ทฤษฎีเกสตัลต์และสัญวิทยาภาพ
พัฒนา ราชวงศ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ข้อมูลสามารถแสดงได้นับไม่ถ้วน จึงเป็นหน้าที่ของนักออกแบบกราฟิกที่จะต้องระบุวิธีที่ดีที่สุดสำหรับสิ่งนี้ การศึกษาเกี่ยวกับการทำแผนที่มุ่งเน้นไปที่การใช้และนวัตกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีธรณี แต่วิธีการเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ไม่ได้รับการพิจารณาว่ามีความสำคัญมากนัก และผลที่ตามมาก็คือแผนที่จำนวนมากที่มีการสื่อสารที่คลุมเครือ จากการศึกษาหลายชิ้นเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลเชิงกราฟิกในการทำแผนที่ ในงานนี้ เราเน้นย้ำถึงสัญวิทยากราฟิกและทฤษฎีเกสตัลต์ สัญวิทยากราฟิกปกป้องหลักฐานที่ว่าความสัมพันธ์ทั้งหมดและใดๆ ระหว่างวัตถุที่เป็นตัวแทนสามารถแสดงได้ด้วยตัวแปรภาพหกตัว (ขนาด โทน/ค่าระดับ สี รูปแบบ การจัดวาง และการปรับเปลี่ยนระดับ) สามคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับระดับการจัดองค์กรของข้อมูล (จำแนกเป็นลำดับ แสดงค่าเป็นปริมาณ หรือเลือกส่วนของข้อมูล) และวิธีดำเนินการสามวิธี (ดำเนินการข้อมูลเป็นจุด เส้น และพื้นที่/โซน) สัญวิทยากราฟิกมีความเชื่อมโยงระหว่างกันกับทฤษฎีต่างๆ ของรูปแบบและการเป็นตัวแทน และทฤษฎีสารสนเทศ ซึ่งพัฒนาโดยจิตวิทยาร่วมสมัย เกสตัลต์เป็นสำนักคิดทางจิตวิทยาของเยอรมันที่มีการศึกษาส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่สาขาการรับรู้ทางสายตา (visual perception) และรูปแบบการสื่อสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
การเคลื่อนไหวของกลุ่มเกสตัลต์ส่วนใหญ่ทำหน้าที่ในด้านทฤษฎีรูปแบบ โดยมีส่วนร่วมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเกี่ยวกับการรับรู้ ภาษา สติปัญญา การเรียนรู้ ความจำ แรงจูงใจ พฤติกรรมเชิงสำรวจ และพลวัตของกลุ่มทางสังคม จากการศึกษาและการวิจัยเชิงทดลองมากมาย บรรดานักวิชาการที่นิยมแนวทาวจิตวิทยาเกสตัลต์ได้กำหนดทฤษฎีของพวกเขาเกี่ยวกับสาขาที่กล่าวถึง เมื่อนำไปใช้กับการทำแผนที่จะช่วยให้สามารถประเมินข้อดีและขีดจำกัดของตัวแปรเกี่ยวกับภาพที่ใช้กับสัญวิทยาการทำแผนที่ และด้วยเหตุนี้จึงจะช่วยให้สามารถกำหนดกฎสำหรับการใช้ภาษาสำหรับการทำแผนที่ได้อย่างมีเหตุผล สำหรับการทำแผนที่นั้น หลักการเกสตัลต์จะทำหน้าที่ช่วยเหลือในการสร้างการประกอบกันให้เป็นแผนที่ในขั้นสุดท้าย โดยพยายามใช้แนวคิด ส่วนประกอบ และหมวดหมู่พื้นฐานเกี่ยวกับความกลมกลืน ความแตกต่างชัด และความสมดุลทางการมองเห็น ผ่านการใช้กฎต่างๆ ของเกสตัลต์ ซึ่งตามทฤษฎีเกสตัลต์แล้วสิ่งกระตุ้นสมองไม่ได้เกิดขึ้นที่จุดต่างๆ ที่แยกตัวกันออกไป แต่เกิดขึ้นในกรอบของขอบเขตความเป็นภูมิภาคต่างๆ ในการรับรู้รูปแบบไม่มีกระบวนการหลังของการเชื่อมโยงของความรู้สึกต่างๆ อย่างเช่นที่เกิดในเรตินา การรับรู้ที่เป็นความรู้สึกแรกนั้นมีความเป็นรูปแบบ เป็นลักษณะสากล และมีความเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว กฎเกสตัลต์โดยทั่วไปองค์ประกอบ 8 ประการด้วยกัน คือ หน่วย (unit) การแยก (segregation) การรวมกัน (unification) การปิด (closure) ความต่อเนื่อง (continuity) ความใกล้ชิด (proximity) ความคล้ายคลึงกัน (similarity) และปรากนันซ์ (prägnanz) ดังนั้น บทความนี้จึงพิจารณาถึงความสำคัญของการรักษาแบบกราฟิกของข้อมูลการทำแผนที่ที่สนับสนุนในสองทฤษฎีนี้
