หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568

อเลกซานเดอร์มหาราช

”อเลกซานเดอร์มหาราช” ยิ่งใหญ่เหนือใครในโลกใบนี้

พัฒนา ราชวงศ์ อดีตนายกสมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย



เดฟ รูส (Dave Roos) นักเขียนอิสระ ชอบศึกษาและเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมของทั้งชนชาวคริสต์ทั่วทุกมุมโลกและชาวพุทธในจีน เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านศาสนา ความรู้มากมายเกี่ยวกับความเชื่อ ความศรัทธา และผู้คน จึงถูกเขานำมาถ่ายทอดอย่างเป็นเหตุเป็นผล และตื่นเต้นชวนติดตาม


รูสเขียนบทความ เรื่อง Alexander the Great Was, Well, Great ลงใน HowStuffWorks เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2021 เพื่อแสดงให้เห็นถึงเหตุผล 7 ประการที่ทำให้อเล็กซานเดอร์มหาราช ยิ่งใหญ่กว่าใครไม่เสื่อมคลาย ในฐานะนักภูมิศาสตร์ลองอ่านดูว่า พระองค์เรียนวิชาภูมิศาสตร์มา แล้วพระองค์ใช้ประกอบการจัดกลศึกอย่างไร


เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งมาซิโดเนียสิ้นพระชนม์ในบาบิโลนด้วยพระชนมายุเพียง 32 ปี พระองค์ทรงปกครองอาณาเขตที่ครอบคลุมสามทวีปและครอบคลุมพื้นที่เกือบ 2 ล้านตารางไมล์ พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นแค่เพียงราชาแห่งมาซิโดเนียแผ่นดินเกิดของพระองค์เท่านั้น แต่ยังทรงเป็นผู้ปกครองของชาวกรีก เป็นกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย และเป็นฟาโรห์อียิปต์ด้วย


ดังนั้น เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่พระองค์จะได้รับการสดุดีให้เป็นอเล็กซานเดอร์มหาราช


เอลิซาเบธ คาร์นัย์ นักประวัติศาสตร์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ผู้ทำการศึกษาอย่างลึกเกี่ยวอเล็กซานเดอร์มหาราช Clemson University, South Carolina กล่าวว่า "เป็นการยากที่จะจินตนาการถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของใครสักคน ที่เขาเลือกเป็นและทำในสิ่งที่มีผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนได้มากมายหลายศตวรรษ ได้มากกว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช”


"การตัดสินใจของอเล็กซานเดอร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายแสน หน่วยงานทางการเมืองจำนวนหนึ่งสูญหายไปหรือถูกแทนที่ และบางทีที่สำคัญที่สุด เขาได้ช่วยก่อตั้งองค์กรทางวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลกว้างใหญ่มาก เป็นองค์กรที่ได้รวบรวมเอาแง่มุมต่างๆ ของโลกยุคกรีกและมาซิโดเนียเข้ากับแง่มุมต่างๆ จากโลกทั้งรอบเมดิเตอเรเนียนและดินแดนห่างไกลที่เขาได้พิชิตมา"


ต่อไปนี้คือสิ่งที่ก่อร่างสร้างให้อเล็กซานเดอร์มีความยิ่งใหญ่เหนือใครในโลกใบนี้


1. อเล็กซานเดอร์ ทรงมีอริสโตเติลเป็นพระอาจารย์


แน่นอนว่าสมัยศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตศักราช ไม่มีโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่อเล็กซานเดอร์เมื่อครั้งที่ยังมีพระชนมายุเยาว์ พระองค์ทรงได้รับการศึกษาชั้นเยี่ยมตั้งแต่ 14-16 พระชันษา แล้วก็ไม่ได้เป็นใครที่ไหนอื่น นอกจากอริสโตเติลนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สุดๆ แห่งภูมิปัญญาตะวันตกในสมัยโบราณนั่นเอง ที่เป็นพระอาจารย์ในวัยเยาว์ของอเล็กซานเดอร์


อริสโตเติลน่าจะมีอายุประมาณ 40 ปี เมื่อเขาได้รับการว่าจ้างจากจักรพรรดิฟิลิปที่ 2 พระราชบิดาผู้ทรงอิทธิพลของอเล็กซานเดอร์ให้มาเป็นนักปรัชญาประจำราชสำนัก ช่วงเวลานั้นอริสโตเติลยังเป็นเพียงนักเรียนในสำนักวิชาการของเพลโต ยังไม่ใช่ดาวจรัสแดงทางปรัชญา จักรพรรดิฟิลิปทรงรับสั่งให้มาทำหน้าที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ให้กับเจ้าชาย รวมถึงให้สอนวิชาวรรณกรรมและปรัชญาด้วย


