หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

คาร์สต์รูปหอคอย ณ อ่าวพังงา

 

คาร์สต์รูปหอคอย ณ อ่าวพังงา

พัฒนา ราชวงศ์ สมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย

ผลงานศิลปะที่สวยงามและโดดเด่นที่สุดบางส่วนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แสดงให้เห็นถึงภูมิทัศน์ที่ดูราวกับมีมนต์ขลังของเสาหินอันงดงามที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือพื้นหุบเขา (alluvial valley) และทำให้ลักษณะที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งอาจปรากฏในงานศิลปะที่บ่งบอกถึงความประเสริฐของธรรมชาติและสภาวะแห่งความกลมกลืนตามอุดมคติระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ภูมิทัศน์ดังกล่าวเรียกว่าสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอย (Tower Karst) และด้วยความสวยงามที่โดดเด่น จึงทำหน้าที่เป็นฉากหลังในภาพยนตร์นานาชาติยอดนิยม อย่างเช่น เจมส์บอนด์ ตอน Man with a Golden Gun และต่อมาอีกไม่นานก็เป็นภาพยนต์ดัง เรื่อง “The Beach” ก็มาถ่ายทำที่นี่ รวมถึงซีรีย์ทีวี Survivor ตอนล่าสุดก็ยังต้องมาจัดทำขึ้นที่หมู่คาร์สต์รูปหอคอยในประเทศไทยด้วย บทความบทนี้ที่เรียบเรียงจากงานของศาสตราจารย์มาร์คุส จิลเลสพีร์ ภาควิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยแซม ฮูสตัน สเตต เรื่อง Tower Karst of Peninsular Thailand จึงจะได้กล่าวถึงจุดกำเนิดของคาร์สต์รูปหอคอยให้เห็นแบบภาพกว้างๆ โดยเน้นเฉพาะส่วนอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันตกของประเทศไทยใกล้ๆ อ่าวพังงาแถบทะเลอันดามัน

 

ภาพที่ 1 ภาพเขียนจีนแสดงให้เห็นถึงมนต์ขลังและความสวยงามของคาร์สต์รูปหอคอย

Photo credit – https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/Gillespie.htm

 

สัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยในประเทศไทยมีลักษณะเช่นเดียวกับที่พบในที่อื่นๆ ในเขตร้อน แต่ไม่เหมือนกับภูมิประเทศที่พบในทวีปอเมริกาเหนือหรือทวีปยุโรป สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้พบเห็นความยิ่งใหญ่ของมันแล้ว จะเกิดความประทับใจไม่รู้ลืม การได้เรียนรู้ถึงต้นกำเนิดของภูมิทัศน์ที่สวยงามและน่าหลงไหลเช่นนี้ จะช่วยเพิ่มความเคารพอย่างซาบซึ้งต่อธรรมชาติที่สวยงามและได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนานของบุคคลให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง

 

ภูมิประเทศใดๆ ที่มีลักษณะส่วนใหญ่มาจากการสลายตัวของหินปูนเราจะเรียกรวมๆ ว่า ภูมิทัศน์แบบคาร์สต์ โดยหินปูนเป็นหินตะกอน (sedimentary rock) ชนิดหนึ่ง ที่ก่อตัวขึ้นโดยกระบวนการทางเคมีแบบนิ่งๆ ในมหาสมุทร ซึ่งส่งผลให้เกิดการตกตะกอนของแคลเซียมคาร์บอเนต ในช่วงเวลาหลายพันถึงล้านปีแคลเซียมคาร์บอเนตสามารถสะสมเป็นชั้นหินปูนหนาหลายพันฟุตได้ เมื่อแนวหินปูนใต้มหาสมุทรนี้ถูกยกด้วยแรงทางธรณีวิทยาขึ้นสูงเหนือระดับน้ำทะเล น้ำใต้ดินจะซึมผ่านและละลายออกอย่างช้าๆ ทำให้เกิดรูปลักษณ์ต่างๆ ปรากฏขึ้นมาอย่างหลากหลาย ดังนั้น หากมีน้ำอยู่ในกระบวนการละลายหินปูน ภูมิประเทศแบบคาร์สต์ก็จะสามารถพัฒนาได้ในเกือบทุกภูมิภาคอากาศ รวมถึงพื้นที่อาร์กติกและเขตพื้นที่แห้งแล้งด้วย อย่างไรก็ตาม สัณฐานแบบคาร์สต์รูปลักษณ์ต่างๆ มักจะพัฒนาขึ้นในเขตอากาศอบอุ่นและเขตร้อน เนื่องจากเขตพื้นที่เหล่านี้จะมีปริมาณน้ำมากกว่าพื้นที่อื่นๆ

 

ภาพที่ 2 แผนที่แสดงอาณาบริเวณของภูมิประเทศแบบคาร์สต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Photo credit – http://ebookcentral.proquest.com/lib/unimelb/detail.action?docID=422592.

 

หินปูน คือ แคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งโดยทั่วไปมีสีขาว ในช่วงหลายล้านปีที่ผ่านมา โครงร่างจากการทับถมของซากสิ่งมีชีวิตในทะเลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับการตกตะกอนทางเคมีของแคลเซียมคาร์บอเนตที่มากขึ้นทำให้เกิดตะกอนหนา และในที่สุดความร้อนและความกดของน้ำหนักตัวเองจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชั้นตะกอนที่หนาหลายร้อยเมตรให้กลายเป็นหินปูน มีเหตุผลสำคัญทางธรณีวิทยา 4 ประการ ที่ช่วยอธิบายการเปลี่ยนแปลงชั้นตะกอนที่ชายฝั่งอันดามัน

 

