปรที่มีอิทธิพล โดยเฉพาะอย่างหนึ่งได้ตรวจสอบการสร้างห่วงโซ่ผลิตอาหารเกษตร การตรวจสอบห่วงโซ่หรือเครือข่ายสินค้าโภคภัณฑ์ในภาคอาหาร มีรากฐานทางทฤษฎีที่เข้มแข็ง ตัวอย่างแรกของการวิเคราะห์ห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์อาหารเกษตรปรากฏขึ้นในช่วงแรกๆ ของการสร้างทฤษฎีมาร์กซิสต์ในภาคส่วนนี้ เศรษฐกิจการเมืองของห่วงโซ่อาหารระบุว่ารูปแบบการผลิตทางการเกษตรแบบดั้งเดิมถูกทำลายอย่างรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ (เช่น ฟาร์มครอบครัว) เนื่องจากการกำหนดความสัมพันธ์แบบทุนนิยมทำให้เกิดกระบวนการอุตสาหกรรม กระบวนการนี้ดูเหมือนจะเป็น 'การแยกส่วน' กระบวนการผลิตอาหารออกจากการเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจ สังคม และเชิงพื้นที่ที่เคยมีอยู่ก่อน ตัวอย่างเช่น งานวิจัยที่ทำในสหรัฐอเมริกาโดยฟรีดแลนด์ บาร์ตัน และโธมัส (Friedland, Barton and Thomas 1981) ระบุอัตราที่แตกต่างกันของการเจาะทะลุทะลวงของระบบทุนนิยมเข้าไปในภาคผลิตอาหารเกษตร  แต่ได้ข้อสรุปว่า กระบวนการก้าวหน้าไปทั่วทั้งภาคการผลิตอาหารโดยรวม ภายในห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์แต่ละแห่ง มีการผสานรวมทรัพยากรทางเทคนิคธรรมชาติ และเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน เพื่อให้มีโครงสร้างทางอุตสาหกรรมที่โดดเด่นจำนวนหนึ่ง (ซึ่งการเกษตรเป็นส่วนที่ลดน้อยลง) อย่างชัดเจน แนวคิดของ 'ห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์' ถูกนำมาใช้ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าภาคผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ได้รับการจัดระเบียบอย่างไร และเน้นย้ำถึงชุดความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้ภายในแต่ละส่วนขององค์กร

 

เศรษฐกิจการเมืองของห่วงโซ่สินค้าโภคภัณฑ์ได้รับการปรับให้เข้ากับชุดของความสัมพันธ์ที่โดยทั่วไปสร้างขึ้นจากสินค้าเกษตรและอาหารต่างๆ ฟรีดแลนด์ (Friedland 1984) สรุปจุดควรเน้นย้ำสำหรับการศึกษาวิจัยที่มีในช่วงต้นว่าเป็น: กระบวนการแรงงาน; องค์กรเกษตรกรและแรงงาน การจัดองค์กรและการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการจัดจำหน่ายและการตลาด ตามรายการนี้ แนวทางระบบสินค้าโภคภัณฑ์เกี่ยวข้องกับมิติทางเศรษฐกิจและสังคมของอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่ ฟรีดแลนด์ (Friedland 2001) ยอมรับเมื่อเร็วๆ นี้ว่านักวิเคราะห์ระบบสินค้าโภคภัณฑ์มักมองว่าเป็น "การใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรและผลกระทบทางสังคม" เป็นหลัก จึงมีแนวโน้มที่จะมุ่งเน้นไปที่การหาเหตุผลเข้าข้างตนเองทางอุตสาหกรรมแบบห่วงโซ่ และวิธีที่สิ่งนี้กำหนดค่าความสัมพันธ์การผลิตในระดับท้องถิ่น

 

อีกแง่มุมหนึ่งของกิจกรรมห่วงโซ่สินค้า ที่แสดงถึงความสำคัญครั้งใหม่ของการกระจายทรัพยากรเชิงพื้นที่ ได้รับความสนใจจากนักวิเคราะห์เกี่ยวกับภาคการผลิตอาหาร คือ องค์ประกอบด้านสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติที่มักจะเป็นศูนย์กลางของกระบวนการสร้างห่วงโซ่อาหาร (ทั้งในแง่ของการผลิต เช่น ฤดูกาล ความเน่าเสียง่าย มลพิษ และการบริโภค เช่น คุณภาพ สุขภาพ ความปลอดภัย) ในงานวิจัยของฟรีดแลนด์ บาร์ตัน และโธมัส (Friedland, Barton and Thomas 1981) ตั้งข้อสังเกตว่า ลักษณะเฉพาะของห่วงโซ่อาหารเกษตรมักจะถูกกำหนด โดยคุณสมบัติตามธรรมชาติของตัวสินค้าเอง (เช่น การเน่าเสียของผักกาดและมะเขือเทศ) ขณะเดียวกับกูดแมน โซร์จ และวิลกินสัน (Goodman, Sorj and Wilkinson 1987) ได้นำข้อมูลเชิงลึกนี้ไปใช้เพิ่มเติม ชี้ให้เห็นว่าการควบรวมกิจการของวิสาหกิจทุนนิยมในภาคอาหารต้องควบคู่ไปกับความจำเป็นในการเปลี่ยนและทดแทนกระบวนการทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างค่อยเป็นค่อยไปที่จะลดข้อจำกัดทางชีวภาพจากกระบวนการผลิต พร้อมยืนยันด้วยว่าการขยายฐานและเพิ่มความยาวเครือข่ายอาหารมีแนวโน้มที่จะเป็นผลมาจากการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแบบก้าวหน้า เพื่อให้ผลิตภัณฑ์อาหารสามารถขนส่งในระยะทางที่ไกลและไกลออกไปได้มากขึ้น ห่วงโซ่อาหารที่ยาวขึ้นนี้จะเพิ่มความซับซ้อนทางสังคม และเทคนิคและนำไปสู่การเกิดขึ้นของห่วงโซ่สินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลก

 

