หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ปโตเลมีก็เป็นนักภูมิศาสตร์?

 “ปโตเลมี” เป็นนักภูมิศาสตร์กะเขาด้วย?

Ptolemy - Egyptian astronomer, mathematician, and geographer

เรียบเรียงโดยพัฒนา ราชวงศ์ นายกสมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย



ปโตเลมี เรียกเป็นภาษาละตินว่าคลาวดิอุส โตเลมีอุส (Claudius Ptolemeus) เป็นนักปราชญ์เลื่องลือนาม ไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่ไม่รู้จักเขา ปโตเลมีเกิดราว ค.ศ.100 และเสียชีวิตราวๆ ค.ศ.170 แวดวงวิชาการยกย่องปโตเลมีในฐานะนักดาราศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ และนักภูมิศาสตร์ ปโตเลมีเป็นชาวอียิปต์ที่สืบเชื้อสายของเผ่าพันธุ์อยูที่กรุงอเล็กซานเดรียในช่วงศตวรรษที่ 2 งานเขียนของเขามีมากมายหลากหลายสาขาวิชา ทั้งหมดล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จสูงสุดของวิทยาศาสตร์กรีก-โรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบจำลองจักรวาลที่กำหนดให้โลกเป็นศูนย์กลางจักรวาลของเขา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อว่า “ระบบปโตเลมี” (Ptolemaic system)


ว่าไปแล้วก็แทบไม่มีใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของปโตเลมีมากนัก ยกเว้นเพียงแต่สิ่งที่พอจะสามารถนำมาอนุมานได้จากงานเขียนของเขา Almagest เป็นงานเขียนเกี่ยวกับดาราศาสตร์ที่สำคัญชิ้นแรกของเขา เขาเขียนเสร็จสมบูรณ์ราวๆ ค.ศ.150 และมีรายงานการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ปโตเลมีได้ทำในช่วงไตรมาสก่อนหน้าของศตวรรษ ปริมาณงานเขียนและเนื้อหาสาระของงานวรรณกรรมชิ้นต่อๆ มาของเขา แสดงให้เห็นว่าเขาน่ามีชีวิตอยู่จนถึง ค.ศ.170


ปโตเลมีนักดาราศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่


หนังสือที่ผู้คนตอนนี้รู้จักกันโดยทั่วไป คือ Almagest เป็นหนังสือลูกผสมภาษาอาหรับประสมกับภาษากรีก ซึ่งทรงความยิ่งใหญ่สุดๆ เรียกเป็นภาษาแบบนั้นว่า Hē mathēmatikē syntaxis หรือ Mathematical Collection ของปโตเลมี โดยเขาเชื่อว่าเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเทหวัตถุบนสรวงสวรรค์นั้น เราสามารถอธิบายได้ในทางคณิตศาสตร์ บทเริ่มต้นของหนังสือจึงนำเสนอข้อโต้แย้งเชิงประจักษ์สำหรับใช้เป็นกรอบพื้นฐานจักรวาลวิทยา ซึ่งปโตเลมีให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง เขายืนยันว่า “โลกเป็นทรงกลม สถิตย์เป็นศูนย์กลาง” ของท้องฟ้าทรงกลม ที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ท้องฟ้านั้นหมุนรอบโลกด้วยอัตราที่สม่ำเสมออย่างสมบูรณ์แบบ นำเอาหมู่ดาว ดาวเคราะห์ ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ติดตามท้องฟ้าไปด้วย เหตุนี้จึงทำให้ดวงดาวมีการโผล่ขึ้นและตกหายไปในแต่ละวัน ตลอดทั้งปี ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกรอบวงกลมใหญ่ที่เรียกว่าสุริยุปราคา เป็นการขัดแย้งกับการหมุนของท้องฟ้าที่เป็นทรงกลม ขณะที่ดวงจันทร์และดาวเคราะห์จะเดินทางถอยหลังในทำนองเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ ดาวเคราะห์จึงเรียกอีกอย่างว่า "ดาวเคราะห์" เทียบกับ “ดาวฤกษ์” ที่พบในสุริยุปราคา สมมติฐานพื้นฐานของ Almagest คือ การเคลื่อนไหวของเทหวัตถุบนฟากฟ้าที่ดูเหมือนไม่ปกติ ในความเป็นจริงเป็นการรวมกันของการเคลื่อนไหวแบบวงกลมสม่ำเสมอ


