หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

การย้ายถิ่นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การย้ายถิ่นเนื่องจากสภาพภูมิอากาศ

ผู้คนที่ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอน ด้วยเหตุจากภัยพิบัติที่เกิดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พวกเขาต้องการความคุ้มครอง ประเทศที่ตกอยู่ในสภาวะสังคมสูงอายุ ที่ขาดแคลนคนทำงาน ประเทศเหล่านั้นต้องการแรงงานจากพวกเขา

วามวุ่นวายครั้งใหญ่กำลังจะมาถึง การเคลื่อนย้ายของผู้คนที่ถูกขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate-driven movement) กำลังเพิ่มการอพยพย้ายถิ่นครั้งใหญ่ให้พวกเขาเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ของโลก ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจำนวนผู้อพยพทั่วโลกเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่า และประเด็นปัญหาที่ว่าเราจะทำอย่างไรกันดีกับจำนวนผู้พลัดถิ่นที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่มีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นและมีสภาพเร่งด่วนมากขึ้นๆ เพื่อความอยู่รอดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พวกเราจึงจำเป็นจะต้องมีการวางแผนและการอพยพย้ายถิ่นอย่างตั้งใจ อย่างที่มนุษยชาติไม่เคยทำมาก่อน

 

กาญ่า วินเซอ คอลัมนิสต์เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บอกกล่าวเอาไว้ในบทความเรื่อง ‘The century of climate migration: why we need to plan for the great upheaval’ ใน The Guardian เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2022 บอกกล่าวเรื่องสำคัญนี้ว่า โลกของเราได้พบเห็นจำนวนวันที่มีอุณหภูมิสูงเกินกว่า 50 เซลเซียส เพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับเมื่อ 30 ปีก่อน ความร้อนระดับนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อมนุษย์ และยังเป็นปัญหาใหญ่หลวงต่ออาคาร ถนน และโรงไฟฟ้า มันทำให้พื้นที่ไม่น่าอยู่ เรื่องน่าทึ่งที่เกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ดวงนี้ระเบิดขึ้นตามความต้องการการตอบสนองของมนุษย์ที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง เราต้องช่วยเหลือผู้คนให้พ้นจากอันตรายและความยากจนไปสู่ความปลอดภัยและความสะดวกสบาย เพื่อสร้างสังคมโลกที่ยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อประโยชน์ของทุกคน

 

ประชากรจำนวนมากจะต้องย้ายถิ่นฐาน ไม่ใช่แค่การเคลื่อนย้ายไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดเท่านั้น แต่ยังจะต้องอพยพเคลื่อนย้ายข้ามทวีปกันเลยทีเดียว ประชาชนผู้ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคที่มีสภาพที่พอทนได้ โดยเฉพาะประเทศในละติจูดเหนือ จะต้องมีความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนแปลงไป ให้สามารถรองรับผู้อพยพหลายล้านคนที่จะอพยพเข้ามา ขณะเดียวกันก็จะต้องปรับตัวให้เข้ากับความต้องการในยามที่เกิดวิกฤตจากสภาพภูมิอากาศด้วย นอกจากนี้ยังจะต้องสร้างเมืองใหม่ทั้งหมดที่อยู่ใกล้ขั้วโลกที่หนาวกว่าบริเวณอื่นๆ ของโลก ซึ่งเป็นดินแดนที่น้ำแข็งจะสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น บางส่วนของไซบีเรียกำลังประสบกับปัญหาอุณหภูมิสูง 30 เซลเซียส เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว

 

พื้นที่ในย่านอาร์กติกกำลังร้อนจนเกือบจะลุกไหม้ อีกทั้งยังมีลูกไฟขนาดใหญ่เผาผลาญไซบีเรีย กรีนแลนด์ และอลาสกา แม้แต่ในเดือนมกราคม 2022 ไฟป่าในพรุก็ยังลุกไหม้เผาผลาญมณฑลของน้ำแข็งในไซบีเรีย (Siberian cryosphere) แม้ว่าอุณหภูมิจะต่ำกว่า –50 เซลเซียส ก็ตาม ซอมบี้ร้ายเหล่านี้ลุกเป็นไฟตลอดทั้งปีในพรุที่ใต้พื้นดินในพื้นที่ทั้งภายในและบริเวณรอบๆ เขตอาร์กติกเซอร์เคิล ที่ระเบิดเป็นเปลวเพลิงขนาดใหญ่ โหมกระหน่ำไปทั่วป่าทางเหนือของไซบีเรีย อลาสกา และแคนาดา

 

ในปี 2019 เกิดไฟป่าขนาดใหญ่มากเข้าทำลายป่าไทกาไซบีเรียกว่า 4 ล้านเฮกตาร์ เปลวเพลิงลุกโชนยาวนานกว่าสามเดือน สร้างกลุ่มควัน เขม่า และเถ้าถ่าน มีขนาดใหญ่เท่าๆ กับทุกประเทศที่รวมตัวกันเป็นสหภาพยุโรปทั้งหมด แบบจำลองทำนายว่าไฟป่าในเขตป่าบอเรียลและเขตทุนดราอาร์กติก จะเกิดเพิ่มมากขึ้นถึงสี่เท่าตัวภายในปี 2100

 

ณ ขณะนี้ไม่ว่าพวกเราจะอยู่ที่ไหนในโลกใบนี้ การย้ายถิ่นจะส่งผลกระทบต่อพวกเราและลูกหลานของเราอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เป็นที่คาดเดาได้ว่าบังคลาเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรหนึ่งในสามอาศัยอยู่ตามชายฝั่งที่ราบลุ่มและกำลังจะจมลงใต้น้ำที่เพิ่มระดับสูงขึ้นมา พวกเขากำลังจะกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย (คาดว่าชาวบังกลาเทศมากกว่า 13 ล้านคน หรือเกือบร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด จะเดินทางออกจากประเทศภายในปี 2050) และภายในระยะเวลาอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ประเทศที่ร่ำรวยทั้งหลายจะได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน

 

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ไม่เพียงเกิดขึ้นในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรของมนุษย์ด้วย โดยที่ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทศวรรษต่อๆ ไป โดยอาจมีจำนวนประชากรถึงจุดสูงสุด 10,000 ล้านคนในทศวรรษ 2060 การเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่นี้จะเกิดขึ้นในภูมิภาคเขตร้อนซึ่งได้รับผลกระทบรุนแรงจากภัยพิบัติอันเกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จะทำให้ผู้คนที่นั่นต้องหนีขึ้นไปทางเหนือ ทั้งนี้ภูมิภาคส่วนเหนือทั่วโลกเผชิญกับปัญหาที่มีลักษณะตรงกันข้าม นั่นคือ เกิดวิกฤตประชากร (demographic crisis) ที่หนักหน่วงที่สุด ซึ่งประชากรสูงอายุจำนวนมากได้รับการสนับสนุนจากประชากรวัยแรงงานที่มีอยู่จำนวนน้อยเกินไป ในอเมริกาเหนือและยุโรปมีประชากรราว 300 ล้านคน ที่มีอายุมากกว่าวัยเกษียณ (65 ปีขึ้นไป) และภายในปี 2050 อัตราการพึ่งพาของผู้สูงอายุทางเศรษฐกิจ คาดว่าจะอยู่ที่ผู้สูงอายุ 43 คนต่อคนวัยทำงาน (20-64 ปี) 100 คน เมืองสำคัญต่างๆ ของโลก นับตั้งแต่มิวนิกไปจนถึงบัฟฟาโล ก็จะเริ่มแข่งขันกันดึงดูดผู้อพยพเข้ามาเพื่อสนับสนุนภาวะแรงงานดังกล่าว

 

การอพยพที่กำลังจะมาถึง ดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับผู้คนที่ตกอยู่ในภาวะยากจนที่สุดในโลก ที่พวกเขาจะต้องหนีคลื่นความร้อนร้ายแรง และหนีความล้มเหลวของการเพาะปลูกพืชผล นอกจากนี้ยังรวมถึงผู้มีการศึกษา คนชั้นกลาง และคนที่ไม่สามารถใช้ชีวิตตามที่วางแผนไว้ได้อีกต่อไป เพราะไม่สามารถรับจำนองหรือประกันทรัพย์สินได้ เพราะย้ายงานไปที่อื่นแล้ว วิกฤตสภาพอากาศได้ถอนรากถอนโคนไปแล้วหลายล้านคนในสหรัฐ โดยในปี 2018 ประชากรกว่า 1.2 ล้านคน ต้องพลัดถิ่นจากสภาวะที่รุนแรงจากอัคคีภัย พายุและน้ำท่วม ภายในปี 2020 จำนวนผู้เสียชีวิตต่อปีเพิ่มขึ้นเป็น 1.7 ล้านคน ทั้งนี้เฉลี่ยแล้ว ต้องตกอยู่ในความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติ เป็นปริมาณมหาศาลถึง 1 พันล้านดอลลาร์ในรอบทุกๆ สิบแปดวัน

 