การแสดงแผนที่เป็นกราฟิกรูปแบบหลักที่นักภูมิศาสตร์ใช้ในการแสดงความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ในสาขาวิชาชีพต่างๆ ก็มีการใช้ภาษารูปแบบนี้เช่นกัน การทำแผนที่มีเป้าหมายเพื่อการถ่ายทอดความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ของปรากฏการณ์ที่ชัดเจนตามเป้าหมาย ในฐานะที่เป็นพาหนะของการสื่อสาร การทำแผนที่เป็นรูปแบบหนึ่งที่แสดงถึงความรู้จากการสังเคราะห์เชิงพื้นที่ เนื่องจากมีความเป็นไปได้มากมายสำหรับเทคนิคนี้ จึงมีความปรารถนาให้ได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพดีที่สุด สำหรับการงานให้ผลลัพธ์เป็นไปตามที่กล่าว การทำแผนที่จึงต้องอาศัยทฤษฎีเฉพาะสำหรับปฏิบัติการกับข้อมูลเชิงกราฟิก อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้มักถูกละเลยโดยนักออกแบบแผนที่ การประยุกต์ใช้เพื่อปฏิบัติการกราฟิกดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากทั้งสัญวิทยากราฟิกและทฤษฎีเกสตัลต์ เพื่อให้ข้อมูลได้รับการถ่ายทอดอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ใช้แผนที่ทุกคนสามารถเข้าใจความสัมพันธ์ภายในทั้งหมดได้โดยไม่มีปัญหาหรือความเป็นทวิลักษณ์ในการตีความ
สัญวิทยากราฟิก
ข้อมูลสามารถแสดงได้หลายวิธี อ้างอิงจากมาร์ติเนลลี (Martinelli, 1991) เป็นความรับผิดชอบของนักออกแบบกราฟิกที่จะต้องรู้วิธีใช้ระบบสัญลักษณ์นัยเดียว (monosemic sign system) อย่างครอบคลุมกับแต่ละประเด็นที่ตั้งใจจะถอดความด้วยสายตา โดยสังเกตคุณสมบัติการรับรู้ของตัวแปรที่มองเห็นอย่างระมัดระวัง
“เราจะสามารถนำเอาผังแสดงภาพสองมิติมาใช้ประโยชน์ได้หลายวิธี
ตามลักษณะของความสัมพันธ์ที่ต้องการกำหนดให้มัน
การประเมินนี้กำหนดโหมดหลักของการสร้างกราฟิกสามโหมด คือ แผนที่ กราฟ
และแผนภูมิการเลื่อนไหล ในรูปลักษณ์ของแผนผังองค์กร แผนภาพต้นไม้ แผนผังเลขอักขระ
และผังการทำงาน (organograms, dendograms, chronograms และ fluxograms)”
(Martinelli, 1991)
“การทำแผนที่เป็นภาษาที่มองเห็นได้โดยเฉพาะ และสำหรับสิ่งนั้น มันถูกส่งไปยังกฎทางสรีรวิทยาของการรับรู้ภาพ” โจลี (Joly, 1991) กล่าว
ปรากฏการณ์เชิงพื้นที่อาจแสดงออกมาเป็นจุด เส้น หรือโซน และข้อมูลต่างๆ อาจถูกจัดประเภทและแสดงเป็นลำดับ กลุ่มข้อมูลที่ถูกคัดเลือกมาแสดงคุณลักษณะบางอย่าง (จำแนกประเภทหรือไบนารี) และแสดงในเชิงปริมาณ เมื่อเข้าใจธรรมชาติของข้อมูลแล้ว อาจจัดประเภทข้อมูลเหล่านั้น และหลังจากนั้นจึงเลือกใช้ระบบการจัดการข้อมูลแบบกราฟิกที่ดีที่สุดสำหรับข้อมูลนั้น จากการศึกษาทั้งหมดเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลกราฟิกในการทำแผนที่ เห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเน้นให้เห็นสาระสำคัญของสัญวิทยากราฟิกและทฤษฎีเกสตัลต์เอาไว้ ณ ตรงนี้ เพื่อให้ทราบคุณสมบัติของภาษาภาพ (visual language) และใช้งานได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้เป็นไปตามที่ฌาร์ค เบอร์ติน (Bertin 1991) ได้พัฒนาสัญวิทยากราฟิก (Graphic Semiology) ขึ้นมา
การพัฒนาสัญวิทยากราฟิกมีความเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีเกี่ยวกับรูปแบบและการนำเสนอกับทฤษฎีสารสนเทศ ซึ่งพัฒนาโดยจิตวิทยาร่วมสมัย เมื่อนำไปใช้กับการทำแผนที่จะช่วยให้สามารถประเมินข้อดีและขีดจำกัดของตัวแปรภาพที่ใช้กับสัญวิทยาการทำแผนที่ และด้วยเหตุนี้จึงช่วยให้สามารถกำหนดกฎสำหรับการใช้ภาษาการทำแผนที่อย่างมีเหตุผล ทั้งนี้ โจลี (Joly 1991) ได้ให้คำยืนยันต่อเรื่องนี้ว่า
