ภูมิทัศน์แห่งความเจ็บปวดบนถนนโมนูเมนต์ของเมืองริชมอนด์
พัฒนา ราชวงศ์ สมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย
อนุสาวรีย์เป็นสิ่งแสดงหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ สะท้อนคุณค่าที่ผู้ที่สร้างเป็นคนกำหนดขึ้นมา การไล่รื้อถอนโค่นทำลายหรือแม้กระทั่งเขียนกราฟิตี้ลบหลู่รูปปั้นตรงนั้นตรงนี้ ไม่สามารถลบเลือนประวัติศาสตร์ได้ ดูเหมือนประเด็นนี้ในสหรัฐอเมริกาช่วงกลางปี 2020 ที่ผ่านมาจะหนักหนาสาหัส ด้วยจุดเริ่มต้นจากการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจผิวขาวที่ทำให้ชายผิวดำต้องจบชีวิตลง แล้วแพร่ลามไปถึงความอยุติธรรมในการจัดการวิกฤติโควิด-๑๙ ของรัฐบาล ที่ลึกๆ แล้วเอื้ออำนวยให้เฉพาะคนอเมริกันผิวขาว ทำให้สัดส่วนของผู้ป่วยติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดคราวนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนอเมริกันผิวดำ นั่นจึงทำให้เกิดประเด็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1960-70 ที่มาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ พาคนอเมริกันผิวดำลุกขึ้นประท้วงหยุดขึ้นรถเมล์เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมให้กับคนผิวดำที่เกิดมาบนโลกใบนี้
หรือว่านี่เป็นบันไดขั้นแรกของการล้มล้างตำนานสมาพันธรัฐ ที่เคยทิ่มแทงประวัติศาสตร์การก่อกำเนิดของชาติสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นอาณานิคมอังกฤษฝ่ายใต้ผู้ร่ำรวยจากการเกษตรที่ใช้แรงงานทาสและค้าทาส พวกเขาอาจไม่อยากให้ประวัติศาสตร์แห่งความพ่ายแพ้คอยซ้ำเติมความเจ็บช้ำอีกต่อไป และอาณานิคมอังกฤษฝ่ายเหนือผู้ร่ำรวยจากอุตสาหกรรมโดยไม่ต้องพึ่งพาแรงงานทาส แต่การรบกันเองส่วนใหญ่ของอาณานิคมอังกฤษทั้งสองงฝ่าย และก็เป็นฝ่ายเหนือที่ต้องตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้บ่อย แม้ว่าสุดท้ายชัยชนะจะเป็นของฝ่ายเหนือก็ตาม
เวอร์จิเนียเป็นเมืองหลวงของสมาพันธรัฐฝ่ายใต้ที่ต้องการแยกตัวเองออกมาจากอาณานิคมอเมริกัน โดยเจฟเฟอร์สัน เดวิส ที่ตั้งตนเป็นประธานาธิบดี มีนายพลโรเบอร์ต เอดวาร์ด ลี กับ โธมัส โจนาธาน “สโตนวอลล์” แจ๊คสัน นักรบที่ชาญฉลาดล้ำคอยคำบัลลังก์ ท่านนายพลผู้ปลุกเร้าจิตวิญญาณชนฝ่ายใต้ให้รบและรุกฝ่ายเหนืออย่างอาจหาญ บุกรุกล้ำจากใต้ขึ้นไปเหนือด้วยกำลังที่น้อยกว่า แต่เชื่อมั่นว่ามีตนปัญญาเหนือกว่า เพื่อไปตีวอชิงตัน ดีซี เมืองหลวงของสหรัฐอเมริกาฝ่ายเหนือ แม้ว่าสุดท้ายจะต้องพ่ายแพ้ด้วยกำลังที่น้อยกว่า แต่เขาทั้งสองก็ได้รับการยกย่องจากทั้งสมาพันธรัฐฝ่ายใต้และรัฐบาลกลางฝ่ายเหนือ เรื่องราวต่อจากนี้จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก National Geographic นำเสนอบทความ เรื่อง “Toppling statues is a first step toward ending Confederate myths.” ของโรเบอร์ต ดราเปอร์ คอลัมนิสต์ประวัติศาสตร์ เพื่อประดับเป็นความรู้ต่อสู่กับความไม่รู้ในตัวเรา
ว่ากันตามจริง ยังมีบรรยากาศของความเหลื่อมล้ำในสังคมอเมริกันอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ ที่นำมาซึ่งไฟลุกโหม้ให้เกิดปรากฏการณ์โค่นล้มรูปปั้นกันครั้งใหญ่ พร้อมชูประเด็น BLM พร้อมกันทั่วประเทศและทั่วโลก และไม่ผิดนักที่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประธานาธิบดีของพรรคริพับลิกันต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แม้ว่าจะได้คะแนนปอบปูลาร์โหวตมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านก็ตาม ประเด็นที่ว่านั้นซ่อนอยู่ในข้อมูลจำนวนผู้ป่วยติดชื้อโคโรน่าไวรัส ๒๐๑๙