เป็นเรื่องยากที่จะระบุว่า Almagest ได้รับการสำเนาออกมา เนื่องจากงานวรรณกรรมทางดาราศาสตร์เชิงเทคนิคก่อนหน้านี้เกือบทั้งหมดได้สูญหายไปแล้ว เป็นที่รู้กันว่าปโตเลมีให้เครดิตมากกับฮิปปาร์กัส นักปราชญ์กรีกที่มีชีวิตอยู่ในช่วงกลางศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล เกี่ยวกับองค์ประกอบสำคัญของทฤษฎีสุริยะและบางส่วนในทฤษฎีดวงจันทร์ ขณะเดียวกันก็ได้ปฏิเสธว่าฮิปปาร์กัสสร้างแบบจำลองดาวเคราะห์ ปโตเลมีแสดงความเห็นที่คลุมเครือและดูหมิ่นเพียงไม่กี่เรื่องเกี่ยวกับงานเชิงทฤษฎีตลอดระยะเวลาสามศตวรรษที่ผ่านมา แต่การศึกษาดาวเคราะห์ต่างๆ ก็มีความก้าวหน้าอย่างมากในช่วงเวลานั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งกว่านั้น ความจริงของปโตเลมีในฐานะผู้สังเกตการณ์ ยังเป็นที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่ยุคสมัยของนักดาราศาสตร์ที่ชื่อว่า ไทโค บราเฮ (Tycho Brahe, 1546–1601) บราเฮชี้ให้เห็นว่าการสำรวจดวงอาทิตย์ที่ปโตเลมีอ้างว่าได้ทำในปี ค.ศ.141 นั้น ไม่ใช่เรื่องจริงอย่างแน่นอน และมีข้อโต้แย้งที่จริงจังต่อข้อสงสัยที่ว่า ปโตเลมีได้สังเกตดาวมากกว่า 1,000 ดวง ดังได้แสดงเอาไว้ในลิสต์รายการดาวของเขา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่โต้แย้ง คือ ความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ที่ปโตเลมีนำเสนอเอาไว้


ปโตเลมีเป็นผู้รับผิดชอบอย่างโดดเด่นในด้านจักรวาลวิทยาที่ยึดถือหลักการว่าโลกเป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งเรื่องนี้รับรู้กันอย่างแพร่หลายในโลกอิสลามและในยุโรปยุคกลาง สิ่งนี้ไม่ได้เกิดมาจาก Almagest เมื่อเทียบกับบทความฉบับต่อมา Hypotheseis tōn planōmenōn ที่ว่าด้วยสมมติฐานเกี่ยวกับดาวเคราะห์ ในงานนี้ปโตเลมีได้นำเสนอสิ่งที่เรียกว่าระบบปโตเลมี (Ptolemaic system) ซึ่งเป็นระบบที่เป็นหนึ่งเดียวซึ่งเทหวัตถุของสรวงสวรรค์ ดาวแต่ละดวงยึดติดอยู่กับทรงกลมของตัวเอง และชุดของทรงกลมที่ซ้อนกันเพื่อให้ขยายออกไปโดยไม่มีช่องว่างจากโลกไปยังทรงกลมท้องฟ้า ตารางตัวเลขใน Almagest (จะทำให้สามารถคำนวณตำแหน่งของดาวเคราะห์และปรากฏการณ์ท้องฟ้าอื่นๆ ได้ ณ วันที่ที่ต้องการคำนวณ) มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่องานดาราศาสตร์ในยุคกลาง ส่วนหนึ่งผ่านตารางเวอร์ชันแก้ไขปรับปรุงที่ปโตเลมีเผยแพร่ภายใต้ชื่องานว่า ตารางพร้อมใช้งาน - Procheiroi kanones โดยปโตเลมีสอนวิธีใช้งานการสังเกตเชิงปริมาณพร้อมวันที่ที่บันทึกไว้ให้กับนักดาราศาสตร์ในภายหลัง เพื่อแก้ไขแบบจำลองจักรวาลวิทยา