มีพื้นที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของดินแดนในภาคตะวันตกของสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญกับภาวะแห้งแล้งอย่างรุนแรง และเกษตรกรในลุ่มน้ำคลาแมธของรัฐโอเรกอน ที่กำลังกล่าวถึงการใช้กำลังอย่างผิดกฎหมายเพื่อที่จะเปิดประตูระบายน้ำของเขื่อนเพื่อปล่อยน้ำให้เข้าสู่ระบบชลประทาน อีกด้านหนึ่ง ก็น้ำท่วมอย่างรุนแรงจนทำให้ผู้คนหลายพันคนติดอยู่ในพื้นที่ตั้งแต่หุบเขามรณะเรื่อยไปจนถึงรัฐเคนตักกี้ ภายในปี 2050 จะมีบ้านเรือนกว่าครึ่งล้านหลังในสหรัฐ ที่จะติดอยู่บนพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมอย่างน้อยปีละครั้ง ตามข้อมูลจากศูนย์กลางความสนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate central) ซึ่งเป็นความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์และผู้สื่อข่าว ในสหรัฐอเมริกานั้น พื้นที่เปราะบางอย่างเกาะจองชาร์ลส์ (Isle de Jean Charles) เป็นพื้นที่เกาะยาวคล้ายสะพานแคบๆ ตั้งอยู่ในแตแรบอนน์ปารีสของรัฐลุยเซียนา ได้รับการจัดสรรเงินภาษีของรัฐบาลกลาง 48 ล้านดอลลาร์ เพื่อทำการเคลื่อนย้ายชุมชนออกทั้งหมด เนื่องจากการกัดเซาะชายฝั่งและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ส่วนในอังกฤษ ชุมชนชาวเวลส์ในแฟร์บอร์น (Welsh villagers of Fairbourne) ได้รับแจ้งว่าบ้านของพวกเขาควรถูกทิ้งให้อยู่ในทะเลที่รุกล้ำ เนื่องจากหมู่บ้านทั้งหมดจะถูกปลดประจำการในปี 2045 อีกทั้งเมืองชายฝั่งขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง ก็ตกอยู่ในความเสี่ยงเช่นกัน โดยมีการคาดกันว่าพื้นที่สองในสามของกรุงคาร์ดิฟฟ์เมืองหลวงของเวลส์ น่าจะจมอยู่ใต้น้ำภายในปี 2050

Isle de Jean Charles เกาะที่จะจมหายไปในอนาคต น้ำท่วมทำให้ชุมชนแห่งนี้ต้องสูญหายตามไปด้วย

https://www.desmog.com/2019/01/11/isle-de-jean-charles-tribe-turns-down-funds-relocate-climate-refugees-louisiana/

หมู่บ้านแฟร์บอร์นของเวลส์ มีความเสี่ยงสูงที่จะจมอยู่ใต้น้ำจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และชาวบ้านได้รับแจ้งว่าพวกเขาจำเป็นต้องย้าย แต่หลายคนปฏิเสธที่จะจากไป

https://www.bbc.com/future/article/20220506-the-uk-climate-refugees-who-wont-leave

 

องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานแห่งสหประชาชาติ (UN International Organization for Migration) ได้อ้างถึงการประมาณการว่าในอีก 30 ปีข้างหน้า จะมีผู้อพยพย้ายถิ่นเนื่องจากปัญหาสิ่งแวดล้อม มากถึง 1 พันล้านคน ขณะที่การคาดการณ์ล่าสุดชี้ไปที่ตัวเลข 1.2 พันล้านคน ในปี 2050 และ 1.4 พันล้านคน ในปี 2060 โดยคาดว่าหลังจากปี 2050 ตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้นตามภาวะที่โลกร้อนขึ้นอีก และตามสัดส่วนจำนวนประชากรโลกที่จะเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดตามการคาดการณ์ที่ให้ไว้ ณ ช่วงกลางทศวรรษ 2060

 

คำถามสำคัญสำหรับมนุษยชาติจะถูกถามอย่างท้าทายว่า โลกที่ยั่งยืนมีลักษณะอย่างไร? ซึ่งภายใต้คำถามอันยากเย็นแสนเข็ญนี้ พวกเราจะต้องพัฒนาวิธีใหม่ทั้งหมดในการจัดสรรอาหาร การเติมเชื้อเพลิง และรักษาวิถีชีวิตของพวกเรา ขณะเดียวกันก็จะต้องลดระดับการสะสมตัวของก๊าซคาร์บอนในชั้นบรรยากาศด้วย พวกเราจะต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีประชากรอยู่กันอย่างหนาแน่นขึ้นในเมืองที่ที่มีพื้นที่น้อยลง ขณะเดียวกันก็จะต้องหาทางลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับประชากรที่แออัด รวมถึงการขาดแคลนไฟฟ้า ปัญหาสุขอนามัย ความร้อนสูงเกินไป มลพิษต่างๆ และโรคติดเชื้อ

อย่างน้อยที่สุดความท้าทายก็คืองานที่จะเอาชนะความคิดที่ว่า พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนใดดินแดนหนึ่ง และดินแดนที่ว่านั้นเป็นล้วนเป็นดินแดนของพวกเราอย่างไม่สามารถแยกส่วนออกจากกันได้ พวกเราจึงจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่มีความหลากหลายทั่วโลก อาศัยอยู่ในเมืองใหม่ทางขั้วโลก พวกเราจะต้องมีความพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายอีกครั้ง เมื่อถึงเวลาจำเป็น และพึงจำไว้ด้วยว่าเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นทุกๆ องศา ผู้คนประมาณ 1 พันล้านคน จะถูกผลักให้เดินทางออกจากเขตที่มนุษย์เคยอาศัยอยู่มานานนับพันปี พวกเรากำลังหมดเวลาในการจัดการกับกลียุคที่กำลังจะมาถึงก่อนที่มันจะท่วมท้นและถึงแก่ชีวิต

การโยกย้ายไม่ใช่ปัญหา แต่มันคือทางออก

วิธีที่พวกเราจะใช้จัดการวิกฤตโลกครั้งนี้ และวิธีที่พวกเราจะถือปฏิบัติต่อกันอย่างมีมนุษยธรรมเมื่อพวกเราจำเป็นจะต้องอพยพย้ายถิ่น เหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในศตวรรษนี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่น หรือเป็นไปด้วยความขัดแย้งที่รุนแรงและการเสียชีวิตที่ไม่จำเป็น การจัดการที่ถูกต้องสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ อาจนำไปสู่การสร้างเครือจักรภพใหม่ของมนุษยชาติ เชื่อได้เลยว่า การย้ายถิ่นคือทางออกของเราจากวิกฤตนี้

ารย้ายถิ่นไม่ว่าจะเกิดจากภัยพิบัติเพื่อเดินทางไปสู่พื้นที่ที่มีความปลอดภัย หรือเพื่อไปยังดินแดนแห่งโอกาสใหม่ ล้วนเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งด้วยความร่วมมือกันของหลายๆ ฝ่าย การย้ายถิ่นฐานที่เป็นการดำเนินการผ่านความร่วมมืออย่างกว้างขวางของพวกเราเท่านั้นจึงจะสามารถย้ายถิ่นฐานได้อย่างสมบูรณ์ และการย้ายถิ่นของพวกเรานั้นได้หล่อหลอมสังคมโลกในปัจจุบันให้เกิดภูมิทัศน์ใหม่ในรูปแบบต่างๆ มากมาย อย่างไรก็ตาม การอพยพทำให้เอกลักษณ์ประจำชาติและพรมแดนมีความผิดปกติ

 

แนวคิดในการกีดกันคนต่างชาติออกไปโดยใช้พรมแดนนั้น ดูเหมมือนว่าจะเพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นานมานี้ ในอดีตรัฐต่างๆ เคยเป็นกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการหยุดยั้งไม่ให้ผู้คนของรัฐเดินทางออกไปนอกเขตอธิปไตย เป็นแบบนั้นมากกว่าการขัดขวางการมาถึงของผู้คนจากภายนอกรัฐ ที่เป็นเช่นนั้น เพราะพวกเขาต้องการแรงงานและภาษี

บางคนอาจคิดว่าธงชาติ เพลงชาติ และกองทัพที่ทำหน้าที่ปกป้องดินแดนของพวกเรานั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากต่อการพัฒนาสำนึกความเป็นชาติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ควรยกเครดิตให้ระบบราชการที่ประสบความสำเร็จ การแทรกแซงของรัฐบาลชีวิตของผู้คนมากขึ้นและการสร้างระบบราชการที่เป็นระบบ เป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินสังคมอุตสาหกรรมที่ซับซ้อน และสิ่งเหล่านี้ยังหล่อหลอมอัตลักษณ์ของชาติในตัวพลเมืองด้วย ตัวอย่างเช่น ปรัสเซียเริ่มจ่ายผลประโยชน์สำหรับการว่างงานในทศวรรษ 1880 ซึ่งเริ่มจ่ายในหมู่บ้านบ้านเกิดของคนงาน ซึ่งผู้คนและสถานการณ์ของพวกเขาเป็นที่ทราบกันดี แต่ก็มีการจ่ายให้กับผู้คนที่พวกเขาอพยพไปทำงานด้วย ซึ่งหมายถึงระบบราชการชั้นใหม่ที่จะกำหนดว่าใครเป็นชาวปรัสเซียและดังนั้นจึงมีสิทธิ์ได้รับผลประโยชน์ ส่งผลให้มีเอกสารสัญชาติและพรมแดนควบคุม เมื่อรัฐบาลใช้อำนาจควบคุมมากขึ้น ประชาชนก็ได้รับผลประโยชน์จากภาษีของตนมากขึ้น และมีสิทธิมากขึ้น เช่น การลงคะแนนเสียง ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของรัฐ กลายเป็นชนชาติของพวกเขา