เรื่องดังกล่าวนี้ปรากฏในรายงานสองฉบับในช่วงต้นเดือนเมษายน 2563 ที่มีตัวเลขไม่ตรงกัน คือ รายงานของมหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย อันเนนเบิร์ก ที่ระบุว่าในรัฐลอส แองเจลีส พบคนอเมริกันผิวขาวติดเชื้อไวรัสนี้สูงกว่าคนอเมริกันเชื้อชาติอื่น ขณะที่รายงานของซานญ่า มานซูร์ ที่เขียนลงในเดอะไทมส์ กลับแสดงตัวเลขลักษณะตรงข้ามว่าในรัฐนิวยอร์กมีผู้ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคโควิด-๑๙ ส่วนใหญ่เป็นคนแอฟริกันอเมริกัน จริงๆ แล้วสองเรื่องนี้มีลักษณะเดียวกัน กล่าวคือ การตรวจโควิด-๑๙ มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ช่วงแรกของการตรวจในแต่ละประเทศจึงไม่สามารถตรวจประชาชนได้ทั้งหมด แต่ที่แอลเอนั้น ประชาชนอเมริกันผิวขาวที่เป็นคนร่ำรวยนิยมไปตรวจกัน โดยออกค่าตรวจเอง นั่นคือเหตุที่ทำให้พบว่าที่รัฐนี้มีผู้ติดโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่เป็นคนผิวขาว
หลังจากนั้น ก็มีรายงานอีกหลายฉบับออกมาสนับสนุนว่า ทุกรัฐของสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคโควิด-๑๙ ส่วนใหญ่เป็นคนแอฟริกันอเมริกัน นี่แหละคือเพลิงเผาสหรัฐอเมริกาที่ประธานาธิบดีของสำนักข่าวฟ๊อกซ์และทวิตเตอร์ไม่เข้าใจและไม่ลึกซึ้งพอ เรื่องราวโกราหลแบบไม่เคยมี ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ จึงเกิดขึ้นในประเทศไร้รากนั้น
ปรากฎการณ์ในสหรัฐอเมริกาช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2020 ดูแล้วเหมือนกับโดมิโน่ เมื่อรูปปั้นที่ถูกจัดตั้งให้เป็นอนุสาวรีย์วีรบุรุษฝ่ายสมาพันธรัฐบนถนนโมนูเมนต์ในเมืองริชมอนด์ ซึ่งมีความเก่าแก่เป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญของรัฐเวอร์จิเนียในฐานที่เคยถูกยกให้เป็นเมืองหลวงของสมาพันธรัฐฝ่ายใต้มาก่อน อนุสาวรีย์ถูกปลดลงทีละอันๆ รูปปั้นคนแรกที่ถูกถอดถอนออกไป คือ เจฟเฟอร์สัน เดวิส ประธานาธิบดีแห่งสมาพันธรัฐซึ่งรูปปั้นอันนี้ได้ถูกนำมาติดตั้งบนถนนแห่งนี้ตั้งแต่ปี 1907 และวันที่ 10 มิถุนายน 2020 ก็มีรถบรรทุกพ่วงคันหนึ่งเข้ามาและบรรทุกรูปปั้นออกไป สามสัปดาห์ต่อมา คือวันที่ 1 กรกฎาคม 2020 ก็ถึงคราวของท่านนายพลโธมัส โจนาธาน นายทหารผู้แข่งแกร่งดุจกำแพงเหล็กของสมาพันธรัฐ จนได้รับการขนานนามเพื่อเป็นเกียรติยศอันสูงสุดว่า “สโตนวอลล์ แจ็คสัน” วันต่อมารถบรรทุกที่มีอุปกรณ์ยกไฮดรอลิคก็เข้ามาถอดรูปปั้นของนายพลแมทธิว ฟอนเทียน มูรีย์ ผู้ซึ่งใช้เวลาส่วนหนึ่งร่วมทำสงครามกลางเมืองเพื่อสนับสนุนสมาพันธรัฐฝ่ายใต้
โรเบอร์ต ดราเปอร์ กล่าวในบทความของเขา เรื่อง “โค่นล้มรูปปั้น - บันไดขั้นแรกของการหยุดนิทานปรำปราว่าด้วยสมาพันธรัฐ” ว่าได้ไปเยี่ยมชมถนนโมนูเมนต์ ก่อนที่นายกเทศมนตรีเมืองริชมอนด์จะสั่งให้ถอดรูปปั้นของแจ๊คสัน และรูปปั้นอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเมืองออกไป ตอนเที่ยงของวันที่ดราเปอร์อยู่ที่นั่น ผู้คนทุกเพศทุกวัยทุกเชื้อชาติต่างจับมือกันอย่างเงียบๆ รอบวงเวียนใต้ภาพสีบรอนซ์ของผู้บัญชาการกองทัพสมาพันธรัฐฝ่ายใต้ รูปปั้นของท่านนายพลโรเบอร์ต อี ลี นั่งอยู่บนหลังม้าสูง 60 ฟุต ฐานของรูปปั้นตอนนั้นเต็มไปด้วยสีระบายกราฟฟิตี รอบๆ มีใบปลิวหล่นเกลื่อนกลาดเป็นรัศมีกว้างรอบฐานรูปปั้น เพื่อแสดงถึงการประท้วงที่ชายผิวดำที่ถูกสังหารขณะอยู่ในความดูแลของตำรวจ ทอม แบล็กลีย์ ชายวัย 70 ปี ที่ยืนอยู่ใต้ร่มเงาของถนนสีเขียวชอุ่มกล่าวว่า “ตอนที่ผมย้ายจากมิสซิสซิปปีมาที่นี่ครั้งแรก ผมคิดว่ารูปปั้นเหล่านี้ไร้สาระ ทำไมต้องสร้างถนนสำหรับผู้แพ้ … ทางจิตวิทยามันทำให้ทุกอย่างดูรุนแรงขึ้น มันเป็นการบอกกล่าวและย้ำเตือนเสมอว่า ชีวิตเรายังคงมีคนที่อยู่สูงกว่าเสมอ”