อะไรคืออิทธิพลของอริสโตเติลที่มีต่อฟ้าชายพระองค์หนึ่ง ที่จะกลายไปเป็นอเล็กซานเดอร์ผู้ยิ่งใหญ่ บางทีก็คงจะเป็นแค่นักประวัติศาสตร์เท่านั้นที่สามารถคาดเดาเรื่องแบบนี้ได้ เงื่อนงำอย่างหนึ่ง คือ อเล็กซานเดอร์ทรงชอบงานของโฮเมอร์ และมีข่าวลือว่าพระองค์ทรงบรรทมท่ามกลางสำเนามหากาพย์ "อีเลียด" ของโฮเมอร์ และอเล็กซานเดอร์ก็ไม่ทรงลืมบทเรียนเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของพระองค์ในทุกครั้งที่พระองค์เดินทัพไปทั่วโลก


มิชาเอล เทียร์นีย์ เขียนเอาไว้ในผลการศึกษาเรื่องราวของอเล็กซานเดอร์และอริสโตเติลเอาในปี 1942 ว่า "ความก้าวหน้าอย่างมากในด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความรู้ทางภูมิศาสตร์ เป็นผลมาจากการส่งเสริมของอเล็กซานเดอร์"


แต่ทั้งเทียร์นีย์และคาร์นีย์ไม่มั่นใจว่า คำสอนของอริสโตเติลเกี่ยวกับการปกครองที่ดีและพลเมืองที่ดี ได้หล่อหลอมวิธีที่อเล็กซานเดอร์ทรงนำไปใช้ดำเนินการในฐานะผู้นำรัฐมากน้อยแค่ไหน


"ความคิดทางการเมืองของอเล็กซานเดอร์ ได้รับผลสืบทอดมาจากอริสโตเติลหรือไม่" คาร์นีย์ถาม “ซึ่งเรื่องนี้ผมจะบอกให้ว่า ไม่เลยซักนิด”


2. อเล็กซานเดอร์ เป็นราชโอรสของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งมาเซโดเนีย


ราชอาณาจักรมาซิโดเนียเป็นกระแสน้ำนิ่งทางการเมืองก่อนที่จักรพรรดิฟิลิป พระราชบิดาของอเล็กซานเดอร์จะเปลี่ยนอาณาจักรนี้ ให้กลายเป็นมหาอำนาจทางการทหาร จักรพรรดิฟิลลิปทรงเบื่อหน่ายกับการถูกรุกไล่จากนครรัฐต่างๆ ของกรีก ทั้งเอเธนส์และธีบส์ จักรพรรดิฟิลลิปจึงทรงเปลี่ยนกองทัพมาซิโดเนียที่เป็นเศษผ้าให้กลายเป็นกองทัพที่พรั่งพร้อมสำหรับการทำศึก ประดุจเครื่องจักรกลที่ใช้น้ำมัน


ความภาคภูมิใจของกองทัพมาซิโดเนีย คือ ทหารม้าที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี และรูปแบบทหารราบที่ไม่มีใครทำให้แตกหักได้ เรียกกันว่า “กองทหารราบมาซิโดเนีย” (Macedonian phalanx) เป็นกองทัพที่ติดอาวุธด้วยหอกล่าสัตว์ “ซาริสซาส” (Sarissas) ทำด้วยไม้ยาว 5.5 เมตร ที่ปลายเป็นเหล็กแหลม ทหารราบของจักรพรรดิฟิลลิปจะเดินเป็นขบวนในรูปแบบแพ็กแน่นด้วย เรียงแถวหน้ากว้าง 8 นาย และลึก 16 นาย แต่ละแถวจะลดหอกลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อแทงกองทัพและม้าของข้าศึกที่พุ่งทะยานเข้ามาใส่


เมื่ออเล็กซานเดอร์มีพระชนมายุได้ 20 พระชันษา ทรงขึ้นครองบัลลังก์หลังจากจักรพรรดิฟิลลิปถูกลอบปลงพระชนม์ในปี 336 ก่อนคริสตกาล พระองค์ทรงรับเอามรดกกองทัพของพระราชบิดาที่เคยบดขยี้ข้าศึกของมาซิโดเนียบนแผ่นดินใหญ่ของกรีก และกำลังวางแผนเคลื่อนทัพเข้าสู่เปอร์เซีย


