หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ภูมิศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์ และทฤษฎีระบบโลก

 ภูมิศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์ และทฤษฎีระบบโลก

ทฤษฎีระบบโลกเป็นสหวิทยาการในระดับมหภาคสำหรับประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโลก ซึ่งเน้นที่ระบบโลกเป็นหน่วยหลัก (แต่ไม่เฉพาะเจาะจง) ของการวิเคราะห์ทางสังคม “ระบบโลก” หมายถึง การแบ่งงานกัน (division of labor) ระหว่างภูมิภาคและข้ามชาติ ซึ่งแบ่งโลกออกเป็นประเทศแกนกลาง ประเทศกึ่งขอบ และประเทศชายขอบรอบนอก แม้ว่ามุมมองของระบบโลกจะไม่ได้รับความสนใจจากนักภูมิศาสตร์จนถึงช่วงทศวรรษ 1980 ซึ่งส่วนใหญ่อยู่วิชาในภูมิศาสตร์เศรษฐกิจและการเมือง อย่างไรก็ตาม นักภูมิศาสตร์มีส่วนสำคัญในการกำหนดมุมมองของระบบโลกผ่านการพัฒนาเชิงทฤษฎีและการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจกระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในเมือง รัฐ และภูมิรัฐศาสตร์ ทฤษฎีระบบโลกถือได้ว่าเป็นสาขาวิชาย่อยของการศึกษาภูมิศาสตร์การเมือง แม้ว่าจะมีใช้ทฤษฎี วิธีการ และความสนใจร่วมกันมากมายในฐานะที่สนศึกษาวิชาภูมิศาสตร์มนุษย์ ภูมิศาสตร์ทางการเมืองก็มีความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับอาณาเขต รัฐ อำนาจ และขอบเขต (รวมถึงพรมแดน) ที่มีขนาดแตกต่างกันตั้งแต่ระดับพื้นที่เฉพาะไปจนถึงระดับโลก ภูมิศาสตร์การเมืองได้ขยายขอบเขตของแนวทางรัฐศาสตร์แบบดั้งเดิมโดยยอมรับว่าการใช้อำนาจไม่ได้จำกัดเฉพาะรัฐและระบบราชการ แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน สิ่งนี้ส่งผลให้ความกังวลเกี่ยวกับภูมิศาสตร์การเมืองมีการซ้อนทับกันกับสาขาย่อยอื่นๆ มากขึ้น เช่น ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภูมิศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาการเมืองของสถานที่ต่างๆ

 

บทนำ

 

ทฤษฎีระบบโลกเป็นองค์ความรู้ที่ถูกสร้างขึ้นจากรากฐานของสำนักประวัติศาสตร์ซึ่งมีมุมมองที่เน้นถึงความสำคัญของโครงสร้างทางสังคมในวงกว้าง ครอบคลุมประวัติศาสตร์และผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอันยาวนาน (Baudel 1973; 1984) มุมมองของสำนักบรูเดล (Braudelian perspective) นี้ ถูกดัดแปลงใหม่โดยอิมมานูเอล วอลเลอร์สไตน์ (Immanuel Wallerstein …) เอาไว้ในชุดเอกสารเชิงทฤษฎีทศวรรษ 1970 เสริมด้วยเอกสารทางประวัติศาสตร์เรื่องใหญ่ๆ เกี่ยวกับทุนนิยมโลกหลายเล่ม เอกสารที่ได้รับการตีพิมพ์ของวอลเลอร์สไตน์ได้รับการสนับสนุนจากการสร้างสรรค์ของศูนย์เฟอร์ดินาลด์ บรูเดล เพื่อการศึกษาเศรษฐกิจ ระบบประวัติศาสตร์ และอารยธรรม (Fernand Braudel Center for the Study of Economies, Historical Systems, and Civilizations) ซึ่งตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอ์ก (State University of New York Binghamton) ในปี 1976 และการจัดตั้งวารสาร Review ในปีต่อมา ทั้งนี้ ทฤษฎีระบบโลกมองก้าวข้ามขอบเขตของรายวิชาไป และระบุขนาดของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมให้อยู่ในฐานะระบบสังคมประวัติศาสตร์ ประวัติและผลงานทางทฤษฎีของวอลเลอร์สไตน์ มุ่งเน้นไปที่การขยายตัวของเศรษฐกิจทุนนิยมโลกจากต้นกำเนิดในช่วงกลางทศวรรษ 1400 สำหรับนักภูมิศาสตร์นั้น เริ่มให้ความสนใจทฤษฎีระบบโลกเนื่องจากทฤษฎีนี้ได้นำเสนอกรอบทฤษฎีในสาขาวิชาหนึ่งที่ตอนนั้นดูมีความเป็นทฤษฎีที่ชัดเจนค่อนข้างมาก นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าทฤษฎีระบบโลกจะสนับสนุนการค้นหาคำตอบต่อคำถามทางภูมิศาสตร์ในสองหลักการสำคัญ คือ พื้นที่กับขนาด โดยพื้นที่เป็นส่วนที่มีความสำคัญในทฤษฎีนี้ ในการที่จะระบุความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แต่ละพื้นที่มีอยู่ไม่เท่าเทียมกัน จนทำให้เกิดรูปแบบความไม่เท่าเทียมกันในระดับโลก หรือด้วยวิธีการทางทฤษฎีแบบใหม่อธิบายเรื่องแบบนี้ว่าเป็น "ความล้าหลัง" ส่วนคำถามเกี่ยวกับขนาดนั้นเห็นได้ชัดเจนในงานของปีเตอร์ เทย์เลอร์ ที่เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ทางการเมืองทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติภายในโครงสร้างที่ครอบคลุมของเศรษฐกิจโลกทุนนิยม

 

ทั้งสองเส้นทางสู่ภูมิศาสตร์ได้รับการกล่าวถึงอย่างชัดแจ้งตั้งแต่เริ่มแรกโดยนักภูมิศาสตร์มนุษย์ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 การนำเสนอทางทฤษฎีได้รับการนำเอามาเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์กับภูมิศาสตร์ร่วมกัน และความเข้าใจที่มีต่อกิจกรรมทางการเมืองที่มีส่วนสร้างพื้นฐานและพื้นที่ต่างๆ ที่เป็นสื่อกลางของกิจกรรมทางการเมือง ตัวอย่างเช่น รัฐชาติเป็นพื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นมาทางการเมือง อีกตัวอย่างหนึ่งคือวิธีที่พื้นที่ต่างๆ ของลัทธิจักรวรรดินิยมทั้งแบบที่เป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ มีส่วนในการกำหนดรูปแบบของกิจกรรมทางการเมืองที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่เหล่านั้น เมื่อตอนเริ่มต้นในทศวรรษ 1980 ภูมิศาสตร์มนุษย์มีความเป็นทฤษฎีไปบ้างมากขึ้น การสร้างพื้นที่และสังคมร่วมกันก็กลายเป็นความจริง แม้ว่าจะมีความแปรผันในกรอบทฤษฎีก็ตาม ประเด็นหลักที่จะทำการสำรวจในบทนี้ คือ วิธีที่การนำเสนอเบื้องต้นเกี่ยวกับพื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นมาทางการเมืองด้วยทฤษฎีระบบโลก (world system theory) ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีลักษณะเป็นโครงสร้างที่มากเกินไป

 

ทฤษฎีระบบโลกของ Wallerstein (2004) มีสำคัญมากในการฟื้นฟูภูมิศาสตร์การเมืองในทศวรรษ 1970 และ 1980 (Taylor 1981a; 1982; Shelley and Flint 2000) อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป การพัฒนาเชิงทฤษฎีของสาขาวิชานี้ได้เข้ามามีส่วนต่อการจัดลำดับความสำคัญของการวิพากษ์แบบจำลองเชิงโครงสร้าง ส่งผลให้บทบาททฤษฎีระบบโลกในการกำหนดกรอบการวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์ทางการเมืองลดลง (Cox et al. 2008a) ภูมิศาสตร์การเมืองร่วมสมัยถูกครอบงำด้วยแนวทางต่างๆ ที่มักเน้นถึงเหตุการณ์ที่เป็นกรณีฉุกเฉิน องค์กร และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดประจำวัน มากกว่าการพิจารราประเด็นที่เป็นโครงสร้าง กระบวนการทางประวัติศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงระดับมหภาค ที่เป็นสิ่งที่ครอบงำทฤษฎีระบบโลกให้ความสนใจที่ทำการศึกษาวิเคราะห์ น่าแปลกที่ปัจจุบันการเน้นย้ำถึงการสร้างสังคมร่วมกันในด้านรัฐศาสตร์และภูมิศาสตร์ยังคงเป็นแก่นแกนของกรอบการทำงานที่ปีเตอร์ เทย์เลอร์ นำทฤษฎีระบบโลกมาใช้ในการพัฒนาภูมิศาสตร์การเมือง ทั้งนี้ ความแตกต่างที่สำคัญคือทฤษฎีระบบโลกเริ่มต้นด้วยมุมมองเชิงโครงสร้างมากกว่ามุมมองที่สนใจและพิจารราเหตุการณ์แบบทันทีทันใด และแบบที่แอบอิงอยู่กับตัวการที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้น

 

รายละเอียดที่มีอยู่พอสมควรของบทนี้ พยายามที่จะกล่าวถึงบทบาทของทฤษฎีระบบโลกในการกระตุ้นภูมิศาสตร์การเมืองและการวิพากษ์ต่อการมุ่งเน้นเชิงโครงสร้างของอดีต โดยมีประเด็นที่สำคัญเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ที่ถูกสังคมสร้างขึ้นมาภายใต้กรอบทฤษฎีระบบโลก บทบาทของขนาด ความเป็นเจ้าครองโลก (hegemony) ผู้มีบทบาททางการเมือง (political actors) รัฐ (states) และเมืองของโลก (world-cities) ทั้งหลายเหล่านี้จะได้นำเสนอในรายละเอียด บทสรุปของเรื่องจะพิจารณาถึงความเกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องของภูมิศาสตร์การเมืองของระบบโลกในฐานะเครื่องมืออธิบายเชิงประวัติศาสตร์ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดที่เป็นที่ยอมรับให้อยู่ในฐานะกรอบทฤษฎีก็ตาม ทั้งนี้จุดเน้นของบทนี้ถูกจำกัดเอาไว้ 2 ประการ โดยประการแรก เน้นที่นักวิชาการทางภูมิศาสตร์สายแองโกล-อเมริกัน แม้ว่านี่จะเป็นภาพสะท้อนที่แท้จริงของจุดศูนย์ถ่วงของแนวทางระบบโลกที่มีต่อภูมิศาสตร์ แต่ว่ามุมมองที่ได้รับมาจากนักวิชาการทางภูมิศาสตร์สายฝรั่งเศสหรือเยอรมัน หรือส่วนอื่นๆ ของโลก และประการที่สอง บทนี้จะได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญที่น่าสนใจที่สุดสำหรับนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและที่ได้ศึกษามาตามแนวทางของปีเตอร์ เทย์เลอร์ บุคคลต่างๆ เหล่านี้มีส่วนอย่างมากในการเป็นพลังขับเคลื่อนทางปัญญาที่อยู่เบื้องหลังการฟื้นฟูระบบโลกของภูมิศาสตร์การเมือง

 

ทฤษฎีระบบโลกและการฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ของภูมิศาสตร์การเมือง

 

 

ความสั่นสะเทือนร่วมสมัยของภูมิศาสตร์การเมือง เป็นปรากฎการณ์ที่ไม่มีผู้ใดติดใจสงสัย การมีอยู่ของสาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีอยู่อย่างกว้างขวาง ทำให้ International Studies Association Compendium กลายเป็นเครื่องยืนยันถึงการมองเห็นปรากฎการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับการสังเคราะห์งานวิจัยร่วมสมัยจำนวนมากมาย (เช่น ดู Agnew et al. 2007; Cox et al. 2008b) และจุดแข็งของวารสารการวิจัยภูมิศาสตร์การเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้เองที่มีภาพที่ดูเยือกเย็นกว่า ด้วยความคร่ำครวญของภูมิศาสตร์การเมืองที่มักถูกยกมาอ้างว่าเป็นเหมือน “กระแสน้ำนิ่ง” (Berry 1969) นี่เป็นการสะท้อนที่เฉียบขาดแต่แม่นยำของความเกี่ยวข้องทางปัญญาของสาขาวิชานี้หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ภูมิศาสตร์การเมืองในทศวรรษ 1950 ถูกล้อมกรอบโดยทฤษฎีบทบาทของรัฐ (functional theory of state) ซึ่งไม่มีที่ว่างสำหรับการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่มีข้อโต้แย้งและมีบทบาทในการสร้างพื้นที่ (Hartshorne 1950) การฟื้นตัวของภูมิศาสตร์การเมืองเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 และมีการเขียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านและความมีชีวิตชีวาที่ตามมามากมาย (Johnston 2001)

 