1. ซุนดาเชลฟ์ที่ประกอบด้วยภาคใต้ของประเทศไทย คาบสมุทรมลายู สุมาตรา ชวา บาหลี และบอร์เนียว ทั้งหมดยังคงมีเสถียรภาพทางธรณีวิทยาบนแนวศูนย์สูตรมาหลายสิบล้านปี ขณะที่มวลทวีปอื่นๆ กำลังเคลื่อนตัวไปบนแผ่นเปลือกโลกเข้าสู่เขตภูมิอากาศต่างๆ โดยสัมพันธ์กับขั้วโลกทั้งสองฝั่ง เนื่องจากการไร้เสถียรภาพนี้ จึงทำให้เกิดป่าฝนเขตร้อนขึ้นในภูมิภาคนี้ระหว่างยุคเทอร์เชียรีซึ่งเป็นยุคท้ายสุดทางธรณีวิทยา

 

2. อีกเหตุผลหนึ่งสำหรับความเก่าแก่และความซับซ้อนของระบบนิเวศที่ไม่เหมือนใครที่ไหน คือสภาพภูมิอากาศไม่ได้รับผลกระทบจากยุคน้ำแข็งที่จะทำให้พืชพันธุ์ของยูเรเซียเปลี่ยนแปลงไปมาก ในช่วงเวลานั้นน้ำจืดในโลกส่วนใหญ่ถูกขังอยู่ในแอ่งน้ำแข็งอเมซอนและแม่น้ำแซอีร์ในแอฟริกา ถูกผึ่งให้แห้ง และพื้นที่ส่วนใหญ่กลายเป็นทุ่งหญ้าสะวันนาที่แห้งแล้งแทนที่จะเป็นป่าฝน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่าง เนื่องจากไม่ได้อยู่ที่ศูนย์กลางของมวลพื้นทวีป การมีเกาะหลายพันเกาะ และเป็นคาบสมุทรแคบๆ ล้อมรอบไปด้วยน้ำ จึงมีทั้งความชุ่มชื้นและความชื้นเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของป่าฝนเขตร้อน

 

3. ปัจจัยที่สามที่มีอิทธิพลต่อความหลากหลายทางชีวภาพที่ยิ่งใหญ่ของภูมิภาคนี้ ยังเป็นผลมาจากยุคน้ำแข็ง ในช่วงยุคไพลส์โตซีน ที่มีหลายครั้งที่ระดับน้ำทะเลต่ำกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ประมาณ 180 เมตร สิ่งนี้ส่งผลให้สะพานธรรมชาติข้ามซุนดาที่เชื่อมคาบสมุทรมาเลย์ด้วยน้ำตื้นๆ กับเกาะใหญ่อย่างบอร์เนียว สุมาตรา และชวา มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างสายพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการอย่างโดดเดี่ยว เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงได้รับความอุดมสมบูรณ์ทางชีวภาพที่ไม่มีใครเทียบได้ มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายร้อยชนิด นกมากกว่า 1.5 พันชนิด และสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมากกว่า 1 พันชนิด

 

4. ยังมีอีกปัจจัยที่น่าสนใจ ส่งผลต่อความหลากหลายของสายพันธุ์ในพื้นที่นี้ ขอบเขตทางชีวภาพที่แบ่งแยกกันระหว่างอนุภูมิภาคอินโดจีนและอนุภูมิภาคซุนดา บริเวณ “คอคอดกระ” ที่อยู่ทางเหนือของเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก ซึ่งอุทยานแห่งชาติเขาสกนี้เองที่วางตัวอยู่ในเขตการเปลี่ยนแปลงระหว่างสองอนุภูมิภาคอันกว้างใหญ่และอุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิตจากทั้งสองพื้นที่ ผลเช่นเดียวกันที่เราได้พบเห็นในพื้นที่ของอ่าวพังงา เพียงแต่ว่าน้อยกว่านั้นนิดหน่อย

 

การก่อตัวของเกาะแก่งที่น่าทึ่งซึ่งมองเห็นได้บนผืนน้ำอันเงียบสงบของอ่าวพังงา ทำให้เห็นความแตกต่างของพื้นที่มากกว่าลักษณะภูมิประเทศอื่นๆ การผุดขึ้นมาของหอคอยหินปูนขนาดใหญ่เหล่านี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของแนวปะการังโบราณที่ทอดยาวจากจีนแผ่นดินใหญ่พาดลงมาผ่านเวียดนาม ลาว ไทย และบอร์เนียวตอนเหนือ ด้วยแนวที่ทอดยาวลงมานี้และที่ได้ทราบกันดีว่ามีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นด้วย จึงเป็นที่เข้าใจได้ง่ายว่า อ่าวพังงาทั้งหมดเคยเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ (ความลึกของบริเวณกลางอ่าวที่จมลงอยู่ที่ 10 ถึง 15 เมตรเท่านั้น) ที่ปลายอ่าวแห่งนี้ล้อมรอบด้วยจังหวัดกระบี่ทางตอนใต้ และจังหวัดพังงาทางส่วนบน เราสามารถมองเห็นดินแดนหลักนั้นที่มีลักษณะเป็นหินปูนแบบเดียวกัน แตกต่างเพียงอย่างเดียว คือ การก่อตัวเหล่านั้นเรียกว่า "ภูเขา" และ “เกาะ" เท่านั้น ชุมชนปะการังมีชีวิตที่เคยรุ่งเรือง ณ บริเวณนี้เมื่อราว 225-280 ล้านปีก่อน พวกมันได้ร่วมกันก่อแนวปะการังที่ยาวกว่าแนวปะการังเกรต แบริเออร์ รีฟ ของทวีปออสเตรเลียถึงห้าเท่า การยกตัวขึ้นของเปลือกโลกบวกกับการกัดเซาะอย่างต่อเนื่องจากความผันผวของระดับน้ำทะเล และฝนจากมรสุม ทำให้เกิดรูปทรงภูมิประเทศที่สวยงามอย่างที่เห็น

 

