พื้นที่สูงทางภาคเหนือของประเทศไทย
รองศาสตราจารย์พัฒนา ราชวงศ์
ภูมิศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์ต้องอธิบายปรากฎการณ์ได้ ต้องมีการสร้างแบบจำลอง/ทฤษฎีเพื่อทำนายอนาคตและอดีต และต้องมีกระบวนการตั้งคำถาม เก็บและจัดการข้อมูล และพิสูจน์ความสอดคล้อง/แปลกแยกกับแบบจำลองหรือตัวอย่างที่ปรากฏอยู่ในที่อื่นๆ หรือในอดีต ทั้งหลายทั้งปวงจะได้รับความเชื่อถือยอมรับมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับ accuracy, precision, validity และ reliability ของกระบวนการขั้นตอนและข้อมูลสารสนเทศที่ใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง accuracy และ precision ที่จะต้องนำมาใช้ให้ถูกต้องและได้ระดับที่เป็นที่ยอมรับทั่วกัน
“พื้นที่ศึกษา” ไม่ได้เป็น “ขอบเขตพื้นที่ศึกษา” อย่างที่นักวิจัยบางคนระบุไว้ในรายงาน หากต้องการเพียงแค่ใช้พื้นที่หรือตำแหน่งที่ตั้งนั้นๆ เป็นสถานที่เก็บรวบรวมข้อมูลแสดงตัวแทนของปรากฎการณ์ ไม่ได้มีนัยยะอะไรมากไปกว่าบอกว่าทำการศึกษาที่ไหน แต่ว่า “พื้นที่ศึกษา” จะกลายเป็น “ขอบเขตพื้นที่ศึกษา” ขึ้นทันทีที่นักวิจัยต้องการเห็นอิทธิพลของพื้นที่ (spatial influence) ที่แสดงออกผ่านที่ตั้งที่ชัดเจน ระยะทาง ระดับความสูง ทิศทาง ความหนาแน่น ความเป็นศูนย์กลาง ฯลฯ อันเป็นคุณลักษณะของพื้นที่นั้นๆ
แน่นนอนว่า ความสำคัญของพื้นที่ศึกษาไม่ว่าจะมีเป้าหมายแบบแรกหรือแบบหลัง ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น โดยหากเป็นอย่างแรก การยอกให้คนอ่านได้รับรู้ถึงสถานที่ที่ปรากฎการณ์นั้นๆ เกิดขึ้น ย่อมทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเทียบเคียงรายละเอียดต่างๆ ของพื้นที่นั้นๆ ย้อนกลับไปสู่อดีตแต่ละช่วงได้ รวมถึงเป็นฐานให้สามารถทำนายปรากฎการณ์ที่จะเกิดเกี่ยวเนื่องในอนาคตได้อย่างน่าเชื่อถือ
ขณะที่พื้นที่ศึกษาตามเป้าหมายอันหลัง ที่ใช้กันในหมู่ผู้ที่ทำการศึกษาวิจัยเชิงพื้นที่ อย่างเช่น โบราณคดี ธรณีวิทยา ภูมิอากาศวิทยา อุทกวิทยา ปฐพีวิทยา วนศาสตร์ และภูมิศาสตร์ สาขาวิทยาการเหล่านี้ใช้ความมีลักษณะเฉพาะของพื้นที่ดังกล่าวในพารากราฟก่อนของแต่ละแห่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่สนใจ ดังนั้น การแสดงรายละเอียดของพื้นที่ศึกษาจึงมีความจำเป็นจะต้องระบุให้ชัดเจนให้เกิด validity และ reliability ผ่านการมี accuracy และ precision