จักรพรรดิฟิลลิปได้รับการจดจำได้ดีที่สุดในฐานะที่เป็นพระราชบิดาของอเล็กซานเดอร์มหาราช แต่อเล็กซานเดอร์อาจจะไม่ประสบความสำเร็จจนทรงครองความยิ่งใหญ่ได้เลย หากไม่ใช่เพราะการเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ของจักรพรรดอฟิลลิป ซึ่งเรื่องนี้ นักประวัติศาสตร์ยังคงค้นหาข้อมูลเพื่อยืนยันว่า ใครกันแน่ที่สมควรได้รับเครดิตมากที่สุดสำหรับความยิ่งใหญ่ของมาซิโดเนีย


“ตามประวัติศาสตร์แล้ว ไม่ค่อยมีบุคคลที่มากด้วยความสามารถและมีชื่อเสียง ที่จะมีผู้สืบทอดที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงได้เท่าเทียมกัน” คาร์นีย์กล่าว "จึงเป็นเรื่องยากที่จะติดตามเส้นทางของบุคคลเหล่านั้น”


3. อเล็กซานเดอร์ รู้วิธีการบดขยี้ข้าศึก


หลังจากการสวรรคตของกษัติรย์ฟิลลิป เมืองหลายเมืองและดินแดนภายใต้การควบคุมของมาซิโดเนียพยายามประกาศอิสรภาพ อเล็กซานเดอร์เองก็ทรงวุ่นอยู่กับการจัดการอาณาจักรเทรซและอิลลีเรียทางเหนือ เพื่อจะนำกลับให้มาอยู่ในแนวเดียวกันแบบเดิม ระหว่างนั้นผู้นำชาวกรีกของธีบส์ได้ยินข่าวลือว่าอเล็กซานเดอร์ถูกสังหารในการต่อสู้ทางด้านเหนือนั้น


ไม่มีโชคเช่นนั้น เมื่ออเล็กซานเดอร์ได้รับข่าวว่ากองทหารมาซิโดเนียของพระองค์ในธีบส์ถูกโจมตี พระองค์จึงทรงยกกองทัพบินลงไปจัดการทันที่ทรงทราบ คาดกันว่าพระองค์เดินทางด้วยระยะทาง 300 ไมล์ ภายในเวลาเพียง 12 วันแค่นั้นเอง แล้วพระองค์ก็ทรงทำยุทธการธีบส์ทันที ด้วยการสื่อสารข้อความที่ชัดเจนออกไปให้ได้กริ่งเกรงกันทั่วว่า “ใครก็ตามที่กล้าข้ามมาซิโดเนีย จะไม่เพียงแค่ต้องพ่ายแพ้ เท่านั้น ยังถูกกำจัดจนสิ้นซากด้วย”


ดิโอโดรุสแห่งซิซิลี นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ระบุว่าทหารและพลเมืองของธีบส์ 6 พันนาย ถูกสังหาร และอีก 3 หมื่นนานถูกจับกุม ก่อนที่เมืองจะถูกเผาทั้งหมด ดิโอโดรัสเขียนบรรยายว่า


เมืองทั้งเมืองถูกปล้นสะดม ทั้งเด็กชายและเด็กหญิงถูกลากไปเป็นเชลย พวกเขาร้องครวญครางเรียกหาแม่อย่างน่าสมเพช ท้ายที่สุด เมื่อความมืดของค่ำคืนเข้าครอบงำ บ้านของพวกเขาก็ถูกปล้น เด็ก ผู้หญิง และคนชรา ที่หลบหนีเข้าไปในวัด ถูกพรากออกมาจากสถานศักดิ์สิทธิ์ และถูกความโกรธแค้นเข้าจัดการอย่างไม่มีขีดจำกัด


กลวิธีเหล่านั้นช่างโหดร้ายสิ้นดี แต่มันก็ทำให้อเล็กซานเดอร์กลายเป็นผู้ปกครองชาวกรีกคนใหม่ ที่ไม่มีปัญหาใดๆ ตามมา


4. อเล็กซานเดอร์ทรงเหยียบจักรวรรดิเปอร์เซียที่ยิ่งใหญ่ลงได้อย่างราบคาบ


จักรวรรดิเปอร์เซียปกครองดิแดนแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งส่วนที่เป็นเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา มาเป็นเวลานานกว่าสองศตวรรษ เมื่ออเล็กซานเดอร์เดินทัพเพียงแค่ 5 หมื่นนาย ข้ามช่องแคบเฮลเลสปอนดต์มายังฝั่งเอเชีย มาเผชิญหน้ากับสุลต่านดาริอุสที่ 3 ที่มีรายงานระบุว่ามีกองกำลังของทัพเปอร์เซียรวมแล้วกว่า 2.5 ล้านนาย


