หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568

สิทธิมนุษยชน

สิทธิ ความกลัว และอธิปไตย ในดินแดนที่การพูดต่างถูกมองเป็นภัย

คัดลอกมาจาก ไทยโพสต์ออนไลน์ 16 ตุลาคม 2568 เวลา 13:18 น.


ตรรกะที่แทรกซึมและฝังตรึงอยู่ในสมองของแต่ละบุคคล เป็นเบื้องหลังที่ผลักให้คนแต่ละคนกลั่นเป็นสีหน้าท่าทางและข้อเขียนคำพูด


หลักการที่เสพจนงอมแงม จนไม่มองถึงความเหมาะสมแห่งยุคสมัย ท้องถิ่น และความเหนียวแน่นของชุมชน นั่นอาจสืบเนื่องมาจากความผิดหวังที่ยุคสมัย ท้องถิ่น และชุมชน ไม่เคยให้ความอาทรมาก่อน


แน่นอนว่า สิทธิมนุษยชน เป็นเรื่องสากล มีไว้สำหรับคนทุกคน ยกเว้นแต่สัตว์ พืช และสิ่งของ แต่ก็ใช่ว่า สิทธิมนุษยชน จะรับงานสากลมาจ้องจับผิดคนในชุมชนของตัวเองไปเสียทุกอย่าง โดยลืมปกป้องการละเมิด “สิทธิมนุษยชน” จากสากล ที่มาทำร้ายและทำลายยุคสมัย ท้องถิ่น และชุมชน ที่ตนเองอาศัยอยู่อย่างสุขสันติ


กรณีเพื่อนบ้านละเมินสิทธิแห่งยุคสมัย ท้องถิ่น และชุมชน ของมนุษยชนคนไทยทั้งชาติ นักสิทธิมนุษยชนที่เป็นคนไทย เอากรอบ international human rights มาจับวิจารณ์เฉพาะคนไทยด้านเดียว แล้วพากันตีตราว่าคนไทยละเมิดกฎสิทธิมนุษยชนสากล แบบนั้นพอเข้าใจได้ ด้วยรู้อยู่แล้วว่าทิศทางมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว


แต่ที่น่าคิดน่ากังวล ก็ตรงที่ นักสิทธิมนุษยชนคนไทย ที่ไม่เคยสนใจและพยายามเข้าใจ “ยุคสมัย ท้องถิ่น และชุมชน” ของคนไทยด้วยกันเองเลย กลับกลัวถูกทำร้ายจากคนไทยด้วยกันเอง นั่นแสดงว่า นักสิทธิมนุษยชนคนไทยเหล่านั้น ดึงตัวเองออกไปจากยุคสมัย ท้องถิ่น และชุมชนคนไทย แล้วยกตัวเองให้อยู่สูงกว่ายุคสมัย ท้องถิ่น และชุมชนคนไทย


อ่านบทความ เรื่อง “สิทธิ ความกลัว และอธิปไตย ในดินแดนที่การพูดต่างถูกมองเป็นภัย” ที่ปรากฎในเวบของไทยโพสต์ออนไลน์ แล้ว มีหลายอย่างที่ควรค่าแก่การพิจารณาประดับเป็นความรู้ในยุคสมัยที่ทุกคนมีเหตุผลเป็นของตัวเองกันดู



ในสังคมที่บอกว่ามีเสรีภาพ การพูดต่างอาจไม่ควรเป็นเรื่องต้องระวัง แต่ความเป็นจริงดูเหมือนจะไม่ง่ายขนาดนั้น


ทุกครั้งที่ใครเอ่ยคำว่า “สิทธิมนุษยชน” เสียงบางเสียงจะดังขึ้นทันที ทั้งที่ยังไม่ทันฟังว่ากำลังพูดถึงอะไร


คำนี้กลายเป็นเหมือน “รหัส” ที่ทำให้ผู้คนแบ่งข้างโดยอัตโนมัติ หลายคนเชื่อว่า “สิทธิมนุษยชน” เป็นของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นแนวคิดของต่างชาติ หรือของคนที่ไม่รักชาติ จนลืมไปว่าแก่นของมันคือหลักการที่ปกป้องคนทุกคนโดยไม่เลือกหน้า


บางที “สิทธิมนุษยชน” อาจเป็นเพียงการยืนยันว่า ไม่ว่าเราจะคิดต่างกันแค่ไหน เรายังมีคุณค่าเท่ากันในฐานะมนุษย์