พื้นที่ศึกษาที่เป็นสถานที่ที่ปรากฎการณ์นั้นๆ ปรากฎอยู่ เคยปรากฎอยู่ ปรากฎขึ้นมา หรือคาดว่าจะปรากฎ ไม่ว่าจะเป็นปรากฎการณ์เกี่ยวกับ ”ชุมชนและวัฒนธรรม” หรือ “สปีชีเฉพาะถิ่น” หรือ “ร่องรอยธรณีวิทยา” หรือ“ความขัดแย้งและการสู้รบ” หรือแม้แต่ “โรคอุบัติใหม่” สิ่งเหล่านี้เป็นปรากฎการณ์ที่วิทยาการสาขาต่างๆ ต้องการศึกษาและพิสูจน์ตามแบบแผนของวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์ทั้งสิ้น และสิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการยืนยันความถูกต้องของตำแหน่งที่ตั้ง และ/หรือ ขอบเขตพื้นที่ที่ปรากฎการณ์นั้นๆ ปรากฏอยู่
หากยกตัวอย่างเฉพาะปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภูเขาสูงทางภาคเหนือของประเทศไทย อันถือได้ว่าเป็นพื้นที่เชื่อมโยงลงมาจากระบบนิเวศที่สูงต่อเนื่องจากที่สูงธิเบตเป็นเทือกเขาขนาดใหญ่เป็นมณฑลกว้าง เป็นกลุ่มทิวเขาฉาน-ไทยที่กระจายตัวออกตามแผ่นเปลือกโลกขนาดใหญ่ ๓ แผ่น คือ แผ่นเปลือกโลกเมียนมาร์ตะวันตกที่เชื่อมโดยตรงกับที่รายสูงธิเบตลงมาผ่านกลางสหภาพเมียนมาร์ แผ่นเปลือกโลกฉาน-ไทยที่อยู่ตรงกลางผ่านลงมาทางภาคเหนือของประเทศไทย และแผ่นเปลือกโลกอินโดจีนทางตะวันออกผ่านเข้าไปประเทศเวียดนาม สิ่งต่างๆ ที่จะกล่าวถึงในบทความนี้ เป็นความพยายามที่จะอธิบายรายละเอียดที่เป็นลักษณะเฉพาะของพื้นที่สูงทางภาคเหนือของประเทศไทย ตามหลักฐานงานเขียนที่ปรากฎอยู่ เท่าที่จะหาได้ เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นถึงการกำหนดเป้าหมายของการศึกษา การค้นหาและนำข้อมูลมาอธิบาย และการแสดงที่ตั้งและอาณาบริเวณมณฑลของสถานที่แห่งนั้นๆ บนแผนที่ที่จะสามารถนำไปอ้างอิงได้ ด้วยความเชื่อว่า การระบุพื้นที่ศึกษาให้ชัดเจนเป็นความน่าเชื่อถือของงานวิจัย ไม่ว่างานวิจัยนั้นจะใช้พื้นที่ศึกษาเป็นเพียงแค่สถานที่เก็บข้อมูลหรือใช้เป็นปัจจัยกำหนดความเป็นไปของปรากฎการณ์ที่สนใจก็ตาม
เรามาเริ่มต้นด้วยคำอธิบายเกี่ยวกับพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยที่ปรากฎในเวบไซต์ข้อมูล タイの極値 ของญี่ปุ่น ระบุว่า พื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยภูเขา มีทิวเขาทอดยาวขนานกันในแนวเหนือ-ใต้ ไล่เรียงลงมาจากทิวเขาแดนลาวที่อยู่ทางตอนใต้ของทิวเขาฉาน (Shan hills) เริ่มจากตะวันตกสุดเป็นทิวเขาถนนธงชัยที่ทำหน้าที่แนวพรมแดนด้านตะวันตกของประเทศไทยกับเพื่อนบ้าน ระหว่างจังหวัดแม่ฮ่องสอนและแม่น้ำสาละวิน ต่อด้วยทิวเขาขุนตาน ทิวเขาผีปันน้ำ ไล่เลียงมาจนถึงด้านตะวันออกสุด ทิวเขาหลวงพระบาง ที่ทำหน้าที่พรมแดนกั้นราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