ปรากฏจากงานนี้ชี้ให้เห็นว่าในห่วงโซ่สินค้าทำให้ทรัพยากรธรรมชาติมีความสำคัญในภาคอาหารน้อยลง ในที่สุดธรรมชาติจะ 'ถูกกีดกัน' ด้วยกระบวนการจัดสรรและการทดแทนอย่างเหมาะสม กระนั้นกูดแมน (Goodman 1999) ยืนยันว่าการคาดการณ์นี้ได้รับการพิสูจน์เพียงบางส่วนเท่านั้น ขณะที่เทคโนโลยี เช่น การดัดแปลงพันธุกรรม ยังคงดำเนินตามขั้นตอนที่เปิดเผยออกมาซึ่งระบุไว้ในขั้นตอนก่อนหน้าของการพัฒนาภาคอาหาร แนวโน้มอื่นๆ ทำให้ธรรมชาติมีนัยสำคัญที่ค้นพบใหม่ กูดแมน ชี้ให้เห็นถึงความนิยมที่มีต่อในอาหารออร์แกนิกที่ยังคงรักษาคุณภาพตามธรรมชาติที่สำคัญเอาไว้ได้ และในการบริโภคอาหารทั่วไปและอาหารแบบดั้งเดิม ที่เชื่อกันว่ามีคุณสมบัติทางวัฒนธรรมที่ฝังลึกอยู่ในอาหารแบบดั้งเดิมมาอย่างยาวนาน เขาโต้แย้งว่าความนิยมที่เพิ่มขึ้นของอาหารประเภทนี้ท้าทายความสมเหตุสมผลของภาคอุตสาหกรรมอาหาร และบ่งบอกถึงความจำเป็นในการผลิตและการบริโภครูปแบบที่ 'มีการปลูกฝังเอาไว้' มากขึ้น อีกทั้งอาหารในรูปแบบนี้ยังท้าทายความสำคัญของแนวทางเศรษฐกิจการเมือง อันที่จริง ขณะที่เรื่องเล่าเชิงทฤษฎีนี้ช่วยให้มองเห็นถึงความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ใหม่ที่ล้อมรอบและสร้างรูปร่างให้กับผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งเป็นผลทำให้พื้นที่ทางทฤษฎีเหลือเพียงเล็กน้อยที่จะแยกแยะความแตกต่างจากกฎเกณฑ์ของ 'ระเบียบเก่าทุนนิยม' (ทั้งในส่วนของผู้ผลิตหรือผู้บริโภค) กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือพวกเราไม่สามารถเข้าใจถึงความสำคัญอย่างเต็มที่ของสภาพทางนิเวศวิทยาใหม่ที่กู๊ดแมนเชื่อว่ามีอยู่ในส่วนสำคัญของภาคอาหารร่วมสมัย

 

เป็นความจริงที่นักเศรษฐศาสตร์การเมืองระมัดระวังต่อกระบวนการผลิตในท้องถิ่นที่ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มมากเกินไป  มีความรู้สึกในหมู่นักวิเคราะห์หลายคน ว่าขบวนการต่อต้านโลกาภิวัตน์กลายเป็นเรื่องไม่สำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับกระแสโลกขนาดใหญ่ที่ตอนนี้เป็นตัวกำหนดลักษณะของภาคการผลิตอาหารร่วมสมัย ในขณะที่จำนวนผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอาจหันไปใช้ผลิตภัณฑ์อาหาร 'ทางเลือก' แต่ส่วนใหญ่ยังคงพบอยู่แค่ได้ในตลาดมวลชนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำธุรกิจของโลกยังคงเดินหน้าต่อไป และสิ่งนี้ก็มีศักยภาพที่จะปลดปล่อยการพัฒนาอุตสาหกรรมรอบต่อๆ ไป จึงจำเป็นจะต้องสร้างสมดุลระหว่างการเชิดชูบทบาทของธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น กับการคำนึงว่ากระบวนการของการทำให้เป็นอุตสาหกรรมและการสร้างมาตรฐานยังคงดำเนินต่อไป

 

ทฤษฎีเครือข่ายองค์กรผู้ตัวการ

 

ในการแสวงหาคำอธิบายอื่นๆ ที่จะก้าวไปไกลกว่าทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมือง กูดแมน (Goodman 1999) หันไปใช้ทฤษฎีโครงข่ายองค์กรที่เป็นตัวการ (ANT: actornetwork theory) ซึ่งเป็นแนวทางที่พัฒนาขึ้นภายในสังคมวิทยาของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (แต่ตอนนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น) เพราะความเชื่อว่ามันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนมากขึ้นว่าธรรมชาติ และองค์กรทางสังคมมีความเกี่ยวพันกันในเครือข่ายอาหาร ผู้เขียนโครงข่ายองค์กรที่เป็นตัวการ ให้เหตุผลว่ากิจกรรมในห่วงโซ่หรือเครือข่ายสามารถเข้าใจได้ทั้งหมด ด้วยการพิจารณาองค์ประกอบทั้งหมดภายในโครงข่าย (โดยธรรมชาติ สังคม เทคโนโลยี และอื่นๆ) ที่พบเท่านั้น ในบริบทนี้ คาลอน (Callon 1991) ให้คำจำกัดความเครือข่ายว่าเป็น 'ชุดที่ประสานกันของตัวการที่แตกต่างกันซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กับการพัฒนา ผลิต แจกจ่าย และแพร่กระจายวิธีการในการผลิตสินค้าและบริการไม่มากก็น้อย' การมุ่งเน้นที่ 'สิ่งผสมที่เกิดขึ้นมาใหม่' นี้ดูเหมือนจะสอดคล้องกับความกังวลของกูดแมน เกี่ยวกับ 'นิเวศวิทยา' ใหม่ของอาหาร

 

ทฤษฎีเครือข่ายองค์กรผู้ตัวการ มีประเด็นสำคัญแตกต่างในจากแนวทางเศรษฐกิจการเมือง ตัวอย่างเช่นวัตมอร์และธอร์น (Whatmore and Thorne 1997) มองเศรษฐกิจการเมืองของโลกาภิวัตน์ว่าเกี่ยวข้องกับแนวโน้มที่จะทำให้เกิด 'ภาพของสิ่งห่อหุ้มโลกที่ไม่อาจต้านทานได้ และปราศจากสิ่งกีดขวาง ผลิตขึ้นมาเป็นจำนวนมากด้วยเครื่องจักรทุนนิยมอย่างไม่หยุดยั้ง' อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีโครงข่ายองค์กรที่เป็นตัวการ 'สร้างปัญหาการเข้าถึงระดับโลก ด้วยการที่คิดว่าเป็นกระบวนการที่ใช้แรงงานมาก มีความไม่แน่นอน และวางอยู่เหนือสิ่งอื่นใด คือ เป็นกระบวนการที่ขัดแย้งกันของ' 'กิจกรรมที่อยู่ในระยะไกลกัน' 'ในการทำเช่นนั้น ทฤษฎีโครงข่ายองค์กรที่เป็นตัวการตั้งเป้าที่จะลดบทบาทของโดยแสดงให้เห็นว่าพวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อรักษาความสัมพันธ์จำนวนมหาศาลที่พลังของพวกเขามีพื้นฐานมาจากอย่างไร ดังนั้นทฤษฎีโครงข่ายองค์กรที่เป็นตัวการ จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างกระบวนการสั่งซื้อของนายทุนขึ้นมาใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเศรษฐกิจการเมืองมีแนวโน้มที่จะเห็นการแตกแยกของกระบวนการระดับโลกและระดับท้องถิ่น มักถูกมองว่ามีความชัดเจนและไม่เกี่ยวข้องกัน ทฤษฎีโครงข่ายองค์กรที่เป็นตัวการใช้กรอบงานการวิเคราะห์แบบเดียวกันสำหรับเครือข่ายทั้งแบบยาวและแบบสั้น นั่นคือ เน้นที่กลยุทธ์อันชัดเจนที่ผู้สร้างเครือข่ายใช้และปริมาณงานที่จำเป็นในการรักษาพันธมิตร สมาคม และความสัมพันธ์ให้ยังคงอยู่ด้วยกัน