ประเด็นที่ต้องการเน้นในที่นี้ คือ ทฤษฎีระบบโลกมีบทบาทสำคัญในการฟื้นคืนชีพของภูมิศาสตร์การเมือง ในช่วงสองสามปีแรกของความสนใจในภูมิศาสตร์การเมือง ทฤษฎีระบบโลกเป็นกรอบการจัดระเบียบที่เป็นศูนย์กลาง ไม่ว่าจะโดยเปิดเผยหรือโดยนัย การฟื้นตัวของภูมิศาสตร์การเมืองเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางวิชาการและสังคมที่เชื่อมโยงกัน นักภูมิศาสตร์มนุษย์รู้สึกท้อแท้กับความหยาบคายและการขาดกระบวนการและโครงสร้างทางสังคมในการศึกษาเชิงปริมาณที่เป็นผู้นำเข้ามาในสาขานี้ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 ที่มีการปฏิวัติเชิงปริมาณของสาขาวิชา (Johnston & Sidaway 2004) นักภูมิศาสตร์และนักวิชาการคนอื่นๆ กำลังหันหลังกลับอย่างรุนแรง โดยใช้แนวทางมาร์กซิสต์ (Harvey 1973) นอกจากนี้ ความวุ่นวายทางสังคมของการจลาจลภายในเมืองและการต่อต้านสงครามเวียดนาม ยังทำให้นักภูมิศาสตร์มนุษย์จำเป็นต้องระดมกรอบทฤษฎีที่อาจบ่งบอกถึงความขัดแย้งในโลกแห่งความเป็นจริง (Flint 1999) ถึงเวลาแล้วที่จะหลีกหนีจากข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์การเมืองหลังสงครามที่ไร้เหตุผล บทบาทหน้าที่ และความเป็นศูนย์กลางของรัฐ

 

นักวิชาการเช่นเควิน คอกซ์ (Kevin Cox 1973) และเดวิด ฮาร์วีย์ (David Harvey 973) ให้ความสนใจอย่างมากต่อการเพิ่มมุมมองทางภูมิศาสตร์ให้กับผลงานของ Karl Marx และการตีความร่วมสมัยของตำราของเขา ในอีกทางหนึ่ง ปีเตอร์ เทย์เลอร์ ได้กำหนดเส้นทางอื่นๆ สำหรับภูมิศาสตร์การเมือง ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นการเรียนรู้จากงานเขียนของอิมมานูเอล วอลเลอร์สไตน์ และจากสำนักแอนนาเลส ความน่าสนใจของทฤษฎีระบบโลกของเทย์เลอร์ไม่เพียงแต่เป็นวาระที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทเป็นกรอบการทำงานที่ก่อให้เกิดรูปแบบใหม่ของภูมิศาสตร์การเมือง (Taylor 1982) ประการแรก ทฤษฎีระบบโลกได้กระตุ้นการอภิปรายในระดับอื่นนอกเหนือจากรัฐ ผ่านแนวคิดของระบบสังคมทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยม ประการที่สอง แนวคิดเกี่ยวกับพื้นที่แกนกลาง ชายขอบ และกึ่งชายขอบ ได้รับการส่งเสริมให้นำมารวมเข้ากับข้อกังวลทางภูมิศาสตร์ดั้งเดิมของความแตกต่างของพื้นที่ (Terlouw 1992; Dezzani 2001)

 

ทฤษฎีระบบโลกช่วยให้นักภูมิศาสตร์สามารถจัดการกับขนาดโลกได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากท่ามกลางแนวทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เคยปนเปื้อนมาตั้งแต่ช่วงก่อนสงคราม (Dodds and Atkinson 2000) นอกจากนี้ยังให้ความรู้สึกถึงกระบวนการทางภูมิศาสตร์การเมือง พลวัตของเศรษฐกิจโลกทุนนิยมที่เกิดขึ้นผ่านการประยุกต์ใช้แนวคิดคลื่นคอนดราเทียฟ (kondratieff waves) ถูกระบุว่าเป็นตัวขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ทางการเมือง (Taylor 1985; Flint and Taylor 2007) คลื่นคอนดราเทียฟจะเกิดขึ้นมาแบบซ้ำๆ เป็นวงจรการเปลี่ยนแปลงรอบๆละ ประมาณ 50 ปี ประกอบด้วย ช่วงของการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก และตามมาด้วยระยะเวลาที่ชะงักงันและช่วงเวลาที่มีการปรับโครงสร้างใหม่ตามมา ทั้งนี้ช่วงเวลาของการเติบโตจะมีความเกี่ยวข้องกับการนำนวัตกรรมทางเศรษฐกิจใหม่ๆ มาใช้ ขณะที่ช่วงเวลาของภาวะชะงักงันจะแสดงให้เห็นว่ามีการนำเอาการเมืองมาใช้อย่างเข้มข้น เพื่อให้มีการกระจายใหม่อีกครั้งและเกิดการแข่งขันระหว่างรัฐและระหว่างธุรกิจ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ตรรกะทางการเมืองและเศรษฐกิจสำหรับภูมิศาสตร์การเมืองที่เป็นจุดเกิดกิจกรรมและเหตุการณ์ทางการเมืองภายในบริบทกาลเทศะของพลวัตของคลื่นคอนดราเทียฟ และตำแหน่งของกิจกรรมทางการเมืองภายในลำดับศักย์ของความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่แกนกลางและพื้นที่ชายขอบ องค์ประกอบที่สำคัญของมุมมองนี้ คือ รัฐเป็นรูปแบบหนึ่งของผู้มีบทบาททางการเมือง หรือสถาบัน มากกว่าที่จะเป็นสาเหตุของระเบียบวินัย ดังที่เคยเป็นมาในทฤษฎีบทบาทหน้าที่ที่เคยมีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1950

 

เทย์เลอร์ส่งเสริมให้ใช้มุมมองภูมิศาสตร์การเมืองบนทฤษฎีระบบโลก ที่จะได้อภิปรายกันต่อไป รวมทั้งตำราเล่มสำคัญ “ภูมิศาสตร์การเมือง – political geography” (Taylor 1985; Flint & Taylor 2007) นอกจากนี้ ยังมีงานที่เคยริเริ่มเอาไว้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์การเมืองในกรอบทฤษฎีระบบโลก ตัวอย่างเช่น “ภูมิศาสตร์ของความรุนแรงและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร - geography of violence and premature death” (Johnston et al. 1987 และปรับปรุงโดย van der Wusten 2005) และ “ภูมิศาสตร์การเลือกตั้ง – geography of elections” ที่วิเคราะห์ผ่านมุมมองของระบบโลก (Taylor 1986; 1991a) นอกจากนี้ การจัดตั้งวารสารวิชาการระดับแนวหน้าของสาขาวิชาภูมิศาสตร์การเมืองที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ในปี 1982 มีวาระการวิจัยที่เขียนขึ้นโดยกองบรรณาธิการด้วยถ้อยความเป็นภาษาตามมุมมองของระบบโลก โดยไม่ต้องสงสัย ทฤษฎีระบบโลกมีความสำคัญ แม้ว่าจะไม่ใช่เพียงตัวเร่งปฏิกิริยาในการฟื้นฟูวิชาภูมิศาสตร์การเมือง โดยมีปีเตอร์ เทย์เลอร์ เป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญที่สุด

 

การฟื้นตัวขึ้นใหม่ของภูมิศาสตร์การเมืองและทฤษฎีระบบโลก

 

 

การฟื้นคืนชีพของภูมิศาสตร์การเมืองพัฒนาขึ้นผ่านการมีส่วนร่วมกับมุมมองทางปรัชญาและทฤษฎีที่หลากหลาย ทั้งนี้วิชาภูมิศาสตร์การเมืองร่วมสมัยเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีสตรีนิยมและเพศทางเลือก รวมถึงการมีมุมมองที่หลากหลาย เช่น ทฤษฎีเครือข่ายผู้มีบทบาท (actor*network theory) ที่อยู่ภายใต้ร่มกว้างของลัทธิหลังสมัยใหม่และหลังโครงสร้างนิยม (Agnew et al. 2007) สำหรับทฤษฎีระบบโลกนั้นไม่เพียงแต่จะถูกเคลื่อนย้ายออกมาจากแกนหลักของกรอบทฤษฎีของสาขาวิชานี้เท่านั้น แต่ยังสนับสนุนให้มีการวิพากษ์หลักการของระบบโลกในบริบทของภูมิศาสตร์การเมืองด้วย ซึ่งมีวิธีการวิพากษ์ต่อเรื่อง 3 วิธี คือ การกำหนดสิ่งต่างๆตามโครงสร้าง การระบุผู้มีบทบาททางภูมิรัฐศาสตร์ และการมุ่งเน้นไปที่ตัวแทนภูมิรัฐศาสตร์ (Kuus 2009)

 

เมทริกซ์กาลเทศะที่ร่างขึ้นมาโดยเทย์เลอร์ (Taylor 1985) กลายเป็นอาการลังเลตามมุมมองทางทฤษฎี ที่ระบุว่า มีลักษณะเป็นไปตามโครงสร้างของเหตุกำหนด (structural determinism) แม้จะมีความพยายามอย่างมากของพีท (Peet 1998) ที่จะทำการอธิบายความซับซ้อนและความบังเอิญของโครงสร้าง และเซเยอร์ (Sayer  1992) ที่พยายามจะนิยามสัจนิยมเชิงปรัชญา (philosophical realism) ให้เป็นกรอบที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาในวิชาภูมิศาสตร์ แต่ว่าการไม่เห็นชอบต่อโครงสร้างของเหตุกำหนด ได้กลับกลายเป็นการชุมนุมกันเป็นคลื่นลูกที่สองของนักภูมิศาสตร์การเมือง ทฤษฎีระบบโลกเป็นเป้าหมายหนึ่งผู้ชุมนุม เนื่องจากทฤษฎีนี้มีความโดดเด่นและชัดเจนตามกรอบของคลื่นคอนดราเทียฟที่มีระยะเวลาของการพัฒนาและวัฏจักรการเกิดซ้ำเป็นช่วงๆ ละ 25 ปี สำหรับการจัดหมวดหมู่เหตุการณ์ทางการเมืองแต่ละเหตุการณ์ เช่น สงคราม (Johnston et al. 1987) และการเลือกตั้ง (Taylor 1986) จะเกิดขึ้นบนตำแหน่งที่ตั้งเฉพาะภายในกรอบลำดับศักย์ของพื้นที่แกนกลาง-ชายขอบ ทำให้เห็นได้ชัดว่ามีพื้นที่ไม่มากนักที่อยู่ในความสนใจเกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมืองและเหตุการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน

 

คำวิจารณ์ที่เกี่ยวข้องเกิดขึ้นจากการโต้แย้งของสกอคโปล (Skocpol 1977) ว่า ทฤษฎีระบบโลกโดยการขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์การเมืองที่เกี่ยวข้อง ได้มีส่วนกีดกันองค์กรของรัฐให้ออกไปอยู่ในพื้นที่ชายขอบ แม้จะมีการประชดว่าเป็นการรับรู้ถึงโครงสร้างทางการเมืองอื่นที่ไม่ใช่สถานะที่ดึงดูดใจภูมิศาสตร์การเมืองของทฤษฎีระบบโลก การวิพากษ์วิจารณ์ของสกอคโปลที่ได้พัฒนาจนกลายเป็นจุดยืนที่ทฤษฎีระบบโลกดึงความสนใจออกจากผู้มีบทบาทและหน่วยงาน นักภูมิศาสตร์การเมืองได้พัฒนาวิธีการมนุษยนิยม (humanistism) ปรากฏการณ์นิยม (phenomenolism) และสตรีนิยม (feministism) ขึ้นมาเพื่อเน้นย้ำกลุ่มผู้มีบทบาททางการเมือง (Johnston and Sidaway 2004) จุดสนใจใหม่เกี่ยวกับอัตลักษณ์ที่หลากหลายและภาระผูกพันของผู้มีบทบาททางการเมือง ภายใต้ระบบโลกมีสถาบันหลักที่ใช้เป็นหน่วยวิเคราะห์ 4 สถาบัน ได้แก่ ครัวเรือน รัฐ ชนชั้น และเชื้อชาติ/ชาติพันธุ์ สถาบันเหล่านี้นี่เองที่ทำให้สิ่งที่สามารถตีความได้ว่าเป็นบทบาทหน้าที่ของสถาบันเหล่านี้ (Wallerstein 1984) และมีความพยายามที่จะกอบกู้ภูมิศาสตร์ให้ออกจากร่องรอยทางเดินที่ยึดมั่นถือมั่นต่อบทบาทหน้าที่ในช่วงหลังสงคราม ผ่านการประยุกต์ใช้ระบบโลก ส่งผลให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับบทบาทนิยมที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดโครงสร้าง แม้ว่าจะมีทฤษฎีที่ดีเพิ่มขึ้นอีกเป็นโหลก็ตาม

 

พื้นฐานประการที่สามสำหรับการทำให้ทฤษฎีระบบโลกกลายเป็นชายขอบ คือ "การกลับขึ้นมาเป็นตัวแทน" ของภูมิศาสตร์มนุษย์ เริ่มจากงานของฟูโกต์และแนวคิดเกี่ยวกับวาทกรรม การเป็นตัวแทนของภูมิรัฐศาสตร์ แทนที่จะวิเคราะห์เหตุการณ์ด้วยตัวมันเอง เข้ามาครอบงำขอบเขตของภูมิศาสตร์การเมืองที่สนใจในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Ó Tuathail 1996) วิธีการดังกล่าวปฏิเสธ "คำบรรยายอภิมาน" เช่นที่จัดทำโดยทฤษฎีระบบโลก แต่เน้นที่การแยกแยะโครงสร้างของข้อความที่มีอยู่แทน