มาถึงช่วงเวลาที่โรคโควิด-๑๙ เกิดการระบาดใหญ่ออกไปทั่วโลก และเกิดความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจซ้ำเติมเข้าไปอีกในทุกภูมิภาค การเคลื่อนย้ายอนุสาวรีย์ต่างๆ อย่างฉับพลันของเมืองริชมอนด์ นำไปสู่ความสับสนวุ่นวายและความวิตกกังวลเพิ่มเติมสำหรับบางคน ที่เห็นรูปปั้นเคยฉายภาพลวงตาอย่างคงทนและยาวนาน แม้ว่าจะถูกเคลื่อนย้ายออกไปบ่อยครั้งในช่วงเวลาที่มีความวุ่นวายทางสังคมขึ้น ในอดีตชาวโรมันก็เคยย้ายรูปปั้นออกไปหลังจากการล่มสลายของจอมเผด็จการเนโร นักปฏิวัติอเมริกันกับกษัตริย์จอร์จที่สาม กองทัพสหรัฐฯ ในอิรัคหลังการโค่นล้มอำนาจของซัดดัม ฮุสเซน ถึงกระนั้น ความรู้สึกของการสูญเสียที่ชาวอเมริกันบางส่วนได้แสดงออกมาเมื่อโทเท็มได้ลดความสำคัญลง มาเบล โอ วิลสัน ศาสตราจารย์ด้านสถาปัตยกรรมของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ถึงกับกล่าวว่า “บางครั้ง คนอเมริกันมองหาวีรบุรุษ มากกว่าที่เรามองหาความจริง” พร้อมสำทับต่ออีกว่า “และเมื่อรูปปั้นเหล่านี้ถูกนำมาติดตั้ง พวกเราก็มักแสดงความเก่งกล้าด้วยการแต่งเรื่องปรัมปราขึ้นมาเล่าขานต่อๆ กันไป”
เมื่อพูดอย่างนี้ ก็จะถือได้ว่าศาสตราจารย์วิลสันกำลังท้าทายความคิดที่ว่า การรื้อรูปปั้นเท่ากับเป็นการลบประวัติศาสตร์ เรื่องราวที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ค่อนข้างเป็นกลาง กลุ่มบุตรีแห่งสมาพันธรัฐ (The United Daughters of Confederacy) เป็นกลุ่มผู้สนับสนุนที่ทรงพลังของการดำรงสถานะทั้งหลายทั้งปวงของอนุสาวรีย์ สมาชิกในกลุ่มยืนยันว่าต้องการรักษาเกียรติอันมีคุณค่าความทรงจำของบรรพบุรุษที่ตกทอดมาเอาไว้ โดยอ้างถึงความชอบธรรมของการเป็นผู้ร่วมสร้างสมาพันธรัฐฝ่ายใต้ขึ้นมาเป็นโล่ที่คอยปกป้องคุ้มครองรูปปั้นเหล่านี้
คลิปวิดีโอล่าสุดแสดงภาพของชายผิวดำจากมินนิอาโปลิส จอร์จ ฟลอยด์ กำลังจะหมดลมหายใจอย่างช้าๆ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวกดเข่าเข้าที่คอ ทำให้เกิดปัญหาการเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติที่ยากลำบากมากของสหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งของการประเมินใหม่นั้นเกี่ยวข้องกับภูมิทัศน์แห่งการรำลึกถึงทหารสมาพันธรัฐที่ต่อสู้เพื่อรักษาและคงสภาพความเป็นทาสของคนผิวดำเอาไว้ ใครเป็นผู้สร้างบรรยากาศแบบนั้นขึ้นมา มันถูกสร้างขึ้นมาเมื่อใด และสร้างขึ้นมาเพราะเหตุใด ในวันนี้คำถามหลายคำถามเหล่านี้ยังคงเหลือคุณค่าอะไรอยู่อีก
เจ้าหน้าที่หลายคนทั่วประเทศได้มีการตอบสนอง อย่างเดียวกับที่พวกเขาเคยทำเมื่อปี 2015 ที่ตอนนั้นชาวอเมริกันผิวขาวผู้นับถือชาวแอฟริกันอเมริกันเก้าคนในโบสถ์ที่เซาธ์ คาโรไลน่า และอีกสองปีต่อมาเมื่อผู้ยิ่งใหญ่ผิวขาวคนอื่นๆ ในเมืองชาร์ล็อตสวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย เร่งเร้าให้กำจัดสัญลักษณ์ของสมาพันธรัฐฝ่ายใต้ออกจากพื้นที่สาธารณะหลายแห่งอย่างรวดเร็ว บางครั้งจึงต้องทำการรื้อถอนกันในเวลากลางคืน ในกรณีอื่นนักเคลื่อนไหวได้ทำการลบตัวเองออกเช่นเดียวกับกรณีที่มีรูปปั้นของเจฟเฟอร์สัน เดวิส ในเมืองริชมอนด์ เมื่อนายกเทศมนตรีเลวาร์ สโตนีย์ สั่งให้รื้อถอนรูปปั้นของแจ็คสันและรูปปั้นวีรบุรุษสมาพันธรัฐคนอื่นๆ ออกไปจากพื้นที่ สโตนีย์เขียนทวีตข้อความว่า “ถึงเวลาแล้วที่การรักษาจะเริ่มขึ้น เพื่อความปลอดภัยของสาธารณะ เพื่อประวัติศาสตร์ของเรา เพื่ออนาคตของเรา – รูปปั้นในอนุสรณ์สถานที่เป็นต้นเหตุแห่งความเสียหาย กำลังจะถูกปลดลงจากแท่นที่เคยสง่างาม”