โดยทั่วไปภูมิประเทศแบบคาร์สต์มักมีโพรงเล็กโพรงน้อยประกอบกันเป็นระบบถ้ำที่กว้างขวาง เป็นแหล่งอยู่อาศัยของค้างคาวนับล้านๆ ตัว ค้างคาวเหล่านี้มีบทบาทสำคัญมากต่อระบบนิเวศป่าฝนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้หมู่เกาะต่างๆ ในอ่าวพังงายังมีถ้ำอีกจำนวนมาก แต่จะมีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่เราจะผ่านเข้าไปถึงทะเลสาบป่าชายเลนภายในนั้นที่มีโลกอันสวยงามของความหลากหลายทางชีวภาพอันน่าทึ่ง ซึ่งมนุษย์ได้รับประโยชน์โดยตรงจากระบบถ้ำบนภูมิประเทศแบบคาร์สต์นี้ประวัติศาสตร์แหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในส่วนนี้ของโลก ถูกพบที่นี่ย้อนหลังไป 5 หมื่นปี ถ้ำบางแห่งมีภาพวาดสีที่สวยงามแสดงอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ และยังพบสถานที่ฝังศพโบราณ เช่น "ถ้ำไวกิ้ง" ที่มีชื่อเสียงบนเกาะพีพี

 

กลุ่มพืชพรรณที่ก่อเกิดอยู่บนภูมิประเทศแบบคาร์สต์นี้ มีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของหินปูนได้ดีเป็นพิเศษ เพราะการไม่มีดินและแห้งเป็นเวลานาน การย่อยสลายใบไม้จากต้นไม้และพืช เมื่อผนวกเข้ากับฝนที่ตกชุกตามฤดูกาล ทำให้เกิดน้ำกรดเจือจางทำหน้าที่ละลายหินปูนที่ค่อนข้างอ่อนได้ รวมถึงหินงอกหินย้อยที่สวยงามที่มองเห็นได้ทั้งภายในถ้ำและอีกด้านหนึ่งของถ้ำ เป็นผลมาจากการกัดเซาะของน้ำกรดอ่อนๆ ที่คงที่พัดพาแคลเซียมคาร์บอเนตออกไป

 

การก่อตัวของภูมิประเทศแบบคาร์สต์ในประเทศไทยที่มีความเด่นชัดมากที่สุด ปรากฎให้เห็นได้ในพื้นที่จังหวัดกระบี่ พังงา และสุราษฎร์ธานี และถือกันว่าที่อุทยานแห่งชาติพังงา และอุทยานแห่งชาติเขาสก มีการก่อตัวที่งดงามที่สุดของภูมิประเทศประเภทนี้

การละลายของหินปูนมักทำให้เกิดหลุมยุบตัว (sinkholes) และโพรงถ้ำ ลักษณะเหล่านี้ที่ผู้คนในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ยืนยันได้ดีว่ามีความเชื่อมโยงกับภูมิประเทศแบบคาร์สต์ ชั้นหินปูนในเขตลติจูดกลางส่วนใหญ่มักจะหนาและแข็ง มีรูพรุน และเป็นหินปูนค่อนข้างบริสุทธิ์ กล่าวคือมีแคลเซียมคาร์บอเนตมากกว่า 60% ตัวอย่างเช่น ถ้ำแมมมอธในรัฐเคนตักกี้ และถ้ำคาร์ลสแบดในนิวเม็กซิโก ที่เป็นระบบถ้ำที่พัฒนาขึ้นในชั้นดังกล่าว หินปูนที่มีความหนาและทนทาน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาตัวของสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอย อีกทั้งยังจะพบถ้ำได้ทั่วไปในบริเวณหอคอยเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม สัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยนั่นสามารถพัฒนาได้เฉพาะในเขตร้อน เพราะสภาพแวดล้อมแบบนี้เท่านั้นที่หินและอากาศจะทำปฏิสัมพันธ์กันเพื่อสร้างสรรค์ศิลปะแห่งธรรมชาติที่งดงามเหล่านี้ขึ้นมาได้ ตัวอย่างสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยที่งดงามที่สุด ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในย่านมรสุมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงหมู่เกาะมาลายัน และอินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีนก็มีสิ่งที่อาจเป็นสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยที่สวยงามและกว้างขวางที่สุด รวมถึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมของภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ดี สัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยยังเกิดขึ้นในปาปัว นิวกินี ออสเตรเลีย ฮอนดูรัส คิวบา จาเมกา และเปอร์โตริโก ด้วยเช่นกัน

 

หอคอยที่เป็นตัวกำหนดลักษณะภูมิประเทศแบบนี้ จะมีความสูงได้มากกว่า 1 พันฟุต และมีความชันมาก ตั้งแต่ใกล้จะเป็นแนวดิ่งไปจนถึงที่มีชะง้อนยื่นออกมา หอคอยแต่ละแท่งจะมีขนาดตั้งแต่เป็นยอดแหลมขนาดเล็ก ไปจนถึงเป็นบล็อกที่มีพื้นที่หลายตารางไมล์ หอคอยเหล่านี้มักเกิดอยู่กันเป็นกลุ่ม และมีแม่น้ำ มีที่ราบลุ่มตะกอนทับถม หรือมีแอ่งน้ำป่าโกงกางล้อมรอบ สภาพชื้นเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการสร้างสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอย

 

ภาพที่ 3 ด้านข้างของหอคอยเป็นสีเทาของหินปูนกลุ่มราชบุรี และเหล็กออกไซด์จากดินเขตร้อนมักทำให้มันเป็นสีส้ม

Photo credit – www.viator.com

 

สำหรับประเทศไทยสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยปรากฏตัวให้เห็นมากมายในบริเวณคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศ ที่มีความยาวถึง 5 ร้อยไมล์ มีบริเวณที่กว้างสุด 124 ไมล์ ส่วนนี้ของประเทศมีพรมแดนติดกับอ่าวไทยทางตะวันออก และติดกับพม่าหรือทะเลอันดามันทางตะวันตก ซากดึกดำบรรพ์ในหินปูนสีเทาอ่อน (ดูภาพที่ 3 ประกอบ) ที่ก่อตัวกับเป็นหอคอยเป็นส่วนหนึ่งของหินปูนขุดราชบุรี ซึ่งเป็นหน่วยธรณีวิทยาที่เกิดการตกตะกอนทับถมในยุคเปอร์เมียน เมื่อราว 286-245 ล้านปีก่อน หน่วยของหินปูนชุดนี้มีองค์ประกอบร่วมเป็นหินทรายและหินดินดานบางส่วน ความหนาของชั้นหินปูนชุดราชบุรีแถบนี้ อยู่ระหว่าง 2,467-3,000 ฟุต ในคาบสมุทรไทย และจะหนามากกว่า 6,500 ฟุต ในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของประเทศไทย เมื่อแนวหินเหล่านี้เปิดตัวขึ้นมาให้เห็น มันจะสร้างแนวสันเขาและสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยที่โดดเด่น สันเขาพัฒนาขึ้นเนื่องจากหินปูนโผล่ขึ้นมาเป็นแนวแคบยาวทอดไปเป็นภูเขาบนคาบสมุทร การจัดเรียงตัวเป็นสันเขาทำให้ชั้นหินโดยรอบจะถูกกำจัดออกไปด้วยกระบวนการผุกร่อน (weathering) และการกัดเซาะ (erosion)

 

https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/MGfig8.jpg

ภาพที่ 4 ลักษณะที่พืชปกคลุมอาจแตกต่างกันไปตามความลาดชัน เห็นอย่างชัดเจนในภาพของเกาะหอคอยเล็กๆ นี้ พื้นที่หินปูนด้านข้างของคาร์สต์รูปหอคอยที่เห็นนั้นมีความแข็งแกร่งทนทานต่อการผุกร่อน

Photo credit – https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/Gillespie.htm

 

ความจริงแล้วสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยสามารถพัฒนาได้เฉพาะในเขตร้อนชื้นเท่านั้น ยืนยันได้จากนักวิจัยคนหนึ่งที่พิจารณาแล้วว่า การพัฒนาสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยต้องมีฝนตกอย่างน้อย 47 นิ้วต่อปี และมีอุณหภูมิเฉลี่ย 64°ทั้งนี้บริเวณคาบสมุทรไทยมีปริมาณน้ำฝนต่ำสุด 51 นิ้วต่อปี และอุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีประมาณ 82°ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดด้านสภาพอากาศอย่างชัดเจน ดังนั้น สัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยในบริเวณนี้ จึงได้รับการมีพัฒนาขึ้นอย่างดีและงดงามอย่างปรากฏในสายตาของทุกคนจากปัจจัยสำคัญด้านอุตุนิยมวิทยาที่เป็นลักษณะเฉพาะของภูมิภาคดังกล่าว

 

เนื่องจากหินปูนละลายได้ในน้ำ สิ่งหนึ่งที่ชวนพิศวงอย่างยิ่ง ไม่ใช่มีเพียงแค่คำถามที่ว่า หอคอยหินปูนขนาดยักษ์ก่อตัวขึ้นได้อย่างไร เท่านั้น แต่ยังมีสิ่งที่ต้องไขขานต่อไปอีกว่า แล้วมันเติบโตสูงเด่นอยู่ในสภาพอากาศที่ทั้งร้อนทั้งชื้นและเต็มไปด้วยมรสุมแบบนี้ได้อย่างไร? คำตอบที่ชัดเจน แต่ยังไม่ค่อยมีการอธิบายที่ตรงประเด็นอย่างชัดเจนนัก คือ ความเกี่ยวพันกับพืชพรรณ จุลินทรีย์ ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายในน้ำ และความพรุนของหินปูนเพื่อให้น้ำสามารถเข้าไปละลายหินปูนได้ ก่อนอื่นเลยนั้น น้ำจะต้องทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อสร้างกรดคาร์บอนิกเสียก่อน จากนั้นจึงเป็นกรดคาร์บอนิกที่จะทำหน้าที่ละลายหินปูน ไม่ใช่น้ำ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำปฏิกิริยาจนกลายสภาพเป็นกรดคาร์บอนิกนี้ เกิดขึ้นตามธรรมชาติในบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ปริมาณน้ำฝนลงมาแล้วน้ำกลายเป็นกรดตามธรรมชาติที่มี pH ประมาณ 5.6

 

ความเป็นกรดของน้ำฝนส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของมันด้วย โดยคาร์บอนไดออกไซด์จะละลายในน้ำอุ่นได้น้อยลง หมายความว่า ด้วยเงื่อนไขของปัจจัยอื่นๆ ทั้งหมดที่เท่าเทียมกัน ฝนที่ตกลงมาเขตร้อนและเขตอบอุ่น มักจะมีความเป็นกรดน้อยกว่าสายฝนอันเย็นเฉียบในเขตอบอุ่น ดังนั้น น้ำฝนที่ตกลงบนหินปูนที่เปลือยเปล่า ไม่มีพืชพรรณปกคลุมในเขตร้อน จึงไม่ค่อยส่งผลให้เกิดการละลายมากนัก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาพอากาศที่อบอุ่นและเปียกชื้นของภูมิภาคมรสุมเขตร้อน พืชพรรณเขียวชอุ่มจึงปกคลุมพื้นผิวเกือบทั้งหมดที่ไม่ชันเกินไป (ดูภาพที่ 4 ประกอบ) ซึ่งรากของพืชนี่เองที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงสู่ดิน และจะช่วยยกระดับความเข้มข้นของก๊าซนี้ให้อยู่ในระดับที่สูงกว่าความเข้มข้นในอากาศ นอกจากนี้จุลินทรีย์ยังช่วยย่อยสลายซากพืชและสัตว์ที่ตายแล้วในดิน ส่งผลให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ด้วยกระบวนการเหล่านี้ ทำให้ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในดินของภูมิภาคเขตร้อนสูงกว่าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศถึง 15 เท่า เป็นผลให้น้ำในดินมีความเป็นกรดมากกว่าน้ำฝน น้ำกรดในดินจึงทำกน้าที่ละลายหินปูนใต้พื้นผิวอย่างรุนแรง มีบันทึกข้อมูลเคยระบุว่าพื้นที่แอ่งน้ำคาร์สต์บางแห่ง น้ำในแอ่งนั้นมี pH ต่ำมากถึง 3.ความเป็นกรดระดับนี้เทียบเท่ากับน้ำส้มสายชูเลยทีเดียว