 

เมื่อรวมกันแล้ว แนวทางการวิจารณ์ทั้งสามก็ทำให้อิทธิพลของทฤษฎีระบบโลกที่มีต่อภูมิศาสตร์การเมืองเสื่อมถอยลง มุ่งเน้นที่สิทธิ์เสรีและการเป็นตัวแทน และการเน้นในวงกว้างเกี่ยวกับคอนสตรัคติวิสต์ทางสังคมและเหตุการณ์ฉุกเฉินถูกคัดค้านอย่างมาก ตามความเห็นเป็นเอกฉันท์ กับสัจพจน์ของทฤษฎีระบบโลก (Harvey 1985; Agnew 2005) อันที่จริง สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นกรอบการจัดระเบียบที่อุดมสมบูรณ์ นั่นคือ เมทริกซ์กาลเทศะ (spacetime matrix) ถูกระบุว่าเป็นช่องแคบ พลวัตชั่วขณะของคลื่นคอนดราเทียฟและรีสอร์ทที่พร้อมสำหรับคำจำกัดความเชิงพื้นที่กว้างๆ ของพื้นที่แกนกลางและชายขอบ ทำให้ข้อกล่าวหาของการกำหนดระดับนิยมเป็นเรื่องง่ายและสมเหตุสมผลในระดับสูง อย่างไรก็ตาม หวังว่ารายละเอียดของบทนี้จะได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งสำคัญๆ ว่าการประยุกต์ใช้ทฤษฎีระบบโลกทางภูมิศาสตร์ทางการเมืองส่วนใหญ่นั้นเป็นกลุ่มโครงสร้างนิยมทางสังคมโดยธรรมชาติ ซึ่งจะมีความอ่อนไหวต่อความซับซ้อนของผู้มีบทบาททางภูมิรัฐศาสตร์ และตระหนักถึงภาวะฉุกเฉิน

 

ทฤษฎีระบบโลกและระดับทางการเมือง

 

 

นับตั้งแต่เริ่มแรกที่เข้าไปมีส่วนร่วมกับทฤษฎีระบบโลก ปีเตอร์ เทย์เลอร์ ทำให้เห็นว่าระดับของภูมิศาสตร์ (geographic scale) ที่เป็นจุดศูนย์กลางของภูมิศาสตร์การเมือง (Taylor 1981b) โดยงานเขียนที่สำคัญของเขาได้กำหนดสถานะในกรอบการเมืองของโครงสร้างขนาดทางสังคม ให้เป็นกระบวนการหลักของสาขาวิชานี้ ที่ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง โดยการฟื้นคืนชีพนี้ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กรอบโครงสร้างระดับของเทย์เลอร์ ซึ่งรวมถึงสิ่งที่ได้กลายเป็นการตีความอย่างไม่มีคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติของระดับที่เทย์เลอร์สร้างขึ้นมาใหม่ หรือระดับที่เคยมีอยู่ก่อนแล้ว (Marston 2000) ดังรายละเอียดของบทนี้ที่จะแสดงให้เห็นว่า การวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ได้ละเว้นประเด็นเกี่ยวกับกรอบและกระบวนการทางการเมืองที่เทย์เลอร์เน้นย้ำเอาไว้ ระดับของภูมิศาสตร์ของเทย์เลอร์ถูกสร้างขึ้นในเชิงสังคม แต่ตามธรรมเนียมของทฤษฎีระบบโลกแล้ว ช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญมากๆ และอยู่เหนือความฉับไวที่ยังคงครอบงำวิชาภูมิศาสตร์การเมืองร่วมสมัย

 

ระดับทางภูมิศาสตร์การเมืองของเทย์เลอร์ (Taylor 1981b) ที่แบ่งเอาไว้คร่าวๆ แต่มีความหมาย ประกอบด้วย ภูมิศาสตร์การเมืองระดับท้องถิ่น (local scale เรียกว่าเป็นการเมืองระดับประสบการณ์) ภูมิศาสตร์การเมืองระดับรัฐชาติ (nation-state scale เป็นการเมืองระดับอุดมการณ์) และภูมิศาสตร์การเมืองระดับโลก (global scale เป็นการเมืองระดับสถานการณ์ที่เป็นความจริง) ภูมิศาสตร์การเมืองระดับท้องถิ่นถูกมองว่าเป็นสภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวันหรือสถานการณ์ทางภูมิศาสตร์หรือสถานที่ที่เหตุการณ์เกิดขึ้นและเกิดเป็นประสบการณ์ชีวิต คำจำกัดความของภูมิศาสตร์การเมืองระดับนี้สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการเมืองของสถานที่ (politic of place) (Agnew 1987) มีการพิจารณาว่าสถานที่จะทำหน้าที่กรองข้อมูลและมีโอกาสที่จะทำให้มีการดำเนินการทางการเมืองขึ้นที่นั่น ขณะที่ภูมิศาสตร์การเมืองระดับโลกถูกระบุว่าเป็นประเด็นต่างๆ ทางการเมืองที่เป็นความจริง สะท้อนโครงสร้างของทฤษฎีระบบโลก ส่วนขอบเขตของระบบสังคมนั้นแสดงได้ด้วยขอบเขตทางภูมิศาสตร์เศรษฐกิจโลกทุนนิยมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1800 ดังนั้น ขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของกระบวนการทางการเมืองและเศรษฐกิจจึงถูกติดตามตรวจสอบเรื่อยไปจนถึงระดับโลก อีกทั้งยังมีแรงจูงใจทางการเมืองที่เรียกว่าความเป็นจริงระดับโลก กิจกรรมต่างๆ ในกรอบแนวความคิดแบบมาร์กซิสต์ ที่เป็นการต่อต้านการเมืองเชิงระบบ จะมุ่งเป้าหมายไปยังระดับกระบวนการดำเนินการทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้หากทฤษฎีระบบโลกอ้างว่าขอบเขตของเศรษฐกิจเป็นสากล การเคลื่อนไหวทางการเมืองก็ควรจะมุ่งเป้าไปที่ภูมิศาสตร์การเมืองระดับโลกด้วยเช่นเดียวกัน

 

การไม่สอดสัมพันธ์กันของระดับกระบวนการทางเศรษฐกิจของโลกกับการมุ่งเน้นที่รัฐจะดำเนินการทางการเมืองนั้น ตั้งอยู่เป็นหลักการเบื้องต้นของเทย์เลอร์ที่บ่งชี้ว่ารัฐชาติเป็นหน่วยการวิเคราะห์ภูมิศาสตร์การเมืองระดับอุดมการณ์ การเมืองตามมุมมองของเทย์เลอร์ (Taylor 1987; 1991b) จึงติดอยู่กับข้อจำกัดความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงในระดับรัฐชาติที่มีความโดดเด่นมากทางด้านอุดมการณ์ เนื่องจากเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นสถาบันที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการควบคุมว่าจะบรรลุเป้าหมายทางการเมืองหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เทย์เลอร์ตั้งคำถามกับข้อโต้แย้งที่เด่นชัดนี้ และมองว่าการระบุระดับรัฐเป็นเป้าหมายทางการเมืองที่สำคัญว่า เป็นการหลอกลวงทางอุดมการณ์ ขบวนการต่อต้านระบบถูกเบี่ยงเบนไปเพื่อค้นหาการควบคุมในระดับอื่น นอกเหนือจากที่กระบวนการทางเศรษฐกิจดำเนินการในท้ายที่สุด ตัวอย่างเช่น นโยบายสังคมนิยมของเกาหลีเหนือ ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่สร้างความรำคาญมากกว่าเป็นการท้าทายต่อเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยม นอกจากนี้ การเมืองต่อต้านระบบของลัทธิคอมมิวนิสต์สากลที่นำไปสู่การปฏิวัติรัสเซีย และการก่อตั้งสหภาพโซเวียตก็ถูกจำกัดอย่างรวดเร็วภายใต้กรอบการเป็น "สังคมนิยมในรัฐเดียว" (Taylor 1992)

 

ภายใต้คำจำกัดความเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นความรู้สึกว่าระดับของเศรษฐกิจโลกทุนนิยมนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยสังคม แม้ว่าเทย์เลอร์จะไม่ได้ใช้ภาษาแบบนี้อย่างชัดแจ้งมาตั้งแต่แรก เนื่องจากมันเพิ่งเข้ามาในสมัยภายหลังเท่านั้น คำว่า “ระดับโลก” มีความหมายเหมือนกันกับขอบเขตของเศรษฐกิจโลกทุนนิยม เป็นผลจากกิจกรรมต่างๆ มากมายของบุคคล บริษัท ครัวเรือน รัฐ ฯลฯ (แม้ว่านักทฤษฎีระบบโลกจะยอมเปิดกว้างต่อข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการกำหนดโครงสร้างโดยไม่พิจารณาโครงสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้มีบทบาทสำคัญ) ในความเป็นจริง อาจมีการโต้แย้งว่าผู้มีบทบาทหลักในระดับโลก เช่น บริษัทข้ามชาติและสถาบันระดับโลก (เช่น องค์การสหประชาชาติ) ถูกละเลย สิ่งสำคัญที่สุดคือมีการสร้างภูมิศาสตร์การเมืองซึ่งมีหน่วยทางการเมือง (รัฐ) หลายแห่งปรากฎอยู่ภายในขอบเขตของเศรษฐกิจเดียว ความไม่สอดคล้องทางภูมิศาสตร์ระหว่างการควบคุมทางการเมืองกับขอบเขตของกระบวนการทางเศรษฐกิจนั้นมีลักษณะเฉพาะที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลกทุนนิยม (Flint & Taylor 2007) ซึ่งตามระบบสังคมในอดีตที่ผ่านมา (ระบบขนาดเล็กและจักรวรรดิโลก) ขอบเขตของกระบวนการทางการเมืองและเศรษฐกิจนั้นเป็นสิ่งที่เหมือนกัน

 

การระบุระดับของภูมิศาสตร์การเมืองเป็นส่วนสำคัญในการทำให้ภูมิศาสตร์การเมืองมีการขยายตัวออกไป กรอบการทำงานสามระดับที่ว่านี้ เป็นการเสนอวิธีการเกี่ยวกับบริบทหรือเป็นการกำหนดพฤติกรรมทางการเมืองภายในกระบวนการแบบกว้างๆ  อย่างไรก็ตาม การเน้นโครงสร้างของกรอบนี้นำไปสู่การวิพากษ์เชิงทฤษฎีตามมา (Marston 2000) การแบ่งระดับทั้งสามระดับของเทย์เลอร์ ถือเป็นเครื่องมือที่กำหนดโครงสร้างได้มากเกินไปและไม่เพียงพอต่อการวิเคราะห์ความซับซ้อนขององค์กรทางการเมือง แทนที่จะมองว่าพฤติกรรมทางการเมืองเป็นผลจากกระบวนการสะสมทุนทั่วโลก นักทฤษฎีที่สนใจระดับที่ว่านี้รับต่อมากลับมองว่าระดับทางการเมืองที่ถูกสร้างจากล่างขึ้นบนเป็นกลยุทธ์โดยบังเอิญของผู้มีบทบาททางการเมืองที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมมากกว่าที่จะเป็นเพียงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ นั่นจึงทำให้การทำงานเชิงเศรษฐศาสตร์และเชิงโครงสร้างของทฤษฎีระบบโลกกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัย

 

การไม่เห็นด้วยต่อระดับทั้งสามระดับของเทย์เลอร์ เป็นที่เข้าใจและมีการนำเอาไปอธิบายเป็นภาพรวมได้ดี แต่ล้มเหลวในการวิเคราะห์ระดับมหภาคของการสร้างทางสังคมซึ่งเป็นหัวใจของกรอบการทำงาน แทนที่จะมองว่าการแบ่งระดับที่เป็นวิธีการจำแนกพฤติกรรมทางการเมืองภายในสถานที่ในแง่ของการขึ้นๆ ลงๆ ของเศรษฐกิจโลกทุนนิยมเท่านั้น กรอบนี้กำหนดองค์ประกอบของระบบสังคมที่แยกระดับของการดำเนินการทางการเมือง (รัฐ) ออกจากระดับของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (เศรษฐกิจโลก) องค์ประกอบเชิงโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของความเข้าใจนี้บั่นทอนความหมายหลักที่การแยกระดับนี้มีต่อความเข้าใจองค์กรทางการเมือง

 

ความเชื่อมโยงระหว่างโครงสร้างระดับโลกกับพฤติกรรมส่วนบุคคลและของรัฐ แสดงให้เห็นในทฤษฎีความเป็นเจ้าโลกตามทฤษฎีระบบโลก การศึกษาเฉพาะเรื่องอำนาจอธิปไตยแสดงให้เห็นว่ากรอบระบบโลกได้เปลี่ยนแนวทางใหม่ในหัวข้อภูมิรัฐศาสตร์ที่มีมาช้านาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทฤษฎีระบบโลกถูกนำมาใช้เพื่อกำหนดตำแหน่งของนักทฤษฎีภูมิรัฐศาสตร์คลาสสิก ตลอดจนนโยบายของรัฐและหลักปฏิบัติทางเศรษฐกิจและสังคมในชีวิตประจำวันในกระบวนการที่กว้างขึ้น

 

ความเป็นเจ้าโลก

 