เมื่อเร็วๆ นี้ดราเปอร์ได้เดินทางไปพบจาเลน ชมิดต์ ศาสตราจารย์ด้านศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย โดยเมื่อปี 1914 เธอเคยนำเสนอบทความเขียนโดยลอรา มาร์ติน โรส ผู้ที่ได้รับการกล่าวขวัญว่าเธอเป็นลูกสาวคนสำคัญของกลุ่มต่อต้านการเรียกร้องสิทธินผิวดำ ชื่อว่า “กลุ่มคู คลักซ์ แคน” หรือจักรวรรดิล่องหนนอกกฎหมายในยุคนั้น ชมิดต์นำพาเขาเดินไปตามทิศทางที่ผู้เขียนได้บรรยายถึงทหารหาญของฝ่ายสมาพันธรัฐว่า “สำหรับพวกคู คลักซ์ แคน นั้นที่แท้จริงแล้ว” นักวิชาการชาวแอฟริกันอเมริกันหยุดยิ้มนิดหนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อไปว่า “ท่าทางของพวกเขาดูเหมือนสุภาพ แต่ไม่หรอก ทั้งหมดที่อยู่ในนี้ มันไม่มีอะไรที่ไม่มีมลทินเลย”
รูปปั้นตามถนนโมนูเมนต์ของเมืองริชมอนด์ ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับรูปปั้นคนอื่นๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา ที่ถูกสร้างขึ้นมาภายหลังจากสงครามกลางเมืองเมื่อหลายทศวรรษก่อน เมื่อถึงจุดนั้นในประวัติศาสตร์ จูเลียน เฮย์เตอร์ ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาความเป็นผู้นำ มหาวิทยาลัยริชมอนด์ กล่าวว่า “คนอเมริกันผิวขาวที่อยู่ในรัฐทางตอนใต้เข้ามาพร้อมกับการสร้างความเป็นทาส เอาความคิดแบบนี้ครอบงำดินแดนทั้งหมดของรัฐเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นด้วยเลย คือ การสูญเสียสถานะนายทาสของพวกเขา”
เมื่อมาถึงยุคของจิม ครอว์ ก็ได้มีดำเนินการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารของสมาพันธรัฐ (และผู้เป็นนายทาส) จากเดิมที่เป็นท่านนายพลโรเบอร์ต อี ลี ผู้พิทักษ์ปกป้องสมาพันธรัฐ จึงมีการจัดทำและปรับปรุงกฎหมายหลายอย่างเกี่ยวกับสิทธิพลเมืองทั่วทุกรัฐทางใต้ มีการรวมตัวกันอย่างน้อย 100,000 คน ซึ่งมีจำนวนมากกว่าประชากรของเมืองริชมอนด์ในเวลานั้น เข้าร่วมเปิดตัวรูปปั้นอนุสวารีย์ของท่านนายพลลีเมื่อปี 1890 นี่ไม่ใช่ปฏิบัติการตามระบอบประชาธิปไตย แต่มันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่น่าสยดสยองของชุมชนของเขา ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันผู้โด่งดังที่สุดของเมือง จอห์น มิทเชล จูเนียร์ บรรณาธิการผู้ตีพิมพ์นิตยสารริชมอนด์พลาเน็ต มีความเห็นว่านี่เป็น “มรดกแห่งการทรยศ เป็นมรดกเลือด”
สิบปีต่อมาสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐเวอร์จิเนียได้เขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เพื่อแยกกิจการของโรงเรียนออกจากกัน และมีการตัดสิทธิ์การเลือกตั้งของคนผิวดำออกเกือบทั้งหมด แต่ศาสตราจารย์เฮย์เตอร์กล่าวว่า “พวกเขาเอารัฐธรรมนูญเข้าไปอบแห้งให้เป็นฟอร์ทน็อกซ์ของนักกฎหมาย ที่จะทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำลายอนุสาวรีย์เหล่านี้ลง และดูเหมือนว่าผู้ที่สร้างรูปปั้นเหล่านี้ขึ้นมารู้มาก่อนว่า วันนี้กำลังมาถึง!”