รัฐประชาชาติเป็นโครงสร้างทางสังคมที่อาจประดิษฐ์ขึ้นใหม่ตามตำนานที่ว่าโลกประกอบด้วยกลุ่มที่แตกต่างกันแต่เป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งครอบครองส่วนต่างๆ ของโลก และอ้างความจงรักภักดีหลักของคนส่วนใหญ่ ความจริงนั้นยุ่งเหยิงยิ่งกว่านั้นมาก คนส่วนใหญ่พูดภาษาของหลายกลุ่ม และคนส่วนใหญ่มีเชื้อชาติและวัฒนธรรมเป็นบรรทัดฐาน แนวคิดที่ว่าอัตลักษณ์และความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลนั้น เชื่อมโยงกับกลุ่มชาติที่คิดค้นขึ้นมานั้นเป็นเรื่องไกลตัว แม้ว่ารัฐบาลหลายประเทศจะคาดการณ์ไว้ก็ตาม เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน นักรัฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงได้บรรยายรัฐชาติว่าเป็น ชุมชนในจินตนาการ

ครอบครัวชาวอัฟกันย้ายจากพื้นที่แห้งแล้งในจังหวัดแบกดิสของประเทศในปี 2021 Photograph: Hoshang Hashimi/AFP/Getty Images

 

ไม่น่าแปลกใจเลยที่รูปแบบรัฐชาติมักจะล้มเหลว ทำให้มีสงครามกลางเมืองมากมายกว่า 200 ครั้ง นับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม มีตัวอย่างมากมายของรัฐชาติที่ทำงานได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะประกอบด้วยชนกลุ่มต่างๆ หลากหลาย เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และแทนซาเนีย หรือประเทศที่สร้างขึ้นมาจากผู้อพยพทั่วโลก เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ในระดับหนึ่ง รัฐชาติทั้งหมดได้ก่อตัวขึ้นจากการผสมผสานของกลุ่มต่างๆ เมื่อรัฐชาติล้มลุกคลุกคลานหรือล้มเหลว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความหลากหลาย แต่ยังขาดความครอบคลุมอย่างเป็นทางการเพียงพอ โดยเฉพาะความเสมอภาคในสายตาของรัฐ โดยไม่คำนึงว่าบุคคลนั้นจัดอยู่ในกลุ่มใด รัฐบาลที่ไม่มั่นคงเป็นเพราะรัฐบาลนั้นเป็นพันธมิตรกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ เมื่อรัฐบาลหันไปสนับสนุนกลุ่มอื่นๆ จึงสร้างความไม่พอใจและเสนอกลุ่มหนึ่งต่อกลุ่มอื่นๆ ซึ่งส่งผลให้ผู้คนถอยกลับไปหาพันธมิตรที่เชื่อถือได้ตามเครือญาติ

ประชาธิปไตยที่ได้รับมอบอำนาจจากประชาชนโดยทั่วไปจะมีเสถียรภาพมากกว่า แต่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากระบบราชการที่ซับซ้อน ชาติต่างๆ ที่ได้ดำเนินแนวทางนี้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น มอบอำนาจให้กับชุมชนท้องถิ่น ให้พวกเขามีสิทธิมีเสียงและมีสิทธิ์ในกิจการของตนเองภายในรัฐชาติ อย่างเช่นในกรณีของแคนาดาหรือมณฑลของสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศอย่างแทนซาเนียสามารถทำหน้าที่เป็นผสมผสานกลุ่มชาติพันธุ์และภาษาต่างๆ ภายในชาติ ได้อย่างน้อย 100 กลุ่มชาติพันธุ์และภาษา ด้วยการยอมรับกลุ่มชาติพันธุ์ ภาษา และวัฒนธรรม ที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ในสิงคโปร์ซึ่งมีการบูรณาการประชากรหลายเชื้อชาติอย่างมีสติและรอบคอบ โดยจะพบว่าปฏิสัมพันธ์ของคนในต่างชาติพันธุ์ในชาตินั้น อย่างน้อยหนึ่งในห้าของการแต่งงานเป็นการข้ามเชื้อชาติ ไม่เหมือนกับลำดับชั้นที่ไม่เป็นธรรมระหว่างกลุ่มทำให้สิ่งนี้ยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกำหนดโดยเสียงข้างมากโดยเสียงข้างน้อย

ในเดือนเมษายน 2021 คริสตี นอเอม ผู้ว่าการรัฐเวาท์ดาโกตา ได้ทวีตข้อความว่า เซาท์ดาโคตาจะไม่รับผู้อพยพผิดกฎหมายที่ฝ่ายบริหารของโจไบเดนต้องการจะย้ายเข้ามา ข้อความของฉันนี้ขอส่งไปถึงผู้อพยพผิดกฎหมาย โทรหาฉันเมื่อคุณเป็นคนอเมริกัน

เรื่องนี้คงพอพิจารณาได้ว่าเซาท์ดาโคตามีอยู่ได้เพียงเพราะผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารจำนวนหลายพันคนจากยุโรปใช้พระราชบัญญัติที่อยู่อาศัยตั้งแต่ปี 1860-1920 เพื่อยึดครองที่ดินจากชนพื้นเมืองอเมริกันอย่างไร้จริยธรรม โดยไม่มีค่าชดเชยหรือฟื้นฟู ทัศนคติแบบผูกขาดจากผู้นำแบบนี้ ทำให้สำนึกของการเป็นพลเมืองร่วมกันอ่อนแอลง สร้างความแตกแยกระหว่างผู้อยู่อาศัยที่ถือว่าเป็นเจ้าของและผู้ที่ไม่ใช่

การรวมตัวอย่างเป็นทางการโดยระบบราชการแห่งชาติเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการสร้างเอกลักษณ์ของชาติในพลเมืองทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีแรงงานข้ามชาติจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา แต่มรดกของความอยุติธรรมที่ตกทอดมานานหลายทศวรรษหรือหลายศตวรรษยังคงมีอยู่ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

นวหน้าในสงครามต่อต้านผู้อพยพของยุโรป คือ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีการลาดตระเวนโดยเรือรบอิตาลี ที่ได้รับมอบหมายให้สกัดกั้นเรือขนาดเล็กที่มุ่งหน้าไปยังสหภาพยุโรป และบังคับให้พวกเขาหันหัวไปยังท่าเรือในลิเบียบนชายฝั่งแอฟริกาเหนือแทน เรือคาเปรราเป็นเรือรบลำหนึ่งที่ได้รับการชื่นชมจากรัฐมนตรีกิจการภายในของอิตาลี โดยได้กล่าวถึงเรือลำนี้ว่า เป็นการทำหน้าที่ต่อต้านผู้อพยพและคอยปกป้องความมั่นคงของประเทศด่านหน้าแห่งนี้ ด้วยการสกัดกั้นเรือผู้อพยพมากกว่า 80 ลำ ซึ่งบรรทุกคนมากกว่า 7 พันคน พร้อมนี้เขายังได้ทวีตและโพสต์ภาพของตัวเองกับทีมงานในปี 2018 ด้วยการเขียนสดุดีวีรกรรมครั้งนี้ว่า ภารกิจเกียรติยศ!

 

อย่างไรก็ตาม ระหว่างการตรวจสอบเรือคาเปรราในปีเดียวกันนั้น ตำรวจพบบุหรี่เถื่อนมากกว่า 7 แสนมวน และสินค้าหนีภาษีอื่นๆ อีกจำนวนมาก ที่ลูกเรือนำเข้ามาจากลิเบียเพื่อขายทำกำไรในอิตาลี ในการสืบสวนเพิ่มเติม องค์กรที่ลักลอบขนสินค้ากลับพบว่า เกี่ยวข้องกับเรือทหารอีกหลายลำ ผมรู้สึกเหมือนตกลงไปในไฟนรกกาเบรียล การ์กาโน เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นผู้นำการสืบสวนกล่าว

กรณีนี้เน้นให้เห็นถึงความไร้เหตุผลที่สำคัญเกี่ยวกับทัศนคติต่อการย้ายถิ่นฐานในปัจจุบัน การควบคุมการเข้าเมืองถือเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่สำหรับผู้คนแล้ว พวกเขาไม่ใช่สิ่งของ ความพยายามอย่างมากในการทำให้สามารถเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ และเงินข้ามพรมแดนได้ ทุกๆ ปีมีการขนส่งสิ่งของไปทั่วโลกมากกว่า 1.1 หมื่นล้านตัน หรือเทียบเท่ากับ 1.5 ตันต่อคนต่อปี ขณะที่มนุษย์ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดนี้ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ประเทศอุตสาหกรรมที่มีความท้าทายด้านประชากรและการขาดแคลนแรงงานที่สำคัญถูกขัดขวางไม่ให้จ้างแรงงานข้ามชาติที่สิ้นหวังในการทำงาน

ผลพวงจากไฟป่าที่เผาผลาญพื้นที่ป่ากว่า 1 ล้านเฮกตาร์ ในดินแดนครัสโนยาสค์ของไซบีเรียเมื่อปี 2019 Photograph: Donat Sorokin/Tass

 

ปัจจุบันไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรระดับโลกที่ดูแลการเคลื่อนย้ายของผู้คนทั่วโลก รัฐบาลของชาติต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน แต่นี่กลับกลายเป็นองค์กรอิสระจากองค์การสหประชาชาติ แทนที่จะเป็นหน่วยงานที่แท้จริงขององค์การสหประชาชาติ รัฐบาลของแต่ละประเทศไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของสมัชชาใหญ่และไม่สามารถกำหนดนโยบายร่วมกันที่จะช่วยให้ประเทศสามารถทำงานเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ผู้อพยพเป็นผู้นำเสนอเข้ามา ผู้ย้ายถิ่นมักได้รับการจัดการโดยกระทรวงต่างประเทศของแต่ละประเทศ แทนที่จะเป็นหน้าที่ของกระทรวงแรงงาน ดังนั้น การตัดสินใจจึงทำโดยไม่มีข้อมูลหรือนโยบายที่ประสานกันเพื่อจับคู่ผู้คนกับตลาดงาน เราต้องการกลไกใหม่ในการจัดการการเคลื่อนย้ายแรงงานทั่วโลกอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของพวกเรา

 

การเจรจาระหว่างกันเกี่ยวกับการโยกย้ายกลายเป็นสิ่งที่ควรได้รับอนุญาต มากกว่าการวางแผนสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น นานาประเทศจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวคิดในการควบคุมไปสู่การจัดการการย้ายถิ่นฐาน อย่างน้อยที่สุด เราต้องการกลไกใหม่สำหรับการอพยพและเคลื่อนย้ายแรงงานทางเศรษฐกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย และการคุ้มครองที่ดีกว่ามากสำหรับผู้ที่หลบหนีอันตราย

ภายในไม่กี่วันหลังจากรัสเซียรุกรานยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ผู้นำสหภาพยุโรปได้ประกาศใช้นโยบายเปิดพรมแดนสำหรับผู้ลี้ภัยที่หนีความขัดแย้ง โดยให้สิทธิในการใช้ชีวิตและทำงานข้ามกลุ่มเป็นเวลาสามปี และช่วยเหลือเรื่องที่อยู่อาศัย การศึกษา การขนส่ง และความต้องการอื่นๆ  นโยบายนี้ช่วยชีวิตผู้คนได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการที่ผู้คนหลายล้านคนไม่ต้องผ่านกระบวนการขอลี้ภัยที่ยืดเยื้อ ผู้ลี้ภัยจึงสามารถแยกย้ายกันไปยังสถานที่ที่พวกเขาสามารถช่วยตัวเองได้ดีขึ้นและได้รับความช่วยเหลือจากชุมชนท้องถิ่น ผู้คนทั่วสหภาพยุโรปรวมตัวกันในชุมชนของตน บนสื่อสังคมออนไลน์ และผ่านสถาบันต่างๆ เพื่อจัดระเบียบวิธีการรับผู้ลี้ภัย

พวกเขาเสนอห้องพักในบ้านของพวกเขา รวบรวมเสื้อผ้าและของเล่นที่บริจาค ตั้งค่ายภาษาและการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกกฎหมายเนื่องจากนโยบายเปิดพรมแดน สิ่งนี้ช่วยลดภาระของรัฐบาลกลาง เมืองเจ้าภาพ และผู้ลี้ภัย

ารย้ายถิ่นต้องใช้เงินทุน การติดต่อ และความกล้าหาญ โดยปกติจะมีความยากลำบากในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ในขั้นต้น เนื่องจากผู้คนถูกกีดกันจากครอบครัว สภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย และภาษา บางประเทศแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะย้ายที่ทำงาน และในบางประเทศ พ่อแม่ถูกบังคับให้ทิ้งลูกที่อาจไม่มีวันเติบโตเอาไว้เบื้องหลัง เด็กชาวจีนทั้งรุ่นที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะได้เห็นหน้าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเพียงหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้น ปีละครั้งนั้นในช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ

 

ในประเทศจีน ผู้คนหลายร้อยล้านคนติดอยู่ในพื้นที่รกร้างระหว่างหมู่บ้านและเมือง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรๆ ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากติดกับดักกฎหมายที่ดินโบราณ รวมถึงการขาดแคลนที่อยู่อาศัยทางสังคม การดูแลเด็ก โรงเรียน หรือสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะอื่นๆ ในเมือง หมู่บ้านเหล่านี้ยังชีพอยู่ได้ด้วยเงินส่งกลับจากแรงงานที่ขาดงาน ซึ่งพวกเขาไม่สามารถขายที่นาของตนได้ เพราะกลัวว่าจะสูญเสียที่ดินซึ่งเป็นหลักประกันทางสังคมเพียงอย่างเดียวของพวกเขา เด็กที่ถูกทิ้งและถูกแยกตัวออกไปจะได้รับการดูแลจากญาติสูงวัยของพวกเขาเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม แรงงานข้ามชาติไม่มีความสามารถที่จะซื้อบ้านในเมืองได้ พวกเขาจึงต้องกลับไปที่หมู่บ้านเมื่อเกษียณอายุ และเริ่มต้นวงจรแบบนี้ใหม่อีกหลายรอบ

ในกรณีอื่นๆ ผู้ย้ายถิ่นจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าธรรมเนียมต่างๆ จำนวนมหาศาลให้กับนักค้ามนุษย์ เพื่อเป็นใบเบิกทางให้สามารถเดินทางไปทำงานในเมืองหรืองานต่างประเทศ เพียงเพื่อจะให้ได้พบว่าตัวเองอยู่ในสถานะที่ดีกว่าการเป็นทาสเล็กน้อย โดยทำงานตามสัญญาของพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะได้หนังสือเดินทางคืนและกลับบ้าน เงินจำนวนเล็กน้อยที่พวกเขาหาได้จะถูกส่งกลับบ้าน ซึ่งรวมถึงคนงานก่อสร้างชาวเอเชียและคนทำงานบ้านในตะวันออกกลางและยุโรปด้วยที่ได้รับการคุ้มครองเพียงเล็กน้อย และอาจจบลงด้วยการบังคับใช้แรงงานในอุตสาหกรรมทางเพศ หรือในสภาพที่ไร้มนุษยธรรมในโรงงานแปรรูปอาหารหรือเสื้อผ้าสำเร็จรูป ผู้ย้ายถิ่นส่วนใหญ่พยายามปรับปรุงชีวิตของพวกเขา เช่นเดียวกับพวกเราทุกคน โดยการย้ายถิ่นฐาน บางคนอพยพเพื่อช่วยชีวิตพวกเขา

กายา วินเซอ เล่าว่าเคยไปเยี่ยมผู้คนในค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศต่างๆ ทั่วทั้งสี่ทวีป ในสถานที่เหล่านั้นที่ผู้คนนับล้านอาศัยอยู่ภายในพื้นที่กักบริเวณเป็นระยะเวลาที่ไม่แน่นอนเพื่อรอการตัดสินใจหรือการลงมติอย่างมีเงื่อนไข บางครั้งบางทีพวกเขาอยู่ที่นั่นมาหลายชั่วอายุคนแล้วด้วยซ้ำ ไม่ว่าค่ายผู้ลี้ภัยจะเต็มไปด้วยชาวซูดาน ชาวทิเบต ชาวปาเลสไตน์ ชาวซีเรีย ชาวซัลวาดอร์ หรือชาวอิรัก ปัญหาก็เหมือนกัน ผู้คนล้วนต้องการอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งหมายถึงการได้มีโอกาสใช้ความสามารถในการหาเลี้ยงครอบครัว ได้รับอนุญาตให้ทำงาน ย้ายไปมา และใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย ในปัจจุบัน มีหลายชาติที่ขอพรแบบนี้ แม้ว่าจะดูเรียบง่ายและเป็นประโยชน์ร่วมกันก็ตาม แต่โอกาสเป็นไปได้กลับมีน้อยมากสำหรับผู้ที่ต้องการมากที่สุด เมื่อสภาพแวดล้อมของพวกเราเปลี่ยนไป ความเสี่ยงอีกนับล้านที่จะจบลงในสถานที่เหล่านี้ ทั่วโลก ระบบปิดพรมแดนและนโยบายการย้ายถิ่นที่ไม่เป็นมิตรนี้ ทำงานอย่างผิดปกติและไม่ได้ทำงานเพื่อประโยชน์ของใคร

พวกเรากำลังพบเจอการพลัดถิ่นของมนุษย์ในระดับสูงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และปรากฏการณ์แบบนี้จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ในปี 2020 ผู้ลี้ภัยทั่วโลกมีเกิน 100 ล้านคน จำนวนนี้มีเพิ่มขึ้นอีกสามเท่า นับตั้งแต่ปี 2010 และครึ่งหนึ่งของผู้อพยพเหล่านี้เป็นเด็ก ซึ่งหมายความว่า 1 ใน 78 คนบนโลก ถูกบีบบังคับให้ต้องหนี ผู้ลี้ภัยที่ลงทะเบียนเป็นทางการเป็นเพียงเศษเสี้ยวของผู้ที่ถูกบังคับให้ออกจากบ้านเนื่องจากสงครามหรือภัยพิบัติ

 

นอกเหนือจากนี้ ยังมีผู้อพยพที่ยังไม่มีเอกสารถึง 350 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติคาดการณ์ไว้ว่าในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวมีจำนวนสูงอย่างน่าประหลาดใจถึง 22 ล้านคน ทั้งหมดนี้รวมถึงแรงงานนอกระบบและผู้ที่ย้ายไปตามเส้นทางโบราณที่ข้ามพรมแดนของประเทศ คนเหล่านี้พบว่าตนเองไม่ได้รับการยอมรับทางกฎหมายมากขึ้นเรื่อยๆ อาศัยอยู่ชายขอบ และไม่ได้รับประโยชน์จากระบบสนับสนุนทางสังคม

 