การสู้รบครั้งนั้นเกิดขึ้นใกล้เมืองกัวกาเมลาของเปอร์เซีย ที่ซึ่งสุลต่านดาริอุสได้จีดเตรียมพื้นที่ให้ราบเรียบและโปร่งโล่ง เพื่อให้ได้เปรียบสำหรับรถม้าศึก ขณะนั้นกองทหารเปอร์เซียที่กัวกาเมลามีกำลังทัพ 2 แสน 5 หมื่นนาย ได้เปรียบมากถึง 5 ต่อ 1 ซึ่งดูเหมือนว่าจะสามารถบดขยี้กองทัพชาวมาซิโดเนียได้ไม่ยาก แต่กลางสมรภูมิรบคราวนั้น กองทัพของสุลต่านดาริอุสกลับต้องพ่ายแพ้ด้วยฝีพระหัตถ์ของอเล็กซานเดอร์


อเล็กซานเดอร์ส่งทหารหลายพันนายเป็น "เครื่องสังเวย" เพื่อดึงทรัพยากรในกองทัพของสุลต่านดาริอุสไปทางปีกขวา กองทหารที่เสียสละเหล่านั้นสามารถหันเหความสนใจของสุลต่านดาริอุสได้นานพอที่อเล็กซานเดอร์จะโจมตีทหารม้าที่เป็นจุดอ่อนอยู่ใจกลางแนวรบของเปอร์เซีย สุลต่านดาริอุสจึงต้องหันหลังกลับและหนีไป ในฐานะทหารม้าชาวมาซิโดเนียที่มีชื่อเสียงที่นำโดยอเล็กซานเดอร์ จึงสามารถเดินผ่านแนวป้องกันของชาวเปอร์เซียไปได้


หลังจากที่สุลต่านดาริอุสถูกพระญาติท่านหนึ่งสังหาร และยอมศิโรราบนำต่ออเล็กซานเดอร์ อเล็กซานเดอร์ก็ตั้งพระองค์เองขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของเปอร์เซีย แล้วขยายอาณาจักรมาซิโดเนียต่อจากอิสราเอลในยุคปัจจุบัน ผ่านเข้าถึงอิรัก อิหร่าน และอัฟกานิสถาน


5. อเล็กซานเดอร์ทรงเป็นปฐมโลกาภิวัตน์ที่สำคัญอีกผู้หนึ่ง


อเล็กซานเดอร์ไม่ได้พิชิตเพียงแค่จักรวรรดิเปอร์เซียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอียิปต์และบางส่วนของอินเดียด้วย ทำให้เกิดยุคเฮเลนนิก ที่องค์ประกอบของวัฒนธรรมและการเมืองกรีก ได้แผ่ขยายออกไปทั่วจักรวรรดิมาซิโดเนียอันกว้างใหญ่


อเล็กซานเดอร์ไม่ใช่ผู้รักชาติชาวกรีก ที่ตั้งใจเอาธรรมเนียมกรีกไปครอบทุกดินแดนที่พระองค์ไปยึดครอง กลับกัน พระองค์รวบรวมและยอมรับเอาขนบธรรมเนียมและความเชื่อทางศาสนาของต่างชาติ ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรที่กำลังเติบโตของพระองค์ พระองค์จึงสามารถเอาชนะความภักดีของอาสาสมัครที่เพิ่งพิชิตมาได้ ผลที่ได้ คือ เครือข่ายการค้าและการทหารที่พูดภาษากรีก ซึ่งเคยปกครองเมดิเตอร์เรเนียนและตะวันออกใกล้เป็นเวลาสามศตวรรษ


6. อเล็กซานเดอร์ทรงเป็นผู้สร้างกรุงอเล็กซานเดรียให้เป็นเมืองหลวงทางปัญญาของโลก


อเล็กซานเดอร์ทรงก่อตั้งเมืองต่างๆ มากมายกว่า 70 เมืองในช่วง 8 ปีที่ทรงเดินทัพยาวไกลถึง 1 หมื่น 1 พันไมล์ ทั่วดินแดนตะวันออกกลางและตะวันออกใกล้ แต่ก็ไม่มีเมืองใดยิ่งใหญ่เทียบได้กับกรุงอเล็กซานเดรียในอียิปต์


แม้ว่าอเล็กซานเดอร์จะทรงเลือกสถานที่สำคัญสำหรับสร้างเมืองชายฝั่งที่มีชื่อเมืองเป็นพระนามของพระองค์เอง แต่พระองค์กลับไม่ได้เป็นผู้ออกแบบหรือพำนักอยู่ที่นั่นนานพอที่จะได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของกรุงอเล็กซานเดรีย หลังจากการสวรรคตของอเล็กซานเดอร์ จักรวรรดิมาซิโดเนียก็ถูกแบ่งย่อยออกเป็น 3 ส่วน มีการปกครองโดยนายพลแต่ละคน โดยอียิปต์ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของปโตเลมี ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามราชวงศ์ปโตเลมี