 

สัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยหลายแห่งมักห้อมล้อมด้วยแม่น้ำ ที่ราบลุ่มดินเลน หรือป่าชายเลน สภาพแวดล้อมเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะทำให้น้ำอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรียสาร แต่ยังมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ละลายอยู่สูงด้วย อันเป็นผลสืบเนื่องจากพืชพรรณจำนวนมากที่เติบโตที่นั่น ด้วยเหตุนี้สัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยจึงถือกำเนิดขึ้นในพื้นที่แบบนี้ สภาพแวดล้อมเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการละลายของหินปูนตรงฐานของหอคอย และเมื่อผิวดินถูกกัดเซาะ การละลายตัวของชั้นหินปูนจะลดลง

 

ภาพที่ 5a แม้ว่าถ้ำในเขตร้อนจะไม่ได้รับการพัฒนาตามธรรมชาติเทียบเท่ากับถ้ำในเขตละติจูดกลาง แต่ถ้ำเหล่านี้ก็สามารถพัฒนาสัณฐานภายในที่สวยงามได้ เฉกเช่นหินไหลสีส้มในถ้ำแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้ตัวเมืองพังงาก้อนนี้ สีส้มที่เห็นเกิดจากออกไซด์ของเหล็กที่ก่อตัวในดินเขตร้อนเหนือถ้ำ

Photo credit – https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/Gillespie.htm

 

ลักษณะของหอคอยหินปูนที่ด้านข้างมีความสูงชันมาก บริเวณดังกล่าวนั้นจะมีปริมาณดินน้อยมากและมีพืชพรรณไม่มากนักที่สามารถเติบได้ น้ำที่ไหลผ่านพื้นผิวตรงนั้นจึงไม่เป็นกรดมากนัก ด้านข้างของหอคอยจึงไม่ละลายเร็วเท่ากับบริเวณฐานของหอคอย ยิ่งกว่านั้น ภายใต้แสงอาทิตย์ที่แผดร้อนของเขตร้อนชื้น จะทำให้น้ำระเหยได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเป็นเช่นนั้น แคลเซียมคาร์บอเนตที่ละลายอยู่ในน้ำจะตกตะกอน วัสดุที่ตกตะกอนนี้จะอุดรอยแตกและรูพรุนในหินปูน และช่วยลดปริมาณน้ำที่ไหลผ่านออกไป กระบวนการนี้เรียกว่าเป็นการแช่แข็ง ที่จะไปช่วยจำกัดปริมาณการละลายด้วย ลักษณะเช่นนี้จะช่วยเพิ่มอายุความคงทนของหอคอยได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งการตกตะกอนนี้ยังจะส่งผลให้เกิดหินย้อยบริเวณด้านข้างของหอคอยทุกด้าน และช่วยสร้างหินในถ้ำรูปลักษณะต่างๆ มีประกายระยิบระยับที่เกิดจากการสะสมแร่ภายในหอคอย (ดูภาพที่ 5a และ 5b ประกอบ) ผลมาจากการผสมผสานของกระบวนการต่างๆ เหล่านี้ ทำให้บริเวณฐานของหอคอยมีการละลายเร็วกว่าด้านบนและด้านข้าง ดังนั้นมันจึงดูเหมือนเติบโตสูงขึ้น เมื่อพื้นผิวดินโดยรอบลดระดับลงจากการกัดเซาะ

 

https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/MGfig11b.jpg

ภาพที่ 5b หินงอกและแท่งเสาภายในถ้ำใกล้ตัวเมืองพังงา

Photo credit – https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/Gillespie.htm

 

ระยะแรกของพัฒนาการสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอย พื้นผิวที่ถูกละลายเป็นโพรงที่เรียกว่าโดลีนส์ (dolines) จะยุบตัวลงไป แล้วพัฒนาการด้วยการกดทับบริเวณผนังสูงชัน กลายเป็น ห้องนักบิน (cockpits) หากการแก้ปัญหาดำเนินไปเนินเขาที่สูงชันจะก่อตัวขึ้นระหว่างห้องนักบิน หากตะกอนจากแม่น้ำหรือโดยการไหลบ่าจากเนินเขาทำให้เกิดความหดหู่ของห้องนักบินอัตราการผุกร่อนที่ตัดกันที่อธิบายไว้ข้างต้นจะนำไปสู่การพัฒนาหอคอยคาร์สต์

 

การสัมผัสกันระหว่างตะกอนน้ำพัดพากับฐานของหอคอยเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดขึ้นของน้ำพุและการก่อตัวของถ้ำ เนื่องจากมีรอยแตกและรูพรุนในหินปูน น้ำจึงสามารถซึมเข้าไปในนั้น และไหลลงสู่ด้านล่างได้อย่างง่ายดาย จนกว่าจะพบกับชั้นที่ผ่านไม่ได้หรือหินเกิดการอิ่มตัว เมื่อเป็นเช่นนี้ น้ำจึงไหลซึมออกมาจากหินกลายเป็นน้ำพุ มีตัวอย่างที่ชัดเจนมากสามารถดูได้ที่ถ้ำน้ำตกในอุทยานแห่งชาติสระโบกขรณี ที่นี่มีลำธารเล็กๆ โผล่ออกมาจากถ้ำที่ฐานของหอคอยหิน จากนั้นแคลเซียมคาร์บอเนตบางส่วนในน้ำจะตกตะกอนกลายเป็น "น้ำตก" ขนาดเล็ก (ดูภาพที่ 6 ประกอบ)

 

ภาพที่ 6 น้ำตกขนาดเล็กที่อุทยานแห่งชาติสระโบกขรณี เป็นสายน้ำเล็กๆ ไหลออกมาจากถ้ำตรงฐานของหอคอย แคลเซียมคาร์บอเนตจะตกตะกอนกลายเป็นหินย้อยที่สร้างสระน้ำและน้ำตกที่สวยงามแห่งนี้