จากนั้นก็เป็นหนังสือชุด Atlas of Thailand - Spatial Structures and Development ที่มี Doryane Kermel-Torrès (2004) เป็นบรรณาธิการ ในหนังสือชุดนี้ได้บรรยายลักษณะภูมิประเทศของประเทศไทย พร้อมแสดงแผนที่ภูมิประเทศเอาไว้ด้วย ว่า ประเทศไทยครอบคลุมพื้นที่ ๕๑๓,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ในใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน ซึ่งเป็นแหลมของทวีปที่ยื่นออกไประหว่างมณฑลพื้นที่ของอินเดียและจีน และหันหน้าไปทางหมู่เกาะที่เป็นโลกของมาเลเซีย ลักษณะทางกายภาพของคาบสมุทรอินโดจีนโดยรวมเกิดจากการรวมตัวของเพลตแผ่นดินตั้งแต่ยุคเมโสโซอิก ความสูงต่ำของภูมิประเทศส่วนใหญ่แตกต่างกันไม่มากนัก คาบสมุทรนี้เปิดให้สามารถเข้าถึงได้ตั้งแต่ส่วนปลายสุดของทะเลจีนใต้ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ภาคพื้นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยความลึกของน้ำเพียง ๑๐ เมตรเท่านั้น ลักษณะสำคัญของโครงสร้างทางกายภาพของประเทศไทยเป็นเช่นเดียวกับทั่วทั้งคาบสมุทร คือ ด้านหนึ่งเป็นพื้นที่ที่โดยทั่วไปมีระดับความสูงไม่มากนัก (สูงไม่เกิน ๒๐๐ เมตร) และอีกทางหนึ่งเป็นพื้นที่ที่มีโครงสร้างภูเขาที่วางตัวโดดเด่นในแนวเหนือ-ใต้ เช่น ระบบโครงสร้างคล้ายกระดูกสันหลังของที่ราบสูงตะวันตก ได้แก่ เทือกเขาถนนธงชัย และเทือกเขาตะนาวศรี ที่วางตัวต่อเนื่องกัน และมีป่าทึบปกคลุมหนาแน่น ก่อตัวเป็นเขตชายแดนปิดล้อมประเทศเมียนมาร์ที่อยู่ห่างออกไปจากพื้นที่ด่านเจดีย์สามองค์และด่านสิงขร ส่วนที่เป็นพื้นที่แกนกลางของภูเขาเหล่านี้ ได้แก่ เทือกเขาหลวงพระบาง และเทือกเขาเพชรบูรณ์ ซึ่งทอดยาวลงไปเป็นคาบสมุทรมาเลย์ที่มีสันเขาปรากฎเป็นช่วงสั้นๆ วางตัวตามแนวยาว นอกจากนี้ ยังพบแนวทางนี้ในเส้นทางน้ำในลุ่มน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาและสาขาของลุ่มน้ำและในตอนกลางของแม่น้ำโขง
ทางตอนเหนือของประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ภูเขา ซึ่งภูเขาที่สูงที่สุดของประเทศ คือ ดอยอินทนนท์ (สูง ๒,๕๖๕ เมตร) เทือกเขาเหล่านี้เป็นการแบ่งส่วนกระจายออกมาเป็นส่วนขยายของพื้นที่ทางใต้ของมณฑลยูนาน มีโครงสร้างเป็นแถบเขาขนานวางตัวตามแนวลงมาจากเหนือไปใต้ มีสูงมากๆ ราว ๑,๕๐๐ เมตร พื้นที่มีป่าไม้ปกคลุมหนาแน่นทั้งบนเทือกเขาถนนธงชัยทางตะวันตก และเทือกเขาหลวงพระบางทางตะวันออก สลับกับหุบเขาที่มีรูปร่างยาว (ปิง วัง ยม และน่าน) ที่มีช่องเขาแคบและแอ่งระนาบรอยเลื่อนยุคเมโสโซอิกต่อเนื่องกัน ได้แก่ แอ่งเชียงใหม่ ลำปาง น่าน และเชียงราย ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของการเกษตรแบบที่มีระบบชลประทาน และศูนย์กลางเมืองหลักในท้องถิ่นด้วย