แต่ความเข้าใจเช่นนี้กลับดูห่างออกไปทุกวัน เพราะเราคุ้นชินกับการเชื่อว่า “ความปลอดภัยอยู่ในความเงียบ” และการตั้งคำถามคือการท้าทายอำนาจ

เมื่อใดที่ใครพูดไม่เหมือนส่วนใหญ่ เมื่อนั้นเขาก็มักถูกมองว่าเป็น “ผู้ต้องสงสัย” ของสังคม


การพูดเรื่องสิทธิมนุษยชนในบ้านเรา มักมาพร้อมกับ “ความกลัว” กลัวจะถูกกล่าวหาว่าไม่รักชาติ กลัวจะถูกตราหน้าว่าเข้าข้างศัตรู กลัวแม้กระทั่งสายตาของคนรอบข้างที่อาจมองว่า “ไปอยู่ฝ่ายนั้น”


ทั้งที่สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเพียงความพยายาม จะรักษาหลักการพื้นฐานของความเป็นมนุษย์


ในโลกที่ควรจะก้าวหน้า เรายังเห็นคนต้องระวังคำพูด ”สิทธิมนุษยชน” จึงถูกดึงเข้าสู่สนามการเมือง แทนที่จะเป็นพื้นที่ของมนุษย์ธรรมดา


ใครพูดเรื่อง “สิทธิ” ก็มักถูกถามกลับว่า “คุณอยู่ฝ่ายไหน” ใครพูดเรื่อง “ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์” ก็มักถูกหาว่า “โลกสวย“ และใครที่ยังพยายามพูดถึง “ความยุติธรรม” ก็มักถูกดึงเข้าไปเป็นเป้าในศาลโซเชียล


ประเทศที่ปลอดภัยจริง อาจไม่ใช่ประเทศที่ทุกคนคิดเหมือนกัน แต่อาจเป็นประเทศที่ทุกคนยังกล้าพูดในสิ่งที่คิด แม้จะไม่เหมือนกันเลยก็ตาม


กรณีของ “อังคณา นีละไพจิตร” จึงไม่ใช่เพียงข่าวรายวัน แต่มันสะท้อนว่า ในสังคมไทย “การพูดต่าง” ยังต้องแลกกับบางสิ่งเสมอ


หญิงคนหนึ่งที่ใช้ทั้งชีวิตเพื่อปกป้อง “สิทธิมนุษยชน” กลับถูกวิจารณ์สาดเสียเทเสีย เพียงเพราะตั้งคำถามในเรื่องที่หลายคนไม่อยากแตะ


ชื่อของ อังคณา ผูกโยงกับเหตุการณ์ปี 2547 เมื่อสามีของเธอ “ทนายสมชาย นีละไพจิตร” ถูกอุ้มหาย เหตุการณ์นั้นผลักให้เธอก้าวเข้าสู่เส้นทางนักปกป้องสิทธิ ไม่ใช่เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อผู้คนที่ถูกทำให้หายไปจากระบบ


ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อังคณาทำงานร่วมกับองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศ ได้รับรางวัลมากมาย แต่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวที่สุดคือหลักการว่า “ไม่มีใครควรถูกละเมิด ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด”


เหตุการณ์ล่าสุดที่ทำให้ “เธอกลายเป็นเป้า” เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อมีการใช้เครื่องมือทางจิตวิทยา เช่นการเปิดเสียงเครื่องบินและเสียงหวีดคล้ายเสียงผี เพื่อกดดันอีกฝั่งหนึ่ง อังคณาแสดงความเห็นว่าการกระทำเช่นนั้นอาจขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน


ต่อมาเธอยังกล่าวถึงกรณีที่ไทยใช้เครื่องบิน F-16 ทิ้งระเบิดในพื้นที่กัมพูชา โดยให้ความเห็นว่า “ฝั่งโน้นก็สูญเสียไม่น้อย”


แม้เจตนาจะมุ่งเน้นให้เห็นคุณค่าของชีวิตทุกฝ่าย แต่จังหวะเวลาที่เธอแสดงความเห็นนั้นอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่อ่อนไหว เมื่อความขัดแย้งชายแดนกำลังทวีความตึงเครียด ถ้อยความใดๆ ที่แตะต้องประเด็นนี้ย่อมถูกตีความต่างมุม


บางส่วนของสังคมกัมพูชานำความเห็นของเธอไปเผยแพร่ต่อ เพื่อใช้ยืนยันว่าฝ่ายตนเป็น “ผู้ถูกกระทำ” 