ภูมิศาสตร์การเมืองร่วมสมัยมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างซับซ้อนกับประเด็นของภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งนักภูมิศาสตร์ได้นำเอาทฤษฎีระบบโลกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งเพื่อใช้ทฤษฎีภูมิรัฐศาสตร์สร้างความเข้าใจเนื้อหาภายในบริบททางภูมิประวัติศาสตร์ ด้วยแนวทางนี้ทำให้ทฤษฎีของเซอร์ ฮาลฟอร์ด แมคกินเดอร์ และนายพลคาร์ล ฮูโชเฟอร์ สามารถแสดงมุมมองและนำเสนอวาระสำคัญของรัฐใดรัฐหนึ่งภายใต้สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ได้ชัดเจนขึ้น โดยขั้นตอนการวิเคราะห์ทางทฤษฎีนี้ถูกสร้างขึ้นตามโครงสร้างของคลื่นคอนดราเทียฟ (Kondratieff waves) ที่เป็นชีพจรการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจทุนนิยมโลกระยะยาว เพื่อให้สามารถจัดระบบและกำหนดแนวทางเศรษฐกิจทั่วไปได้ (เช่น ลัทธิการค้าเสรีกับลัทธิปกป้อง) ดังนั้น ความเป็นเจ้าครองโลกหรือกระบวนการที่รัฐมีอำนาจเพิ่มมากขึ้นและล่มสลายลงในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลก จึงเป็นแนวคิดที่ครอบคลุมและมีความเชื่อมโยงคำถามสำคัญๆ ที่ได้รับความสนใจมากเหล่านี้

 

ภูมิศาสตร์ทางการเมืองของการเปลี่ยนแปลงแบบคลื่นคอนดราเทียฟและเมทริกซ์กาลเทศะที่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างมากพอที่จะอธิบายเกี่ยวกับพลังอำนาจของเจ้าครองโลก และมีประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างความเข้าใจความเป็นเจ้าครองโลกในฐานะที่เป็นกระบวนการๆ หนึ่ง นวัตกรรมต่างๆ ทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนคลื่นคอนดราเทียฟลูกใหม่ให้พัดเข้ามาได้รับการจัดกลุ่มกันตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ประเทศต่างๆ ถูกจับมาอยู่ภายในเขตอาณัติของรัฐหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป รัฐนั้นสามารถใช้เงื่อนไขทางการเมืองระหว่างประเทศผูกขาดหลายสิ่งหลายอย่างบนความสัมพันธ์ของนวัตกรรมดังกล่าว และได้สร้างรากฐานทางเศรษฐกิจที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้ตัวเองขยับพุ่งขึ้นสู่การมีอำนาจเหนือรัฐอื่น เรื่องนี้วอลเลอร์สไตน์ (Wallerstein 1984) ระบุว่า การครอบงำเป็นภาวะที่จะเกิดขึ้นตามมาทั้งในด้านการผลิต การค้า และการเงิน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของความเป็นเจ้าครองโลกเหนือรัฐอื่น  ความสำคัญทางภูมิศาสตร์ที่เกิดขึ้นก็คือการชี้ให้เห็นว่าฐานเดิมของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นประเด็นทางด้านภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของนวัตกรรม และต่อมาเป็นก็ค่อยๆ กลายเป็นประเด็นของภูมิศาสตร์การเมือง ด้วยความพยายามที่จะรักษาฐานที่ตั้งของนวัตกรรมเอาไว้ให้อยู่ภายในเขตแดนของรัฐหนึ่ง เพื่อเอาชนะรัฐคู่แข่งและรัฐที่พยายามลอกเลียนแบบ

 

การรับรู้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของนวัตกรรมทางเศรษฐกิจภายในคลื่นคอนดราเทียฟ ถูกนำมาใช้สร้างสิ่งที่ปีเตอร์ เทย์เลอร์ เรียกว่า “แบบจำลองคู่คอนดราเทียฟแสดงความเป็นเจ้าครองโลก” (paired-Kondratieff model of hegemony) ที่เป็นพลวัตทางการเมืองและเศรษฐกิจของเจ้าผู้ครองโลก โดยเป็นประเด็นที่มีความเกี่ยวข้องกับภูมิศาสตร์เศรษฐกิจโลกแบบรัฐเดียวและหลายรัฐ ที่ถูกจับเข้ามาอยู่ภายในอาณาเขตที่กำหนด ซึ่งจะมีปฏิสัมพันธ์กับกระบวนการผูกขาดนวัตกรรมทางเศรษฐกิจและการแข่งขันเพื่อสร้างรูปแบบของนโยบายการค้า พูดง่ายๆ ก็คือ รัฐที่กำลังเติบโตด้วยอุตสาหกรรมใหม่ๆ นี้ จะเป็นผู้ปกป้องและรักษาฐานเศรษฐกิจนี้เอาไว้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับระบบเศรษฐกิจอื่นที่เข้มแข็งกว่า อย่างไรก็ตาม หากอุตสาหกรรมใหม่ประสบความสำเร็จในการวางโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ จนสามารถการกลายสภาพเป็นมหาอำนาจใหม่ของโลกได้ รัฐที่เป็นเจ้าครองโลกอยู่จะให้การสนับสนุนระบอบการค้าเสรีอย่างเต็มที่ เพื่อใช้ประโยชน์จากการครอบงำการผลิตออกไปทั่วทั้งโลก และเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการลงทุนลงแรงเหล่านั้น หากประสบความสำเร็จ การครอบงำทางการค้าของรัฐเจ้าผู้ครองโลกจะนำไปสู่การครอบงำทางการเงินในขั้นต่อไป อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของระบอบการค้าเสรีจะกลายเป็นดาบสองคมที่เอื้อให้เกิดการแข่งขันจากรัฐอื่นๆ ที่สามารถเริ่มต้นธุรกิจระดับชาติด้วยการคัดลอกและเลียนแบบนวัตกรรม และปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น รถยนต์ที่มีอยู่แต่เดิมเป็นแบรนด์ของสหรัฐฯ และต่อมาก็กลายเป็นคลื่นลูกหลังโถมทับเป็นรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่น ผลที่ตามมาก็คือการลดลงของระดับความเหนือกว่าทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกิดการหวนคืนสู่นโยบายปกป้องและกีดกัน โดยที่รัฐเจ้าครองโลกพยายามรักษาความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจเอาไว้เมื่อต้องเผชิญกับการแข่งขัน

                                                               

แบบจำลองคู่คอนดราเทียฟเป็นการประยุกต์ใช้ทฤษฎีระบบโลก (world-system theory) ที่เปิดกว้างรับความท้าทายของปัจจัยกำหนดโครงสร้างอันใหม่ๆ โดยไม่ได้จัดให้หน่วยงานรัฐ องค์กรธุรกิจ และขบวนการทางสังคม ที่ทำหน้าที่สร้างระบอบการค้าเสรีหรือปกป้องการค้าเสรี เข้ามาอยู่ในแบบจำลองนี้ แบบจำลองนี้ช่วยกำหนดบริบทกิจกรรมส่วนบุคคลและกิจกรรมกลุ่ม ก่อให้เกิดการวิพากษ์เชิงนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่จะมีผลต่อการพุ่งทะยานขึ้นและดำดิ่งลงของอำนาจการครองโลกของประเทศใดประเทศหนึ่ง ภายใต้แบบจำลองนี้ นักทฤษฎีภูมิรัฐศาสตร์ถูกจัดให้เข้าไปอยู่ภายในพลวัตการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจโลก ตัวอย่างเช่น ทฤษฎีภูมิรัฐศาสตร์ของเซอร์ ฮัลฟอร์ด แมคกินเดอร์ ที่เขียนขึ้นโดยสมาชิกชนชั้นปกครองที่มีบทบาทกำหนดการเพิ่มและลดพลังความเป็นเจ้าครองโลก พวกเขาให้ความสำคัญกับกลุ่มจักรวรรดิปกป้อง (protectionist imperial) ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังของแบบจำลองคอนดราเทียฟคู่ ในทำนองเดียวกัน ภูมิรัฐศาสตร์ของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ไอซาห์ โบว์แมน บุรุษผู้ยืนอยู่ข้างกายประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาถึงสามคน สนับสนุนอยู่ สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังต่อการสร้างระบอบการค้าเสรีของรัฐที่เป็นเจ้าครองโลกที่จะมีเพิ่มมากขึ้น

 

มีงานเขียนที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง คือ Britain and the Cold War ของปีเตอร์ เทย์เลอร์ (Taylor 1990) เป็นผลงานจากการศึกษาเชิงอภิปรายทางการเมืองของสหราชอาณาจักรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เป็นความพยายามที่จะกำหนดตำแหน่งหรือสถานะของการตัดสินใจทางภูมิรัฐศาสตร์ที่โลกเปลี่ยนแปลงไปเป็นพลวัต เป็นความรู้และความเข้าใจที่สืบเนื่องมาจากการวิเคราะห์ระบบโลกในกรอบของความเป็นเจ้าครองโลก เทย์เลอร์เริ่มต้นเขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยการนำเสนอมุมมองเชิงโครงสร้าง เขาทำการรวบรวมนโยบายต่างประเทศของแต่ละประเทศเข้ามาสู่กระบวนการวิเคราะห์และจัดหมวดหมู่ แล้วเรียกมันว่า “รหัสภูมิรัฐศาสตร์” จนทำให้เห็นเป็นโครงสร้างของโลกที่ค่อนข้างชัดเจน เรียกว่า “ระเบียบโลกทางภูมิรัฐศาสตร์” โดยสงครามเย็นถูกชี้ว่าเป็นระเบียบโลกทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ช่วยระบุว่ารัฐใดบ้างที่เป็นพันธมิตรที่ควรดึงดูดเข้ามาในร่มเงา และรัฐใดบ้างที่เป็นศัตรูที่ควรกันออกไปให้อยู่นอกเขตแดน นี่จึงเป็นการชี้ให้เห็นถึงขอบเขตอิทธิพลของดินแดนและวิธีจัดการความขัดแย้งที่เป็นที่เข้าใจและปฏิบัติต่อกันมายาวนานพอสมควร แม้ว่าระเบียบโลกทางภูมิรัฐศาสตร์จะมีเสถียรภาพและมั่นคงเป็นเวลาสองสามทศวรรษ แต่ระเบียบโลกแบบนี้ก็เริ่มคลี่คลายกลายเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การเปลี่ยนผ่านทางภูมิรัฐศาสตร์” ขึ้น ตัวอย่างเช่น การที่สหภาพโซเวียตและรัฐบริวารเปลี่ยนผ่านอำนาจจากการเป็นศัตรูที่ดื้อรั้นของชาติตะวันตก กลับกลายมาเป็นพันธมิตรและสมาชิกขององค์การพิทักษ์แอตแลนติกเหนือหรือนาโต้ และสหภาพยุโรป สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งเอามากๆ

 

ในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนผ่านทางภูมิรัฐศาสตร์ รูปแบบและก้าวย่างของระเบียบโลกทางภูมิรัฐศาสตร์จะมีลักษณะเกี่ยวพันกับกระบวนการเพิ่มขึ้นและลดลงของอำนาจการครอบครองของรัฐเจ้าโลก ระเบียบโลกทางภูมิรัฐศาสตร์ในช่วงสงครามเย็นเป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจในการครอบครองโลกของสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นอย่างไม่สมบูรณ์นัก เนื่องจากบทบาทนี้ถูกคัดง้างอย่างต่อเนื่องจากสหภาพโซเวียต เพื่อรักษาความเชื่อมโยงกันของการตีความตามวัฏจักรนี้ การสิ้นสุดลงของ “สงครามเย็น” ถูกนำมาตีความว่าเป็นการไร้ความสามารถในการรักษาสถานการณ์ปกครองแบบเจ้าครองโลกของสหรัฐฯ สงครามเย็นจึงถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการจัดองค์กรทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อสนับสนุนอำนาจในการครองโลกของสหรัฐฯ และการยุติของสงครามเย็นก็ถูกตีความให้เห็นการเสื่อมอำนาจของสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน ส่วนการนำเสนอเกี่ยวกับอำนาจครองโลกของสหราชอาณาจักรและสงครามเย็นเป็นแค่เพียงการอภิปรายเรื่องการเมืองภายในประเทศ ที่มีการโต้แย้งกันอย่างรุนแรงภายในพรรคแรงงาน ซึ่งอันนี้มีส่วนอย่างมากในการกำหนดท่าทีของประเทศที่จะแสดงบทบาทใดบทบาทหนึ่งในระเบียบโลกทางภูมิรัฐศาสตร์ให้ได้มีอำนาจเหนือกว่าสหรัฐ แทนที่จะมองในแบบปัจจัยกำหนด เทย์เลอร์กลับวางทางเลือกต่างๆ ที่อังกฤษจะต้องเผชิญ เพื่อกำหนดรหัสภูมิรัฐศาสตร์ การตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ร่วมกันต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นหลังจากการถกเถียงกันอย่างเข้มข้นและรุนแรงภายในกลุ่มชนชั้นสูง แม้ว่าทางเลือกของผู้มีบทบาททางการเมืองจะถูกจำกัดให้อยู่ภายใต้โครงสร้างที่เป็นความเสื่อมอำนาจของอังกฤษเองก็ตาม ซึ่งขณะที่สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าครองโลกโดยมีการท้าทายจากสหภาพโซเวียตอย่างต่อเนื่อง แต่ว่าเนื้อหาของรหัสภูมิรัฐศาสตร์ของสหราชอาณาจักร ก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเลือก ข้อเสนอที่ปรากฎอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ก็คือ ทางเลือกที่จะสามารถทำความเข้าใจได้ดีที่สุดในบริบทที่ถูกพลวัตเชิงโครงสร้างกำหนดมา