การบรรยายของ Doryane Kermel-Torrès (2004) ทำให้เห็นภาพของภูมิประเทศของพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศไทยบ้าง และยิ่งมีความชัดเจนมากขึ้นตามข้อมูลที่กรมทรัพยากรธรณี แสดงเอาไว้ในเวบไซต์ โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิประเทศของพื้นที่ภาคเหนือหรือบริเวณที่สูงทางภาคเหนือ (northern highland) ไว้ว่า มีภูมิประเทศที่ประกอบด้วยทิวเขา (mountain ranges) สูงสลับซับซ้อนต่อเนื่องกันหลายเทือก ส่วนใหญ่วางตัวอยู่ในแนวเหนือ-ใต้ และตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ มีความสัมพันธ์กับลักษณะธรณีวิทยาโครงสร้างของประเทศ และมีลักษณะสัณฐานเป็นแนวยาวติดต่อกับแนวเทือกเขาหิมาลัย รวมทั้งเทือกเขาในที่ราบสูงฉานและยูนาน ทิวเขาในบริเวณนี้ที่สำคัญ ได้แก่ ทิวเขาแดนลาว ทิวเขาถนนธงชัย ทิวเขาผีปันน้ำ และทิวเขาหลวงพระบาง เป็นต้น บริเวณที่อยู่ระหว่างทิวเขาเหล่านี้เป็นที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขา อันเป็นแหล่งกำเนิดของทางน้ำที่สำคัญหลายสายที่ไหลลงไปสู่ทางตอนใต้ของประเทศ
ขอบเขตของที่สูงทางภาคเหนือประกอบด้วยพื้นที่ภูเขาซึ่งมีอัตราส่วนที่สูงกว่าพื้นที่ราบประมาณ 4:1 ครอบคลุมพื้นที่บริเวณจังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง น่าน แพร่ และอุตรดิตถ์ ซึ่งขอบเขตทางทิศใต้จะเป็นพื้นที่รอยต่อกับที่ราบลุ่มภาคกลาง
ขอบเขตทางทิศตะวันออกจรดประเทศลาว มีทิวเขาหลวงพระบางกั้นพรมแดน ทิวเขานี้วางตัวทางตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ทอดผ่านลงมาทางใต้ในเขตจังหวัดพะเยา แพร่ น่าน และอุตรดิตถ์ ความยาวรวม ๕๙๐ กิโลเมตร ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นทิวเขาสูงและหุบเขาแคบๆ มีความลาดชันมาก และมีระดับความสูงมากกว่าภาคอื่นๆ ทิวเขานี้ปันน้ำส่วนหนึ่งลงสู่แม่น้ำโขงทางตะวันออก และปันน้ำลงสู่แม่น้ำยมและแม่นํ้าน่านทางตะวันตก
ทางด้านเหนือและตะวันตกของภาคเหนือจรดเขตประเทศพม่า โดยมีทิวเขาแดนลาวและทิวเขาถนนธงชัยกั้นพรมแดนทิวเขาเหล่านี้มียอดเขาจำนวนมากที่สูงกว่า ๒,๐๐๐ เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ทิวเขาแดนลาวมีความต่อเนื่องมาจากเทือกเขาสูงในประเทศพม่า ซึ่งในช่วงที่เป็นแนวกั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า มีความยาวประมาณ ๑๒๐ กิโลเมตร และทอดตัวลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ไปบรรจบกับทิวเขาถนนธงชัย ซึ่งเป็นทิวเขาที่อยู่ทางตะวันตกของภาคเหนือ ทิวเขาถนนธงชัยมีหลายส่วนประกอบกันและวางตัวซ้อนกันอยู่ในแนวเหนือ-ใต้จากด้านตะวันตกไปตะวันออก รวมความยาว ๘๘๐ กิโลเมตร เช่น ทิวเขาสุเทพ ทิวเขาจอมทอง ทิวเขาอินทนนท์ซึ่งมียอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย คือ ยอดดอยอินทนนท์ สูง ๒,๕๙๐ เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ความสูงของพื้นที่บริเวณนี้จะมีความสูงมากด้านเหนือและตะวันตก แล้วค่อยๆ ลดระดับต่ำลงสู่แอ่งที่ราบเชียงใหม่-ลำพูน