 

วัตมอร์และธอร์นแนะนำว่าภายใต้กรอบทฤษฎีโครงข่ายองค์กรที่เป็นตัวการ องค์กรต่างๆ หลายรูปแบบสามารถได้รับการพิจารณาให้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรการจัดตั้งห่วงโซ่สินค้าอาหารได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาเสนอว่าเครือข่ายอาหารจะต้องถูกสร้างขึ้นมาเป็นแนวคิดที่ประกอบขึ้นจากตัวการต่างๆ ในมุมมองนี้ เครือข่ายจึงมีความซับซ้อน เนื่องจากเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์กรประเภทต่างๆ ได้แก่ องค์กรที่เชื่อมเกาะกันอยู่ องค์กรแลกเปลี่ยนคุณสมบัติ และองค์กรทำให้การดำเนินการร่วมกันมีเสถียรภาพตามข้อกำหนดของเครือข่ายโดยรวม การเน้นย้ำถึงความแตกต่างในที่นี้หมายความว่าตามที่กาลลง (Callon 1991) กล่าวเสริมไว้ว่า 'สิ่งเจือปนเป็นมลทิน' วัตมอร์และธอร์น (Whatmore and Thorne 1997) ดังนี้

 

เพื่อให้แน่ใจว่า ผู้คนทั้งที่สวมหน้ากากปลอมแปลงเข้ามาและผู้ที่มีบทบาทหน้าที่จริงๆ ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง ตัวแทนเคลื่อนที่ที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างจุดที่ห่างไกลในเครือข่าย . . . แต่ยืนยัน [ทฤษฎีโครงข่ายองค์กรที่เป็นตัวการ] มีตัวแทนอื่นๆ มากมาย เทคโนโลยีและ 'เป็นธรรมชาติ' ที่ระดมกำลังในประสิทธิภาพของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ซึ่งมีความสำคัญในการขยายเครือข่ายที่ยาวขึ้นและซับซ้อนมากขึ้น . . เช่น เงิน โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หรือธนาคารยีน วัตถุที่เข้ารหัสและทำให้ความสามารถทางสังคมและเทคโนโลยีมีเสถียรภาพ และรักษารูปแบบการเชื่อมต่อที่ช่วยให้เราสามารถส่งต่อด้วยความต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่จากระดับท้องถิ่นไปสู่ระดับโลก แต่ยังจากมนุษย์สู่ที่ไม่ใช่มนุษย์ด้วย

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เครือข่ายและห่วงโซ่สินค้าย่อมสามารถระดมผู้มีบทบาท (ทางสังคม ธรรมชาติ เทคโนโลยี) ที่หลากหลายเข้ามาอย่างแน่นอน และยิ่งเครือข่ายและห่วงโซ่มีความยาวมากขึ้นเท่าใด การระดมพลก็มีแนวโน้มมากขึ้นเท่านั้น

 

แทนที่จะเป็นโลกที่เรียบง่ายตามแบบระเบียบของนายทุน แต่จะพบว่ามีการจัดเตรียมที่ซับซ้อนด้วยเหตุผลหลากหลาย ซึ่งสัมพันธ์กันในหลากหลายวิธีตามลักษณะและข้อกำหนดขององค์กรที่ประกอบขึ้นภายในเครือข่าย การเน้นที่คุณภาพที่แตกต่างกันของความสัมพันธ์ของเครือข่าย ไม่ได้หมายความว่าแต่ละห่วงโซ่หรือเครือข่ายมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว (แต่ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่กำหนดโดยองค์ประกอบต่างกันเท่านั้น) เครือข่ายไม่ค่อยดำเนินการในรูปแบบใหม่หรือในณุปแบบที่เป็นนวัตกรรมอย่างสิ้นเชิง แต่การเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้นจะนำไปสู่ ​​'ความแปรปรวนแบบใหม่' บน 'ธีมเก่า' เนื่องจาก 'ระบบระเบียบ' ของเครือข่ายมักจะสะท้อนถึง 'ประเด็นหรือรายการที่จะต้องจัดลำดับ' ซึ่งมีอยู่อย่างกระจัดกระจาย จึงเห็นรูปแบบต่างๆ และกฎระเบียบทั้งหลายในความสัมพันธ์ของเครือข่าย รูปแบบการจัดลำดับ—ซึ่งสามารถกำหนดแนวคิดได้ว่าเป็นกรอบความคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับประสิทธิภาพในอดีตของความสัมพันธ์เครือข่ายนั้น 'ได้รับทันที' และทำให้เสถียรในการจัดเตรียมเครือข่ายที่กำหนด ตามที่วัตมอร์และธอร์น (Whatmore and Thorne 1997) กล่าวไว้ เครือข่ายดำเนินการ 'รูปแบบการจัดลำดับ' หลายแบบ ซึ่งมีอิทธิพลต่อวิธีการลงทะเบียนนักแสดงและการเชื่อมโยงกับผู้อื่นอย่างไร

 