ตราบใดที่ประชากร 4.2 พันล้านคน ยังต้องอยู่อย่างยากจน และช่องว่างทางรายได้ระหว่างประเทศมั่งคั่งกับประเทศยากจนยังคงเพิ่มขึ้น ผู้คนจะต้องย้ายถิ่นฐาน และผู้ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศจะได้รับผลกระทบอย่างไม่สมส่วน ประเทศต่างๆ มีพันธกรณีในการเสนอที่ลี้ภัยให้กับผู้ลี้ภัย แต่ภายใต้คำนิยามทางกฎหมายของผู้ลี้ภัยซึ่งเขียนไว้ในอนุสัญญาผู้ลี้ภัยปี 1951 ไม่รวมถึงผู้ที่ต้องออกจากบ้านเนื่องจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

สิ่งต่างๆ เริ่มเปลี่ยนไป แม้ว่าการตัดสินที่สำคัญในปี 2020 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ตัดสินว่าไม่สามารถส่งผู้ลี้ภัยจากสภาพอากาศกลับบ้านได้ หมายความว่า รัฐจะละเมิดพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน หากดำเนินการส่งคนกลับประเทศที่เผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เพราะชีวิตของพวกเขาจะต้องตกอยู่ในอันตราย อย่างไรก็ตาม คำตัดสินของคณะกรรมการไม่มีผลผูกพันระหว่างประเทศ

 

ทุกวันนี้ ผู้พลัดถิ่นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิภูมิอากาศมีราว 50 ล้านคน นับได้ว่ามีจำนวนมากกว่าผู้ที่หลบหนีการประหัตประหารทางการเมือง ความแตกต่างระหว่างผู้ลี้ภัยและผู้อพยพทางเศรษฐกิจนั้นแทบจะแยกไม่ออกอย่างชัดเจน และยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีกจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ในขณะที่การทำลายล้างครั้งใหญ่ของพายุเฮอริเคนที่พัดถล่มหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านสามารถทำให้ผู้คนลี้ภัยได้ในชั่วข้ามคืน แต่บ่อยครั้งที่ผลกระทบของสภาพอากาศแปรปรวนต่อชีวิตของผู้คนนั้นค่อยเป็นค่อยไป การเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรที่ไม่ดีอีกครั้งหรืออีกฤดูที่ร้อนจนทนไม่ได้ ซึ่งกลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา/วิกฤตที่ผลักดันให้ผู้คนแสวงหาทำเลที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวที่ดีกว่า

 

อย่างไรก็ดีสิ่งนี้ควรให้เวลาโลกในการปรับตัวให้เข้ากับการอพยพจำนวนมากที่จะมาถึง นั่นคือ การปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศขั้นสูงสุด ทางกลับกัน ในขณะที่สภาพแวดล้อมมีอันตรายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกกลับใช้จ่ายมากขึ้นในการเสริมกำลังทหารบริเวณพรมแดนของตน สร้างกำแพงกั้นความเดือนร้อนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate wall) - มากกว่าที่พวกเขาพึงกระทำในภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ การเติบโตของศูนย์กักกันและการประมวลผลนอกชายฝั่งสำหรับผู้ขอลี้ภัยไม่เพียงเพิ่มยอดผู้เสียชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่น่าชิงชังที่สุดของความล้มเหลวของประเทศที่ร่ำรวยในการบรรเทาผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคที่ยากจนที่สุด พวกเราต้องพากันตื่นตัวต่อการสร้างลัทธิใหม่ที่เรียกว่า ชาตินิยมสภาพภูมิอากาศ (climate nationalists) ซึ่งต้องการสนับสนุนการจัดสรรดินแดนที่ปลอดภัยกว่าในโลกของพวกเราอย่างไม่เท่าเทียมกัน

นี่เป็นวิกฤตระดับดาวเคราะห์ที่ต้องการข้อตกลงการอพยพย้ายถิ่นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับโลก แต่ในเวลาเดียวกัน ข้อตกลงการเคลื่อนย้ายอย่างเสรีระดับภูมิภาคในแบบที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปปฏิบัติอย่างน่าชื่นชม จะสามารถช่วยได้ ข้อตกลงดังกล่าวช่วยให้ผู้อยู่อาศัยในหมู่เกาะแคริบเบียนที่ประสบภัยพิบัติสามารถหาที่หลบภัยได้อย่างปลอดภัย

 

ความเป็นจริงแล้วผู้คนส่วนใหญ่สามารถอยู่รอดได้ภายใต้สภาวะการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพียงแต่ว่าเป็นนโยบายบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนของพวกเราเท่านั้น ที่จะกลายเป็นอาวุธสังหารผู้ฆ่าคน และเมื่อการอพยพเคลื่อนย้ายของมนุษย์จำนวนมากในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อน กำลังจะเกิดขึ้น และจะครอบงำศตวรรษนี้ทั้งศตวรรษ นี่จึงอาจเป็นหายนะ หรือหากมีการจัดการให้ดีได้ ก็อาจเป็นทางรอดของพวกเรา

 

ามเดือนต่อมา กาญ่า วินเซอ อธิบายถึงความจำเป็นที่จะต้องวางแผนจัดการแบบใหม่ในบทความเรื่อง ‘Is the world ready for mass migration due to climate change?’ ในบีบีซีออนไลน์ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2022 โดยย้อนกลับไปถึงอดีตของตัวเองว่า ชีวิตวัยเด็กเธอหมกมุ่นอยู่กับแผนที่มาตั้งแต่ครั้งแรก เธอค้นหาทิศทางของเขาในป่า ‘ฮันด์เรด เอเคอร์ วู้ด’ ของหมีพูวินนี โดยพยายามค้นหาว่าที่ไหนเหมาะสำหรับปิคนิค รวมถึงค้นหาตำแหน่งบ้านของตัวละครแต่ละตัว วัยเด็กจึงหมดไปกับการเรียนและวาดแผนที่ขุมทรัพย์ วาดแผนที่ดินแดนในจินตนาการ และวางแผนเส้นทางไปยังสถานที่ห่างไกลที่อยากจะเดินทางไป

 

ทุกวันนี้ บ้านของวินเซอเต็มไปด้วยแผนที่ที่เก็บรวบรวมเองหรือไม่ก็ได้รับมาจากคนอื่นๆ เธอบอกว่า นี่เองที่เป็นการย้ำเตือนถึงสถานที่ที่มีความพิเศษมากๆ จนทำให้เธอสนใจอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา รวมถึงข้างๆ โต๊ะทำงานก็ยังมีแผนที่โลกขนาดใหญ่ แสดงพื้นที่ของทวีปต่างๆ ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากมหาสมุทรด้วยโมเสกหลากสี แต่ละแถบสี คือ ประเทศที่แยกจากเพื่อนบ้านด้วยเส้นที่วาดอย่างประณีตบนการแสดงสองมิติของโลกของเรา

 

พรมแดนถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน น้ำหมึกทำหน้าที่แบ่งแยกเชื้อชาติที่มีชะตากรรมแตกต่างกันออกจากกัน สำหรับวินเซอแล้วแนวเส้นกั้นเขตพรมแดนเหล่านี้มันช่างแสดงถึงความเป็นไปได้ที่น่าตื่นเต้น พร้อมๆ กับมีศักยภาพชวนให้ทำการสำรวจและผจญภัยเป็นอย่างยิ่ง การเดินทางผ่านเข้าไปเยี่ยมชมวัฒนธรรมต่างประเทศ ทั้งอาหาร ภาษา และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ภายใต้แนวที่เปรียบเป็นเหมือนกับกำแพงคุกที่คอยทำหน้าที่จำกัดความเป็นไปได้ทั้งหมดเอาไว้ในนั้น

 

พรมแดนเป็นเส้นกำหนดชะตากรรม กำหนดอายุขัย ระบุตัวตนของเรา และอื่นๆ อีกมากมาย ถึงกระนั้นพรมแดนก็ยังคงเป็นสิ่งประดิษฐ์เช่นเดียวกับแผนที่ที่พวกเราเคยบรรจงวาดมันขึ้นมา พรมแดนไม่ได้มีอยู่จริงในภูมิประเทศที่เปลี่ยนรูปไม่ได้ พรมแดนไม่ใช่ส่วนที่เป็นธรรมชาติของโลก แต่พรมแดนเพิ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

 

อย่างไรก็ตาม เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าเส้นจินตภาพเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่เหมาะกับโลกในศตวรรษที่ 21 ที่มีประชากรเพิ่มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีมากขึ้นทุกวันๆ รวมถึงภาวะการขาดแคลนทรัพยากรที่เกิดความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อันที่จริง แนวคิดในการกีดกันคนต่างชาติออกไปโดยใช้พรมแดนนั้นค่อนข้างจะเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ รัฐต่างๆ เคยเป็นกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการหยุดไม่ให้ผู้คนออกไปมากกว่าการขัดขวางการเข้ามาถึง พวกเขาต้องการแรงงานและภาษี และการย้ายถิ่นฐานยังคงสร้างปัญหาปวดหัวให้กับหลายรัฐ

 

อย่างไรก็ตาม พรมแดนของมนุษย์ที่แท้จริงไม่ได้ถูกกำหนดโดยการเมืองหรืออำนาจอธิปไตยของชาติพันธุ์ด แต่กำหนดขึ้นมาโดยคุณสมบัติทางกายภาพของโลก พรมแดนบนดาวเคราะห์สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างเราๆ เหล่านี้ ถูกกำหนดโดยลักษณะทางภูมิศาสตร์และสภาพภูมิอากาศ อย่างเช่นตัวอย่างที่ว่ามนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในทวีปแอนตาร์กติกาหรือในทะเลทรายซาฮารา เป็นต้น เมื่ออุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และสภาพอากาศที่รุนแรงในทศวรรษหน้า พื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดจะยากต่อการอยู่อาศัยมากขึ้น ทั้งพื้นที่ที่เป็นชายฝั่ง รัฐที่เป็นเกาะ และเมืองใหญ่ในเขตร้อน สถานที่เหล่านั้นจะได้รับผลกระทบหนักที่สุดตามการคาดการณ์ของนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศ

 

เมื่อไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะที่รุนแรงขึ้นได้ ผู้คนนับล้านหรืออาจจะหลายพันล้านคนก็จะต้องย้ายถิ่น

 

 พรมแดนมักเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว แต่ในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่? (Credit: Nicolas Economou/Getty Images)

 

พื้นที่บนโลกส่วนที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดกระจุกตัวอยู่รอบๆ เส้นขนานที่ 25-26 ทางเหนือ ซึ่งแต่เดิมเป็นละติจูดที่มีสภาพอากาศสบายที่สุด และผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การผลิตอาหาร ผู้คนทั้งหมดประมาณ 279 ล้านคน อัดแน่นกันอาศัยอยู่ในบริเวณผืนแผ่นดินเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งตัดผ่านประเทศต่างๆ เช่น อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ จีน สหรัฐอเมริกา และเม็กซิโก

 

แต่เงื่อนไขของบริเวณแถบนี้กำลังจะเปลี่ยนไป โดยเฉลี่ยแล้ว ภูมิอากาศที่เหมาะเฉพาะ (nitch climate) ซึ่งเป็นช่วงของเงื่อนไขที่ชนิดพันธุ์ต่างๆ จะสามารถอยู่ได้ตามปกติทั่วโลกจะเคลื่อนที่ขึ้นไปทางขั้วโลกด้วยอัตราความเร็ว 1.15 เมตรต่อวัน แม้ว่าจะมีบางพื้นที่ที่เคลื่อนที่เร็วกว่านั้นมากก็ตาม ดังนั้น การปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งหมายถึงการไล่ตามพื้นที่เฉพาะส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงของเราเอง ซึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในช่วงอุณหภูมิ -11°C ถึง 15°C (12°F ถึง 59°F) ขณะที่เขตพื้นที่เฉพาะนี้อพยพขึ้นไปทางเหนือจากแนวศูนย์สูตร ขีดจำกัดความน่าอยู่ที่แท้จริง (livability limits) คือ พรมแดนที่เราต้องกังวลในขณะที่โลกร้อนขึ้นในศตวรรษนี้ อันจะนำมาซึ่งความร้อนที่รุนแรงจนไม่อาจทนได้ ความแห้งแล้ง น้ำท่วม ไฟไหม้ พายุ และการกัดเซาะชายฝั่ง ทำให้ไม่วามารถทำการเกษตรเพื่อผลิตอาหารได้ และทำให้ผู้คนต้องกลายสภาพเป็นคนพลัดถิ่น

 

มีการบันทึกจำนวนผู้คนที่ถูกบังคับให้หนีออกจากบ้านทุกปีๆ ที่ผ่านไป โดยปี 2021 มีประชากรผู้ถูกบีบบังคับให้ย้ายถิ่นออกไปราว 89.3 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเทียบจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และในปี 2022 ประชากรที่อพยพย้ายถิ่นมีจำนวนสูงถึง 100 ล้านคน ภัยพิบัติจากสภาพอากาศทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องพลัดถิ่นมากกว่าความขัดแย้ง อุทกภัยทำให้ชาวปากีสถาน 33 ล้านคน ต้องพลัดถิ่นในปี 2022 ที่ผ่านมานี้ ขณะที่อีกนับล้านในแอฟริกาได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและภัยจากความอดอยาก ตั้งแต่พื้นที่ที่เป็นดินแดนจะงอยแอฟริกาไปจนถึงชายฝั่งตะวันตกของทวีป

 

นายฟิลิปโป กรันดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ร้องขอต่อผู้นำระดับโลกในการประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ COP27 ให้ดำเนินการอย่างกล้าหาญเพื่อจัดการกับผลกระทบด้านมนุษยธรรมของภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงนั้นจำเป็นต้องเป็น ‘การเปลี่ยนแปลง’ ตามหลักการของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ โดยกรันดีกล่าวว่า ‘เราไม่สามารถปล่อยให้ผู้พลัดถิ่นหลายล้านคนและพวกเขาที่ยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่เดิม ต้องเผชิญกับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงเพียงลำพัง’

 

หากไม่มีการดำเนินการใดๆ ผู้คนหลายร้อยล้านคนจะต้องออกจากบ้านภายในปี 2050 ตามการประมาณการบางอย่าง การศึกษาเกี่ยวกับอนาคตของพื้นที่ที่มีสภาพภูมิอากาศเหมาะเฉพาะของมนุษย์ เรื่อง Future of the human climate nicheของซู โคห์เลอร์ เลนตัน และเชฟเฟอร์ (Xu, Kohler, Lenton & Scheffer 2020) ที่ได้คาดการณ์เอาตามสถานการณ์การเติบโตของประชากรและภาวะโลกร้อนว่าปี 2070 ‘ประชากรจำนวนหนึ่งถึงสามพันล้านคน จะถูกทิ้งให้อยู่นอกเขตภูมิภาคที่มีสภาพอากาศเหมาะสมสำหรับมนุษยชาติ ที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่มาตลอด 6,000 ปีที่ผ่านมา

 

ด้วยการมีผู้คนจำนวนมากที่จะต้องเคลื่อนย้าย อันนี้หมายความว่า พรมแดนทางการเมืองที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างชัดเจน เพื่อความมั่นคงของชาติ พรมแดนดังกล่าวนี้จะไร้ความหมายมากขึ้นหรือไม่ ? ภัยคุกคามที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบทางสังคม ทำให้ความมั่นคงของชาติที่อยู่รอบๆ แคบลง และคลื่นความร้อนได้คร่าชีวิตผู้คนมากกว่าผู้เสียชีวิตจากความรุนแรงในสงครามแล้ว

 

เมื่อรวมเข้ากับสิ่งที่กล่าวมาแล้วนี้ การที่ประชากรโลกยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยากจน ดูเหมือนว่าประชากรในแอฟริกาจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเกือบสามเท่าภายในปี 2100 และแม้ว่าภูมิภาคอื่นๆ จะเติบโตช้ากว่านั้นก็ตาม ซึ่งหมายความว่า จะมีผู้คนจำนวนมากขึ้นในพื้นที่ที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ภูมิภาคที่มีภัยแล้งและภัยพิบัติจากพายุ ผู้คนจำนวนมากที่ต้องการอาหาร น้ำ พลังงาน ที่อยู่อาศัย และทรัพยากร สิ่งเหล่านี้จะหาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ

 

ขณะเดียวกัน ประเทศส่วนใหญ่ที่เป็นประเทศร่ำรวย พวกเขาก็กำลังเผชิญกับวิกฤตประชากร (demographic crisis) ซึ่งมีทารกน้อยไม่เพียงพอที่จะรองรับประชากรสูงอายุ การย้ายถิ่นฐานที่มีการจัดการที่ดีสามารถช่วยแก้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในโลกหลายปัญหา ช่วยลดจำนวนผู้คนที่ต้องอาศัยอยู่ภายใต้ภาวะความยากจนและการทำลายล้างของสภาพภูมิอากาศ รวมถึงจะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศที่มั่งคั่งด้วยการสร้างกำลังแรงงานทดแทนที่ขาดได้เป็นอย่างดี

 

แต่อุปสรรคสำคัญ คือ ระบบการจัดการพรมแดนที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ กลายเป็นข้อจำกัดอย่างมากสำหรับการเคลื่อนย้าย ซึ่งข้อจำกัดเหล่านี้ถูกกำหนดขึ้นมาโดยรัฐบางรัฐหรือโดยรัฐที่ต้องการเข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ตรงนั้น ความจริงแล้วทุกวันนี้ ประชากรทั่วโลกกว่าร้อยละ 3 เป็นผู้อพยพข้ามชาติ อย่างไรก็ตาม แรงงานข้ามชาติมีส่วนร่วมราวร้อยละ 10 ของผลผลิตมวลรวมของโลก หรือคิดเป็น 6.7 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าที่พวกเขาจะผลิตได้ในประเทศต้นทางราวการอพยพถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์ มิชาเอล เกลมองส์ นักเศรษฐศาสตร์ของศูนย์พัฒนาโลก (Center for Global Development) คำนวณว่า การเปิดให้มีการย้ายถิ่นอย่างเสรีสามารถช่วยเพิ่มผลผลิตมวลรวมโลกได้มากถึงสองเท่า นอกจากนี้ ยังจะทำให้เกิดการความหลากหลายทางวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การย้ายถิ่นจะช่วยปรับปรุงนวัตกรรม ในเวลาที่เราต้องแก้ปัญหาความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การย้ายถิ่นอาจเป็นเพียงสิ่งที่จำเป็นที่จะสามารถนำเอาประสบการณ์ของผู้คนที่ย้ายถิ่นเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหราชอาณาจักรสนับสนุนการอพยพจากประเทศในเครือจักรภพ เพื่อช่วยชดเชยการขาดแคลนแรงงาน (Credit: Haywood Magee/Hulton Archive/Getty Images)

 

การลบเส้นพรมแดนหรือทำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกระแสแรงงานข้ามชาติ มีศักยภาพในการปรับปรุงความยืดหยุ่นของมนุษยชาติต่อความเครียดและความตื่นตระหนกจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก เชื่อได้อย่างมั่นใจว่า ด้วยการจัดการที่ดี การย้ายถิ่นจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน

 

จะเป็นอย่างไรหากพวกเราคิดว่าโลกเป็นเครือจักรภพของมนุษยชาติทั่วโลก ซึ่งผู้คนมีอิสระที่จะย้ายไปที่ไหนก็ได้ที่พวกเขาต้องการ พวกเราต้องการกลไกใหม่ในการจัดการการเคลื่อนย้ายแรงงานทั่วโลกอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของเรา มีข้อตกลงการค้าระดับโลกที่หลากหลายอยู่แล้วสำหรับการเคลื่อนย้ายทรัพยากรและผลิตภัณฑ์อื่นๆ แต่มีเพียงไม่กี่รายที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแรงงาน

 

ประมาณร้อยละ 60 ของประชากรโลกมีอายุต่ำกว่า 40 ปี ครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้ (และกำลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ) มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และพวกเขาจะเป็นผู้สร้างประชากรส่วนใหญ่ของโลกไปตลอดช่วงที่เหลือของศตวรรษนี้ คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่หางานทำด้วยความกระตือรือร้นจำนวนมากเหล่านี้ มีแนวโน้มที่จะอยู่ในกลุ่มที่จะเคลื่อนย้ายตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะช่วยเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืนได้ หรือว่าพวกเราจะปล่อยให้ความสามารถพิเศษของพวกเขาจะสูญเปล่าไป?