นี่เป็นครั้งที่สองที่ดราเปอร์มีโอกาสเข้ามาใช้เวลาช่วงเช้าในเมืองริชมอนด์ คราวก่อนที่เป็นครั้งแรกก็ได้รับความทรงจำคล้ายๆ กันแบบนี้ ครั้งนั้นเป็นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2008 วันนั้นเป็นวันเลือกตั้ง เขาเล่าว่าเมื่อตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ ลุกจากเตียงนอนของโรงแรมแล้วขับรถไปที่บริเวณที่ทำการเลือกตั้งก่อนหกโมงเช้าที่เวลาเริ่มต้นการลงคะแนนให้ประธานาธิบดีคนต่อไป ที่เขตเลือกตั้งเขตหนึ่งซึ่งมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่เป็นคนแอฟริกันอเมริกัน บนเส้นที่ทอดยาวหลายช่วงตึกมีผู้ลงคะแนนที่เป็นคนผิวดำหลายร้อยคน ผู้สูงอายุผิวสีหลายคนนั่งอยู่บนเก้าอี้พับที่เปียกชื้นตั้งแต่เช้า ความดื้อรั้นและอดทนของพวกเขาจะนำชัยชนะมาให้ เป็นชัยชนะของบารัค โอบามา ที่ตอนนั้นดูเหมือนว่ามันใกล้เข้ามาแล้ว เขาเล่าว่าความผิดพลาดของเขาถ้าพึงมีในขณะนั้น ก็คือ การที่เขามีความเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติในสหรัฐอเมริกาจะดีขึ้น เพราะนั่นมันคือความปรารถที่แท้จริงของมนุษย์
ในฐานะที่เป็นคนผิวขาวชาวใต้ที่มีอายุมากคนหนึ่ง ดราเปอร์บอกว่าเขาเคยเห็นรูปปั้นของวีรบุรุษแห่งสมาพันธรัฐหลายรูปที่ได้รับการติดตั้งและดำรงอยู่มาเป็นเวลายาวนาน เขาเห็นรูปปั้นหลายรูปในสวนสาธารณะของเมืองฮุสตันและเซนต์หลุยส์ ช่วงวัยนักศึกษาของเขาที่มหาวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสติน เขาก็เห็นว่ามีรูปปั้นตั้งตะหง่านอยู่ และตรงจัตุรัสกลางเมืองของแอชวิลล์ รัฐนอร์ท แคโรไลนา ที่เขาเคยอาศัยอยู่ระยะหนึ่งเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เจสซี แจ็คสัน จูเนียร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เคยไปเยี่ยมชมหน่วยงานของสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อแสดงให้ได้เห็นถึงความเป็นเขตพื้นที่ทางภาคใต้และกลุ่มผู้ชุมนุมชาวอเมริกันทางภาคใต้ที่ถูกประหารชีวิตที่นั่น จากนั้นดราเปอร์ก็เริ่มชื่นชมสิ่งที่เป็นแบบอย่างของชายผิวดำเฉกเช่นแจ็คสันที่พยายามค้นหาทุกวันที่ผู้กดขี่จากการแข่งขันของเขา ด้วยความอัปยศอดสู ดราเปอร์จึงตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า เขาได้รับเอาภาพลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของยุคสมัยนีโอคลาสสิกแบบไร้เดียงสาเหล่านี้มาโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าละแวกใกล้เคียงบ้านของเขา ล้วนแล้วแต่เป็นคนผิวขาว อาหารแต่ละมื้อที่รับประทานเข้าไปก็มาจากวัฒนธรรมของคนผิวขาวทั้งสิ้น - จึงกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งงมงายเฉกเช่นการมองด้วยสายตาวัยรุ่นที่ได้ซึมซับเอาวิธีการการล้างบาปในโบสถ์แบบโกธิค เหมือนกับชีวิตในไร่ที่หายไปกับสายลม แล้วรูปปั้นรูปนั้นคืออะไรละ ถ้าไม่ได้มีประวัติความเป็นมาหนึ่งเดียวที่เล่าต่อๆ กันมา และสิ่งที่เกิดขึ้นมาซ้ำซากก็ไม่ได้ทำให้ได้ความจริงขึ้นมาแต่อย่างใด