แนวคิด "ประเด็นหรือรายการที่จะต้องจัดลำดับ" ที่ใช้ในทฤษฎีเครือข่ายองค์กรผู้มีบทบาท อาจเป็นวิธีหนึ่งในการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างห่วงโซ่สินค้ากับธรรมชาติ-วัฒนธรรมท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีเครือข่ายองค์กรผู้มีบทบาทมีแนวโน้มที่จะแสดงให้เห็นถึงกระบวนการจัดลำดับ และสร้างความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ-วัฒนธรรมเฉพาะแห่งเฉพาะที่ที่ค่อนข้างเรียบง่าย ตัวอย่างเช่น หลังจากเปิดเผยความซับซ้อนทางสังคมและธรรมชาติจำนวนมากในห่วงโซ่สินค้าอาหาร วัตมอร์และธอร์น (Whatmore and Thorne 1997) ระบุว่ามีเพียงสองรูปแบบประเด็นหรือรายการที่จะต้องจัดลำดับในภาคการผลิตอาหาร โดยรูปแบบหนึ่งที่เป็นการจัดเรียงวัตถุตามเหตุผลของ 'องค์กร' และอีกรูปแบบหนึ่งเป็นการเน้นย้ำ 'การเชื่อมโยง' เชิงพื้นที่ขององค์กรและทรัพยากร เนื่องจากโครงข่ายการผลิตอาหารมีรูปร่างและขนาดที่หลากหลาย อย่างไรก็ดี การจำแนกประเภทสองดังกล่าวนี้ ดูจะจำกัดเกินไป

 

ทฤษฎีว่าด้วยระเบียบแบบแผน

 

ทฤษฎีว่าด้วยระเบียบแบบแผนเป็นพันธมิตรอย่างใกล้ชิดกับทฤษฎีโครงข่ายองค์กรที่เป็นตัวการ เป็นแนวทางเชิงทฤษฎีอีกวิธีหนึ่งที่กำลังทวีร้อนแรงมากยิ่งขึ้นในการศึกษาด้านอาหารเกษตรของทฤษฎีว่าด้วยระเบียบแบบแผน ทฤษฎีนี้เกิดขึ้นจากการสันนิษฐานว่ารูปแบบการประสานงานใดๆ ในชีวิตทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม (เช่น ที่มีอยู่ในห่วงโซ่และเครือข่าย) จำเป็นต้องมีข้อตกลงบางอย่างระหว่างผู้เข้าร่วม ข้อตกลงดังกล่าวก่อให้เกิดการรับรู้ร่วมกันเกี่ยวกับบริบทเชิงโครงสร้าง สตอร์เปอร์และซาไลซ์ (Storper and Salais 1997) อธิบายการรับรู้เช่น

 

ชุดจุดอ้างอิงทั้งหมดที่นอกเหนือไปจากตัวการในฐานะปัจเจก แต่ที่พวกเขายังคงสร้างและทำความเข้าใจต่อการกระทำของพวกเขา จุดอ้างอิงที่ใช้เหล่านี้สำหรับการประเมินสถานการณ์และการประสานงานกับผู้ดำเนินการอื่น ๆ ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยพื้นฐานโดยข้อตกลงร่วมกันระหว่างบุคคล . . . อนุสัญญาคล้ายกับ 'สมมติฐาน' ซึ่งกำหนดขึ้นโดยบุคคลที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำของพวกเขากับการกระทำของผู้ที่พวกเขาต้องพึ่งพาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เมื่อปฏิสัมพันธ์เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน และเมื่อการดำเนินการบางอย่างได้รับการพิสูจน์ว่าประสบความสำเร็จ สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นจะถูกรวมเข้าเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติเป็นประจำ จากนั้นเราก็มักจะลืมลักษณะสมมุติฐานที่กำหนดไว้แต่แรก อนุสัญญาจึงกลายเป็นส่วนใกล้ชิดของประวัติศาสตร์ที่รวมอยู่ในพฤติกรรม

 

สตอร์เปอร์และซาไลซ์ เน้นว่าจุดอ้างอิงไม่ได้ถูกกำหนดให้กับผู้เป็นตัวการโดยระเบียบทางสังคมที่ครอบคลุมทุกอย่าง (เช่นในเศรษฐศาสตร์การเมือง); ค่อนข้างจะโผล่ออกมาผ่าน 'การประสานงานของสถานการณ์และการแก้ไขอย่างต่อเนื่องของการตีความที่ความแตกต่างของในบริบทใหม่หรือบริบทของการดำเนินการ ความพยายามที่ประสานงานกันก่อให้เกิดอนุสัญญา และถูกเรียกว่า "แบบปฏิบัติ กิจวัตร ข้อตกลง และรูปแบบความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการและความสัมพันธ์เชิงสถาบัน ซึ่งผูกมัดการกระทำร่วมกันผ่านความคาดหวังร่วมกัน" (Salais and Storper 1992)

 

กิจกรรมการผลิตอาหารต่างๆ จะก่อให้เกิดอนุสัญญาเฉพาะเมื่อผู้เข้าร่วมประสานพฤติกรรมของพวกเขาจนบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการทางเศรษฐกิจที่เหมาะสมที่สุด เห็นได้ชัดว่าข้อตกลงดังกล่าวสามารถครอบคลุมกระบวนการและเหตุการณ์ไม่สิ้นสุด จำนวนเท่าใดก็ได้ ดังนั้น จึงอาจคาดหวังว่าการยอมรับจนทำให้เกิดเป็นระเบียบแบบแผน จะมีหลายรูปแบบและหลายขนาด อย่างไรก็ตาม การศึกษาเชิงประจักษ์โดยนักทฤษฎีการอนุสัญญามักจะทิ้งประเภทของการประชุมในจำนวนที่จำกัด ตัวอย่างเช่น เชเวโนต์ มูดี และลาฟาอี (Thevenot, Moody and Lafaye 2000) ระบุว่าสิ่งต่อไปนี้มีความสำคัญต่อการกำหนดรูปแบบการประเมินกิจกรรมการผลิตและกิจกรรมอื่นๆ : 'ผลดำเนินการของตลาด' เป็นข้อตกลงจะขึ้นอยู่กับมูลค่าทางเศรษฐกิจของสินค้าและบริการในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ; 'ประสิทธิภาพของอุตสาหกรรม' ที่จะนำไปสู่การประสานพฤติกรรมที่สอดคล้องกับการวางแผนระยะยาว การเติบโต การลงทุน และการจัดหาโครงสร้างพื้นฐาน 'ความเท่าเทียมกันของพลเมือง' สวัสดิการโดยรวมของประชาชนทุกคนเป็นมาตรฐานการประเมินพฤติกรรม 'คุณค่าภายในประเทศ' ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ มีเหตุผลโดยอ้างอิงถึงการปลูกฝังและความไว้วางใจในท้องถิ่น 'แรงบันดาลใจ' หมายถึงการประเมินตามแรงผลักดัน ความรู้สึกนึกคิด หรือความคิดสร้างสรรค์ 'การรู้จัก' หรือ 'ความรู้สาธารณะ' ซึ่งหมายถึงการยอมรับ ความคิดเห็น และสถานะทางสังคมโดยทั่วไป และสุดท้าย 'เหตุผลสีเขียว' หรือ 'สิ่งแวดล้อม' เหตุผล เป็นการพิจารณาความดีโดยรวมของส่วนรวมที่จะขึ้นอยู่กับความดีที่เกิดแก่สิ่งแวดล้อมโดยทั่วไป เชเวโนต์ มูดี และลาฟาอี (Thevenot, Moody and Lafaye 2000) ยืนยันว่าอนุสัญญาประเภทนี้มีอยู่ในรูปแบบต่างๆ กันในบริบททางสังคมทั้งหมด ดังนั้นพวกเขาจึงแนะนำว่าการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ทางสังคมควรตรวจสอบวิธีที่การก่อตัวทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมารวมกันเป็นการผสมผสานที่แตกต่างกัน