Photo credit – www.notquitesusie.com/2013/12/thai-holidays-reasons-to-choose-krabi-over-bangkok.html

 

Koh Phi Phi from Phuket - Thailand | Dizzy Traveler Around The World

ภาพที่ 7 นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม "หอคอย" ที่เป็นถ้ำนกนางแอ่นบนเกาะพีพีเล ในภาพจะเห็นไม้ไผ่ที่คนท้องถิ่นใช้เป็นเครื่องมือหลักในการเก็บเกี่ยวรังนกที่อยู่สูงภายในถ้ำ รังนกเหล่านี้ใช้ทำซุปราคาแพง ในประเทศญี่ปุ่นซุบรังนกแบบนี้ขายได้ถึง $100 ต่อถ้วยเลยทีเดียว

Photo credit – www.dztraveler.com/koh-phi-phi-from-phuket-thailand/

 

ถ้ำในภูมิประเทศแบบคาร์สต์ในเขตอากาศร้อนชื้นนั้น มีความแตกต่างจากละติจูดกลางที่มีอากาศอบอุ่น โดยจะอยู่ในระดับตื้นและไม่ได้รับการพัฒนาที่ดี โดยปกติจะประกอบด้วยเครือข่ายของอุโมงค์ขนาดเล็ก มากกว่าที่จะเป็นระบบถ้ำขนาดใหญ่และกว้างขวางแบบที่พบในถ้ำคาร์ลสแบดในรัฐนิวเม็กซิโก ความแตกต่างดังกล่าวเป็นผลมาจากอัตราการอิ่มน้ำของดินที่แตกต่างกันในพื้นที่ โดยในเขตร้อนชื้นน้ำจะละลายหินปูนใกล้พื้นผิวได้เร็วขึ้น เนื่องจากมีความเป็นกรดมากกว่า เมื่อน้ำอิ่มตัวด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต มันจะไม่สามารถละลายหินปูนต่อไปได้ในระดับความลึกมากขึ้น ดังนั้น ถ้ำลึกจึงไม่สามารถก่อตัวในภูมิประเทศแบบคาร์สต์ในเขตร้อนชื้นได้ ตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ น้ำที่อิ่มตัวจะเติมแคลเซียมคาร์บอเนตเข้ามาใหม่ ซึ่งจะช่วยลดความพรุนของหินปูนและจำกัดการพัฒนาตัวเองของถ้ำเพิ่มเติม ในที่สุด เนื่องจากสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยมีการแตกตัวกระจายออกเป็นหอคอยแต่ละหอ สิ่งนี้จึงเป็นตัวการสำคัญในการขัดขวางการพัฒนาระบบถ้ำ อย่างไรก็ตาม ถ้ำระดับตื้นขนาดใหญ่บางแห่งก็สามารถเกิดขึ้นได้ และเมื่อเกิดขึ้นมันก็จะมีความเกี่ยวข้องกับแม่น้ำที่ไหลผ่านเป็นถ้ำน้ำตก

 

ถ้ำสำคัญแห่งหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทยเกิดขึ้นบนสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยที่เกาะพีพีเลในทะเลอันดามัน (ดูภาพที่ 7 ประกอบ) เกาะแห่งนี้เป็นที่อยู่ของนกชนิดหนึ่งที่สร้างรังโดยใช้น้ำลายของมันเอง คนพื้นเมืองหลายชั่วอายุคนได้เสี่ยงชีวิตสร้างนั่งร้านไม้ไผ่ เพื่อไต่ขึ้นไปยังรังของมันที่อยู่ด้านบนผนังของถ้ำ คนเหล่านี้ปีนขึ้นไปบนนั่งร้านสูงกว่าร้อยฟุตโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันใดๆ ขึ้นไปบนยอดเขาซึ่งยึดด้วยเชือกที่รัดอยู่กับหินย้อย และเกาะไต่ไปตามหินย้อยที่สูงมากๆ ท่ามกลางความมืดมิดของถ้ำ แรงจูงใจในการทำเช่นนี้ คือ เงินล้วนๆ รังนกชนิดนี้ใช้ทำซุปที่เชื่อว่าจะทำให้ผู้รับประทานมีความชุ่มชื่น ในประเทศญี่ปุ่นซุปชนิดนี้จะขายดีราคาสูงถึงถ้วยละ 100 ดอลลาร์ คนเก็บรังนกคนหนึ่งระบุว่าตนสามารถเก็บรังนกได้มากถึงสามครั้งต่อปี โดยไม่ทำให้นกเครียดมากเกินไป

 

หากตะกอนน้ำพัดพาสะสมตัวอยู่ที่ฐานของหอคอย ยังคงสัมผัสกับฐานในระดับความสูงที่กำหนดเป็นระยะเวลานาน สิ่งที่ยื่นออกมาอาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากมีน้ำในดินเป็นตัวการกัดเซาะฐานด้านข้าง การกระทำของคลื่นและการผุกร่อนของเกลือยังกัดเซาะฐานของหอคอยที่โผล่ขึ้นมาจากทะเล ในบางพื้นที่สิ่งที่ยื่นออกมาเหล่านี้อาจสูงได้ถึง 20 ฟุต และกว้าง 66 ฟุต และหากไม่ใช่เพราะความแข็งแรงตามธรรมชาติของหินปูน พวกมันจะพังทลายลงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดความแข็งแรงของหินปูนจะมากเกินพอดี และแผ่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านข้างของหอคอยก็จะเอียงตัวลงแบบในภาพ (ดูภาพที่ 8 ประกอบ) โดยกระบวนการนี้เช่นเดียวกับการสลายตัวทีละน้อยหอคอยจะหดตัวลงจนไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย การตัดตัวเองตรงด้านข้างของหอคอยเป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นอย่างไม่ต้องสงสัยแม้ว่าจะค่อนข้างอันตรายต่อใครก็ตามที่อยู่ใกล้ๆ