ตอนกลางของบริเวณนี้ ประกอบด้วยทิวเขามีลักษณะซับซ้อนเป็นสันยาวต่อเนื่องกันรวม ๓ ทิว มีความยาวทั้งหมด๔๑๒ กิโลเมตร ส่วนใหญ่วางตัวในแนวตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ เรียกว่าทิวเขาผีปันน้ำเพราะทำหน้าที่เป็นสันปันน้ำตามลักษณะความลาดชันของแนวสันเขา บังคับให้ไหลไปทางเหนือส่วนหนึ่ง ได้แก่ แม่น้ำฝาง กก จันและอิง เป็นต้น ซึ่งแม่น้ำเหล่านี้จะไหลลงสู่แม่น้ำโขงต่อไป และแบ่งส่วนให้น้ำไหลลงไปทางใต้อีกส่วนหนึ่ง ได้แก่ แม่น้ำปิง วัง ยม และน่าน ซึ่งแม่น้ำทั้งสี่สายนี้เป็นสาขาที่สำคัญของแม่น้ำเจ้าพระยา
บริเวณระหว่างแนวเขาเหล่านี้จะเป็นแอ่งที่ราบหุบเขา (valley plain) และที่ราบลุ่มริมน้ำ (fluvial plain) กระจายตัวอยู่ทั่วไปหลายแห่ง ซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งของชุมชนขนาดใหญ่ทางภาคเหนือ ที่สำคัญได้แก่ แอ่งเชียงรายบริเวณลุ่มแม่น้ำกกและแม่น้ำอิง แอ่งแพร่บริเวณลุ่มแม่น้ำยม แอ่งลำปางบริเวณลุ่มแม่น้ำวัง แอ่งเชียงใหม่-ลำพูน บริเวณลุ่มแม่น้ำปิงแอ่งปาย แอ่งฝาง เป็นต้น แอ่งต่างๆ เหล่านี้ทางด้านตะวันตกจะมีระดับความสูงมากกว่าด้านตะวันออก
คงได้เห็นกันแล้ว ว่าข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ที่ให้มากว้างๆ แบบนี้ ทำให้นึกภาพได้ว่า ภาคเหนือของประเทศเป็นอย่างไรมีชื่อทิวเขาที่อยู่ภายในพื้นที่ที่เชื่อมต่อกับทิวเขาที่อยู่นอกพื้นที่ เมื่อรับข้อมูลชุดนี้แล้วเข้ามาในเมมมอรี่แล้ว ก็พอเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ว่า ถ้าหากเราบังเอิญลงไปในพื้นที่จริงแถบรอยต่อระหว่างจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ หรือตาก ไปยืนเต๊ะท่าถ่ายรูปโพสต์ในโซเชียลมีเดียอวดเพื่อนๆ แล้วจะให้ข้อมูลสถานที่ตรงนั้นว่าอยู่มณฑลของทิวเขาอะไร เป็นทิวเขาแดนลาวหรือว่าทิวเขาถนนธงชัย หรือว่าทิวเขาตะนาวศรี อันนี้เห็นที่จะลำบากใจที่ระบุให้ชัดเจนได้ทั้ง accuracy และ precision หรือจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการสำรวจและพิสูจน์ทฤษฎีของตนเองในพื้นที่ที่อยู่ในมณฑลของทิวเขาที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ยากที่จะบ่งชี้ถึงเขตเริ่มต้นและเขตสิ้นสุด เอาให้ได้ทั้ง accuracy และ precision จะทำอย่างไรดี