นอกจากนี้ ปโตเลมียังพยายามที่จะวางตำแหน่งของโหราศาสตร์ให้อยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้องในผลงานชื่อ Apotelesmatika (ภาษารีก) หรือ Quadripartitum (ภาษาละติน) หมายถึง อิทธิพลทางโหราศาสตร์ ซึ่งต่อมารู้จักกันในชื่อ Tetrabiblos มีจำนวนสี่เล่ม โดยปโตเลมีเชื่อว่าโหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีกฎเกณฑ์ แม้ว่าจะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่โหราศาสตร์ก็สามารถอธิบายถึงผลกระทบทางกายภาพของสรวงสวรรค์ที่มีต่อชีวิตบนบกได้ ปโตเลมียอมรับความถูกต้องพื้นฐานของหลักโหราศาสตร์แบบดั้งเดิม แต่เขาได้แก้ไขรายละเอียดเพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติด้วยแนวความคิดเกี่ยวกับธรรมชาติ สสาร และการเปลี่ยนแปลงของอริสโตเติล จากงานเขียนทั้งหมดของปโตเลมี Tetrabiblos ถือได้ว่ามีผู้อ่านที่เป็นชาวต่างชาติในยุคใหม่มากที่สุด และเป็นผู้อ่านที่ไม่ยอมรับการพยากรณ์ทางดวงดาว และไม่ยอมรับแนวคิดที่ว่าจักรวาลวิทยาถูกขับเคลื่อนโดยส่วนผสมของคุณสมบัติพื้นฐาน เช่น ร้อน เย็น เปียก และแห้ง


ปโตเลมีนักคณิตศาสตร์


ปโตเลมีมีความโดดเด่นในด้านประวัติศาสตร์ของคณิตศาสตร์ เนื่องจากวิธีการทางคณิตศาสตร์ที่เขาใช้อธิบายปัญหาทางดาราศาสตร์นั้น เขาให้ความสำคัญกับวิชาตรีโกณมิติเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ตารางความยาวของเส้นสัมผัสขอบภายในวงกลม (chords in a circle) ของปโตเลมี คือ ตารางฟังก์ชันตรีโกณมิติที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ เขายังใช้ทฤษฎีบทพื้นฐานในตรีโกณมิติทรงกลม ซึ่งเมเนลาอุสแห่งอเล็กซานเดรีย (Menelaus of Alexandria ค้นพบเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน กับการแก้ปัญหาทางดาราศาสตร์พื้นฐานหลายประการ


ในบรรดาบทความที่เก่าแก่ที่สุดของโทเลมี Harmonics ที่เป็นการตรวจสอบทฤษฎีดนตรี เพื่อที่ทำหน้าที่คัดท้ายเส้นทางให้อยู่ตรงกลางระหว่างแนวคิดประสบการณ์นิยมสุดขั้วกับการปรากฎโฉมของตัวเลขลึกลับ (mystical arithmetical speculation) ที่มีความเกี่ยวพันกับแนวคิดของพีธากอรัส การอภิปรายของปโตเลมีเกี่ยวกับบทบาทของเหตุผลและความรู้สึกสัมผัสที่ทำให้ได้มาซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มีอะไรที่มากกว่าทฤษฎีด้านดนตรี


