หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2568

น้ำท่วมเป็นเรื่องของเทพเทวดา

”น้ำท่วมเป็นเรื่องของเทพเทวดา ความเสียหายหลังจากนั้นเป็นเรื่องของมนุษย์“ 


ข้อความข้างบน ผม (พัฒนา ราชวงศ์ นายกสมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย ช่วง 2562-2567) ปรับแปลงจากต้นฉบับภาษาอังกฤษอเมริกันให้เป็นภาษาไทยที่คิดว่าพอเข้าใจได้สำหรับเราๆ ท่านๆ แล้วนำมาใช้นำมากล่าวนำมาพูดบ่อย ด้วยต้องการสอนลูกศิษย์ ต้องการใช้เสริมความเห็นบนหลักการเพื่อการจัดการ ต้องการเชิดชูศาสตร์ที่ผมยึดถือมาตลอดชีวิต รวมถึงต้องการเตือนใครต่อใครที่โอหังท้าทายธรรมชาติ 


ผมคำนี้พูดบ่อยๆ จนวันหนึ่งมันไปเกี่ยวพันกับผู้ใหญ่บางคนบางท่านอย่างตั้งใจ แต่ไม่มีเจตนาในทางไม่ได้ไม่ดี เพียงต้องการ discuss แบบวิชาการๆ ซึ่งมันทำให้ผู้ใหญ่ท่านมองว่าผมเป็นก้าวร้าว ด้วยไม่รู้จัก “กาลเทศะ” พาลกล่าวโทษถึงความเนรคุณผู้ให้กำเนิดที่อุตส่าห์ตั้งชื่อให้ว่า “พัฒนา” ผมกลับไม่ “วัฒนา” เอาเสียเลย 


นั่นมันทำให้ผมงุนงงกับตัวเองเป็นอย่างมาก งงตัวเองพร้อมๆ กับงงท่าทีการแสดงออกแบบนั้นของผู้ใหญ่บางท่านบางคนที่ว่า


ก็ในเมื่อชีวิตผมที่ผ่านมาทั้งชีวิตในฐานะนักภูมิศาสตร์และฐานะนายกสมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย มีความผูกพันเชิงวิชาการอย่างมากกับคำว่า spatio-temporal aspect เพราะเรียนมา อ่านมา สอนลูกศิษย์มา ทำวิจัยมา นำเสนองานมา และให้ข้อเสนอเชิงหลักการและนโยบายมามากมาย สำคัญกว่านั้น ผมเป็นคนที่ยึดมั่นในหลัก “กาลเทศะ” ที่เป็นพื้นฐานทางศีลธรรมจริยธรรมของสังคมไทยเรามาโดยตลอด 


ก็เลยไม่รู้ว่าคำพูดที่ผมยกมาจากวาทะของกิลเบอร์ต ไวท์ ศาสตราจารย์สาขาภูมิศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก ผู้ที่ได้รับยกย่องให้เป็น “บิดาของการจัดการที่ราบน้ำท่วมถึง” (father of floodplain management) นั้น มันไปกระเทือนความรู้และความรู้สึกของท่านที่ยกตัวเองว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ท่านนั้น ตรงไหน


หนังสือ “การป้องกันชีวิตจากภัยพิบัติ” ที่อาจารย์ผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งกรุณาส่งมาให้ผมเมื่อวันสองวันก่อน “ครบรอบ 20 ปี สึนามิถล่มอันดามัน” หลังจากที่ได้มีโอกาสสนทนาทั้งเรื่องภูมิศาสตร์ที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ของสังคม เรื่องภูมิศาสตร์กายภาพกับภูมิศาสตร์มนุษย์ที่เอาเข้าจริงแล้ว ลงร่องเดินตามรอยเดียวกันยากเข้าไปทุกที เรื่องความเป็นมาเป็นไปของวงการภูมิศาสตร์ไทย ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องวัตรปฏิบัติที่ถูกที่ควรของครูสอนภูมิศาสตร์ทั้งระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา


ก่อนส่งหนังสือมาให้ผม อาจารย์ผู้ใหญ่ที่เป็นที่เคารพเลื่อมใสอย่างมากท่านนี้ ท่านเล่าที่มาที่ไปของการเขียนหนังสือ “การป้องกันชีวิตจากภัยพิบัติ” เล่มนี้ให้ฟังว่า เป็นการเขียนเพื่อใช้หนี้ค่าพิมพ์หนังสือเล่มก่อน ที่ท่านไม่ได้มีส่วนก่อหนี้เข้าไว้ใดๆ เป็นแต่เพียงความกตัญญูและความไม่ดูดาย ทำให้ต้องก้าวเข้าไปแสดงความรับผิดชอบ