“อนุสาวรีย์ไม่ได้สอนประวัติศาสตร์” อดัม ดอมบี้ นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามกลางเมือง และผู้เขียนหนังสือ เหตุแห่งความเท็จ: ความทรงจำของสมาพันธรัฐเกี่ยวกับการฉ้อโกง การปรุงแต่ง และอำนาจสูงสุดของคนผิวขาว (False Cause: Fraud, Fabrication and White Supremacy in Confederate Memory) กล่าวว่า “อนุสาวรีย์เป็นเรื่องของค่านิยม หากชุมชนตัดสินใจแล้วว่า ไม่ต้องการเห็นตัวแทนที่เป็นรูปปั้นเหล่านี้ที่มีคนสร้างขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ผมก็อยากจะบอกใครต่อใครว่า พวกเขาไม่มีสิทธิ์เหนือคนในชุมชน ใช่ไหม”
แต่ตามที่เวเบอร์ยอมรับอย่างเรียบร้อยนั่นก็ไม่ใช่กรณีนี้อีกต่อไป ในวันที่ 1 กรกฎาคม ฝ่ายนิติบัญญัติของเครือจักรภพได้ส่งคืนอำนาจเหนือรูปปั้นส่วนใหญ่ให้กับเมืองต่างๆ เช่น ชาร์ลอตเตสวิลล์ “กฎหมายเปลี่ยนไปและผมก็ต้องยอมรับสิ่งนั้น” เขากล่าวอย่างไร้เหตุผล “รูปปั้นเหล่านี้กำลังจะสูญหายจากไป”
บ่ายวันหนึ่ง ดราเปอร์ได้ตั้งคำถามให้กับทหารผ่านศึก บัดดี้ เวเบอร์ ที่เป็นผู้เกษียณอายุจากราชการและมีอาชีพเป็นทนายความ ขณะที่เรานั่งบนระเบียงที่ร่มรื่นในชาร์ลอตส์วิลล์ เวเบอร์เป็นโฆษกของกองทุนดูแลอนุสาวรีย์ เขาเป็นสมาชิกในกลุ่มผู้ริเริ่มดูแลและรักษารูปปั้นวีรบุรุษทั้งหลายของสมาพันธรัฐของเมือง ซึ่งขณะนี้พวกเขากำลังจัดทำระบบทางกฎหมายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปรากฏการณ์โค่นล้มอนุสาวรีย์อย่างที่เห็นกันทุกวันในช่วงเดือนสิงหาคมของปี 2020 ชาวพื้นเมืองของบัลติมอร์ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดหรือมีอุดมการณ์เกี่ยวกับมรดกแห่งสมาพันธรัฐทางภาคใต้ของประเทศ เวเบอร์ยังคงดูถูกเหยียดหยามว่าเป็น “นักรบกับความยุติธรรมทางสังคม” ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นตัวแทนของอาการกระตุกทางวัฒนธรรมที่ไร้ตรรกะ “เมื่อรูปปั้นเหล่านี้พังลง มันจะทำให้ชีวิตของใครๆ ในเมืองชาร์ลอตสวิลล์จะดีขึ้นด้วยรึ”
ในมุมมองของเวเบอร์ รัฐธรรมนูญ 1902 ของรัฐอาจโจมตีกฎหมายลิดรอนสิทธิเสรีภาพคนผิวดำ ที่เรียกว่า “จิม ครอว์ ลอว์ส” แต่เมื่อมาถึงอนุสรณ์สถานสงคราม “กฎหมายเป็นนโยบายสาธารณะที่ดี มันแยกอนุสาวรีย์เหล่านั้นออกเพื่อเป็นการป้องกันให้เป็นสิ่งที่ควรแก่การให้ความเคารพนับถือ รูปปั้นแต่ละอันดำรงอยู่ ณ ที่ตรงนั้นก็เพื่อให้มีการพูดคุยหรือโต้แย้งกันและกัน พวกเราไม่ควรที่จะไปโค่นล้มรูปปั้นลงมาทำให้พวกเขาผิดหวัง”
ดราเปอร์กล่าวคำอำลาบัดดี เวเบอร์ แล้วก็พาศาสตราจารย์จาเลน ชมิดต์ แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย กลับมาที่ข้อเสนอข้อเสนอให้เธอที่ทำให้ดราเปอร์ได้อีกด้านหนึ่งของความคิดแบบสมาพันธรัฐ เราทั้งสองพบกัน ณ ลานเขียวขจีของเมืองข้างๆ รูปปั้นของทหารนิรนามที่รู้จักกันภายใต้ชื่อว่าจอห์นนี่ เรป ที่ถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มบุตรีแห่งสมาพันธรัฐตั้งแต่ปี 1909 นานกว่าสี่ทศวรรษหลังจากสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง และขณะที่ชมิดท์บรรยายถึงความแพร่หลายของรูปแบบการทำรูปปั้นราคาถูกที่ติดตั้งทั่วภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา ก็ปรากฎร่างของสตรีผิวขาววัยกลางคน จูงสุนัขสีขาวตัวเล็กขนปุยเข้ามาหา หลังจากที่เธอแอบฟังราวหนึ่งนาที เธอเข้ามาขัดจังหวะชมิดต์ด้วยการพูดขึ้นว่า “ฉันได้ยินว่าคนผิวดำเอง ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าทาส ทำไมคุณไม่พูดเรื่องนั้นให้ลูกทัวร์ของคุณฟัง?”