สำหรับแบร์ติน (Bertin 1986) แล้ว “สัญวิทยาของภาพแสดงแบบใหม่ (Neographic Semiology) หรือเรียกว่า สัญวิทยาภาพ นั้น เป็นการอาศัยคุณสมบัติของพื้นราบเพื่อแสดงความคล้ายคลึงเชิงสัมพันธ์ ลำดับ และสัดส่วน ระหว่างข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ภาพแสดงแบบใหม่เป็นระดับหนึ่งเดียวของความหมายของโลกภาพ (monosemic level) ภาพแสดงแบบใหม่ถูกกำหนดขึ้นมาด้วยระบบสัญลักษณ์ กราฟอันหนึ่งอาจจะถูกนำมากำหนดสิ่งต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในระบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นไดอะแกรม แผนผัง หรือว่าแผนที่”
ขณะที่เกสตัลต์เป็นสำนักคิดจิตวิทยาของเยอรมัน และมีการศึกษาส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่สาขาการรับรู้จากการมองเห็น
(visual
perception) และนำไปประยุกต์ใช้กับแบบจำลองต่างๆ ของการสื่อสาร ซึ่งสามารถอ้างอิงจากงานเขียนของเฟอร์นานเดส
(Fernandes, 2001) ได้ว่า
“เกสตัลต์ยืนยันหลักการชี้นำที่กล่าวว่า คนเรามักจะมองเห็นสิ่งต่างๆ อยู่ภายในความสัมพันธ์ร่วมกันเสมอ ทฤษฎีเกสตัลต์ยืนยันว่าความรู้สึกแรกมีอยู่แล้ว เป็นสากลและเป็นหนึ่งเดียว คนเราจะไม่เห็นส่วนที่แยกออกจากกัน แต่เป็นความสัมพันธ์ สำหรับการรับรู้ของเรา นั่นเป็นผลมาจากความรู้สึกของโลก ส่วนต่างๆ นั้นแยกออกจากส่วนทั้งหมดไม่ได้”
ทั้งสัญวิทยากราฟิกและเกสตัลต์ เป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างการวิเคราะห์การทำแผนที่
ดูอาร์ต (Duarte
1991) กล่าวถึงความสำคัญของสิ่งเหล่านี้สำหรับการทำแผนที่นี้ว่า
“การแสดงออกทางศิลปะยังคงเป็นสิ่งสำคัญของการทำแผนที่ทั้งหมด ในทันทีทันใดที่นักเขียนแผนที่พยายามที่จะให้ข้อมูลในลักษณะที่เหมาะสมที่สุดผ่านภาษากราฟิก ด้วยความเคารพต่อกฎของสัญวิทยาภาพ และคำนึงถึงจักษุแห่งความงามที่มีเป้าหมายเพื่อบรรลุอุดมคติแห่งความงาม … การนำเสนอด้วยแผนที่จะต้องเข้าใจว่าเป็นงานทางเทคนิคที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสื่อสารความคิดโดยไม่ยอมให้มีการตีความที่ขัดแย้งกัน แสวงหาความงามผ่านความกลมกลืนระหว่างส่วนประกอบทั้งหมด (สัญลักษณ์ สี ตัวอักษร) เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ในการนำเสนอด้วยแผนที่นั้น ศิลปะและวิทยาศาสตร์ควรประกอบกันเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยมุ่งสร้างความพึงพอใจแก่ผู้อ่าน ไม่เพียงแต่ความสวยงามของงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระดับของข้อมูลที่ให้ด้วย”
แบร์ติน (Bertin 1967) ยืนยันว่า ความสัมพันธ์ทั้งหมดระหว่างวัตถุที่จะนำเสนออาจแสดงด้วยตัวแปรภาพหกตัว กับคุณสมบัติสามประการ ที่หมายถึงระดับของการจัดระเบียบข้อมูล และวิธีการนำไปใช้สามวิธี โดยตัวแปรภาพหกตัว ได้แก่ ขนาด โทนสี สี รูปทรง การวางแนว และการปรับระดับ อย่างไรก็ตาม เฉพาะสี่ตัวแรกเท่านั้นที่ใช้กันบ่อยๆ โดยตัวแปรภาพเหล่านี้อาจแสดงเป็นจุด เส้น หรือพื้นที่ (โซน) นี่คือวิธีที่เรียกว่าการนำสัญวิทยาภาพไปใช้ ส่วนคุณสมบัติสามประการของระดับการจัดการข้อมูลนั้น หมายถึงการจัดประเภทข้อมูลตามลำดับ ตามปริมาณที่มี หรือตามสิ่งที่ต้องการเลือกมาแสดง
เลอ ซานน์ (Le Sann 2005) กล่าวเน้นน้ำว่า “การให้ความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่มีความเป็นสารสนเทศแบบเดียวกัน