 

การศึกษาความเป็นเจ้าโลกของเทย์เลอร์ยังคงดำเนินต่อไป ด้วยการตีพิมพ์หนังสือที่เกี่ยวข้องอีกสองเล่ม ได้แก่ The Way the Modern World Works (Taylor 1996) และ Modernities (Taylor 1998) การศึกษาเหล่านี้เป็นการกล่าวถึงบทบาทของพลังอำนาจเจ้าครองโลกที่ไปกำหนดแนวทางปฏิบัติในชีวิตประจำวันภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลก (capitalist world economy) พบว่า รัฐที่มีอำนาจครอบครองโลกมากที่สุดสามรัฐ แบ่งออกตามช่วงเวลาที่มีอิทธิพลและอำนาจสูงสุด ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ (ช่วงกลางทศวรรษ ​​​​1600) สหราชอาณาจักร (ช่วงกลางทศวรรษ ​​​​1800) และสหรัฐอเมริกา (ช่วงกลางทศวรรษ ​​1900) เทย์เลอร์ให้เหตุผลว่า แต่ละรัฐเหล่านี้ได้กำหนดความหมายของความเป็นสมัยใหม่ผ่านการสร้างสรรนวัตกรรมเพื่อใช้ปฏิบัติทางเศรษฐกิจ เช่น ระบบโรงงานของอังกฤษ แบบแผนทางสังคม (เช่น ชานเมืองของสหรัฐฯ ที่เป็นแบบอย่างของสังคมที่เติบโตอย่างเป็นระบบระเบียบ) และการแสดงออกทางวัฒนธรรม (เช่น ศิลปะแรมแบรนดท์ที่เน้นการใช้สีแบบเรียบง่าย) ทั้งนี้ ในช่วงเวลาแห่งการมีสถานะเป็นเจ้าครองโลกของสหรัฐฯ ระบบปฏิบัติการแบบฟอร์ดหรือลัทธิฟอร์ด ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่สุดที่ได้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่คงทนหลายอย่าง รวมถึงการผลิตรถยนต์และสร้างภูมิทัศน์ทางสังคมสมัยใหม่ของย่านชานเมืองด้วย ซึ่งทั้งหลายเหล่านี้ถูกนำเสนอไว้ให้เป็นแบบอย่างการมี "ชีวิตที่ดี" และถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลกผ่านสื่อของฮอลวูดและสื่อโทรทัศน์ เพื่อให้มีความเป็นสมัยใหม่จึงจำเป็นต้องมีการลอกเลียนแบบวิถีการดำเนินชีวิตของลัทธิที่กำลังมีอำนาจเหนือกว่ารัฐใดในโลก เทย์เลอร์ (Taylor 1998) เรียกสิ่งนี้ว่า "ความเป็นสมัยใหม่ที่สำคัญ" (prime modernity) โดยสิ่งนี้จะเข้ามาช่วยแพร่กระจายบรรทัดฐานและแนวปฏิบัติตามแบบอย่างอเมริกันออกไปทั่วทุกมุมโลก แม้ว่าจะไม่ใช่ในลักษณะที่ไม่มีใครออกมาโต้แย้งเลยก็ตาม และเป็นการสะท้อนมุมมองของสมาชิกกลุ่มบรูเดลที่มีการเปิดตัวการวิเคราะห์ระบบโลก (Baudel 1973; 1984) งานเขียนของเทย์เลอร์ที่เกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงรูปแบบปรกติของการดำเนินชีวิตประจำวันและวิธีการสร้างและรักษาโครงสร้างแบบนั้นให้ขยายออกไปกว้างขึ้น ในกรณีนี้แนวปฏิบัติชีวิตชานเมืองที่กล่าว ถือได้ว่าเป็นทั้งผลผลิตและส่วนประกอบสำคัญของความเป็นเจ้าครองโลกในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกของสหรัฐฯ นอกจากนี้ การวิเคราะห์ความเป็นสมัยใหม่ของเทย์เลอร์ยังได้เน้นถึงการจัดสถานที่สำหรับประกอบกิจกรรมประจำวันเหล่านี้ด้วย ตัวอย่างเช่น กรุงอัมสเตอร์ดัมถูกจัดไว้ให้เป็น "ห้องทดลอง" แบบปฏิบัติสมัยใหม่สำหรับผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ต่อเรื่องนี้ แม้กระทั่งพระเจ้าปีเตอร์มหาราช กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของอาณาจักรรัสเซีย ก็ยังทรงโปรดการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ที่เป็นตัวอย่างความสมัยใหม่ทั่วยุโรป

 

ปีเตอร์ เทย์เลอร์และนักภูมิศาสตร์คนอื่นๆ ไม่เพียงแต่ใช้แนวคิดเรื่องการเป็นเจ้าครองโลก เพื่อมองย้อนกลับไปที่ภูมิศาสตร์การเมืองในอดีตเท่านั้น แต่ว่าทั้งเทย์เลอร์ ฟลินต์ และวอลเลอร์สไตน์ ล้วนระบุว่า สหรัฐอเมริกาพยายามยกตัวเองขึ้นเพื่อเป็น "เจ้าครองโลกชาติสุดท้าย" ให้ได้ โดยยืนยันด้วยการชี้ให้เห็นว่ากระบวนการของโลกาภิวัตน์ที่ถูกสร้างขึ้นมาในห้วงเวลาที่สหรัฐฯ เป็นเจ้าครองโลก พวกเขาได้บ่อนทำลายเอกราชและอำนาจอธิปไตยของรัฐอื่นที่อาจมีพลังขับเคลื่อนกระบวนการทางเศรษฐกิจโลกในอนาคตลงอย่างสิ้นเชิง เรียกว่าไม่มีรัฐใดสามารถยืนหยัดรักษาอำนาจทางเศรษฐกิจที่เป็นรากฐานอธิปไตยของตนเองเอาไว้ได้เลย พูดง่ายๆ ก็คือว่า อำนาจของสหรัฐฯ มีผลให้เกิดการทำลายการเมืองและเศรษฐกิจเดิมของรัฐอื่น จนรัฐนั้นๆ ไม่สามารถกำหนดเขตอำนาจของตนเองได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม การตีความแบบนี้ได้รับการต่อต้านจากกลุ่มที่มีแนวคิดแบบวิวัฒน์ธนกิจ (financialization) ซึ่งกลุ่มนี้ยืนยันว่าช่วงเวลาที่มีการไหวเวียนของกระแสการเงิน (ที่เราเรียกว่า "โลกาภิวัตน์") ได้ดีนั้น เป็นเรื่องปกติที่จะถือได้ว่าเป็นช่วงสุดท้ายของอำนาจของเจ้าครองโลกที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ตามข้อมูลของอาร์ริกี (Arrighi 1994) แสดงให้เห็นว่า ภาวการณ์เสื่อมสลายที่พวกเรากำลังประสบอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นความเสื่อมถอยอำนาจของเจ้าครองโลกร่วมสมัยอย่างสหรัฐอเมริกา และมีความเป็นไปได้มากที่จะถูกลบเลือนอำนาจของความเจ้าครองโลกในอนาคตออกไป

 

มีอีกแง่มุมหนึ่งของการอภิปรายนี้ที่ควรค่าแก่การพิจารณาเพิ่มเติม เป็นเรื่องของอุดมการณ์แห่งความเป็นเจ้าครองโลกของสหรัฐฯ คือ "ความฝันแบบอเมริกัน" (American dream) เป็นวาทกรรมว่าด้วยการที่ “ทุกคนสามารถมีชีวิตที่ดีร่วมกันได้”  หากปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และบรรทัดฐานที่ถูกต้อง (ตามที่รัฐเจ้าครองโลกกำหนด) ตรงนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงจากอุดมการณ์ของการเป็นเจ้าครองโลกก่อนหน้าของสหราชอาณาจักร ที่สร้างขึ้นจากการแบ่งงานตามชนชั้นที่เข้มงวดและความเป็นไปได้ที่แตกต่างกันสำหรับการบริโภค โดยที่วัฒนธรรมอังกฤษปราศจากเรื่องราวของ "มนุษย์สามารถสร้างตนเองขึ้นมาได้" (self-made man) ซึ่งเรื่องเล่าแบบนี้เป็นอาหารจานหลักที่เสริฟเช้าเสริฟเย็นในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นเชิงโครงสร้างของความสัมพันธ์ตามลำดับชั้นระหว่างพื้นที่แกนกลาง-รอบนอกของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลก และมีความเป็นไปไม่ได้ทางนิเวศวิทยาของโลกที่จะยังคงรักษาระดับการบริโภคเอาไว้ให้อยู่ในระดับเดียวกันกับพื้นที่ชานเมืองของสหรัฐ ตรงนี้ก็ชี้ให้เห็นว่าอาจเป็นไม่ไปได้ที่อำนาจเจ้าครองโลกรายใหม่จะเข้ามาแทนที่ความเป็นสมัยใหม่ที่สหรัฐอเมริกาสร้างขึ้นมาและฝังเป็นระเบิดเอาไว้ อีกทางหนึ่งหากมีความเป็นสมัยใหม่อันใหม่ที่กำหนดโดยมหาเจ้าครองโลกรายใหม่ ก็อาจมีภารกิจที่ยากลำบากอย่างมากในการประกาศว่าใครกันที่ควรได้รับ (และไม่ควรได้รับ) ผลประโยชน์จากระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลก ดังนั้น การศึกษาภูมิศาสตร์ภายใต้ระบอบการปกครองที่มีเจ้าครองโลกนั้น จะเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยกำหนดขอบเขตทางสังคมและเขตแดนของสิ่งต่างๆ ที่จะผนวกเข้ามา และ/หรือ กันเอาออกไป

 

ผู้มีบทบาททางการเมือง

 

 

ภูมิศาสตร์การเมืองร่วมสมัยได้เกิดขึ้นอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงกลุ่มนักคิดหลังโครงสร้างนิยม (poststructuralism) ในวิชาสังคมศาสตร์ ที่มีส่วนอย่างมากในการกระตุ้นการย้ายนักภูมิศาสตร์มนุษย์ออกจากที่เคยมุ่งเน้นไปที่รัฐให้เป็นทั้งหน่วยวิเคราะห์และผู้มีบทบาทหลัก นักภูมิศาสตร์การเมืองต้องเผชิญกับมรดกของการวิเคราะห์ที่กำหนดให้รัฐเป็นศูนย์กลาง กำหนดให้รัฐเป็นผู้ดำเนินการได้อย่างอิสระและเป็นผู้มีบทบาทแบบองค์รวม (Kuus & Agnew 2008) ทั้งนี้ตั้งแต่เริ่มแรก ทฤษฎีระบบโลกถูกขับเคลื่อนจากการพิจารณาว่ารัฐไม่ใช่หน่วยการวิเคราะห์ที่ให้ความหมายอย่างที่ต้องการ (Wallerstein 1979) วิชาสังคมศาสตร์ส่วนใหญ่จัดให้รัฐอยู่ภายในสังคมอย่างปราศจากข้อสงสัยใดๆ (Wallerstein 1991) ทฤษฎีระบบโลกเองก็ได้กำหนดแนวคิดของหน่วยพื้นฐานของการวิเคราะห์หรือหน่วยของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ให้เหมือนกับระบบสังคมในอดีต ได้แก่ ระบบเล็กๆ อาณาจักรโลก และเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยม ทั้งนี้รัฐสมัยใหม่เป็นหนึ่งในสี่สถาบันหลักในระบบเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยม รัฐกลายเป็นสถาบันที่สร้างขึ้นโดยสังคมภายในโครงสร้างทางสังคมแบบกว้างๆ เป็นองค์ประกอบของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากกว่าคำพ้องความหมายสำหรับสังคม

 

สถาบันหลัก 4 สถาบันในระบบเศรษฐกิจโลกทุนนิยม ประกอบด้วย รัฐ ครัวเรือน ชนชั้น และ “ประชาชน” (สถาบันหลังสุดคือประชาชนนั้นประกอบด้วยเชื้อชาติ ชาติ และชาติพันธุ์) สถาบันแต่ละสถาบันสะท้อนถึงการรวมตัวกันของปริมณฑลทางการเมืองที่แตกต่างกันในระบบเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยม แม้ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นแฟ้นก็ตาม ภูมิศาสตร์การเมืองของเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยมต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองที่หลากหลายของผู้มีบทบาทภายในระบบ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า มีโอกาสที่จะได้ทำการสำรวจการเมืองที่ไม่เน้นที่รัฐเป็นศูนย์กลางและการเมืองที่มีผู้มีบทบาทหลายฝ่ายภายในเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยม ในทางกลับกัน การวิพากษ์วิธีการระบบโลกเป็นการนิยามความของสถาบันเหล่านี้และการเมืองที่เกี่ยวข้องในเชิงบทบาทหน้าที่และเชิงการกำหนดเหตุและผล คำวิพากษ์ที่สำคัญนี้จะกล่าวถึงหลังจากที่ได้อภิปรายถึงประโยชน์ของกรอบการเมืองสถาบันแล้ว