ชมิดต์แจ้งคุณผู้หญิงผู้นั้นกลับไปอย่างสุภาพว่า เรามาที่นี่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของรัฐเวอร์จิเนีย ไม่ใช่เรื่องของแอฟริกา จากนั้นเราก็ขยับออกไปทางด้านตะวันตกของจัตุรัส มีรูปปั้นของสโตนวอลล์ แจ็คสัน ที่นั่งโดดเด่นบนหลังม้าที่ดูยิ่งใหญ่มาก ทั้งรูปร่างที่แน่นตึงและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เห็นแล้วทำให้ฮึกเหิมราวกับว่าอยู่บนหน้าผาแห่งการต่อสู้จริงๆ บัดดี้เวเบอร์ เคยบอกดราเปอร์ว่า “ประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของเราบอกเรา ไม่ใช่สิ่งที่เราบอกตัวเอง” ในกรณีของรูปปั้นขี่ม้าที่นิยมกันทั่วโลกนั้น เวเบอร์ยังได้กล่าวต่ออีกว่า “นั่นเป็นการแสดงออกถึงแรงบันดาลใจในการนำทัพของเขา ภาพที่เห็นแบบนี้มันไร้กาลเวลา ผมสามารถสัมผัสกับสิ่งนี้ได้ในฐานะที่เคยเป็นทหารมาก่อน”
ชมิดต์เห็นด้วยว่ารูปปั้นเป็นงานศิลปะ โดยชี้ให้เห็นเส้นเอ็นของม้าและรายละเอียดของเกือกม้า แต่เธอเสริมว่ามีอีกด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์บนพื้นที่แห่งนี้ ตอนนี้เรายืนอยู่ย่านเล็กๆ เป็นถิ่นอาศัยของคนผิวดำที่เจริญรุ่งเรืองหรือรู้จักกันในนามของแมคกี บล็อก เมื่อปี 1918 พื้นที่ตรงนี้ถูกซื้อโดยพอล กูดลอ แมคอินไทร์ นักพัฒนาที่ดินผิวขาวสีขาว และต่อมามีการปรับพื้นที่ให้เป็นสวนสาธารณะสำหรับคนผิวขาวเท่านั้น พื้นที่ตรงกลางสวนสาธารณะนี้มีรูปปั้นของนายพลแจ็คสันตั้งตระหง่านอยู่ตั้งแต่ปี 1921 เอดวิน อัลเดอร์แมน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เคยกล่าวกับผู้คนนับพันที่มารวมตัวกันว่า ท่านนายพลแห่งสมาพันธรัฐที่พ่ายแพ้ผู้นี้ เขาได้ต่อสู้อย่างสุดความสามารถ จนตัวเองต้องตายในสนามรบ ทั้งหมดมาจากความขัดแย้งทางการเมือง และความภักดีต่อความคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับเสรีภาพแบบที่ชาวอังกฤษพึงมี
เพื่อระลึกถึงคำกล่าวของศาสตราจารย์แมคอินไทร์ ชมิดต์อ่านแผ่นโลหะที่อยู่ใกล้กับอนุสาวรีย์ด้วยเสียงดังๆ ว่า “เขามอบรูปปั้นและสวนแห่งนี้ให้แก่เมืองชาร์ลอตสวิลล์ ซึ่งเป็นเมืองบ้านเกิดของเขา เพื่อความสุขของทุกคน” นักวิชาการแอฟริกันอเมริกันหยุดจังหวะนิดหนึ่ง จากนั้นก็ท่องเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระยะครึ่งไมล์โดยรอบนับจากแผ่นจารึกอันนี้ - การประมูลทาส การชุมนุมของกลุ่มคู คลักซ์ แคลน การให้รางวัล การชุมนุมของคนผิวขาวผู้ยิ่งใหญ่ในปี 2017 และการฉีดแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ประท้วงต่อต้าน - เหล่านี้เป็นเรื่องราวที่เธอนำเสนอประวัติศาสตร์ให้เป็นทางเลือกสำหรับการเรียนรู้
“นี่คือภูมิทัศน์ของการบาดเจ็บ - landscape of trauma” เธอกล่าว