 

การนำมุมมองนี้ไปประยุกต์ใช้กับภาคส่วนอาหาร จำเป็นต้องพิจารณาว่าวัฒนธรรมอาหารที่แตกต่างกันขับเคลื่อนประเภทการประชุมเฉพาะอย่างไร และรูปแบบเหล่านี้ถูกถักทอเข้าด้วยกันเป็นกรอบวัฒนธรรมที่สอดคล้องกันอย่างไร รวมถึงต้องพิจารณาด้วยว่าความสัมพันธ์ด้านการบริโภคและการผลิตสอดคล้องกันอย่างไรในวัฒนธรรมอาหารดังกล่าว จากนั้นจึงจะสามารถเริ่มพิจารณาถึงการผสมผสานของอนุสัญญาที่สนับสนุนห่วงโซ่หรือเครือข่ายสินค้า และความสัมพันธ์เหล่านี้บอกเป็นนัยสำหรับการก่อตัวธรรมชาติ วัฒนธรรมของภูมิภาคสตอร์เปอร์และซาไลซ์ ตัวอย่างเช่น ห่วงโซ่หรือเครือข่ายที่รูปแบบการสั่งซื้อสะท้อนถึงอนุสัญญาของพลเมืองและภายในประเทศจะจัดวัสดุที่มีการเชื่อมต่อเชิงพื้นที่ที่ค่อนข้างแตกต่างกัน เมื่อเทียบกับเกณฑ์ทางอุตสาหกรรม

 

แม้ว่าจะมีประโยชน์อย่างมากในการเอาชนะการคิดแบบแบ่งสองขั้วตรงข้ามที่อธิบายลักษณะส่วนใหญ่เกี่ยวกับอาหารเกษตร แต่ทฤษฎีอนุสัญญายังไม่เพียงพอที่จะจับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของภาคอาหารร่วมสมัย อันที่จริง ทฤษฎีนี้เพิกเฉยต่อสิ่งสำคัญสองประการ กล่าวคือ ประการแรก บทบาทของธรรมชาติในระบบนิเวศน์อาหารเกษตรที่เกิดในท้องถิ่นมากขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับโอกาสและอุปสรรคต่อการพัฒนาระบบนิเวศเหล่านั้นอย่างไร ประการที่สอง ความจำเป็นในระบบนิเวศอาหารเกษตรของท้องถิ่นเพื่อระดมทรัพยากร เพื่อนำมาใช้มากกว่าทรัพยากรในท้องถิ่น เพื่อที่จะเป็นและคงไว้ซึ่งความยั่งยืน ระบบนิเวศดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนและดึงการสนับสนุนจากระบบบริหารจัดการหลายระดับ ที่จะช่วยให้ลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นปกป้องคุ้มครองจากการแทรกแทรงของระดับโลกได้

 

ระเบียบแบบแผนและโลกของการผลิตอาหารเกษตร

 

การจัดกลุ่มของอนุสัญญา แบบปฏิบัติ และสถาบัน ในโลกของการผลิตที่แตกต่างกันได้รับการกล่าวถึงอย่างชัดเจนในงานเขียนของ สตอร์เปอร์ (Storper 1997; Storper and Salais 1997) สตอร์เปอร์ มีความสนใจในรูปแบบใหม่ของการทำให้เป็นภูมิภาคและการสร้างความเป็นท้องถิ่นเฉพาะในเศรษฐกิจโลก เขาให้เหตุผล ว่าความเชื่อมโยงเชิงพื้นที่ของบริษัทและอุตสาหกรรม สามารถอธิบายได้ไม่เพียงแค่ในแง่ของความพร้อมของวัตถุดิบและอุปทานของแรงงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในแง่ของ 'ความรู้' นั่นคือ  'เป็นประเพณีที่ไม่ได้มีการตราเป็นกฎระเบียบเข้าไว้' และเป็นวิถคสร้างสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นต่องานนั้นๆ ความรู้นี้มีอยู่ในธรรมเนียมปฏิบัติ ลักษณะนิสัย ภาระกิจที่ทำเป็นกิจวัตร และแนวทางปฏิบัติอื่นๆ ที่เป็นลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น ประกอบด้วย 'บรรยากาศอุตสาหกรรม' ของภูมิภาคและท้องถิ่นที่มีอยู่เฉพาะแห่งไม่ต่อเนื่องกัน และให้ข้อได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจอุตสาหกรรมระหว่างภูมิภาคและท้องถิ่นเหล่านี้ ความไม่สม่ำเสมอของกิจกรรมเศรษฐกิจสะท้อนถึงภูมิศาสตร์ของความรู้ นั่นคือ ช่องว่างที่หลากหลายของรูปแบบความรู้ที่ถูกจัดไว้ให้มีรูปแบบและความรู้ที่ไม่ได้จัดระบบระเบียบภูมิภาค แต่ตรึงอยู่ในท้องถิ่นฉพาะ

 