 

การสนทนาเกี่ยวกับการย้ายถิ่นว่าควรจะกลายเป็นสิ่งที่ต้องได้รับอนุญาต มากกว่าที่เป็นเพียงแค่การวางแผนตอบสนองสิ่งที่จะกำลังเกิดขึ้น ประเทศต่างๆ จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแนวคิดในการควบคุมการย้ายถิ่นไปสู่แนวคิดในการจัดการการย้ายถิ่น อย่างน้อยที่สุด ก็จะมีต้องการกลไกใหม่สำหรับรองรับการอพยพและเคลื่อนย้ายแรงงานทางเศรษฐกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงการคุ้มครองที่ดีกว่าเดิมสำหรับผู้ที่หลบหนีอันตราย ทุกคนสามารถได้รับสัญชาติอย่างเป็นทางการของสหประชาชาติ นอกเหนือจากสัญชาติโดยกำเนิด สำหรับบางคน เช่น ผู้ที่เกิดในค่ายผู้ลี้ภัย ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะขาดแคลนเอกสาร หรือพลเมืองของรัฐที่เป็นเกาะเล็กๆ ที่จะต้องสิ้นสุดความเป็นรัฐลงในศตวรรษนี้ การเป็นพลเมืองของสหประชาชาติอาจเป็นช่องทางเดียวที่พวกเขาจะได้รับการยอมรับ และได้รับความช่วยเหลือจากนานาชาติ แม้ว่าการเป็นพลเมืองที่มีสิทธิมนุษยชนจะสามารถออกหนังสือเดินทางได้ที่ด้านหลังนี้ก็ตาม

 

อย่างไรก็ดี เดวิด เฮลด์ (Held & McCraw 1998) นักทฤษฎีการเมือง ยืนยันต่อเรื่องนี้ว่า พวกเราเติบโตขึ้นเกินเขตแดนของประเทศของพวกเรา ผ่านกระแสโลกาภิวัตน์ที่ทวีกำลังเพิ่มมากขึ้น และตอนนี้กำลังอาศัยอยู่ใน ‘ชุมชนแห่งชะตากรรมที่ทับซ้อนกัน’ (overlapping communities of fate) จากที่ที่พวกเราควรสร้างประชาธิปไตยที่เป็นสากลในระดับโลก ทุกวันนี้ พวกเรากำลังประสบกับวิกฤตการณ์ของดาวเคราะห์ และเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่จะเห็นตัวเราเป็นสมาชิกของกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่กระจายไปทั่วโลก ที่ต้องร่วมมือกันเพื่อความอยู่รอด ขนาดของวิกฤตสภาพภูมิอากาศต้องการความร่วมมือระดับโลกแบบใหม่ นอกจากนี้เฮลด์ยังเชื่ออีกว่า การเป็นพลเมืองระหว่างประเทศแบบใหม่กับองค์กรระดับโลกเพื่อการย้ายถิ่นฐานและสำหรับชีวมณฑล หน่วยงานใหม่ที่จ่ายภาษีของเราและรัฐชาติต้องรับผิดชอบ

 

ปัจจุบัน องค์การสหประชาชาติไม่มีอำนาจบริหารเหนือรัฐชาติ แต่อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงหากพวกเราต้องการลดอุณหภูมิโลก ลดความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของโลก ธรรมาภิบาลระดับโลกยังมีประโยชน์ในการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ที่ทำงานนอกสถานที่จำนวนมหาศาล ซึ่งอาจใช้ระบบโควตาระหว่างประเทศเพื่อช่วยจัดสรรคนให้อยู่ในตำแหน่งระหว่างการอพยพย้ายถิ่นของสภาพอากาศจำนวนมากในศตวรรษนี้ แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายที่เกิดจากระบบราชการ การคอร์รัปชั่น และการล็อบบี้ขององค์กรที่มีอำนาจต่างๆ

 

อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนธรรมาภิบาลระดับโลก จำเป็นต้องมีรัฐที่เข้มแข็งด้วย ความตึงเครียดระหว่างความปรารถนาและความต้องการของบุคคลและสังคมนั้น เป็นเรื่องจริงสำหรับพวกเราทุกคน และยากมากที่จะสร้างปรองดองกันได้ เมื่อสังคมของพวกเราเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ที่เกาะตัวกันแน่นแฟ้น ไม่ต้องพูดถึงประชากรของโลกทั้งใบ เป็นเรื่องยากที่ผู้คนจำนวนมากโดยเฉพาะผู้มีอำนาจจะหันมาสนใจเกี่ยวกับคนแปลกหน้าที่ไร้ชื่อและไร้ความคุ้นเคยใบหน้าในประเทศที่พวกเราไม่เคยเดินทางไป เมื่อต้องเลือกเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองในเมืองที่อยู่ห่างจากพวกเขาหลายพันไมล์ จึงเป็นการยากที่คนส่วนใหญ่จะสามารถสร้างความสมดุลให้กับความต้องการของคนแปลกหน้าที่อยู่ห่างออกไป รัฐชาติที่ประสบความสำเร็จช่วยจัดการสิ่งนี้ด้วยโครงสร้างและสถาบันที่รับประกันระดับความร่วมมือที่มีประโยชน์ระหว่างคนแปลกหน้าซึ่งหล่อเลี้ยงสังคมที่เข้มแข็งซึ่งเราทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้ พวกเราเต็มใจเสียสละเวลา พลังงาน และทรัพยากรเล็กๆ น้อยๆ ทุกวันในฐานะปัจเจกบุคคล เช่น การจ่ายภาษี เพื่อให้แน่ใจว่าสังคมของเราดำเนินไป พวกเราส่วนใหญ่ทำสิ่งนี้เพราะเป็นสังคมของเรา ครอบครัวของเรา รัฐชาติของเรา

 

การคิดค้นรัฐชาติเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่งในการช่วยให้พวกเราเพื่อนร่วมชาติร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี ดังที่เดวิด มิลเลอร์ นักทฤษฎีการเมืองกล่าวไว้ว่า ‘ประเทศชาติ คือ ชุมชนที่ทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน

 

ดูเหมือนจะไม่เป็นการฉลาดนัก ที่จะพยายามรื้อหรือละทิ้งระบบภูมิรัฐศาสตร์ที่มีอยู่ของพวกเราในเวลาอันสั้น พวกเราจะต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการหยุดชะงักครั้งใหญ่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในศตวรรษนี้

 

รัฐชาติที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถจัดตั้งระบบการปกครองที่จะช่วยให้เผ่าพันธุ์ของเราอยู่รอดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐชาติที่เข้มแข็งเท่านั้นที่จะสามารถจัดการการเคลื่อนย้ายจำนวนมหาศาลของผู้อพยพจากภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไปยังประชากรพื้นเมือง

 

 น้ำท่วมในบังกลาเทศ อินเดีย และปากีสถาน ทำให้ผู้คนหลายล้านคนต้องพลัดถิ่นในปี 2022 (Credit: Biju Boro/AFP/Getty Images)

 

ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา การเติบโตอย่างรวดเร็วและรุนแรงของโลกาภิวัตน์ได้นำไปสู่ความเป็นสากลมากขึ้น พลเมืองของลอนดอนมักจะรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดากับพลเมืองของอัมสเตอร์ดัมหรือไต้หวัน ความรู้สึกแบบนั้นมีมากกว่ากับการมีต่อคนที่มาจากเมืองชนบทเล็กๆ ในอังกฤษ สิ่งนี้อาจไม่สำคัญสำหรับชาวเมืองที่ประสบความสำเร็จหลายคน แต่ชาวพื้นเมืองในพื้นที่ชนบทอาจรู้สึกว่าถูกทิ้งโดยประเทศของตนเมื่ออุตสาหกรรมที่โดดเด่นลดลง และพื้นที่ทางสังคมและประเพณีวัฒนธรรมลดน้อยลง สิ่งนี้สร้างความขุ่นเคืองและความหวาดกลัวที่อาจนำไปสู่อคติต่อผู้อพยพดังที่เห็นได้ในหลายส่วนของสหราชอาณาจักรระหว่างการอภิปรายเรื่องการออกจากประชาคมยุโรปหรือเบร็กซิต

 

พรมแดนเปิดไม่ได้หมายความว่าไม่มีพรมแดนหรือการล้มล้างรัฐชาติ อาจจำเป็นต้องสำรวจรัฐชาติประเภทต่างๆ พร้อมตัวเลือกการปกครองที่แตกต่างกัน รัฐที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดจะซื้อหรือเช่าพื้นที่ในที่ปลอดภัยกว่าหรือไม่? หรือเราจะเห็นเมืองในกฎบัตรที่ดำเนินการภายใต้เขตอำนาจศาลและกฎระเบียบที่แตกต่างกันไปยังดินแดนที่อยู่รอบๆ หรือรัฐลอยน้ำ (floating states) ที่สร้างอาณาเขตใหม่บนคลื่น?