จะเกิดอะไรขึ้นกับรูปปั้นเหล่านี้? แน่นอนว่าเมืองชาร์ลอตสวิลล์เปรียบได้กับบ้านของสโตวอลล์แจ็กสัน ความแน่นอนจะน้อยลงเมื่อมีผู้คนเริ่มตั้งข้อสงสัยต่อศิลปวัตถุอื่นๆ ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวหลายเชื้อชาติเพื่อหยุดยั้งการเหยียดผิวที่เคยถูกเพิกเฉยมานานกว่าศตวรรษ ได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกและความชั่วร้ายในหมู่ผู้นำและผู้มีความรู้ทั้งหลาย ฝูงชนที่คาดเดาได้ยากที่สุดจะยึดเอาความไม่สมบูรณ์แบบวีรบุรุษที่ทุกคนจดจำได้ แล้วพากันรื้อทำลายเหล่าวีรบุรุษพวกนั้นออกจากฐานรูปปั้น และออกจากหน้าประวัติศาสตร์ สิ่งนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้ สังคมสร้างเส้นแบ่งที่มีชีวิต และทำให้เกิดความสับสนของชาวอเมริกันที่มีส่วนร่วมในการทำแผนที่พื้นที่ตรงนี้ ถือเป็นราคาซื้อความสุขที่เราจ่ายไปเพื่อประชาธิปไตย
สำหรับการโค่นล้มรูปปั้นของสมาพันธรัฐบนถนนโมนูเมนต์ของเมืองริชมอนด์ลงแบบนี้ ดราเปอร์บอกว่าเขาได้เรียนรู้จากวาเลนไทน์ที่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดในเมือง ที่กำลังได้รับการกล่าวถึงของผู้สนใจมากมายเกี่ยวกับบ้านเรือที่อยู่อาศัยของพวกเขา บิล มาร์ติน ผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์ที่ทำหน้าที่ตรงนี้มายาวนาน รู้สึกกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขณะที่เราได้พบกันตรงลานพิพิธภัณฑ์
“การตอบสนองต่ออนุเสาวรีย์ทั้งหลายจะต้องตั้งอยู่บนฐานชุมชน” มาร์ตินกล่าว “ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของเมืองริชมอนด์แห่งนี้มีตัวแทนมาโดยตลอด หากพวกเราต้องการจะเป็นเมืองพิพิธภัณฑ์อย่างแท้จริงแล้ว เราต้องทำให้แน่ใจได้ชัดๆ ว่าวัตถุ 1.6 ล้านชิ้นของเราเหล่านี้ เป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมดของเมือง”
พิพิธภัณฑ์ของมาร์ตินบอกกล่าวอะไรๆ ให้เห็นว่า “เป็นเรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและเหมาะสมของภูมิภาคที่สำคัญแห่งนี้ เพื่อท้าทายและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ชมที่หลากหลาย” แล้วพวกเขาที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ก็ลาจากไปด้วยความประทับใจ ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้สนใจที่นี่ในฐานะที่เคยเป็นบ้านของท่านนายพลลี บ้านของเดวิส และบ้านของคนอื่นๆ เลย บางทีพิพิธภัณฑ์วาเลนไทน์อาจจะแสดงให้พวกเขาได้เห็นในสถานะที่เป็นฉากหลังให้พ่นสีระบายกราฟฟิตีแบบปัจจุบันที่ทำกันเท่านั้น
“ตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นแล้ว” ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์กล่าว
การทำให้รูปปั้นเหล่านี้ต้องเสียโฉมไป รูปปั้นหลายอันต้องมีสภาพเหมือน “วีนัส เดอ มิโล” ทั้งๆ รูปปั้นทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งบอกเล่าเรื่องราวความเป็นจริงมากมายมาอย่างยาวนาน เป็นความจริงที่มีมากกว่าสิ่งที่ผู้สร้างรูปปั้นตั้งใจจะบอกเสียอีก
Main Source
Draper, Robert. (2020). “Toppling statues is a first step toward ending Confederate myths.” NATIONAL GEOGRAPHIC - HISTORY. Published on July 2, Available on https://www.nationalgeographic.com/history/2020/07/toppling-statues-is-first-step-toward-ending-confederate-myths/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น