 

สถาบันหลักทั้งสี่สถาบันของเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยมทำให้เกิดกรอบแนวความคิดของภูมิศาสตร์การเมืองขึ้นมา 14 รูปแบบ (Taylor 1991c) แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ประกอบด้วย รูปแบบแรกที่มีการเมืองภายในสถาบัน 4 รูปแบบ ได้แก่

          การเมืองภายในรัฐหรือการแข่งขันที่เหนือการควบคุมของรัฐบาล

          การเมืองภายในประชาชน แสดงออกว่าเป็นการเมืองของการกำหนดเป้าหมายและเทคนิค (เช่น เอกราชในระดับภูมิภาคกับเอกราชของชาติ)

          การเมืองภายในชนชั้นก็เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์เช่นกัน (เช่น การปฏิวัติกับการปฏิรูป)

          การเมืองภายในครัวเรือนแสดงออกทางการเมืองของกลุ่มที่มีเพศสภาพและคนแต่ละรุ่น และเน้นโดยการวิเคราะห์สตรีนิยม

 

กลุ่มที่สอง การเมืองระหว่างสถาบัน 4 รูปแบบ ได้แก่

          การเมืองระหว่างรัฐหรือนโยบายต่างประเทศ

          การเมืองระหว่างประชาชนหรือลัทธิชนชาตินิยมและลัทธิชาตินิยม

          การเมืองระหว่างชนชั้นหรือจุดสนใจของการเมืองแบบมาร์กซิสต์

          การเมืองระหว่างครัวเรือน แสดงออกในการเมืองในท้องถิ่นเกี่ยวกับการเข้าถึงทรัพยากรและบริการ

 

กลุ่มที่สาม การเมืองระหว่างสถาบัน 6 รูปแบบ ได้แก่

          การเมืองระหว่างรัฐกับประชาชน หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นการสร้างและบำรุงรักษารัฐชาติ

          การเมืองระระหว่างชนชั้นกับรัฐ เช่น วิธีการที่พรรคการเมืองมีวิวัฒนาการในการจัดการข้อเรียกร้องทางสังคมต่างๆ ต่อการควบคุมเครื่องมือของรัฐ

          การเมืองระหว่างรัฐกับครัวเรือน ปรากฏเป็นการเมืองด้านสิทธิและสวัสดิการ

          การเมืองระหว่างชนชั้นกับประชาชน ซึ่งมีความหมายเฉพาะภายใต้โลกาภิวัตน์ร่วมสมัย เนื่องจากคนงานที่มีสัญชาติต่างกันถูกแย่งชิงกันเองและมักอยู่ในพื้นที่อธิปไตยเดียวกัน

          การเมืองระหว่างประชาชนกับครัวเรือน สะท้อนถึงข้อพิพาทเกี่ยวกับประเด็นทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะประเด็นที่เสนอมุมมองเชิงบรรทัดฐานเกี่ยวกับโครงสร้างครอบครัว

          การเมืองระหว่างชนชั้นกับครัวเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้ที่เกิดจากการทำให้แรงงานเป็นผู้หญิงในสิ่งที่ได้รับการอนุรักษ์โดยผู้ชายและความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงในที่ทำงานและบทบาททางเพศในครอบครัว

 

การเมืองทั้ง 14 รูปแบบนี้ มีการสรุปไว้โดยย่อดังกล่าวข้างบน โดยเป็นการแสดงให้เห็นจุดสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดกรอบคำถามผ่านแนวปฏิบัติดั้งเดิมของสาขาวิชาสังคมศาสตร์ การมีอยู่ของวิชาต่างๆ ที่อยู่ในนั้นทำหน้าที่แบ่งแยกการเมืองเหล่านี้ให้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่แยกออกจากกัน ตัวอย่างเช่น วิชารัฐศาสตร์เป็นการศึกษาการเมืองภายในรัฐ ขณะที่วิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นการศึกษาการเมืองระหว่างรัฐแยกต่างหาก วิชาสังคมวิทยาดูเหมือนจะเป็นวิชาที่ให้ความสนใจต่อความรู้เกี่ยวกับการเมืองระหว่างชนชั้นของประชาชน แต่ก็จะถูกแบ่งแยกความสนใจระหว่างการศึกษาเกี่ยวกับชนชั้นกับการศึกษาเพศสภาพ (ครัวเรือน) หรือเชื้อชาติ (ประชาชน) ซึ่งไม่เพียงแต่กรอบการเมืองทั้ง 14 รูปแบบเท่านั้น ที่จะเผยให้เห็นถึงความยากลำบากของการแยกการเมืองในลักษณะนี้ แต่ยังเผยให้เห็นถึงจำนวนอันจำกัดของการเมืองที่มักจะถูกนำมาวิเคราะห์ ตัวอย่างเช่น    มีการวิจัยเกี่ยวกับการเมืองระหว่างรัฐมากกว่าการเมืองระหว่างประชาชนกับชนชั้น

 

การมีส่วนร่วมของกรอบการเมือง 14 รูปแบบ เป็นการวางตำแหน่งของการเมืองอยู่ตรงส่วนที่วิชาสังคมศาสตร์ส่วนใหญ่ละเลย ด้วยการวางรากฐานที่เท่าเทียมกันกับประเด็นที่โดดเด่น คำถามวิจัยเกี่ยวกับการเมืองระหว่างบุคคลกับการเมือง ที่มีมากกว่าการเมืองระหว่างชนชั้น ทำให้มองเห็นว่าประเด็นวิจัยมีความซับซ้อนมากกว่าที่จะวางอยู่ในกรอบการศึกษเพียงกรอบเดียว อีกนัยหนึ่ง บุคคลหรือคนทำงานที่โดดเด่นอาจถูกมองว่าเป็นมากกว่าสมาชิกของชนชั้นกรรมาชีพ โดยมีฐานะเป็นมารดาของคนรุ่นหนึ่งในสภาพแวดล้อมของครอบครัวะ และด้วยเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ เชื้อชาติ และชาติ การวิจัยที่เปิดกว้างสำหรับการเมืองข้ามมิติที่แตกต่างกัน มีแนวโน้มที่จะระบุตัวตนและการเมืองที่สำคัญที่สุดสำหรับตัวผู้มีบทบาทเอง มากกว่าที่จะกำหนดโดยชุดของกรอบงานวิชาการที่แยกจากกัน

 

ประโยชน์ของกรอบการเมือง 14 รูปแบบนั้น มีความเกี่ยวข้องกับการศึกษารัฐต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด การใช้ระดับทางภูมิศาสตร์ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ ร่วมกับการเมืองทั้ง14 รูปแบบ จำเป็นต้องมีการเคลื่อนตัวออกจากลัทธิชาตินิยมตามระเบียบวิธีและการมอบหมายรัฐควบคู่กันไปในฐานะผู้มีบทบาทเพียงผู้เดียว  และการแสดงออกของรัฐในฐานะที่ตัวการหรือผลกระทบขององค์กรการเมืองหลายองค์กร การเมืองทั้ง14 รูปแบบ ต้องการการพิจารณาจากภูมิศาสตร์การเมืองแบบหลายระดับที่เป็นไปตามเป้าหมายและอัตลักษณ์ของผู้มีบทบาท โดยจะถูกกำหนดกรอบตามการดิ้นรนหลายรูปแบบภายในสถาบันทั้งสี่สถาบัน การกล่าวถึงคำว่า "ภายในหรือในฐานะ" ถือเป็นการรับทราบประโยชน์ของการกำหนดแนวคิดของสถาบันต่างๆ ในการวิเคราะห์บางสิ่งบางอย่างในฐานะผู้มีบทบาท ขณะที่มองว่าสถาบันอื่นๆ ถูกแยกย่อยและโต้แย้ง ตัวอย่างเช่น การศึกษาการเมืองของ NIMBY เกี่ยวกับการกำจัดกากนิวเคลียร์ในระดับสากล อาจมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเคลื่อนไหวทางการเมืองระดับครัวเรือนภายพื้นที่ละแวกใกล้เคียง โดยดำเนินการในลักษณะแยกย่อยรัฐท้องถิ่น แต่ไม่ใช่ครัวเรือน อีกทางหนึ่ง สิ่งสำคัญที่ถูกองค์กรในละแวกนั้นเลือก อาจเข้าใจได้ดีที่สุดด้วยการแยกส่วนการเมืองในครัวเรือนของเพศและรุ่น สิ่งสำคัญที่สุด คือ ระดับภูมิศาสตร์ที่ได้มาจากการเมืองเชิงสถาบันทั้ง 14 รูปแบบ จะอำนวยให้เกิดความยืดหยุ่นกับประเด็นสำคัญของการวิจัยได้ ซึ่งช่วยให้มีสมาธิกับการเมืองเฉพาะภายในสถาบันใดสถาบันหนึ่งตามความเหมาะสมที่สุดกับคำถามวิจัย นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาเดียวกันผ่านการเมืองเชิงสถาบันที่หลากหลายหรืออีกนัยหนึ่งคือการใช้เลนส์แตกต่างกัน

 

ความหมายสำคัญของการเมืองเชิงสถาบันทั้ง 14 รูปแบบ คือ การตีความบทบาทของรัฐในการเมืองต่อต้านระบบโดยสัญชาตญาณ หากต้องการยืมวลีของเทย์เลอร์ (Taylor 1991b) “รัฐเป็นควิสลิง” หรือ “รัฐเป็นผู้ทรยศ” (ด้วยคำว่า Quisling มีความหมายเหมือนกันกับ “คนทรยศ” ในบางวัฒนธรรมเนื่องจากบทบาทของวิดกุน ควิสลิง (Vidkun Quisling 1887-1945) ในฐานะนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศนอร์เวย์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้ให้ความร่วมมืออย่างดีกับกองทัพนาซีในการครอบครองประเทศนอร์เวย์ และสังหารประชาชนเป็นจำนวนมาก) การเมืองแบบชนชั้นและการเมืองที่ต่อต้านจักรวรรดินิยมดำเนินมายาวนานภายใต้สมมติฐานที่ว่า เป้าหมายของพวกเขาจะบรรลุได้ดีที่สุดก็ด้วยการยึดการควบคุมเครื่องมือของรัฐ ชนชั้นกรรมกรได้จัดตั้งพรรคการเมืองโดยมีเป้าหมายเพื่อชนะการเลือกตั้งและควบคุมรัฐบาล หรือพยายามบรรลุเป้าหมายเดียวกันผ่านการปฏิวัติ ที่น่าแปลกก็คือ กลยุทธ์ทั้งสองกลยุทธ์มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้เกิดความล้มเหลว เนื่องจากการควบคุมเครื่องมือของรัฐไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองของเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยม อาจกล่าวได้เช่นเดียวกันสำหรับการเมืองต่อต้านอาณานิคม ซึ่งพยายามหาทางปลดปล่อยจากการครอบงำผ่านการกำหนดตนเองของชาติ (national self-determination) ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายแม้ว่าจะประกอบด้วยรัฐที่เป็นอิสระในนาม แต่ยังคงถูกจำกัดด้วยโครงสร้างแกนกลาง-ชายขอบของเศรษฐกิจโลก

 

การมองว่ารัฐเป็น Quisling นั้นจำเป็นต้องมีการอ้างอิงกลับไปที่ระดับที่สามของเทย์เลอร์และโครงสร้างของเศรษฐกิจโลกทุนนิยมในฐานะหน่วยเศรษฐกิจเดียวที่ประกอบด้วยหน่วยทางการเมืองหลายแห่งที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐ ขอบเขตของระบบสังคมคือเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยม และในระดับนั้นที่กระบวนการต่างๆ ดำเนินการในที่สุด ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองควรกำหนดเป้าหมายในระดับเดียวกันนี้ การควบคุมเครื่องมือของรัฐโดยการปฏิรูปหรือการปฏิวัติ ทำให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองพยายามใช้พรมแดนของรัฐเพื่อทำให้จุดยืนของรัฐในเศรษฐกิจโลกดีขึ้น อย่างไรก็ตาม โครงสร้างที่สำคัญของระบบสังคมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง รัฐถูกมองว่าเป็นควิสลิงเพราะเป็นการทรยศต่อเป้าหมายของการเคลื่อนไหวทางการเมือง มันให้ภาพลวงตาของการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้าผ่านการยึดการควบคุมของรัฐบาลขณะที่โครงสร้างทั่วทั้งระบบที่ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันและความแตกต่างยังคงอยู่ ตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ คือ การปฏิวัติบอลเชวิคที่รับรู้ได้จากวาระสำคัญระหว่างประเทศเพื่อเปลี่ยนระบบสังคมทางประวัติศาสตร์ไปเป็นลัทธิสังคมนิยมภายในรัฐเดียวตามแบบสตาลิน ซึ่งตามภาษาที่ปีเตอร์ เทย์เลอร์ ใช้การปฏิวัติสังคมนิยมระหว่างประเทศนั้น เริ่มต้นขึ้นที่ระดับโครงสร้างทางสังคม แต่เป้าหมายของมันถูกหักหลังโดยการกำหนดเป้าหมายที่ตามมาของการควบคุมเครื่องมือของรัฐแทนที่จะเปลี่ยนระบบสังคมในอดีต

 