ถือเป็นฐานแนวคิดของสัญวิทยากราฟิก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องแปลข้อมูลเชิงปริมาณผ่านตัวแปรภาพเชิงปริมาณ
ให้เป็นสารสนเทศที่มีการจัดลำดับเอาไว้แล้ว ด้วยการจัดลำดับให้กับตัวแปร” และอื่นๆ
ซึ่งการกำหนดวิธีที่เหมาะสมในการนำเสนอข้อมูลบางอย่างขึ้นอยู่กับตัวข้อมูลเอง
ดังนั้น “เมืองจะถูกแสดงด้วยจุดหรือพื้นที่ตามสเกลการแสดง แม่น้ำ ขอบเขต และถนนถูกแทนด้วยเส้น ในขณะที่สำหรับความหนาแน่นและข้อมูลใด ๆ ที่ครอบครองพื้นที่ โซนจะถูกนำไปใช้”
ระบบการอ่านภาพในทฤษฎีเกสตัลต์
เกสตัลต์เป็นสำนักคิดททางจิตวิทยาการทดลอง ซึ่งเป็นที่เชื่อกันว่าคริสเตียน ฟอน เอเรนเฟิลส์ (Christian von Ehrenfels 1859-1932) นักปรัชญาชาวเวียนนาในช่วงปลายทศวรรษ 1800 เป็นผู้นำของจิตวิทยาเกสตัลต์ ต่อมาในราวปี 1910 ทฤษฎีนี้มีจุดเริ่มต้นของการนำมาใช้ที่ได้ผลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยนักทฤษฎีหลัก 3 คน คือ มาร์กซ แวร์ธิเมอร์ (Marx Wertheimer 1880-1943) โวล์ฟกัง โคเลอร์ (Wolfgang Kholer 1887-1967) และกูร์ต คอฟฟ์กา (Kurt Koffka 1886-1941)
ส่วนใหญ่แล้วขบวนการของนักจิตวิทยาเกสตัลต์ทำหน้าที่ในด้านทฤษฎีรูปแบบ (Form Theory) โดยมีส่วนร่วมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเกี่ยวกับการรับรู้ ภาษา สติปัญญา การเรียนรู้ ความจำ แรงจูงใจ พฤติกรรมเชิงสำรวจ และพลวัตของกลุ่มทางสังคม จากการศึกษาและการวิจัยเชิงทดลองมากมาย นักจิตวิทยาเกสตัลต์ได้กำหนดทฤษฎีของพวกเขาเกี่ยวกับสาขาที่กล่าวถึง จิตวิทยาเกี่ยวกับรูปแบบมีความเป็นปฏิปักษ์กับอัตวิสัยนิยมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสรีรวิทยาของระบบประสาท เมื่อต้องนำมาใช้ในการอธิบายความสัมพันธ์ของอัตตากับวัตถุ (relationship of the subject-object) ภายในทฤษฎีการรับรู้” (Gomes Filho, 2000:18)
ในการทำแผนที่ จิตวิทยาเกสตัลต์ทำหน้าที่ช่วยเหลือในการประสมองค์ประกอบสุดท้ายของแผนที่
โดยพยายามใช้แนวคิด ส่วนประกอบ และหมวดหมู่พื้นฐานของความกลมกลืน ความแปลกแตกต่าง
และความสมดุลทางสายตา ตามทฤษฎีเกสตัลต์ สิ่งกระตุ้นสมองไม่ได้เกิดขึ้นที่จุดแยก
แต่จะเกิดขึ้นในส่วนต่างๆ ที่เป็นภาพหลอมรวมร่วมกัน ในการรับรู้เกี่ยวกับรูปแบบ จะไม่มีกระบวนการด้านหลังของการเชื่อมโยงความรู้สึกต่างๆ
แบบที่เกิดขึ้นในเรตินาของการมองเห็น หากแต่ว่าความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นนั้น
เป็นความรู้สึกเกี่ยวกับรูปแบบ ความเป็นสากล และความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ในการบรรยายที่สมาคมค้านท์ในกรุงเบอร์ลินปี 1924 แวร์ธิเมอร์กล่าวยืนยันว่า "ข้อเสนอพื้นฐานของทฤษฎีเกสตัลต์อาจกำหนดขึ้นขึ้นมาว่า มีบริบทหลายอย่างที่ว่าด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด ไม่สามารถอนุมานได้จากลักษณะของชิ้นส่วนที่แยกจากกัน ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นและการเป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมดทั้งมวล ซึ่งชัดเจนแล้วว่า สิ่งนั้นถูกกำหนดโดยกฎของโครงสร้างภายในของทั้งหมดทั้งมวลนี้”
ความสัมพันธ์ทางสรีรวิทยาของการรับรู้กับกิจกรรม ไม่ใช่สิ่งเร้าส่วนบุคคล แต่เป็นเหตุการณ์ที่รวมเป็นหนึ่งเดียว ที่เป็นไปตามที่แวร์ธิเมอร์ได้กล่าวเน้นย้ำเกี่ยวกับจิตวิทยาเกสตัลต์
ภาพที่ 5.1 ก เส้นตรง ภาพที่ 1 ข เส้นขนาน