อาจเป็นเพราะชีวิตของเขาเข้าสู่บั้นปลายแล้ว ปโตเลมีหันความสนใจไปทำการศึกษาเกี่ยวกับการรับรู้ด้วยสายตา ดังแสดงไว้ในงานเขียนเรื่อง Optica ซึ่งเป็นผลงานที่ยังคงมีอยู่เฉพาะส่วนที่ถูกแปลเป็นภาษาละตินยุคกลางของชาวอาหรับเท่านั้น ขอบเขตสาระในการรับรู้ทางสายตาของปโตเลมีนั้นเป็นการวิเคราะห์เชิงประจักษ์ที่ “น่าทึ่ง” เมื่อเปรียบเทียบกับนักเขียนชาวกรีกคนอื่นๆ For example, ตัวอย่างเช่นฮีโร่แห่งอเล็กซานเดรีย (Hero of Alexandria มีชีวิตอยู่ในช่วงกลางศตวรรษที่ 1) ยืนกรานด้วยเหตุผลทางปรัชญาล้วนๆ ว่า วัตถุและภาพสะท้อนในกระจกของวัตถุ จะต้องทำมุมเท่ากันกับกระจก ในทางตรงกันข้าม ปโตเลมีได้สร้างหลักการนี้ ด้วยการวัดมุมตกกระทบและการสะท้อนของกระจกระนาบและกระจกโค้งที่ตั้งอยู่บนจานที่มีหน่วยองศา อีกทั้งปโตเลมียังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า เส้นสายตาหักเหที่เส้นแบ่งระหว่างวัสดุที่มีความหนาแน่นต่างกันอย่างไร เช่น อากาศ น้ำ และแก้ว แม้ว่าเขาจะไม่พบกฎที่แน่นอนเกี่ยวกับมุมตกกระทบและการหักเหของแสง (กฎของสเนลล์) ก็ตาม


ปโตเลมีในฐานะนักภูมิศาสตร์


ชื่อเสียงของปโตเลมีในฐานะนักภูมิศาสตร์มีมากไม่ได้ด้อยไปกว่าชื่อเสียงในฐานะนักดาราศาสตร์ คู่มือภูมิศาสตร์ Geōgraphikēhyphēgēsis ให้ข้อมูลและเทคนิคทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการเขียนแผนที่ดินแดนส่วนต่างๆ ของโลกที่เป็นที่รู้จักของบรรดาปราชญ์ร่วมสมัยกับปโตเลมี ด้วยความที่ปโตเลมีให้การยอมรับต่อนักปราชญ์เหล่านั้น ปโตเลมีจึงไม่ได้พยายามรวบรวมและกรองข้อมูลทางภูมิศาสตร์ทั้งหมดที่จะนำมาบรรจุลงในแผนที่ของเขา แล้วเขาก็ใช้แผนที่และงานเขียนของมารินุสแห่งไทร์ (Marinus of Tyre, 100) เป็นฐานในการทำแผนที่ แล้วก็เพียงแค่คัดเลือกและนำเสนอข้อมูลที่เป็นปัจจุบันมากขึ้นเท่านั้น โดยส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับชายฝั่งเอเชียและแอฟริการอบๆมหาสมุทรอินเดีย ความจริงแล้วมารินุสนั้น ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของใครต่อใครมากนัก หากปโตเลมีไม่นำเอาสาระการเขียนแผนที่ของเขามานำเสนอให้โลกได้เห็นมากขึ้น


นวัตกรรมทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของปโตเลมี คือ การบันทึกลองกิจูดและละติจูดแสดงค่าเป็นองศาของสถานที่ต่างๆ ประมาณ 8,000 แห่งบนแผนที่โลกของเขา ทำให้สามารถสร้างสำเนาแผนที่ของเขาได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น เราจึงมีภาพที่ชัดเจนและมีรายละเอียดเกี่ยวกับโลกที่อาศัยอยู่ ตามที่ทราบกันดีทุกชนชาติอยู่แล้วว่าล้วนเป็นผู้อาศัยอยู่ในจักรวรรดิโรมันอันสูงสุด เป็นโลกที่ขยายออกไปจากหมู่เกาะเชตแลนด์ (Shetland Islands) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือ กินอาณาเขตไปยังแหล่งกำเนิดของแม่น้ำไนล์ทางตอนใต้ ไปถึงหมู่เกาะแคนารี (Canary Islands) ทางตะวันตก และยื่นยาวไปถึงแผ่นดินจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทางตะวันออก อย่างไรก็ดีแผนที่ของปโตเลมีความบิดเบี้ยวเกี่ยวกับขนาดและทิศทางค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับแผนที่สมัยใหม่ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงคำอธิบายที่ไม่สมบูรณ์และไม่ถูกต้องของระบบถนนและเส้นทางการค้าที่เขามีอยู่

 