 

จะต้องทำงานเพื่อสร้างแนวคิดของรัฐชาติขึ้นใหม่ เพื่อให้มีความครอบคลุมมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงในท้องถิ่น ในขณะเดียวกันก็เป็นไปเพื่อหล่อหลอมเครือข่ายทั่วโลกที่กว้างขวางและเท่าเทียมมากขึ้น มีประโยชน์มากมายในการส่งเสริมให้คนธรรมดาสามัญ เครือญาติกับเพื่อนของเราโดยอิงจากโครงการทางสังคมที่ใช้ร่วมกัน ภาษาและวัฒนธรรมของเรา คุณลักษณะเหล่านี้มีความสำคัญต่อผู้คนมากพอที่จะทำให้ความรักชาติเป็นแหล่งเอกลักษณ์ที่ทรงพลัง

 

 

เหตุใดจึงไม่สร้างความรู้สึกรักชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอากาศ ผืนดิน และผืนน้ำของชาติเราเข้าไปด้วย เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนดูแลธรรมชาติเหล่านี้? แนวทางหนึ่งเนื่องจากเราทุกคนเผชิญกับภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อม อาจใช้กองทัพและสถาบันความมั่นคงอื่นๆ ในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบริการระดับชาติสำหรับพลเมืองอายุน้อยและผู้อพยพเพื่อช่วยเหลือบรรเทาภัยพิบัติ การฟื้นฟูธรรมชาติ ความพยายามด้านการเกษตรและสังคมอาจเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งในการสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และพวกเราอาจจำเป็นต้องฟื้นฟูหรือคิดค้นประเพณีประจำชาติใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับสิ่งแวดล้อมหรือสังคม ซึ่งพลเมืองสามารถรู้สึกภาคภูมิใจและเคารพร่วมกันได้ สิ่งเหล่านี้อาจรวมถึงกลุ่มสังคมและสโมสรที่ร้องเพลง สร้างสรรค์ เล่นกีฬาหรือแสดงร่วมกัน และสมาชิกสามารถเป็นสมาชิกได้ตลอดชีวิต ประเพณีเหล่านี้สามารถช่วยรักษาศักดิ์ศรีในช่วงเวลาที่ยากลำบากและให้ความหมายความรักชาติแก่ผู้อพยพที่จะซึมซับ

 

เรื่องเล่าเกี่ยวกับความรักชาติแนวใหม่อาจเกี่ยวกับลัทธิชาตินิยมของพลเมือง โดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม สิทธิและหน้าที่ และความผูกพันทางวัฒนธรรมอันแรงกล้าต่อธรรมชาติ และการปกป้องและอนุรักษ์สถานที่สำคัญของชาติ (หรือระหว่างประเทศ)

 

ตัวอย่างเช่น ชาวคอสตาริกายอมรับคำว่า pura vida ซึ่งมีความหมายอย่างกว้างๆ ว่า ‘ชีวิตที่ดี’ ในฐานะที่เป็นความเชื่อ เป็นมนต์ และอัตลักษณ์ร่วมของคนทั้งชาติ พวกเขาเริ่มให้และแพร่หลายตั้งแต่ปี 1970 เมื่อผู้ลี้ภัยจากความขัดแย้งรุนแรงในประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัวเตมาลา นิการากัว และเอลซัลวาดอร์ ย้ายถิ่นฐานมายังประเทศนี้เป็นจำนวนมาก คอสตาริกาเป็นประเทศเล็กๆ ในอเมริกากลางที่ไม่มีกองทัพประจำการ แต่แทนที่จะลงทุนอย่างมหาศาลในการปกป้องและฟื้นฟูธรรมชาติควบคู่ไปกับบริการสังคม เช่น สุขภาพและการศึกษา แต่พวกเขาใช้มุมมองเกี่ยวกับชีวิตแบบนี้เพื่อช่วยกำหนดลักษณะนิสัยและการอยู่ร่วมรวมกันกับผู้อพยพเข้ามาใหม่

 

บุคคลที่เลือกใช้วลีนี้ ไม่ใช่เพียงแค่กล่าวถึงอุดมการณ์และอัตลักษณ์ที่มีร่วมกันนี้เท่านั้น แต่ยังได้สร้างอัตลักษณ์แบบนั้น ด้วยการแสดงออกมาให้เห็นเป็นประจักษ์กันอย่างชัดเจน’ แอนนา มาเรีย เทรสเตอร์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค (Trester 2003) ให้ความกระจ่างต่อเรื่องนี้ พร้อมทั้งบอกอีกว่า ‘ภาษาเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากในการสร้างตัวตน’

 

เป็นวิธีใหม่ในการมองความภาคภูมิใจของชาติ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการมองว่า ‘คนของเรา’ ดีกว่าชาติอื่น และไม่ได้หมายถึงการรวมศูนย์ของความหมายและอำนาจ แต่สามารถเกี่ยวข้องกับการละทิ้งประเพณีและการเห็นคุณค่าของภูมิภาคและคุณค่าทางวัฒนธรรมที่มีอยู่อย่างมหาศาลของพลเมืองใหม่ สหภาพยุโรปเป็นตัวอย่างของอัตลักษณ์เหนือชาติ (supranational identity) ที่ช่วยให้พลเมืองรู้สึกว่าตนเป็นชาวยุโรป และระบุตัวตนด้วยค่านิยมของสหภาพยุโรป แต่ยังไม่ต้องละทิ้งเอกลักษณ์ประจำชาติของตน

 

แนวคิดที่คล้ายกันนี้ สามารถนำไปใช้ภายในประเทศและระหว่างพวกเขาได้ ตัวอย่างเช่น ในสหราชอาณาจักร ไชน่าทาวน์ในลอนดอนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากพอสมควร เช่นเดียวกับย่านลิตเติ้ลอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ของประเทศ แม้ว่าชาวอังกฤษเชื้อสายจีนและเชื้อสายอินเดียมักเผชิญกับอคติและข้อเสียเปรียบทางสังคมเศรษฐกิจ

 

เพื่อให้ได้รับความภาคภูมิใจในชาติ แทนที่จะต้องทนทุกข์ทรมานจากการแตกแยกของชนเผ่า ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องลดความเหลื่อมล้ำ รัฐต้องลงทุนในด้านประชากรเพื่อให้ประชาชนรู้สึกได้ถึงการลงทุนของรัฐในรัฐ นั่นหมายถึงการให้ความสำคัญกับประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นลำดับแรก เพื่อประโยชน์ของทุกคน แทนที่จะเป็นประโยชน์เฉพาะเผ่าพันธุ์เล็กๆ ที่เป็นผู้ดีระดับโลก ข้อตกลงใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่เสนอในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นตัวอย่างของนโยบายที่มุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ จัดหางาน และส่งเสริมศักดิ์ศรี ในขณะที่ช่วยรวมผู้คนในโครงการทางสังคมที่ใหญ่กว่าของการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม

 

หากพวกเราต้องการให้พยายามกำจัดความคิดที่ว่าผู้คนควรจะต้องถูกตรึงเอาไว้ให้อยู่กับสถานที่ที่พวกเขาเกิด ราวกับว่ามันส่งผลกระทบต่อคุณค่าของคุณในฐานะบุคคลหรือสิทธิของพวกเราในฐานะปัจเจกบุคคล ราวกับว่าสัญชาติเป็นมากกว่าการขีดเส้นบนแผนที่ แทนที่จะมองว่าเส้นเหล่านี้เป็นการหลอมรวมความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม การเปลี่ยนผ่านแทนที่จะเป็นอุปสรรคขวางกั้นความเป็นไปได้ที่ผืนดินของโลกมอบให้พวกเราทุกคน

 

 

เอกสารอ้างอิง

 

Anna Marie Trester. (2003). “Bienvenidos a Costa Rica, la tierra de la pura vida: A Study of the Expression 'pura vida'in the Spanish of Costa Rica.”

Chi Xu, Timothy A. Kohler, Timothy M. Lenton & Marten Scheffer. (2020). “Future of the human climate niche.” PANAS – Proceedings of the National Academy of Sciences of the Unite States of America. May 4, 117 (21): pp.11350-11355. https://doi.org/10.1073/pnas.1910114117

 

David Held and Anthony McCrew. (1998). “The End of the Old Order ? Globalization and the Prospects for World Order.” British International Studies Association. 24 (3 December): pp.219-243. https://doi.org/10.1017/S0260210598002198

David Miller. (1995). On Nationality. NY: Oxford University Press.

Gaia Vince. (2022). “Is the world ready for mass migration due to climate change?” BBC Online. November 18. Available on https://www.bbc.com/future/article/20221117-how-borders-might-change-to-cope-with-climate-migration

Gaia Vince. (2022). “The century of climate migration: why we need to plan for the great upheaval.” The Guardian. August 18. Available on https://www.theguardian.com/news/2022/aug/18/century-climate-crisis-migration-why-we-need-plan-great-upheaval

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น