ชาวปโตเลมีพูดภาษากรีกมาซิโดเนีย และภายกรุงอเล็กซานเดรียก็ถูกปลูกสร้างอาคารสาธารณะสไตล์กรีกเต็มไปหมด ซึ่งรวมถึงห้องสมุดอเล็กซานเดรียที่มีชื่อเสียงด้วย ซึ่งครั้งหนึ่งภายในห้องสมุดแห่งนี้เคยมีม้วนหนังสือมากถึง 7 แสนม้วน จึงถือได้ว่าที่นี่เป็นคลังความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ


นักคณิตศาสตร์และนักประดิษฐ์ชาวกรีกที่เก่งกาจอย่างยูคลิดและอาร์ชิเมเดสเรียกกรุงอเล็กซานเดรียเป็นบ้าน และกองเรือราชนาวีของชาวปโตเลมีก็เป็นกลุ่มผู้ผลักดันการค้นพบของกรุงอเล็กซานเดรียให้ออกสู่การรับรู้ในโลกกว้าง


เมื่ออเล็กซานเดอร์เสด็จสวรรคตกะทันหันในบาบิโลนด้วยอาการไข้ ขณะมีพระชนมายุเพียง 32 ปี พวกปโตเลมีได้สกัดกั้นขบวนงานศพของเขาระหว่างทางกลับมาซิโดเนีย และสร้างโลงศพแก้วในเมืองอเล็กซานเดรียที่ซึ่งอาสาสมัครสามารถไว้อาลัยมัมมี่ของอเล็กซานเดอร์เป็นเวลาหลายศตวรรษ


7. อเล็กซานเดอร์ “ฮีโร่แอคชั่น” คนแรกของโลก


เรื่องราวของรัฐบุรุษอย่างอเล็กซานเดอร์ถูกเขียนเป็นชุดเรื่องราวการผจญภัยที่เรียกว่า "อเล็กซานเดอร์โรมานซ์" ซึ่งบางเรื่องมีการย้อนอายุกลับไปหนึ่งศตวรรษหลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคตแล้วในปี 323 ก่อนคริสตศักราช ขณะที่อเล็กซานเดอร์โรมานซ์เวอร์ชันยุคกลางเต็มไปด้วยฉากเซ็กซี่ ความตื่นเต้นจากการหลบหนีที่คับแคบ โดยมีภาพประกอบที่มีสีสันสวยงาม


ดูเหมือนว่าอเล็กซานเดอร์โรมานซ์จะเป็นรองแค่คัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานเท่านั้น ซึ่งทุกวันนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า "อเล็กซานเดอร์โรมานซ์" จะเดินทางไปไกลกว่านั้นหรือไม่ เพราะได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่าคอลเล็กชั่นเรื่องราวโบราณอื่นๆ


นอกจากนี้แล้ว ตำราต่างๆ ที่มีอยู่ในยุคศตวรรษที่ 14 ยังคงมีเรื่องราวของอเล็กซานเดอร์ที่ลงไปสำรวจความลึกของมหาสมุทรด้วยการนำระฆังครอบแล้วดำอยู่ใต้น้ำได้เป็นเวลายาวนาน แต่เมื่ออเล็กซานเดอร์ตั้งรกรากอยู่ที่พื้นสมุทร นางสนมของพระองค์ก็หักหลังพระองค์ แล้วหนีไปกับคนรักของเธอ ปล่อยให้พระองค์ติดอยู่ในห้วงลึกของมหาสมุทรตรงนั้น


สำหรับคาร์นีย์ความนิยมที่มีต่อง "อเล็กซานเดอร์โรมานซ์" สะท้อนให้เห็นถึงเสน่ห์ที่ยั่งยืนของบุคคลที่เป็นผู้เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้


"อเล็กซานเดอร์คือผู้ครองจินตนาการของผู้คน" คาร์นีย์กล่าว "เพราะพระองค์ยังเยาว์อยู่มาก แต่ไม่เคยแพ้ในศึกใหญ่เลย สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมันเร็วมาก พระองค์จึงเป็นผู้รับความเสี่ยง และพระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินไปทุกที่ที่ดูแปลกตา"


ที่มา

Dave Roos (2021). “7 Reasons Alexander the Great Was, Well, Great”. HowStuffWorks. Apr 29. Available on https://history.howstuffworks.com/historical-figures/alexander-great.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น