นอกจากนี้ ปโตเลมียังได้คิดค้นวิธีเขียนเส้นกริดบนแผนที่แผ่นเรียบขึ้นมาสองวิธี เพื่อแสดงแนวลองกิจูดแบะละติจูดเป็นเส้นวงกลมบนโลก การแสดงแนวเส้นกริดของเขาทำให้เห็นภาพพื้นผิวทรงกลมของโลก และยังรักษาสัดส่วนของระยะทางในขอบเขตที่จำกัด ได้เป็นอย่างดี การคาดคะเนแผนที่ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นนี้ ทำได้ด้วยการใช้ส่วนโค้งวงกลมเพื่อแทนเส้นขนานและเส้นเมอริเดียน ซึ่งคาดว่าจะมีการประมาณการณ์เพื่อรักษาพื้นที่ในภายหลัง อย่างไรก็ดี งานเขียนทางภูมิศาสตร์ของปโตเลมีแทบไม่เป็นที่รู้จักในยุโรป จนกระทั่งปี ค.ศ.1300 เมื่อนักปราชญ์ชาวไบแซนไทน์ทำการสำเนาต้นฉบับ Geographia ออกมาเพื่อเรียนรู้และเผยแพร่หลายฉบับ โดยหลายฉบับนั้นได้แสดงแผนที่ของปโตเลมีด้วยการเขียนขึ้นมาใหม่ จาโกโป ดางเจโล ชาวอิตาลีเป็นผู้แปลงานเล่มนี้เป็นภาษาละตินในปี ค.ศ.1406 แต่ตอนแรกๆ เคยมีฉบับภาษาละตินอีกจำนวนมาก Guide to Geography ซึ่งส่วนใหญ่พิมพ์ออกมาพร้อมกับแผนที่ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความประทับใจอันลึกซึ้งต่องานเขียนของปโตเลมี ที่สร้างขึ้นมาจากผลลัพธ์ที่ได้จากการค้นพบครั้งใหม่โดยนักมนุษยนิยมยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ


ต่อประเด็นที่ตั้งเป็นชื่อเรื่อง ซึ่งเป็นคำถามที่หลายคนเข้าใจถูกบ้างผิดบ้าง ตรงบ้างคลาดเคลื่อนบ้าง “ตกลงปโตเลมีเป็นนักภูมิศาสตร์ใช่ไหม” คำตอบตรงนี้ ตอบได้ว่า “ปโตเลมีไม่ใช่นักภูมิศาสตร์” เพียงแต่ว่าเขามีข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่จำนวนมาก แล้วเขาก็เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เพียงคนเดียวในกรุงอเล็กซานเดรียของยุคโรมันเรืองอำนาจ ด้วยความเป็นปราชญ์ทำให้เขาได้รู้จักวิธีการทำแผนที่ของมารินุสแห่งไทร์ และด้วยความเป็นผู้ปราดเปรื่องทางด้านคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ ทำให้เขาสามารถแบ่งส่วนวงกลมออกเป็นองศา แล้วก็ใช้เป็นพิกัดอ้างอิงสถานที่ต่างๆ ที่เขาไม่ได้เคยเดินทางไปไหนมาก่อนเลย เป็นแต่เพียงหยิบรายงานของนักเดินทางคนอื่นๆ ที่เขียนรายงานอยู่ในห้องสมุดใหญ่กลางกรุงอเล็กซานเดรีย ยังมีเรื่องที่ผู้คนข้องใจอีกมากว่า ปโตเลมี ไม่ได้สำรวจดวงดาวด้วยตัวเอง 


แต่จะอย่างไรก็ตาม ปโตเลมี เป็นนักปราชญ์ เขาปราดเปรื่องมากอย่างที่กล่าว รอบรู้เรื่องต่างๆ มากมาย ไม้เว้นแม้กระทั่งเรื่องของการมองเห็นวัตถุของสายตา เขาจะเป็นนักภูมิศาสตร์หรือไม่ได้เป็นนักภูมิศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เอาเป็นว่า “คุณูปการของเขามีมากต่อวิชาภูมิศาสตร์”


ที่มา

https://www.britannica.com/biography/Ptolemy

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น