ช่างเป็นโชคดีของผมไม่น้อย ที่มีโอกาสได้เปิดหนังสือเล่มนี้อ่านทีละพารากราฟ ทีละพารากราฟ ทำให้ได้เห็นคุณประโยชน์มากมายที่ปรากฎแทรกซ่อนอยู่ตามอักขระที่อาจารย์ท่านบรรจงรจนา


คนเขียนหนังสือให้คนอื่นอ่านนะครับ เชื่อว่าทุกคน หลังจากที่ได้ตัดสินใจว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไรแล้ว สิ่งสำคัญมากๆ จะต้องเริ่มต้นด้วยการกำหนด theme เป็นสิ่งแรก ซึ่งอันนี้ค่อนข้างยาก เพราะมันหมายถึงปรัชญาที่วางอยู่เป็นแท่นเป็นฐานของเรื่องราวทั้งหมดที่จะกล่าวถึงในนั้น ต่อจากนั้นก็จัดทำ content ที่จำเป็นจะต้องนำมาเขียนเป็นเรื่องๆ ที่สอดคล้องและเรียบเรียงให้เป็นลำดับ ตามฐานความรู้ความคิดของการทำ story telling เพื่อบอกจุดเน้นจุดเสริมและสาระแทรกเติม


information ที่เป็นประสบการณ์ของผู้เขียน ซึ่งเยอะมากมาย กับ information ที่เป็นงานวิจัยที่ทบทวนมา ซึ่งก็เยอะมากมายเช่นกัน ทั้งหมดนี้ยากแก่การคัดกรองนำมาแสดง เพื่อให้อยู่ใน content และอยู่ใน theme ที่กำหนดเอาไว้ ขนาดของหนังสือจึงเป็นกรอบควบคุม information เหล่านี้ โดยมีหลักการง่ายๆ ว่า จำนวนหน้าของแต่ละ content ควรมีเท่าๆ กัน ไม่ควรให้ปรากฎ content ใด content หนึ่ง สั้นหรือยาวเกินกว่า content อื่นๆ


หนังสือ “การป้องกันชีวิตจากภัยพิบัติ” ถือเป็นความพยายามสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ด้วยการชี้เป้าตรงๆ ลงมีที่ชีวิตคนเลยว่า ”ภัยธรรมชาติมันร้ายแรงถึงขั้นคร่าชีวิตเราได้เลยนะ“ ฉะนั้น ”จงหาความรู้ที่เป็นทางรอดหากต้องเผชิญภัยพิบัติ“ นั่นคือ theme ที่อาจารย์ที่เป็นผู้เขียนท่านวางกรอบเอาไว้ และทำให้ detail ต่างๆ ในแต่ละ content เป็นไปเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจภัยพิบัติแบบ scientific inquiry บนกาลเทศะ


หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อปี 2549 นานพอสมควร แต่คุณค่าที่มากมายเหลือเกินของหนังสือ คือ การได้ทบทวนเหตุการณ์ที่เป็นภัยพิบัติที่เป็นบทเรียนสำคัญของประเทศไทย คือ สึนามิอันดามัน กับโคลนถล่มที่ลับแล เสียดายนิดตรงที่หนังสือไม่ได้จัดให้วิกฤติต้มยำกุ้งเป็นภัยพิบัติด้วย


กรณีภัยพิบัติใหญ่ “กาละเทศะของสึนามิอันดามัน” ที่เล่ากันตรงนี้ว่า ก่อนเกิดเหตุการณ์สองปี อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาขณะนั้น ออกมาเตือนว่า ฝั่งอันดามันมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวใหญ่จนเป็นเหตุให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิถล่มแถบชายฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ตามความเห็นของผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต คำเตือนดังกล่าวเป็นอุปสรรคลบเลือนศักยภาพของเมืองท่องเที่ยว นั้นทำให้ท่านอธิบดีฯ ถูกหาว่าเป็นผู้ขัดขวางความเจริญของประเทศจากทุกฝ่าย


แล้วเช้าวันที่ 26 ธันวาคม 2547 เป็นงัยล่ะ แผ่นดินไหวขนาด 9.1 ริกเตอร์ ตรงเหนือขอบเกาะสุมาตราชายฝั่งอันดามัน ดินแดนแถบมหาสมุทรอินเดีย ไม่เคยมีใครรับรู้และเคยเห็นสึนามิมาก่อน