 

https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/MGfig17.jpgที่สำนักสงฆ์ถ้ำเสือในจังหวัดพังงา พระสงฆ์ได้สร้างพื้นที่ใช้สอยเพื่อศาสนกิจขึ้นในถ้ำที่มีส่วนหนึ่งยื่นออกมา การเข้าถึงส่วนนี้ของสำนักสงฆ์จะต้องบันไดที่ขึ้นไปบนสันเขาหินปูนที่สูงเกือบเป็นแนวตั้ง จากนั้นค่อยเดินลงไปอีกด้านหนึ่งเข้าไปในหุบเขาหินปูนที่ปิดคลุมไปด้วยความเขียวชอุ่มของพืชพรรณในป่าฝนเขตร้อน ในเขตรักษาพันธุ์ธรรมชาติแห่งนี้ มีต้นไม้ที่มีอายุมากกว่าหนึ่งพันปีอยู่ด้วย พระสงฆ์จัดได้วางพระพุทธขนาดใหญ่ไว้ใต้ส่วนยื่นออกมานี้ เห็นแล้วเป็นที่น่าเลื่อมใสและประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็มีถ้ำขนาดเล็กจำนวนหนึ่งยื่นเข้าไปในผนังหินปูนใต้สิ่งที่ยื่นออกมา และมีทางเข้าบางส่วนก็มีพระสงฆ์สร้างที่พักพิงขนาดเล็กไว้ป้องกันฝนที่ตกลงมาทุกวัน พระสงฆ์เหล่านี้ยึดถือความวิเวกที่มีอยู่ในหุบเขาและถ้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เป็นสถานที่สร้างปัญญาจากการบำเพ็ญเพียร มีหลักฐานเชิงประจักษ์เพิ่มเติมจากการจัดวางพระพุทธรูปและเครื่องบูชาเอาไว้จำนวนมากภายในถ้ำ ในบริเวณเดียวกันนี้มีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ถูกตั้งเอาไว้ใต้เสา ด้วยความเลื่อมใสของคนไทยแบบนี้ถือเป็นเรื่องปรกติเหมือนที่เคยเป็นมาสำหรับคนส่วนใหญ่ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ภาพที่ 8 เมื่อสิ่งที่ยื่นออกมามีขนาดใหญ่พอ ในที่สุดหินที่วางทับอยู่ก็แตกออกเป็นอิสระ และบางครั้งก็ก่อตัวเป็นกำแพงเฉือนที่แบนราบเช่นนี้

Photo credit – https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/Gillespie.htm

 

ชะง่อนหินที่ยื่นออกมาและถ้ำที่พัฒนาตามแนวสัมผัสระหว่างฐานหอคอยและตะกอนดินพัดพานี้ สามารถใช้เป็นเครื่องมือติดตามลำดับพัฒนาการของหุบตะกอนน้ำพัดพา (alluvial valleys) ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการพัฒนาของชะง่อนหินปูนนี้แสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาหนึ่งที่มีการลดระดับลงอย่างช้าๆ ของที่ราบตะกอนน้ำพัดพา และนั่นทำให้มีเวลาเพียงพอสำหรับการละลายบริเวณด้านข้าง ในทางกลับกันการขาดระยะยื่นบ่งบอกถึงอัตราการลดลงของที่ราบตะกอนน้ำพัดพาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับการสะสมตัวให้เกิดชะง่อนยื่นและถ้ำ หากพบโบราณวัตถุของมนุษย์หรือวัสดุอื่นๆ ที่หาได้ภายในถ้ำ ก็จะช่วยบอกขั้นตอนของการพัฒนาหอคอยได้เช่นกัน

 

การใช้ข้อมูลบันทึกสนามแม่เหล็กของโลกในหินตะกอน (Paleomagnetic data) ที่ได้จากถ้ำในระดับต่างๆ ในหอคอยแห่งหนึ่งในประเทศจีนของนักวิจัยคนหนึ่ง พบว่า ช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมาสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยแห่งนี้เติบโตขึ้นจากการลดลงของฐานหอคอยในอัตราที่น้อยกว่า 0.91 นิ้วต่อ 1,000 ปี ด้วยอัตรานี้ทำให้จะต้องใช้เวลาประมาณ 1,318,700 ปีในการพัฒนาหอคอยให้สูง 100 ฟุต ทั้งนี้สัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยในประเทศจีนที่กำหนดอัตราการพัฒนาเท่านี้ เท่ากับว่ามันได้รับการพัฒนามาอย่างน้อย 2.5 ล้านปี เห็นได้ชัดว่าสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยเหล่านี้พัฒนาขึ้นมาอย่างช้าๆ และคงสภาพอยู่ได้เป็นระยะเวลานาน นักวิจัยเชื่อว่าในสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยส่วนอื่นๆ ของประเทศจีน มีหอคอยบางหลังเริ่มที่เพิ่งก่อตัวขึ้นเมื่อสิ้นสุดยุคครีเทเชียสเมื่อ 65 ล้านปีก่อนนี้เอง หากค่าประมาณนี้มีความถูกต้อง นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก เนื่องจากเป็นสัณฐานเพียงไม่กี่แห่งบนโลก ที่นอกเหนือจากแนวภูเขา ที่มีความเก่าแก่เช่นนี้ ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคุณลักษณะของสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอยสามารถแสดงถึงลักษณะภูมิประเทศที่เก่าแก่อย่างแท้จริง และสามารถใช้ประโยชน์ทางวิชาการได้ดีสำหรับนักภูมิศาสตร์กายภาพ นักธรณีวิทยา นักธรณีสัณฐานวิทยา และนักโบราณคดี ที่ต้องการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต

 Thailand, Ao Phang Nga National Parc Photograph by Tuul & Bruno Morandi

ภาพที่ 9  ชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรไทยค่อยๆ จมตัวลงต่ำกว่าระดับน้ำทะเลอย่างช้าๆ เนื่องจากแรงขับเคลื่อนตัวของเปลือกโลกยังคงทำงานอยู่อย่างต่อเนื่องในภูมิภาคนี้ ขณะที่พื้นที่โดยรวมทรุดตัวลง คาร์สต์รูปหอคอยที่เคยล้อมรอบด้วยป่าชายเลนก็กลับกลายเป็นถูกทะเลล้อมรอบ