ต้นทศวรรษ 1990 การกระจายอำนาจของรัฐได้กลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นในวิชาสังคมศาสตร์ อาจมีข้อยกเว้นการศึกษาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเชิงปริมาณ ตัวอย่างเช่น คำจำกัดความเกี่ยวกับจักรวรรดิของฮาร์ดท์และเนกรี (Hardt & Negri 2000) บรรยายถึงสังคมโลกที่มีสถาบันข้ามชาติหลายแห่งที่ที่ตัดขวางกันข้ามรัฐ และเห็นได้ชัดว่ามีการเมืองที่ก้าวหน้า มุมมองระดับโลกของฮาร์ดท์และเนกรีนี้ สะท้อนการอภิปรายเชิงทฤษฎีร่วมสมัยเกี่ยวกับรัฐ ซึ่งรัฐเองถูกมองว่าเป็นกลุ่มสถาบันที่แยกจากกันมากกว่าเป็นสถาบันเดียวที่สอดคล้องกันหรือเป็นสถาบันหลัก (Mitchell 1991; Jessop 2001) ในแง่ของการพัฒนาทางทฤษฎีเหล่านี้ การระบุว่ารัฐเป็นสถาบันในทฤษฎีระบบโลกนั้น จึงดูจะเป็นอันตรายเพราะผิดยุคผิดสมัย ในทางกลับกัน การระบุให้รัฐอยู่ในระดับอุดมการณ์ ก็ดูจะเป็นการนำเสนอที่ทันเวลาและชาญฉลาด

 

จุดแข็งเบื้องต้นของมุมมองระบบโลกต่อรัฐ คือ การระบุว่ารัฐเป็นหนึ่งในหลายๆ ด้านของการเมือง และจัดให้อยู่ในโครงสร้างที่กว้างขึ้นของเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยม อย่างไรก็ตาม ในสภาพแวดล้อมของลัทธิหลังสมัยใหม่ร่วมสมัยของวิชาสังคมศาสตร์ แนวทางระบบโลกที่มีต่อรัฐนั้นมีลักษณะเป็นไปตามบทบาทหน้าที่อย่างเข้มงวด รัฐได้รับมอบหมายบทบาทในการอำนวยความสะดวกในการสะสมทุน ผ่านความสามารถในการทำลายขบวนการต่อต้านระบบและเสนอให้นายทุนกึ่งผูกขาด และบทบาทที่จำกัดนี้แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ – เป็นรัฐเฉพาะในแง่ของหมวดหมู่ของพื้นที่ทั้ง 3 ส่วน คือ พื้นที่แกนกลาง ชายขอบ และกึ่งชายขอบ วิชาสังคมศาสตร์ร่วมสมัยที่มุ่งเน้นไปที่ความแตกต่างและเหตุการณ์ฉุกเฉิน จึงอาจมองไม่เห็นคุณค่าของการอธิบายในมุมมองเชิงหน้าที่และเชิงโครงสร้างของรัฐ

 

อาจไม่น่าแปลกใจที่งานทางภูมิศาสตร์ส่วนใหญ่ที่ใช้ทฤษฎีระบบโลกโดยไม่ได้เน้นที่รัฐ ข้อยกเว้นประการหนึ่งอยู่ในวิชาภูมิศาสตร์การเลือกตั้ง ที่ใช้ทฤษฎีระบบโลกเพื่อกำหนดหรือบริบทการเมืองภายในรัฐภายในโครงสร้างแบบกว้างของเศรษฐกิจโลกทุนนิยม มีผลงานชิ้นเอกของเทย์เลอร์ (Taylor 1984; 1986) ที่ได้กล่าวถึงวิวัฒนาการของระบบพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นในยุโรปภายในกระบวนการของระบบสังคมแบบกว้าง คำว่า "การเมืองแห่งความล้มเหลว" ถูกใช้เพื่ออธิบายการขาดการเมืองในพื้นที่ชายขอบหรือที่อยู่รอบนอกของเศรษฐกิจโลก (Osei-Kwame & Taylor 1984) การไหลของกำไรและทรัพยากรจากรัฐชายขอบสู่รัฐแกนกลางในระบบเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยม ทำให้รัฐบาลในอดีตมีความสามารถเพียงเล็กน้อยในการสร้างคำมั่นสัญญาในการหาเสียงและทำให้การปกครองของพวกเขาถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น การเมืองของรัฐชายขอบจึงมักจะไม่เป็นประชาธิปไตย และต้องการให้เป็นรัฐบาลเผด็จการเพื่อรักษาอำนาจในการควบคุม หรือถูกทำลายจากการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งในรัฐบาลโดยการรัฐประหาร สำหรับประเทศชายขอบที่มีการเลือกตั้ง ลักษณะของผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่แน่นอน เนื่องจากต้องให้คำมั่นสัญญาใหม่กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งใหม่ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง ตัวอย่างเช่น การมีอายุยืนยาวของการควบคุมพรรคคองเกรสในอินเดีย ตั้งแต่ปี 1952-1977 แสดงให้เห็นรูปแบบที่ลื่นไหล เมื่อพรรคถูกละทิ้งโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งก่อนและสร้างการสนับสนุนใหม่ (Flint & Taylor 2007:22933) ยังมีการศึกษาอื่นๆ อีก เช่น ฟลินต์ (Flint 2001a) ชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของการเลือกตั้งของพรรคนาซีผ่านความสามารถในการสร้างวาระแห่งชาติที่ดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนหนึ่งที่ประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจซึ่งสืบย้อนไปถึงพลวัตของเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยม

 

อย่างไรก็ตาม วิธีการเชิงบทบาทหน้าที่โดยรวมของรัฐนั้น ได้จำกัดการยอมรับทฤษฎีระบบโลกของนักภูมิศาสตร์การเมือง โดยทั่วไปแล้ว ภูมิศาสตร์การเมืองส่วนใหญ่ได้ก้าวถอยหลังจากโครงสร้างข้อมูลหรือนิยามข้อมูลที่เป็นสากล ที่จะทำให้ทฤษฎีระบบโลกเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ในทางกลับกัน กลับมีจุดเน้นอยู่ที่ระดับจุลภาคที่เป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในชีวิตประจำวันและอิทธิพลที่น่าเบื่อหน่ายของรัฐ (Painter 2006) การเมืองในวิชาภูมิศาสตร์ได้รับการบ่งชี้ว่าเกิดขึ้นโดยบังเอิญมากขึ้น และได้รับการกล่าวถึงอย่างดีที่สุดในระดับที่แสดงให้เห็นปฏิสัมพันธ์ของแต่ละบุคคลกับโครงสร้างทางการเมือง ซึ่งภายใต้บสภาพแวดล้อมทางปัญญาเช่นนี้ อาจไม่น่าแปลกใจที่วิชาภูมิศาสตร์ทางการเมืองจะได้ใช้ขอบเขตกว้างๆ ของทฤษฎีระบบโลก เพื่อสำรวจกรอบการทำงานทางเลือกหรือ meta-geographies

 

มุมมองใหม่เกี่ยวกับแผนที่การเมืองโลก

 

 

คำศัพท์ meta-geography หมายถึง กรอบและความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับโครงสร้างหรือรูปแบบทางภูมิศาสตร์ที่มีต่อสิ่งต่างๆ ว่าควรจะถูกจัดระเบียบอย่างไรในเชิงพื้นที่ ในด้านภูมิศาสตร์การเมือง การผสมผสานระหว่างความเป็นจริงและการรับรู้ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ระบบรัฐเวสท์ฟาเลิน (westphalian system of states – ระบบนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐชาติสมัยใหม่ ที่รัฐมีอำนาจในเขตแดนของตน รัฐอื่นจะเข้ามารบกวนหรือแทรกแซงไม่ได้) ซึ่งถูกมองว่าเป็นวิธีที่ชัดเจนและถูกต้องในการจัดระเบียบการเมืองผ่านการยอมรับอุดมการณ์ชาตินิยมในวงกว้าง (Taylor 1994; 1995) ในทางกลับกัน meta-geography นี้ได้กำหนดกรอบสังคมศาสตร์กระแสหลักด้วยการส่งเสริมลัทธิชาตินิยมเชิงวิธีการ ซึ่งได้กำหนดกรอบการวิเคราะห์ที่ตอกย้ำการรับรู้ของรัฐว่าเป็นคอนเทนเนอร์ที่มีอำนาจอธิปไตยของสังคม มุมมองที่โดดเด่นเกี่ยวกับวิธีการจัดระเบียบโลกนี้ได้ถูกกัดกร่อนไปเมื่อเร็วๆ นี้ ผ่านแนวความคิดคู่แฝดที่ว่าด้วยโลกาภิวัตน์และการก้าวข้ามชาติ (globalization and transnationalism)

 

อาจไม่ใช่จุดประสงค์ของบทนี้ที่จะทำการสำรวจงานเขียนที่มีอยู่อย่างหลากหลายภายใต้แนวคิดทั้งสองนี้อย่างเต็มที่ แต่ก็พบว่าซาสเซน (Sassen 2006) ได้นำเอาแนวคิดที่เกี่ยวข้องของเมืองระดับโลกไปใช้เป็นพื้นฐานสำหรับวิเคราะห์โครงการขนาดใหญ่ที่มีการจัดการตามกรอบทฤษฎีระบบโลก ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์โลกาภิวัตน์และเมืองระดับโลก (GaWC: globalization and world cities) มหาวิทยาลัยลูโบโร สหราชอาณาจัก (www.lboro.ac.uk/gawc) เป็นผู้นำในการสร้างฐานข้อมูลและดำเนินการวิเคราะห์ที่ใช้ meta-geography ของการเชื่อมต่อระหว่างเมือง มากกว่าการพิจารณประเด็นต่างๆ ภายในอาณาเขตของรัฐ โครงการนี้เกิดขึ้นมาเพื่อทำหน้ที่รวบรวมข้อมูลความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างเมืองขนาดใหญ่ต่างๆ ซึ่งนี่เป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างกรอบ meta-geographic ใหม่ เนื่องจากใช้ข้อมูลสถิติที่แอบอิงตามเนื้อหาในหน่วยทางภูมิศาสตร์ (สำมะโนหรือรัฐ) มากกว่าความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงาน แม้ว่าองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ จะมีความสัมพันธ์กันตามแนวบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศกันในแนวดิ่งก็ตาม เช่น โครงการ correlates of war ที่เป็นข้อยกเว้นที่สำคัญ โครงการนี้เริ่มต้นด้วยการนับจำนวนสำนักงานของผู้ให้บริการที่ดำเนินงานทั่วโลก (บริการทางการเงิน บริษัทโฆษณา ทนายความเฉพาะทาง ฯลฯ) โครงการได้จำแนกเมืองทั่วโลกออกเป็นกลุ่มตามลำดับศักย์ ต่อจากนั้น ก็ทำการคำนวณค่าเชื่อมโยงระหว่างเมืองต่างๆ เพื่อให้ meta-geography จัดระบบเศรษฐกิจโลกทุนนิยมเป็นหนึ่งในจุดร่วม (ตัวเมืองต่างๆ เอง ที่เชื่อมโยงระหว่างกันและกัน ถือเป็นจุดร่วม หรือ node) และชุดของความเชื่อมโยง (การเชื่อมต่อภายในและระหว่างองค์กร)

 

ระยะเริ่มต้นของโครงการ GaWC จำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (ดูรายการทั้งหมดและลำดับเหตุการณ์ของสิ่งพิมพ์ได้ที่ www.lboro.ac.uk/gawc/publicat.html) อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานนี้มีการตีความใหม่เกี่ยวกับภูมิศาสตร์การเมืองที่ผสมผสานองค์กรของธุรกิจ รัฐบาล และองค์กรพัฒนาเอกชน เข้ากับโครงสร้างของเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยม (Taylor 2005) ด้วยการวิเคราะห์โครงข่ายเมืองทั้งสามชุด (สำนักงานการทูต องค์กรพัฒนาเอกชน และหน่วยงานของสหประชาชาติ) รูปแบบของปฏิสัมพันธ์ระหว่างเมืองระดับโลก เผยให้เห็นกระบวนการรักษาระบบรัฐเวสท์ฟาเลินไว้พร้อมๆ กันกับอำนวยให้ลำดับศักย์ของพื้นที่แกนกลาง–ชายขอบ สามารถสะสมทุน ขณะเดียวกันก็ทำให้การเมืองข้ามชาติมีศักยภาพในการต่อต้านระบบ จุดตัดของโครงข่ายทั้งสามนี้ ส่งผลให้เกิดการกำหนดระเบียบปฏิบัติร่วมกันจำนวนหนึ่ง แต่ยังคงเป็นปฏิปักษ์ในฐานะที่พวกเขายังต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหาทางไปสู่ภูมิศาสตร์ทางเลือก (จะเป็นไปเพื่อรักษาอธิปไตยของรัฐ และการนำเอาลัทธิข้ามชาติมาใช้) ข้อจำกัดและความเป็นไปได้ของปฏิสัมพันธ์ดังกล่าว วางอยู่ภายใต้โครงสร้างของเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยม แต่ไม่ได้ขจัดศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายเมืองทั้งสามแต่อย่างใด กิจกรรมของผู้มีบทบาทชุดต่างๆ เหล่านี้ ถูกกำหนดกรอบโดยเป้าหมายทางภูมิศาสตร์การเมืองที่แตกต่างกัน แต่การมุ่งเน้นวิเคราะห์ที่การทำงานของ GaWC ก็สนับสนุนให้นักวิชาการวางกรอบการวิเคราะห์ของตนภายใน meta-geography ของโครงข่ายมากกว่าที่จะเป็นการวิเคราะห์ในอาณาเขตของรัฐ