ภาพที่ 5.1(ก) เส้นหนึ่งดูใหญ่กว่าอีกเส้นหนึ่งเพราะมองเห็นทั้งสองเส้นสัมพันธ์กับตำแหน่งในมุม ภาพที่ 5.1 (ข) ให้ความรู้สึกว่าเส้นตรงทแยงที่วิ่งตามแนว NE-SW ไม่ขนานกัน แต่เข้าใกล้ปลายสุดมากขึ้น สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าสายตามนุษย์ไม่สามารถตีความองค์ประกอบภาพได้ราวกับว่าเส้นทแยงมุมที่ขนานกันและเส้นเล็กๆ เรียงกันทั้งในแนวตั้งและแนวนอน การมองของเรามีแนวโน้มที่จะเห็นองค์ประกอบที่สามโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นผลมาจากผลรวมของส่วนต่างๆ
เองเจลมันน์ (Engelmann 2002) ยืนยันว่า สิ่งที่เป็นทั้งหมดทั้งมวลควรได้รับการพิจารณาจากบางสิ่งบางอย่างนอกเหนือจากการรวมกันอย่างง่ายขององค์ประกอบ โดยชี้ว่า "แวร์ธิเมอร์กล่าวในช่วงหลายปีต่อจากปี 1912 ว่าจิตวิทยาเกสตัลต์นั้นแตกต่างจากสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึก จิตวิทยาเกสตัลต์ที่มีการรับรู้กันในตอนแรก สามารถแยกออกจากกันได้ แต่ชิ้นส่วนเหล่านี้มักเป็นส่วนหนึ่งของการหลวมรวมกันให้กลายเป็นเกสตัลต์ ถือเป็นความเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิง สำหรับประโยคถูกนำมาอ้างถึงว่า 'ทั้งหมดทั้งมวลเป็นอะไรที่มากกว่าผลรวมของส่วนต่างๆ' เพราะจิตวิทยาของเกสตัลต์เป็นคนละรูปแบบกับที่กล่าวถึงผลรวมขององค์ประกอบ ตรงกันข้าม จิตวิทยาเกสตัลต์เป็นอะไรที่นำหน้าไปจากการมีอยู่ของส่วนต่างๆ การตัดสินใจเกิดขึ้นจากเบื้องบนหรือสิ่งที่ตกทอดกันมา ไม่ใช่อะไรที่เกิดจากเบื้องล่างหรือสิ่งที่ผุดขึ้นไปให้เห็นเหนือน้ำ”
คล้ายกับสัญวิทยาภาพ ที่จิตวิทยาเกสตัลต์นำเสนอกฎทั่วไปที่ทำหน้าที่เป็นพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับระบบการอ่านภาพ (visual reading system) “กล่าวอีกนัยหนึ่ง รากฐานของการรับรู้และเหตุผล ถูกสร้างขึ้นมา ภาพที่อ่านกันมาไม่ว่าจะเป็น ก ข หรือ ค ซึ่งจะอนุญาตและสนับสนุนการวิเคราะห์ และตีความเชิงวัตถุวิสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับการใช้การจัดหมวดหมู่แนวคิดเพิ่มเติม” โกเมส ฟิลโญ่ (Filho 2000)
เกสตัลต์กับกราฟิกของข้อมูลเชิงพื้นที่
โดยทั่วไป มีกฎเกสตัลต์แปดข้อ ได้แก่ หน่วย การแยก การรวมกัน การปิด ความต่อเนื่อง ความใกล้ชิด ความคล้ายคลึงกัน และปรากนันซ์ ต่อไปนี้คือกฎของเกสตัลต์
1. หน่วยหนึ่งๆ หรือ unit อาจประกอบขึ้นเป็นองค์ประกอบเฉพาะ ซึ่งลงท้ายด้วยตัวมันเอง หรือเป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมด ถึงกระนั้น ในความหมายที่กว้างกว่านั้น อาจเข้าใจได้ว่าเป็นส่วนร่วมขององค์ประกอบมากกว่าหนึ่งองค์ประกอบ โดยกำหนดค่า 'ทั้งหมด' เช่นนั้น ซึ่งหมายถึงตัววัตถุเอง หน่วยที่เป็นทางการซึ่งกำหนดค่าทั้งหมดจะถูกรับรู้โดยทั่วไปผ่านความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ (หรือหน่วยย่อย) ที่ประกอบขึ้น หน่วยที่เป็นทางการตั้งแต่หนึ่งหน่วยขึ้นไปอาจถูกแยกออกจากกันหรือรับรู้ภายในทั้งหมดผ่านองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น จุด เส้น ที่ราบ ปริมาตร สี เงา ความสว่าง พื้นผิว และอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกพจน์หรือรวมกัน การวางแนวของแผนที่ประกอบด้วยหน่วยทั้งหมด ในทางกลับกัน แต่ละทิศเหนือ (แม่เหล็ก ผัง หรือจริง) ยังถือเป็นหน่วยหรือหน่วยย่อยภายในทั้งหมด