Photo credit – https://fineartamerica.com/featured/thailand-ao-phang-nga-national-parc-tuul--bruno-morandi.html

 

เนื่องจากการชนกันของแผ่นเปลือกโลกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาบสมุทรมลายูจึงกำลังมีการเปลี่ยนรูปอย่างช้าๆ ทำให้ชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรผุดขึ้นมาจากอ่าวไทย ขณะที่ชายฝั่งตะวันตกกลับตรงกันข้าม คือ กำลังมุดตัวลงอย่างช้าๆ และจมลงใต้ทะเลอันดามัน ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนรูปแบบทีละน้อยๆ ของภูมิภาค คือ การสร้างแนวชายฝั่งใหม่ขึ้นตลอดแนวชายฝั่งตะวันออก มีลักษณะเป็นหาดทรายกว้าง ขณะที่ชายฝั่งตะวันตกกลับมีชายหาดเพียงไม่กี่แห่ง และมีลักษณะเป็นหุบแม่น้ำ แหลมยื่นจมน้ำ ป่าชายเลน และเกาะโดดๆ ที่แยกตัวเป็นสัณฐานแบบคาร์สต์รูปหอคอยที่มีบางส่วนจมอยู่ใต้น้ำ สำหรับเกาะพีพีเลดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นนั้น เป็นหนึ่งในเกาะเหล่านี้ที่การจมตัวลงของพื้นที่โดยรอบ อีกทั้งยังได้รับปัจจัยเสริมจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลที่เกิดขึ้นในตอนปลายยุคไพลส์โตซีนเมื่อราวๆ หมื่นปีก่อน โดยในเวลานั้น แผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ปกคลุมทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปละลายเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นประมาณ 350 ฟุต การจมตัวลงของเปลือกโลกส่วนนี้ทำให้ชายฝั่งตะวันตกของประเทศไทยโดยเฉพาะในย่านพื้นที่รอบๆ เกาะภูเก็ต มีความน่าสนใจและสวยงามเป็นพิเศษ และตรงนั้นคือแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก

 

ภาพที่ 10 สังเกตเห็นบ้านหลังเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ที่ฐานของหอคอยที่อยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยวในทะเลอันดา เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงการดำเนินชีวิตที่อาศัยอยู่ในสถานที่ที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลอันกว้างใหญ่ และล้อมรอบด้วยกำแพงหินแนวดิ่งของหอคอยหินที่โผล่ขึ้นมาจากน้ำ

Photo credit – https://www.siue.edu/GEOGRAPHY/ONLINE/Gillespie.htm

 

หอคอยหินปูนที่ผุดโผล่ขึ้นมาจากทะเลอย่างฉับพลันและน่าทึ่งเหล่านี้ สร้างทัศนียภาพของความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงเกาะรูปหอคอยเหล่านี้ได้โดยเรือ และพื้นที่รอบๆ เกาะหอคอยหลายแห่งก็เป็นหาดทรายขนาดเล็กที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้สามารถหยุดพัก ปิกนิก และดำน้ำดูปะการังบนแนวปะการังอันงดงามที่เติบโตบนพื้นที่ส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำของสัณฐานคาร์สต์รูปหอคอย น่าแปลกใจที่เกาะเหล่านี้หลายแห่ง มีผู้คนอาศัยอยู่โดยประชากรในท้องถิ่นที่ดูเหใทอนกับว่าพวกเขาถูกกักขังอยู่ในแถบทรายแคบๆ ตามฐานของหอคอยที่ตั้งสูงตระหง่าน ลองนึกดูว่าชีวิตบนเกาะเหล่านี้จะเป็นอย่างไร ทิวทัศน์ของมหาสมุทรเปิดเป็นแนวนอนที่กว้างใหญ่ โดยมีกำแพงแนวสูงโผล่ขึ้นมาเป็นแนวตั้งเหนือน้ำหลายร้อยฟุต (ดูภาพที่ 10 ประกอบ) การเคลื่อนไหวถูกจำกัดอย่างรุนแรงด้วยด้านหนึ่งเป็นน้ำ และหน้าผาหินอีกด้านหนึ่ง พายุไซโคลนที่พวกเขารู้จักกันดีในภูมิภาคนี้ สามารถจมชุมชนเหล่านี้ให้อยู่ระดับเดียวกับพื้นดินรอบๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่ชีวิตของพวกเขาก็มีความสมดุลระหว่างความสุดขั้วเหล่านี้ได้

 

ภาพที่ 11 หมู่บ้านปันหยีในทะเลอันดาที่สร้างด้วยไม้ค้ำยันเกือบทั้งหมด

Photo credit – https://remthailand.asia/koh-panyee-thailands-floating-village/

 

ชาวบ้านในหมู่บ้านหนึ่งที่รู้จักกันดี คือ ปันหยี สามารถจัดการกับข้อจำกัดของพื้นที่ด้วยการสร้างหมู่บ้านทั้งหมดไว้บนไม้ค้ำถ่อ แม้แต่สนามฟุตบอลของโรงเรียนก็เคยต้องใช้ลานท่าเทียบเรือระหว่างอาคาร เพื่อให้เด็กๆ ได้ออกกำลังกายและเล่นฟุตบอล ชาวบ้านใช้หอคอยหินปูนที่อยู่ถัดจากหมู่บ้านออกไป เป็นสถานที่ฝังศพคนตายและเป็นที่ตั้งมัสยิด นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปถึงปันหยีได้โดยเรือ แต่การท่องเที่ยวกำลังเปลี่ยนแปลงชุมชนนี้ การขายของที่ระลึกราคาถูกได้เข้ามาแทนที่การจับปลาที่เคยเป็นแหล่งรายได้หลักของชาวเกาะปันหยี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น