 

โครงการเชิงประจักษ์ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ GaWC สามารถตีความได้ว่า เป็นภูมิศาสตร์การเมืองของทฤษฎีระบบโลก พัฒนาความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับลำดับศักย์ของพื้นที่แกนกลาง-ชายขอบของเศรษฐกิจโลกทุนนิยม และการดำเนินการอื่นๆ ของความเป็นคู่ระหว่างองค์กรและโครงสร้าง ดังนั้น ภูมิศาสตร์การเมืองสามระดับของเทย์เลอร์ จึงเป็นการนำเสนอประสบการณ์ในชีวิตประจำวันภายในกระบวนการและโครงสร้างของเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยม การวิเคราะห์การเมืองเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นตามมาภายหลัง ถือเป็นความพยายามที่จะทำในสิ่งเดียวกัน การสืบค้นเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับรัฐและการเมืองเป็นการตระหนักต่อปัญหาในการระบุว่ารัฐเป็นผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมือง ด้วยการติดตราให้กับรัฐอยู่ในระดับอุดมการณ์ ผลลัพธ์ที่ได้คือการกลับไปสู่โครงการเชิงประจักษ์ที่กำหนดกรอบกิจกรรมประจำวันของธุรกิจและองค์กรต่างๆ ภายในเมืองแต่ละเมือง ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบสังคมในอดีตในระดับหนึ่ง

 

การวิเคราะห์สถานที่ของระบบโลก

 

 

อนาคตของทฤษฎีระบบโลกในฐานะที่ถูกใช้เป็นกรอบการศึกษาทางภูมิศาสตร์สำหรับวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นตั้งอยู่บนความขัดแย้งอย่างที่กล่าวมาทั้งหมด หากการพัฒนาทางทฤษฎีของวิชาสังคมศาสตร์ในปัจจุบันยังคงดำเนินต่อไป อนาคตก็จะดูมืดมน แต่เหตุการณ์และแนวโน้มที่น่าสนใจในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ดูเหมือนจะสอดคล้องกับความคาดหวังที่มาจากทฤษฎีระบบโลก ตัวอย่างเช่น การอภิปรายร่วมสมัยเกี่ยวกับนโยบายที่เน้นการกีดกันและคำถามเกี่ยวกับการท้าทายตำแหน่งเจ้าครองโลกของสหรัฐฯ หลักคำสอนบนกรอบความคิดหลังโครงสร้างเกี่ยวกับความบังเอิญและความลื่นไหลนั้น ขัดแย้งกับความจำเป็นเชิงโครงสร้างที่เป็นรากฐานของทฤษฎีระบบโลก นอกจากนี้ การสร้างสมมติฐานอย่างเป็นทางการของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเชิงปริมาณไม่เข้ากันกับกรอบที่กำหนดขึ้นในอดีต (Popper 1957) ผลพวงของความคิดแบบมาร์กซิสต์ ทำให้ทฤษฎีระบบโลกดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีของรัฐ (Jessop 2001) หรือประชาธิปไตย (Laclau & Mouffe 2001) ที่ล้อมรอบด้วยการดำเนินการของระบบทุนนิยมแต่หลีกเลี่ยงกรอบแนวคิดแบบโครงสร้างนิยมหรือการกำหนดเหตุปัจจัย

 

แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ แต่รอยประทับของทฤษฎีระบบโลกที่อยู่บนภูมิศาสตร์ของมนุษย์ก็มีความลึกซึ้ง ผลงานของนักภูมิศาสตร์การเมือง เช่น จอห์น แอกนิว และสจวร์ต คอร์บริดจ์ (John Agnew & Stuart Corbridge 1995) สอดคล้องกับจุดเน้นของทฤษฎีระบบโลกอย่างที่ทำให้ได้เห็นแนวคิดของสหรัฐฯ ที่ดำรงตนในฐานะที่เป็นเจ้าโลกหรือรัฐหลักในระบบการแข่งขันของรัฐต่างๆ (Agnew 2005) นอกจากนี้ การวิพากษ์ทฤษฎีระบบโลกของเดวิด ฮาร์วีย์ ในฐานะนักคิดเชิงบทบาทหน้าที่นั้น ถูกต้องแม่นยำในระดับหนึ่ง แต่งานของเขาก็ยังคงมีส่วนเกี่ยวกับนโยบายร่วมสมัยของสหรัฐฯ ที่อย่างน้อยก็ในระดับจิตวิญญาณของทฤษฎีระบบโลก อีกทั้งเนื้อหาก็แสดงให้เห็นโครงสร้างและแนวปฏิบัติที่คล้ายคลึงกัน (Harvey 2003) ทั้งนี้ วิธีการทางภูมิศาสตร์การเมืองกับทฤษฎีระบบโลกได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจโดยปริยาย แม้ว่าการมีอยู่อย่างชัดแจ้งจะลดน้อยลงไปก็ตาม

 

อย่างไรก็ตาม บางทีเหตุการณ์ “โลกแห่งความเป็นจริง” อาจช่วยฟื้นฟูแนวทางทฤษฎีระบบโลกในวิชาภูมิศาสตร์การเมืองขึ้นมาได้ บริบททางสังคมร่วมสมัยของสงครามทั่วทุกมุมโลกที่นำโดยสหรัฐฯ ความเหลื่อมล้ำของความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและการแข่งขันเป็นแก่นของทฤษฎีระบบโลกที่สนับสนุนการอุทธรณ์ครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 เมทริกซ์กาลเทศะซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการนำทฤษฎีระบบโลกเข้าสู่สารัตถะในวิชาภูมิศาสตร์การเมืองทำให้เกิดการตีความที่นำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจร่วมสมัย ความท้าทายร่วมสมัยด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการทหารในสหรัฐฯ อาจตีความได้ผ่านแบบจำลองการปกครองแบบคู่-คอนดราเทียฟที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริบททางการเมืองและเศรษฐกิจซึ่งนิตยสารอิโคโนมิสต์ (Economist 2009) สามารถประณาม “การกลับมาของลัทธิชาตินิยมทางเศรษฐกิจ” และผู้วิจารณ์ข่าวกล่าวถึงการเปรียบเทียบในปัจจุบันกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Gross 2008) ส่งเสริมความจำเป็นในการสร้างแบบจำลองทางประวัติศาสตร์เช่นโลก - ทฤษฎีระบบโดยเน้นที่วัฏจักร?

 

รายละเอียดที่กล่าวมาในบทนี้ ชี้ให้เห็นว่าคำตอบที่ได้ คือ บางทีในฐานะที่เป็นเครื่องอธิบายเชิงประวัติศาสตร์ เป็นคำถามที่สามารถนำมาพิจารณาถึงพลวัตของคลื่นคอนดราเทียฟและวัฏจักรการเป็นเจ้าครองโลก และโครงสร้างของลำดับศักย์ของพื้นที่แกนกลาง-ชายขอบนั้น มีประโยชน์มาก เป้าหมายของการวิเคราะห์ไม่ควรมุ่งเน้นไปที่การหลีกเลี่ยงไม่ได้ของเหตุการณ์ตามกรอบประวัติศาสตร์นิยม ตัวอย่างเช่น ระยะการยุบตัวบนกราฟในช่วงถัดไปที่เป็น B หรือเรียกว่าเกิดภาวะทรุดตัวลง จะคงอยู่นานเท่าใด หรือวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2009 บ่งชี้ว่ากลไกของคลื่นคอนดราเทียฟ และจังหวะเวลาที่เกี่ยวข้อง ได้พังทลายลงโดยสิ้นเชิง ในทางกลับกัน ประโยชน์ที่ได้รับ คือ การสันนิษฐานถึงแนวโน้มต่อความซบเซาทางเศรษฐกิจและการปรับโครงสร้างใหม่หลังจากช่วงระยะเวลาของการเติบโต และถามคำถามต่างๆ เกี่ยวกับการเมืองร่วมสมัยที่อยู่บนฐานของฉากทัศน์ที่ว่า “อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าหากว่า ...” ตัวอย่างเช่น ถ้าคลื่นคอนดราเทียฟลูกต่อไปจะยกตัวสูงขึ้นได้นั้น ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของเทคโนโลยีใหม่ คำถามคือ ภูมิภาคใดและเทคโนโลยีใด หรือนโยบายการวิจัยและพัฒนาของอินเดีย จีน สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ชี้ให้เห็นความได้เปรียบทางการแข่งขันที่มากขึ้นสำหรับประเทศใดประเทศหนึ่งในบรรดาประเทศผู้มีบทบาทเหล่านี้หรือไม่ เมื่อเทียบกับนโยบายอื่นๆ ในแง่ของวัฏจักรเจ้าครองโลก แนวโน้มที่สันนิษฐานว่าจะเพิ่มความท้าทายทางการเมืองจะทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความหมายแบบกว้างๆ ของสงครามต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลก และชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแอหรือความแข็งแกร่งของสหรัฐฯ และความเป็นผู้นำที่จะดำรงอยู่ต่อเนื่องต่อไปหรือไม่ (Flint 2005)

 

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าทฤษฎีระบบโลกเป็นกรอบการวิเคราะห์ที่ไม่ดีนักสำหรับการศึกษากระบวนการทางสังคม ความสามารถในการสร้างบททดสอบสมมติฐานจากทฤษฎีระบบโลกนั้นมีอยู่อย่างจำกัด (Popper 2500) แม้ว่าความพยายามของเชส-ดันน์ (Chase-Dunn 1989) จะมีคุณค่ามากก็ตาม แต่กลับไม่ได้สร้างงานวิจัยขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอันแต่อย่างใด การเน้นย้ำทฤษฎีในงานวิจัยที่เป็นกระบวนการมหภาคแลลประวัติศาสตร์และแบบที่ยึดโยงกับบทบาทหน้าที่ เป็นสิ่งกีดขวางการออกแบบการวิจัยที่ต้องการพิจารณาความผันแปรที่อาจเกิดขึ้นตามพฤติกรรมของผู้มีบทบาททางสังคม ซึ่งความจริงแล้ว ข้อวิพากษ์ของปอปเปอร์ก็คือว่าลัทธิประวัติศาสตร์ของทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง อย่างเช่นระบบโลกอาจขัดขวางการตรวจสอบทางเลือกทางสังคม หรือ เป็นการครอบคลุมทั้งหมด จนสามารถแสดงรูปแบบพฤติกรรมใดๆ สามารถอธิบายได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

 

จุดแข็งของทฤษฎีระบบโลกอยู่ที่ความสามารถในการแสดงภาพฉากทัศน์แบบกว้างๆ เหตุการณ์หนึ่งซึ่งระบุเหตุการณ์และผู้ดำเนินการที่แยกออกมาอย่างชัดเจนภายในกระบวนการที่กว้างขึ้น เป้าหมายของสำนักวิชาบรูเดล ในการทำความเข้าใจการกระทำและตัวเลือกของผู้มีบทบาทในทันทีและในชีวิตประจำวันเป็นจุดเริ่มต้นของทฤษฎีระบบโลก (Baudel 1973; 1984) นอกจากนี้ยังสนับสนุนเป้าหมายของเทย์เลอร์ในด้านภูมิศาสตร์การเมืองของประสบการณ์และโอกาสที่แตกต่างกันสำหรับบุคคลภายในการตั้งค่าทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการพัฒนาทฤษฎีระบบโลก มาโครถูกเน้นมากกว่าไมโครหรือเมโซ บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากโดยหลักแล้ว เป็นกรอบทางประวัติศาสตร์และโครงสร้าง ในทางกลับกัน บางทีเรากำลังแสดงบทบาทที่เราต้องการศึกษาความเสียหายโดยปฏิเสธข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง แน่นอน นักวิจารณ์จะพูดตรงกันข้าม นั่นคือ แบบจำลองโครงสร้างกำหนดและกำหนดผู้มีบทบาทอย่างไม่เป็นธรรม โดยปล่อยให้แบบจำลองกำหนดความหมายของการกระทำมากกว่ายอมรับการสะท้อนกลับของพวกเขา ทว่าในโลกที่ความเหลื่อมล้ำในความมั่งคั่งยังคงอยู่แม้จะมีทฤษฎีและแผนงานมากมายเกี่ยวกับ "การพัฒนา" ซึ่งเป็นโลกที่ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายยังคงถูกครอบงำโดยสถาบันของประเทศที่ร่ำรวยและทรงอำนาจ เป็นโลกที่ประเทศใดประเทศหนึ่งมีอำนาจ เป็นอำนาจทางทหารและเป็นผู้กำหนดระเบียบวาระระดับโลก และโลกที่ท้าทายประเทศนั้นในด้านความคลั่งไคล้ทางการเมือง การก่อการร้าย การก่อความไม่สงบ การต่อต้านการก่อการร้าย และการต่อต้านการก่อความไม่สงบ ก่อให้เกิดความโกลาหล และความทุกข์ยากเช่นนี้ จะทำให้บทบาทของแกนกลางลดลงและโครงสร้างรอบนอกและอำนาจเจ้าครองโลกในการกำหนดโอกาสและข้อจำกัดที่ปัจเจก ครัวเรือน รัฐ และประชาชนต้องเผชิญ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น