สตอร์เปอร์ พัฒนาการวิเคราะห์ของเขาโดยระบุการแสดงออกเชิงสถาบันของความรู้เอาไว้สองรูปแบบหลักด้านหนึ่ง มีความเป็นมาตรฐานและบรรทัดฐานระบบระเบียบที่เน้นหลักฐานถูกกำหนดเอาไว้ตามข้อตกลงร่วมกันในบริบทที่หลากหลาย การแสดงออกเชิงสถาบันนี้ ขั้นตอนมาตรฐานมีการกำหนดวิธีการดำเนินกิจกรรมที่มีประสิทธิผล นั่นเองจึงทำให้มีพื้นที่เพียงเล็กน้อยสำหรับการคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม และไม่ค่อยมีความเป็นอิสระที่จะปรับให้เข้ากับท้องถิ่น ความรู้ที่ถูกจัดระบบระเบียบมาแล้วประเภทนี้มีส่วนสนับสนุนรูปแบบเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์เป็นอย่างมาก อีกทางหนึ่ง มีอนุสัญญาที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ในระดับท้องถิ่น เฉพาะบุคคล และแปลกประหลาด ในที่แห่งนี้ ความรู้ติดตัว (tacit knowledge) และผู้ประกอบการรายย่อยมีอยู่ก่อนและเข้ามาก่อน แม้ว่าผลกระทบของสิ่งเหล่านี้จะถูกจำกัดด้วยการไม่มีลักษณะการประหยัดจากขนาด (scale economies) ความยากลำบากจะจัดระบบระเบียบความรู้เหล่านี้ให้เป็นลักษณะเฉพาะทางท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องได้

 

ดังนั้น การแสดงออกเชิงสถาบันสองรูปแบบนี้จึงถูกแบ่งเขต: ออกเป็น 2 ส่วน ความรู้ที่มีอยู่อย่างแพร่หลายและเทคนิคการผลิต อีกอันหนึ่งฝังตรึงอยู่ในชุดแบบปฏิบัติในการผลิตที่แตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม สตอร์เปอร์ยังคงยืนยันว่าความแตกต่างของความเป็นมาตรฐานกับความมีลักษณะเฉพาะนี้ ถูกตัดข้ามส่วนกัน โดยการวางแนวตลาดของกิจกรรมการผลิตที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ แง่หนึ่งจึงพบสินค้าที่มุ่งเป้าไปที่ตลาดมวลชน สินค้าเหล่านี้มีคุณสมบัติทั่วไปและสามารถระบุได้ง่าย (เช่น ผ่านกลยุทธ์การสร้างตราสินค้า) ในทางกลับกัน ก็จะพบสินค้าที่ผลิตขึ้นสำหรับตลาดเฉพาะ สินค้าเหล่านี้มีคุณสมบัติที่ถูกกำหนดขึ้นมาเองและมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยกลุ่มผู้บริโภคเฉพาะเท่านั้น

 

ด้วยการนำความแตกต่างทั้งสองนี้มารวมกัน สตอร์เปอร์ (Storper, 1997) ระบุว่าโลกของการผลิตมีประสิทธิผลแตกต่างกัน ประกอบด้วย โลกส่วนที่หนึ่งเป็นโลกอุตสาหกรรม หรือเรียกว่า industrial world ที่ผสมผสานกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานกับการเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ทั่วไปสำหรับตลาดมวลชน (เราอาจนึกถึงแบรนด์ที่มีชื่อเสียงเช่น Coca-Cola และ McDonald's) โลกส่วนที่สอง มีโลกแห่งทรัพยากรทางปัญญาที่กระบวนการผลิตเฉพาะทางสร้างสินค้าทั่วไปสำหรับตลาดมวลชน (ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการดัดแปลงพันธุกรรมของผลิตภัณฑ์อาหารที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น ถั่วเหลือง) โลกส่วนที่สาม โลกการตลาด หรือ market world ซึ่งนำเทคโนโลยีการผลิตที่ได้มาตรฐานมาใช้กับตลาดผู้บริโภคโดยเฉพาะ (เราอาจเรียกสิ่งนี้ว่า 'การแยกส่วน' ของตลาดอาหาร เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีความแตกต่างกันมากขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีที่ได้มาตรฐาน เช่น การปรุงอาหารแบบแช่เย็น) . และโลกส่วนที่สี่ โลกระหว่างบุคคลของการผลิตเฉพาะทางและผลิตภัณฑ์เฉพาะ หรือ (ชัดเจนว่านี่หมายถึงแนวทางปฏิบัติในการผลิตและการบริโภคอาหารที่มีการแปลเป็นภาษาท้องถิ่นและแบบพิเศษ เช่น ผู้ที่ส่งเสริมโดย slow food)

 

โลกทั้งสี่นี้อธิบายถึงกรอบการทำงานที่แตกต่างกันสำหรับการดำเนินการทางเศรษฐกิจ ในแต่ละงาน เราพบว่ามีการรวมกลุ่มของอนุสัญญาไว้ด้วยกันเป็นกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานและเฉพาะอย่างตรงตามความต้องการของตลาดที่แตกต่างกัน ดังที่ เซไลซ์และสตอร์เปอร์ (Salais and Storper 1992) กล่าวไว้ว่า 'โลกแต่ละส่วนต้องพัฒนาแบบแผนภายในของตนเองในการใช้ทรัพยากร อย่างสอดคล้องกับผู้จัดหาอุปทาน ตลาดปัจจัย และโครงสร้างภายใน' ดังนั้น อีกด้านหนึ่ง ในโลกอุตสาหกรรมของการผลิตทั่วไปที่ได้มาตรฐาน คาดว่าอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการค้า ประสิทธิภาพ และการสร้างแบรนด์ จะมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ ขณะที่ในอีกทางหนึ่ง โลกแห่งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของการผลิตเฉพาะ คาดว่าอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับความไว้วางใจ การเป็นที่รู้จักในท้องถิ่น และการฝังตัวเชิงพื้นที่ จะมีความสำคัญมากกว่า

 

โลกของการผลิตอาหารเกษตร

 

เมื่อนำเสนอในลักษณะนี้ เป็นที่ชัดเจนว่าทฤษฎีโลกแห่งการผลิตของสตอร์เปอร์ ช่วยให้เราเข้าใจถึงแนวโน้มล่าสุดในภาคเกษตร-อาหาร ซึ่งเกิดการแตกแยกของตลาดมวลชน (เช่น market world ที่กำลังเติบโต) ร่วมกับการฟื้นคืนชีพของภาคส่วนเฉพาะ (เช่น โลกความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่กำลังเติบโต) อย่างไรก็ตาม เราต้องการสร้างแนวทางของสตอร์เปอร์ ในที่นี้ โดยการเสนอแนะนำว่าโลกของอาหารปัจจุบันนี้นั้น ประกอบด้วยภาคอาหารร่วมสมัยที่ไม่เพียงทำงานตามตรรกะทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นไปตามวัฒนธรรม ระบบนิเวศ และการเมือง สถาบัน นั่นคือ ตามที่เน้นย้ำเอาไว้ข้างต้น การฝังรากการผลิตอาหารในโลกใหม่เกิดขึ้นเนื่องจากปัญหาทางนิเวศวิทยาของโลกอุตสาหกรรม และการเกิดขึ้นของวัฒนธรรมการบริโภคแบบใหม่ที่เน้นไปที่อาหารที่มีต้นกำเนิดและความโดดเด่นในท้องถิ่น กล่าวโดยสรุปคือ อนุสัญญาที่ประกอบขึ้นในโลกใหม่ของเศรษฐกิจครอบอาหาร วัฒนธรรม การเมือง และนิเวศวิทยา ในอนุสัญญาประเภทต่างๆ