พลังงานของแผ่นดินไหวเทียบเท่าระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมา จำนวน 23,000 ลูก ก่อให้เกิดการสั่นไหวที่รุนแรงของแผ่นดิน และเกิดสึนามิในมหาสมุทรอินเดียในห้วงเวลาอีกราวๆ 2 ชั่วโมงต่อมา โดยเข้าซัดถล่มชายฝั่งประเทศต่างๆ ที่อยู่โดยรอบ ทั้งอินโดนีเซีย ศรีลังกา อินเดีย ไทย โซมาเลีย มัลดีฟส์ เมียนมา แทนซาเนีย บังกลาเทศ และเคนยา มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 2.3 แสนราย และสูญหายอีกหลายหมื่นคน จุดที่เสียหายหนักอย่างมาก คือ เมืองบันดาอาเจะห์ ของประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1.5 แสนราย


สำหรับประเทศไทยมี 6 จังหวัดฝั่งทะเลอันดามันที่ได้รับผลกระทบ คือ ระนอง พังงา กระบี่ ภูเก็ต ตรัง และสตูล ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งคนไทย และต่างชาติ 5,395 ราย สูญหายมากกว่า 2 พันราย และบาดเจ็บราว 8 พันคน


ต่อเรื่องนี้ หนังสือ “การป้องกันชีวิตจากภัยพิบัติ” เขียนเตือนทุกคนให้รักษาชีวิตรอดเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า ”แม้ชนรุ่นเราจะไม่มีโอกาสเผชิญภัยสึนามิ แต่ชนรุ่นถัดจากเราอีกหลายๆ รุ่น อาจต้องประสบภัยพิบัติจากสึนามิ ซึ่งการให้ความรู้เรื่องสึนามิแก่คนรุ่นหลังมากขึ้น พิบัติภัยของมนุษยชาติน่าจะน้อยลง“


อีกกรณีที่น่าสนใจเป็น “ภัยพิบัติโคลนถล่มที่ลับแล” เป็นปรากฎการณ์ที่มีกาลเทศะที่มีผู้คนเข้าไปเกี่ยวพันอย่างซ้ำซาก เหตุเกิดเพราะฝนตกหนักกว่า 200 มิลลิเมตรเมื่อคืนวันที่ 22-23 พฤษภาคม 2549 ต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน 2 วันเต็มๆ น้ำที่ซึมแทรกเข้าไปในดินร่วนปนทรายบนที่สูง สโลปสูงกว่า 45 องศา ทำให้รากไม้ไม่สามารถยึดหน้าดินเอาไว้ได้ แรงโน้มถ่วงของโลกดึงหน้าดินไหลคืบลงมา โชคร้ายเหลือเกินที่หลายหมู่บ้านในตำบลแม่พูล นานกกก และฝายหลวง อยู่กลางหุบเขา จึงได้รับผลกระทบโดยตรง มีผู้คนต้องเสียชีวิตมากถึง 128 ราย และสูญหาย 25 ราย


ในหนังสือ “การป้องกันชีวิตจากภัยพิบัติ” ท่านผู้เขียนซึ่งเดินทางเข้าพื้นที่หลังเกิดเหตุการณ์ ได้พบพูดคุยกับผู้ประสบภัยหลายคน จนได้พบเห็นเหตุปัจจัย กระบวนการ และที่สำคัญกาลเวลาที่เหมาะแก่การเกิดเหตุ พร้อมนี้ ยังเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งปวงว่า “อุบัติภัยเช่นนี้จะยังเกิดในประเทศไทยต่อไป หากคนไทยยังดำรงชีพด้วยการรุกรานธรรมชาติอย่างมากมายเช่นปัจจุบัน ภัยพิบัติลักษณะเช่นนี้จะลดลงได้ หากคนไทยทั้งในเมืองและชนบทดำรงชีพด้วยการให้ความเคารพธรรมชาติ ไม่บริโภค .. เกินศักยภาพที่ธรรมชาติได้จัดเตรียมไว้ให้ .. วิบัติภัยย่อมเกิดน้อยลง”


จริงๆ แล้วมีอีกหลายภัยพิบัติที่หนังสือเล่มนี้ยกมาให้เรียนรู้เพื่อความปลอดภัยของชีวิต มีผมชอบมากๆ คือ เรื่องธรณีสูบ เคยได้ยินแต่ธรรมะสอนใจ ดังที่เทวทัตผู้บังอาจกระทำให้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้อเลือด ต้องโทษถูกธรณีสูบ ชีวิตจริงไม่น่ามีไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็มีให้เห็นให้เป็นจากกรณีหลุมยุบที่อันตรายมากๆ อีกเรื่องหนึ่งที่ทุกคนต้องหยุดทำอย่างอื่น ให้หันมาสนใจเรื่องฟ้าผ่า เพราะผมลองเก็บตัวเลขดู ปีๆ หนึ่งมีคนไทยถูกฟ้าผ่าเสียชีวิต 12-20 คนเลยทีเดียว