2. การแบ่งส่วน หรือ segregation หมายถึง ความสามารถในการรับรู้ที่จะแยกแยะ ระบุ ทำให้ชัดเจน หรือนำหน่วยที่เป็นกิจจะลักษณะทั้งหมดหรือบางส่วนของทั้งหมดนี้ออกมา โดยธรรมชาติแล้ว เป็นไปได้ที่จะแยกหน่วยหนึ่งหรือหลายหน่วยตามความแตกต่างของสิ่งเร้าที่เกิดจากลานสายตา (ขึ้นอยู่กับแรงของความแตกต่างอย่างน้อยหนึ่งประเภท) การแยกสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ด้วยจุด เส้น ที่ราบ ปริมาตร สี เงา ความสว่าง พื้นผิว เป็นต้น สำหรับการอ่านด้วยสายตา ยังสามารถกำหนดระดับของการแยกได้ ตัวอย่างเช่น การระบุเฉพาะหน่วยหลักของทั้งหมดที่ซับซ้อนมากขึ้น ตราบใดที่เพียงพอสำหรับเป้าหมายที่ต้องการในการวิเคราะห์และ/หรือการตีความรูปแบบของวัตถุ
ภาพที่ 5.2 ปัจจัยการแบ่งส่วน – แผนที่เมืองเซา ลูเรนโซ – MG ในแผนที่นี้ สิ่งต่อไปนี้ถูกแยกออกเป็นหน่วยหลัก: โครงสร้างพื้นฐานของถนน (สีขาว); อุทกศาสตร์ (Rio Verde และแม่น้ำสาขา – เป็นสีน้ำเงิน), Parque das Águas และพืชพันธุ์ (สีเขียว) และใจกลางเมือง (สีเทา)
3. การจัดกลุ่มสิ่งคล้ายคลึงกัน หรือ unification หมายถึงความเท่าเทียมกันหรือความคล้ายคลึงกันของสิ่งเร้าที่เกิดขึ้นในด้านการมองเห็นโดยวัตถุ
การรวมกันจะได้รับการตรวจสอบเมื่อปัจจัยของความกลมกลืน ความสมดุล การจัดลำดับภาพ
และโดยหลักแล้ว ความสอดคล้องกันของภาษาหรือรูปแบบที่เป็นทางการของชิ้นส่วนหรือของทั้งหมด
มีอยู่ในวัตถุหรือในองค์ประกอบ สิ่งสำคัญคือต้องเน้นว่า
เห็นได้ชัดว่าการรวมเป็นหนึ่งยังแสดงออกมาในระดับคุณภาพ
ซึ่งหมายความว่ามันแตกต่างกันไปในองค์กรที่เป็นทางการ จากดีขึ้นไปหาแย่ลง ในกรณีนี้
เป็นไปได้ที่จะระบุดัชนีเชิงคุณภาพให้กับการอ่านที่กำหนด ยิ่งกว่านั้น
หลักการพื้นฐานสองประการยังแข่งขันกันในองค์กรที่เป็นทางการ
ซึ่งก็คือกฎแห่งความใกล้ชิดและความคล้ายคลึงกัน
เมื่อกฎเหล่านี้มีอยู่เป็นบางส่วนหรือในวัตถุทั้งหมด ดังจะเห็นด้านล่าง
ภาพที่ 5.3 การจำแนกประเภทของพืชพันธุ์ที่ครอบคลุมของบราซิล โดยใช้การวิเคราะห์การจัดกลุ่มและข้อมูลของ NDVI ในแผนที่นี้ เป็นไปได้ที่จะระบุปัจจัยการรวมเป็นหนึ่งโดยผ่านความสัมพันธ์ของสี หน่วยนี้สร้างขึ้นจากปัจจัยความใกล้เคียงและความคล้ายคลึงกันของตัวแปรภาพที่เลือกเพื่อแสดงถึงพืชพันธุ์ที่ปกคลุมของบราซิล
4. รูปปิด หรือ closure มีความสำคัญต่อการก่อตัวของหน่วย
กองกำลังที่จัดรูปแบบจะนำพวกเขาไปสู่การก่อตัวของหน่วยในหน่วยปิดทั้งหมดโดยธรรมชาติ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความรู้สึกของการปิดรูปแบบการมองเห็นได้มาจากความต่อเนื่องในลำดับโครงสร้างที่กำหนด
ความหมาย
โดยวิธีการจัดกลุ่มองค์ประกอบในลักษณะที่จะประกอบเป็นร่างที่สมบูรณ์และสมบูรณ์มากขึ้น
สิ่งสำคัญคืออย่าเข้าใจผิดว่าความรู้สึกของการปิดเกี่ยวข้องกับกฎของเกสตัลต์ด้วยการปิดทางกายภาพ
รูปร่างขององค์ประกอบของวัตถุ ซึ่งมีอยู่ในวัตถุเกือบทุกรูปแบบ
ภาพที่ 5.4 รูปปิด - แผนที่ดินของบราซิล ที่ไม่มีโครงร่างแสดงถึงพื้นที่ที่ถูกครอบครองโดยดินบางประเภท แต่ถึงกระนั้น หน่วยในแผนที่นี้ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมโยงของสี
5. ความต่อเนื่อง หรือ continuity เป็นการแสดงผลทางสายตาของส่วนต่างๆ
ที่ติดตามกันผ่านการจัดระเบียบการรับรู้ของรูปแบบในลักษณะที่สอดคล้องกัน
โดยไม่มีการหยุดพักหรือการขัดจังหวะของวิถีหรือในความลื่นไหลของภาพ
ความต่อเนื่องยังหมายถึงแนวโน้มขององค์ประกอบที่จะเชื่อมโยงกัน
ในลักษณะที่จะทำให้องค์ประกอบมีความต่อเนื่องที่ดี เช่น จุด เส้น ที่ราบ
ระดับเสียง สี ความสว่าง พื้นผิว ระดับเสียง ฯลฯ
หรือการเคลื่อนไหวในองค์ประกอบที่กำหนดไว้แล้ว ทิศทาง.