 

ดังนั้น ในกระบวนการผลิตของโลกอุตสาหกรรมและวัฒนธรรมการบริโภคจึงเป็นมาตรฐาน (บางทีแมคโดนัลด์อาจเป็นบรรทัดฐาน) ขณะที่ปัจจัยทางนิเวศวิทยานั้น สามารถสร้างการ 'ทดแทน' และก่อให้เกิดความ 'เหมาะสม' ได้ในโลกของทรัพยากรทางปัญญา มีวิถีการพัฒนาหลายอย่างที่เป็นไปได้ แต่ในปัจจุบันแนวทางที่โดดเด่นดูเหมือนจะเป็นการดิ้นรนเพื่อให้แนวโน้มของโลกอุตสาหกรรมรุนแรงขึ้น เช่น การจัดสรรและทดแทนอีกรอบในรูปแบบของการดัดแปลงพันธุกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ ในกระบวนการผลิตของโลกการตลาด ยังคงเป็นมาตรฐาน แต่วัฒนธรรมการบริโภคกำลังกระจัดกระจายและมีความแตกต่างกันมากขึ้น เพื่อให้ช่องตลาดที่แตกต่างกันจำนวนมากมีอยู่ในขณะนี้ สุดท้าย ในโลกความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จะพบว่ากระบวนการผลิต วัฒนธรรมการบริโภค และนิเวศวิทยาในภูมิภาค มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิด ประกอบกันขึ้นเป็นภาพโมเสคของ 'โลกขนาดเล็ก' ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งแนวทางการบริโภคอาหารมีความอ่อนไหวต่อระบบนิเวศของการผลิต ไม่ว่าจะเป็นอาหารทั่วไปหรืออาหารออร์แกนิก

 

อาจมีคำถามว่าโลกของการผลิตของ สตอร์เปอร์ เชื่อมโยงกับภูมิศาสตร์ใหม่ของอาหารอย่างไร ประการแรก การระบุพื้นที่ของโลกอุตสาหกรรมเป็นเรื่องง่าย เหล่านี้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมแบบเข้มข้น และผลผลิตที่เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับเศรษฐกิจโลก (เช่น เขตมิดเวสต์ของสหรัฐอเมริกา ย่านอีสต์แองเกลียในสหราชอาณาจักร หรือในเขตที่ราบลุ่มปารีสของฝรั่งเศส) อีกทั้งยังประกอบด้วยพื้นที่ของการผลิตอาหารที่ได้มาตรฐานและกระบวนการอาหารทางอุตสาหกรรม (เช่นในกรณีเช่นในเดนมาร์ก) ประการที่สอง พื้นที่ที่ประกอบขึ้นเป็นโลกแห่งทรัพยากรทางปัญญาสามารถพบเห็นได้ในห้องปฏิบัติการและอุทยานวิทยาศาสตร์ที่กำลังเดินหน้าการปฏิวัติพันธุวิศวกรรมเกษตร (เช่น ห้องปฏิบัติการของมอนซานโตในมิสซูรี เป็นต้น) ผลของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าวถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางมากขึ้นในรูปแบบของการเกษตรดัดแปลงพันธุกรรม (ที่มิดเวสต์ของอเมริกาเป็นแบบอย่างที่สำคัญ) ประการที่สาม โลกการตลาดสามารถมองเห็นได้ในการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานสำหรับช่องทางการตลาดที่หลากหลาย ภูมิภาคเกษตรที่เน้นการเพิ่มผลผลิตต่อหน่วย รวมอยู่ที่นี่พร้อมกับพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอาหารใหม่ๆ เช่น อาหารปรุงสำเร็จแบบแช่เย็น ประการที่สี่ มาถึงพื้นที่ระหว่างบุคคลของอาหารท้องถิ่น ระดับภูมิภาค อาหารทั่วไป และออร์แกนิก ที่ให้ส่วนที่เรียกว่า 'อาหารทางเลือก' พื้นที่ทางเลือกเหล่านี้ ตามที่กล่าวย้ำเอาไว้ข้างต้น ส่วนใหญ่พบได้ในสถานที่เหล่านั้น ซึ่งหลีกหนีจากความเข้มงวดของอุตสาหกรรมโดยสิ้นเชิง และให้บริการมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแบ่งเขตพื้นที่อาหารให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ที่นี่วัฒนธรรมการผลิตและการบริโภคที่หลากหลายช่วยเสริมสร้างสภาพทางนิเวศวิทยาที่หลากหลายซึ่งก่อให้เกิดอาหารออร์แกนิกและอาหารทั่วไป

 

โลกที่มีประสิทธิผลทั้งสี่ส่วนช่วยทำให้เกิดความเข้าใจภูมิศาสตร์ใหม่ของอาหาร แต่ก็ไม่ควรคาดหวังว่าจะสามารถสร้างแผนที่โลกเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายไปยังพื้นที่ที่ไม่ต่อเนื่องกัน อันที่จริง มีแนวโน้มว่าประเทศ ภูมิภาค และท้องถิ่นที่ต่างกันจะรวมเอาแง่มุมที่แตกต่างกันของโลกเหล่านี้ ดังนั้นในขณะที่บางพื้นที่อาจถูกครอบงำอย่างชัดเจนโดย โลกอุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตจำนวนมาก และส่วนอื่นๆ จะถูกครอบงำอย่างชัดเจนโดยของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ส่วนใหญ่จะรวมคุณลักษณะของโลกที่แตกต่างกัน ดังนั้น ในบางสถานที่อาจพบว่าอุตสาหกรรมตั้งอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับท้องถิ่น ในพื้นที่อื่นๆ อาจพบบริษัทการตลาดที่มีความหลากหลายมากขึ้นนั่งเคียงข้างกับบริษัททางปัญญาที่มีเทคโนโลยีสูง โลกแห่งอาหารที่ไม่ต่อเนื่องกันในเชิงพื้นที่อาจซับซ้อนกว่าที่ทฤษฎีของสตอร์เปอร์แนะนำ

 

บทส่งท้าย

 

หากพยายามสังเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกต่างๆ ที่ได้มาจากทฤษฎีทั้งหมดที่กล่าวมา จะพบว่า 1) มีความจำเป็นจะต้องพิจารณา 'เจตจำนงที่จะมีอำนาจ' ที่ทำงานอย่างหนักในห่วงโซ่อาหารอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายขอบเขตและแทนที่ในท้องถิ่น สภาพทางนิเวศวิทยา และวัฒนธรรม 2) ห่วงโซ่อุตสาหกรรมเหล่านี้มีขอบเขตบางอย่างที่เป็นไปตามกระบวนการทางชีววิทยา จึงมั่นใจได้ว่ายังยึดอยู่กับธรรมชาติของการเป็น 'ลูกผสม' 3) ความซับซ้อนและผสมกันของห่วงโซ่อาหาร ทำให้แน่ใจได้ว่า พวกมันทำงานตามตรรกะที่แตกต่างกัน ซึ่งบางส่วนเน้นประสิทธิภาพหรือต้นทุนที่ต้องยอมสูญเสียความเป็นธรรมชาติและวัฒนธรรมไป ขณะที่ส่วนอื่นๆ ก็จะทำงานตามเงื่อนไขที่เน้นความเชื่อมโยงในท้องถิ่น ความไว้วางใจ ความรู้ทางศิลปะ และความหลากหลายทางนิเวศวิทยา 4) 'ตรรกะ' ที่แตกต่างกันเหล่านี้ ก่อให้เกิดโลกแห่งอาหารที่ต่างกัน โดยมีข้อตกลง แนวปฏิบัติ และสถาบันต่างๆ ดำเนินการร่วมกันเพื่อรักษาวิถีการพัฒนาโดยเฉพาะ และ 5) โลกแห่งอาหารเหล่านี้มีแสดงออกเชิงพื้นที่ เพื่อให้บางพื้นที่ได้พบว่า ตนเองอยู่ภายใต้ตรรกะการเป็นอุตสาหกรรม การมีมาตรฐาน และการผลิตที่เน้นประสิทธิภาพ ขณะที่พื้นที่ส่วนอื่นๆ อาจพบว่า ตนเองอยู่ภายใต้ตรรกะของความเป็นเจ้าของท้องถิ่น มีความโดดเด่นทางวัฒนธรรม และมีความหลากหลายทางนิเวศวิทยา

 

เมื่อพิจารณาประเด็นทั้งหมดเหล่านี้แล้ว สามารถสรุปได้ว่า ภูมิศาสตร์ทางเลือกของอาหารได้รับการสนับสนุนโดยข้อตกลง  แนวทางปฏิบัติ และสถาบันต่างๆ ที่แตกต่างกันไปตามตรรกะต่างๆ ของการผลิตและการบริโภคที่กล่าวไว้ข้างต้น กล่าวโดยสรุปแล้วคาดว่าโลกของอาหารที่แตกต่างกัน ประกอบด้วย ส่วนผสมของข้อตกลงและรูปแบบองค์กรที่แตกต่างกัน  อย่างไรก็ตาม เราได้เลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่โลกเฉพาะภายในภาคอาหารที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคกรณีศึกษาของเรา ดังนั้น ในทัสคานี เราคาดว่าจะพบกับโลกระหว่างบุคคลซึ่งมีการผลิตผลิตภัณฑ์ฝังตัวในท้องถิ่นที่หลากหลายสำหรับตลาดที่ค่อนข้างกำหนดเอง เราคาดหวังให้โลกนี้ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันระดับภูมิภาคที่เข้มแข็งและให้การสนับสนุน ในเวลส์ เราคาดหวังว่าจะได้พบกับโลกอุตสาหกรรม ที่กำลังยุ่งอยู่กับการพยายามสร้างตัวเองใหม่ให้เป็นโลกที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ที่มีความหลากหลาย โดดเด่นทางด้านนิเวศวิทยาและวัฒนธรรมมากขึ้น ในแคลิฟอร์เนีย เราคาดหวังว่าจะได้พบกับโลกอุตสาหกรรม ที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่โลกอื่นอย่างไม่ลดละสองโลกในเวลาเดียวกัน: Market World ของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่หลากหลาย และโลกที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภัณฑ์เฉพาะของท้องถิ่นและที่ฝังตรึงอยู่ในระบบนิเวศ กระนั้น สมมติฐานเริ่มต้นเหล่านี้อาจมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง อาจพบความเป็นจริงที่ปะปนและซับซ้อนกว่ามากในพื้นที่กรณีศึกษาของเรามากกว่าที่ความคิดเริ่มต้นของเราแนะนำ อย่างไรก็ตาม เราเพิ่งระบุสมมติฐานการทำงานของเราที่นี่ และอธิบายว่าสิ่งเหล่านี้มาจากมุมมองทางสังคมศาสตร์ในปัจจุบันเกี่ยวกับภาคอาหารได้อย่างไร

 

บรรณานุกรม

 

Capatti, A. (1999) ‘The Traces Left by Time, Slow 17: pp.46.

Fernandez-Armesto (2001) Fernandez-Armesto, F. (2001) Civilizations: Culture, Ambition, and the Transformation of Nature. New York: Free Press.

Flandrin, J. L. (1999) ‘From Dietetics to Gastronomy: The Liberation of the Gourmet, in J. L. Flandrin and M. Montanari (eds.), pp.418–32, Food: A Culinary History from Antiquity to the Present. New York: Columbia University Press.

Friedland, W. H. (1984) ‘Commodity System Analysis: An Approach to the Sociology of Agriculture, in H. Schwartzweller (ed.), pp.221-35, Research in Rural Sociology and Development. Greenwich, Conn: JAI.

Goodman. D. (1999) ‘Agro-food Studies in the Age of Ecology’: Nature, Corporeality, BioPolitics, Sociologia Ruralis. 39(1): pp.1738.

Levenstein, H. (1999) ‘The Perils of Abundance: Food, Health, and Morality in Americas Food, in J. P. Flandrin and M. Montarari (eds.), Food: A Cultural History. New York: Columbia University Press.

Montanari, M. (1996) The Culture of Food. Oxford: Blackwell.

Page, B. (1996) ‘Across the Great Divide: Agriculture and Industrial Geography, Economic Geography. 72(4): pp.37697.

Storper, M. (1997). The Regional World: Territorial Development in a Global Economy. London: Guilford.

Storper M. and Salais, R. (1997) The Worlds of Production: The Action Frameworks of the Economy. Cambridge, Mass.: Harvard University Press.

Wilkinson, J. (1997) ‘A New Paradigm for Economic Analysis?, Economy and Society. 26(3): pp.305–39.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น