ขณะเดียวกัน คนไทยจำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่สบายใจ เพราะมองว่าความเห็นเช่นนั้นอาจถูกใช้สร้างความชอบธรรมให้อีกฝ่าย แม้จะพูดด้วยเจตนาดี แต่ในห้วงเวลาที่อารมณ์ของผู้คนหวงแหนอธิปไตย เสียงที่เน้นด้านมนุษยธรรมอาจสร้างแรงสะเทือนโดยไม่ตั้งใจ


เสียงวิจารณ์เหล่านี้จึงเกิดขึ้นจากหลายชั้นของความรู้สึก บางส่วนพูดด้วยอารมณ์ แต่บางส่วนก็สะท้อนความห่วงใยต่อประเทศ อังคณาจึงกลายเป็นภาพสะท้อนของ “เส้นบางๆ” ระหว่าง หลักสิทธิของมนุษย์กับสิทธิของรัฐในการปกป้องแผ่นดิน


เมื่อประเด็นของอังคณาเริ่มขยายในสังคม ปฏิกิริยาที่แรงที่สุดไม่ได้มาจากรัฐ แต่มาจากสังคมที่เร่งตัดสิน

บางคนพูดแรงเพราะโกรธ บางคนพูดแรงเพราะกลัว และบางคนพูดเพราะเชื่อว่ากำลังปกป้องชาติ


สื่อบางรายการจึงกลายเป็นกระจกสะท้อนอารมณ์ของผู้คน มากกว่าการสร้างความเข้าใจ “พิธีกรบางคน” ทำหน้าที่ราวกับ “ผู้พิพากษา” ส่วนผู้ชมก็กลายเป็น “คณะลูกขุน” ที่พร้อมชี้ขาดทันที


ภาพที่ปรากฏต่อสาธารณะจึงกลายเป็น “คำตัดสิน” มากกว่า “คำถาม” และความซับซ้อนของเรื่องราว ก็ถูกทำให้เหมือน “ภาพขาวดำ” ทั้งที่แท้จริงแล้วมี “เงาเทา” ซ่อนอยู่เต็มไปหมด


ในความขัดแย้งรอบตัวอังคณา สิ่งที่ปะทะกันไม่ใช่เพียงคำพูด แต่คือ “กรอบคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง”


อังคณามองสถานการณ์ด้วย “กรอบสิทธิมนุษยชน” ที่เชื่อว่า “ทุกชีวิตบนพื้นที่ขัดแย้งควรถูกปกป้องอย่างเท่าเทียม” อีกฝ่ายมองด้วย “กรอบอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ” ที่เห็นว่าการปกป้องแผ่นดินและความปลอดภัยของคนไทยคือหน้าที่สูงสุด


เมื่อสองกรอบนี้ไม่อาจหาจุดบรรจบ เสียงที่ตั้งใจจะอธิบายจึงถูกได้ยินเป็นการคัดง้าง และอารมณ์ของการปกป้อง ก็กลบพื้นที่ของการฟังไปโดยไม่รู้ตัว


เหตุการณ์ของอังคณาอาจจบลงในเวลาไม่นาน แต่สิ่งที่ตามมาคือคำถามว่า “สังคมไทยจะอยู่ร่วมกับความเห็นต่างอย่างเคารพ” ได้เพียงใด


สิทธิมนุษยชนจึงไม่ใช่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่มันคือกรอบร่วมที่ทำให้เรายังมองเห็นกันในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง


อังคณาอาจแสดงความเห็นในจังหวะที่ไม่ถูกใจใครบางคน แต่การกล้าแสดงออกด้วยความเชื่อมั่น ยังมีคุณค่ามากกว่าความเงียบที่ปลอดภัย


เมื่อ “สิทธิมนุษยชน” เดินคู่กับ “การปกป้องอธิปไตย” สังคมจึงจะยืนอยู่ได้ทั้งบน ความมั่นคงของแผ่นดินและศักดิ์ศรีของมนุษย์


นั่นคือหัวใจของสิทธิมนุษยชน..การยอมให้ทุกเสียงได้ถูกฟังด้วยความเคารพไม่ว่าความคิดนั้นจะใกล้หรือไกลจากเราเพียงใด


และเมื่อวันหนึ่ง เราเองกลายเป็นผู้ถูกมองต่างเราจะเข้าใจว่า การปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนอื่นคือการปกป้องเสรีภาพของตัวเราเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น