ความต่อเนื่องที่ดีนั้นมีผลในหรือเห็นพ้องต้องกัน เกือบทุกครั้ง
วัตถุจะไปถึงรูปแบบที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีโครงสร้างที่เสถียรที่สุด
ภาพที่ 5.5 ปัจจัยความต่อเนื่อง – แผนที่ Hypsometric ของประเทศปอร์ตุเกส การจัดองค์ประกอบสี ตั้งแต่สีที่เย็นกว่าไปจนถึงสีที่อุ่นกว่า จะสร้างสเกลโทนสีที่ช่วยระบุความแตกต่างของหน่วยพื้นที่ขนาดใหญ่สองหน่วยที่กำหนดค่าเอาไว้ในภาพ พื้นที่ราบลุ่มแทนด้วยโทนสีเขียว และพื้นที่ภูเขาสูงแทนด้วยสีโทนอุ่น
6. การมีลักษณะใกล้เคียงกัน หรือ proximity นั้น เห็นได้จากองค์ประกอบทางแสงที่อยู่ใกล้กันมีแนวโน้มที่จะรับรู้ร่วมกัน
และด้วยเหตุนี้จึงประกอบเป็นองค์ประกอบทั้งหมดหรือหน่วยภายในทั้งหมด
ในทำนองเดียวกัน สิ่งเร้าที่อยู่ใกล้กันที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ สี ขนาด พื้นผิว
ความสว่าง น้ำหนัก การวางแนว ฯลฯ มักจะถูกจัดกลุ่มและประกอบเป็นหน่วย
ความใกล้ชิดและความคล้ายคลึงกันเป็นปัจจัยที่มักทำหน้าที่ร่วมกันและส่งเสริมซึ่งกันและกัน
เพื่อสร้างหน่วยและรวมรูปแบบให้เป็นหนึ่งเดียว
ภาพที่ 5.6 ปัจจัยความใกล้เคียง: แผนที่ภูมิประเทศของ Antique Gulf Summit New York 1952 พื้นที่ที่แสดงด้วยสีเขียวในแผนที่ฉบับนี้ทำให้เห็นจุดเหล่านี้รวมกัน จึงสร้างหน่วยขึ้นมา ความจริงที่ว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ใกล้กันและเหมือนกันช่วยให้เห็นความเชื่อมโยงภายในทั้งหมดด้วยปัจจัยความใกล้เคียง
7. การมีลักษณะคล้ายคลึงกัน หรือ similarity ความคล้ายคลึงกันระหว่างรูปแบบและสียังนำไปสู่แนวโน้มในการสร้างหน่วยหรืออีกนัยหนึ่งเพื่อสร้างการจัดกลุ่มของส่วนที่คล้ายกัน
ถ้าเงื่อนไขเท่ากัน สิ่งเร้าที่คล้ายคลึงกันมากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบ สี ขนาด
น้ำหนัก ทิศทาง ฯลฯ มักจะถูกจัดกลุ่มเพื่อประกอบเป็นชิ้นส่วนหรือหน่วย
ถ้าเงื่อนไขเหมือนกัน
สิ่งเร้าที่เกิดจากความคล้ายคลึงกันและใกล้เคียงกันมากขึ้นก็จะมีแนวโน้มที่จะจัดกลุ่มมากขึ้นเพื่อประกอบเป็นหน่วย
ความคล้ายคลึงและความใกล้เคียงเป็นสองปัจจัยที่ไม่เพียงแข่งขันกันเพื่อการก่อตัวของหน่วยเท่านั้น
แต่ยังส่งเสริมการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของทั้งหมดและสิ่งที่มองเห็นในแง่ของความกลมกลืน
ระเบียบ ความสมดุลทางสายตา
ภาพที่ 5.7 ปัจจัยความคล้ายคลึง – ชีวนิเวศของบราซิล ในแผนที่นี้ ความคล้ายคลึงกันของสีกำหนดให้เราจัดกลุ่มสีเหล่านี้เป็นประเภทต่างๆ กัน แล้วเชื่อมโยงเข้ากับประเภทต่างๆ ของชีวนิเวศของบราซิล ในลักษณะนี้ ความคล้ายคลึงกันระหว่างสีจะขอให้เราระบุหน่วยต่างๆ ภายในทั้งหมด www.wwf.org.br
8. prägnanz เป็นกฎพื้นฐานเกี่ยวกับการรับรู้ทางสายตาของเกสตัลต์และกำหนดไว้ดังนี้:
"รูปแบบสิ่งเร้าใด ๆ
ที่สามารถมองเห็นได้ในลักษณะที่โครงสร้างผลลัพธ์นั้นง่ายเท่าที่ได้รับอนุญาตตามเงื่อนไขที่กำหนดเกี่ยวกับความกลมกลืนและความสมดุลทางสายตา