ผมอ่านหนังสือ “การป้องกันชีวิตจากภัยพิบัติ” ที่ได้รับมาจากตอนต้นจนถึงหน้าสุดท้าย ด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ มีความรู้เป็นตัวนำเรื่อง มีบทวิเคราะห์เป็นเครื่องชูรส มีวิธีการเพื่อเอาชีวิตให้รอดปลอดภัยเป็นเป้าหมาย สรุปรวมว่า “ชอบหนังสือเล่มนี้” เห็นว่าหนังสือเล่มนี้มีประโยชน์มากๆ และยังคงเป็นประโยชน์ไม่เสื่อมคลาย


ผู้สนใจอาจหาซื้อไม่ได้แล้ว เพราะตีพิมพ์เมื่อปี 2549 นานมากแล้ว หรือไม่แน่นะ อาจจะยังคงมีอยู่ก็ได้ ลองติดต่อศูนย์สร้างสรรค์ครูมืออาชีพ (02-222-4543) ภายใต้การสนับสนุนของบริษัท สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช จำกัด (02-222-9394) หรืออาจติดต่อผ่านมายังสมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย (อันนี้ต้องรอแป๊บนึ๊งครับ หากมีผู้สนใจมากพอ จะได้ดำเนินการขออนุญาตอาจารย์เจ้าของลิขสิทธิ์เพื่อนำมาเผยแพร่ต่อไป)


สุดท้ายนะครับ ท้ายที่สุดแล้วเราจะได้พบได้เห็นได้ยินกันบ่อยครั้งที่สังคมไทยปรามาสกันเป็นภาพรวมๆ เวลาเกิดภัยพิบัติ ในทำนองว่า “ไม่ค่อยได้เรียนรู้วิชาภูมิศาสตร์เบื้องต้นกัน” ทำให้ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายและความเสียหายจากภัยพิบัติที่ถาโถมเข้าหาทุกซอกทุกมุมทุกพื้นที่ที่เปราะบางอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรื่องนี้ประเด็นนี้ เมื่อมองดูปีที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้ ก็จะเห็นได้ว่า วงการภูมิศาสตร์พยายามหาความรู้มาให้เพื่อความอยู่รอดหลายครั้งและบ่อยครั้ง ซึ่ง “ถือได้ว่าทำหน้าที่ไม่บกพร่อง” เพียงแต่แต่ว่า .. เราจะก้าวข้ามคำปรามาสและข้อเท็จจริงที่ว่า “สังคมไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 8 บรรทัด” ได้อย่างไร


กิลเบอร์ต ไวต์ กล่าวเอาไว้ให้ชวนตรึกตรองให้ดีๆ ว่า ”น้ำท่วมเป็นเรื่องของเทพเทวดา ความเสียหายหลังจากนั้นเป็นเรื่องของมนุษย์“ ผมเห็นว่าเป็นเช่นนั้นจริง ผมเห็นว่าเป็นวิธีคิดที่จะนำไปสู่การจัดการได้อย่างเหมาะสมบนกาลเทศะ ผมไม่ได้ยกคำกล่าวนี้มาบลัฟมาทำมาด้อยค่าใคร หนังสือ “การป้องกันชีวิตจากภัยธรรมชาติ” ของ “อาจารย์น้อม งามนิสัย” ที่ท่านกรุณาส่งมาให้ผมได้ซึมซับเป็นความรู้ ให้ผมได้ตรึกตรองกระตุ้นต่อมแห่งปัญญา และให้ผมได้กระจ่างในเหตุปัจจัยจนรู้ทางเอาตัวให้รอดจากภัยพิบัติรูปแบบต่างๆ ของผู้คนที่ต้องอยู่กับธรรมชาติแบบนี้อีกนานแสนนาน


ปัจฉิมลิขิต: ขอขอบพระคุณอาจารย์น้อม งามนิสัย ครูสอนวิชาสถิติภูมิศาสตร์ ที่ทำให้ผมสนุกกับการใช้ quantitative techniques เพื่อศึกษาค้นหาอะไร อะไร ที่ซุกซ่อนอยู่ในแง่มุมต่างๆ ของปรากฎการณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น