prägnanz ที่ดีสันนิษฐานว่าการจัดระเบียบที่เป็นทางการของวัตถุในแง่จิตวิทยานั้นมีแนวโน้มที่จะดีที่สุดเสมอจากมุมมองเชิงโครงสร้าง
ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะประเมินและสร้างเกณฑ์ต่อไปนี้สำหรับคุณสมบัติหรือการตัดสินขององค์กรสำหรับผลของระบบนี้:
ก) ยิ่งการจัดภาพในรูปแบบของวัตถุดีขึ้นในแง่ของความเข้าใจในการอ่านหรือความเร็วในการตีความ
ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ระดับปริญญา ข) โดยธรรมชาติแล้ว
ยิ่งแย่หรือยิ่งสับสนในการจัดระเบียบภาพของรูปแบบวัตถุมากเท่าใด ระดับของ prägnanz
ก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการตัดสินของ prägnanz
เป็นไปได้ที่จะสร้างระบบการให้คะแนนหรือดัชนี ตัวอย่างเช่น: ต่ำ
ปานกลาง และสูง หรือเกรดตั้งแต่ 1 ถึง 10 ตามลำดับ จากดีที่สุดไปหาแย่ลง
ภาพที่ 5.8 prägnanz factor แผนที่ความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ของบราซิล แผนที่แสดงการกระจายของไฟป่าในประเทศบราซิล เป็นการนำเสนอพื้นที่ต่ำ ซึ่งหมายความว่าข้อมูลที่ซ้อนทับกันในระดับสูงในหัวข้อต่างๆ ทำให้เกิดความสับสนและอ่านยาก ผู้อ่านต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำความเข้าใจ
ท้ายบท
การศึกษาเกี่ยวกับการทำแผนที่จะเน้นถึงการใช้ประโยชน์และการสร้างนวัตกรรมการบนเทคโนโลยีภูมิศาสตร์ แต่ว่าวิธีการพิมพ์เผยแพร่ผลิตภัณฑ์ยังไม่ได้รับการพิจารณาว่ามีความสำคัญมากนัก และผลที่ตามมาก็คือแผนที่จำนวนมากมีการสื่อสารที่คลุมเครือ
การแสดงแผนที่เป็นรูปแบบกราฟิกหลักที่นักภูมิศาสตร์ใช้ในการแสดงความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม สาขาวิชาชีพต่างๆ ก็ใช้ภาษาแบบนี้ในการสื่อสารเช่นกัน
การทำแผนที่มีเป้าหมายเพื่อการถ่ายทอดความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ของปรากฏการณ์ที่ชัดเจนและเป็นกลาง ในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร การทำแผนที่ คือ รูปแบบหนึ่งของการแสดงความรู้เชิงพื้นที่ ซึ่งมีลักษณะที่ดีกว่าอย่างอื่น สามารถชดเชยความแตกต่างของภาษาและระดับความลึก นำมาสู่จุดสนใจในลักษณะสังเคราะห์ ปรากฏการณ์ และความสัมพันธ์ระหว่างกัน(Rigamonti, 1988: 253 apud Moura, 1994).
เนื่องจากมีความเป็นไปได้มากมายสำหรับเทคนิคนี้ จึงต้องการผลลัพธ์ที่มีคุณภาพดีที่สุด สำหรับงานดังกล่าว การทำแผนที่อาศัยทฤษฎีที่เชี่ยวชาญในการปฏิบัติต่อข้อมูลเชิงกราฟิก อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้มักถูกละเลยโดยนักออกแบบแผนที่
การใช้การรักษากราฟิกดังกล่าวด้วยความช่วยเหลือของทั้งสัญวิทยาภาพและเกสตัลต์
จึงมีความจำเป็น เพื่อให้ข้อมูลได้รับการถ่ายทอดอย่างชัดเจนและในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าใจความสัมพันธ์ภายในทั้งหมดได้โดยไม่มีปัญหาหรือ
ความเป็นคู่ของการตีความ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น