มีหนังสือที่ทรงคุณค่าความรู้คู่วิชาภูมิศาสตร์ไทยเล่มหนึ่ง คือ “แผนที่ภูมิศาสตร์” ของทองใบ แตงน้อย (๒๕๔๖) หนังสือเล่มนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานคู่กับการเรียนรู้วิชาภูมิศาสตร์ของคนไทย ได้รับความนิยมจนต้องปรับปรุงแก้ไขและพิมพ์ซ้ำๆ นับตั้งแต่ปี ๒๕๒๐ จนมาถึงฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๔๐ ในปี ๒๕๔๖ ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับภูมิประเทศในพื้นที่ภาคของประเทศไทยว่า พื้นที่ภาคเหนือเป็นที่สูง มีภูเขาสลับซับซ้อนกันหลายเทือกเขา และให้ข้อมูลที่เป็นคำอธิบายเฉพาะรายชื่อภูเขา แม่น้ำ และการปกครอง จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่แผนที่ที่แสดง เพราะดูง่าย มีชื่อกำกับ และชัดเจน ใช้ประโยชน์ในการทำความเข้าใจพื้นที่เป็นการเบื้องต้นได้ดี แต่การนำไปใช้อ้างอิงสำหรับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา และโบราณคดี ที่ต้องการความถูกต้องของพิกัดที่ตั้งและแนวของเขตของพื้นที่ ผู้ใช้จะต้องหาแหล่งข้อมูลที่ละเอียดและถูกต้องมากกว่านี้
อย่างไรก็ดี ความละเอียดครบถ้วนมากขึ้นทั้งหมดทั้งมวล น่าจะปรากฎอยู่ในหนังสือ “ภูมิศาสตร์ประเทศไทย” ของศาสตราจารย์สวาท เสนาณรงค์ (๒๕๑๒) อันเป็นปฐมฤกษ์ของตำราภูมิศาสตร์ประเทศไทยฉบับที่เขียนโดยคนไทย หนังสืออันทรงคุณค่าเล่มนี้กล่าวว่า การจะศึกษาโครงสร้างและลักษณะภูมิประเทศของประเทศไทยให้เข้าใจได้ดี จะต้องทราบโครงสร้างทั่วไปของดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีลักษณะเป็นรูปพัดเสียก่อน โดยมีโคนพัดที่เป็นจุดรวมของภูเขา (Yunan knot) อยู่ทางเหนือในเขตมณฑลยูนาน จากจุดร่วมจะมีภูเขาแยกกระจายออกลงมาทางใต้สู่ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กินอาณาบริเวณจากตะวันตกสุดของพม่าถึงตะวันออกสุดของอินโดจีน รวมถึงดินแดนคาบสมุทรภาคใต้ ทั้งหมดมีทิวเขาแยกออกเป็น ๓ แนว ประกอบด้วย แนวเขาใหม่ทางตะวันตก แนวเขายุคพาลีโอโซอิกและเมโสโซอิกตอนกลาง และแนวเขายุคกลางเก่าทางตะวันออก
จากจุดรวมของภูเขาสูงในมณฑลยูนานที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน พบว่า โครงสร้างสำคัญที่เกี่ยวกับประเทศ คือ เทือกเขาแนวกลางที่ต่อเนื่องลงมาเป็นเทือกเขาทางเหนือและตะวันตก และต่อเนื่องจากลงไปทางคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศ ระหว่างทิวเขาเหล่านี้ มีที่ราบลุ่มยาวขนานจากเหนือมาใต้ เป็นบริเวณเพาะปลูกพืชสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะที่ราบลุ่มน้ำตอนกลาง ศาสตราจารย์สวาท เสนาณรงค์ พิจารณาโครงสร้างและลักษณะภูมิประเทศของประเทศไทยตามหลักการที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.โรเบิร์ต เพนเดิลตัน (๑๙๖๒) นำเสนอไว้ในหนังสือ Thailand: Aspects of Landscape and Life และดัดแปลงให้สอดคล้องกับเขตแดนของจังหวัดต่างๆ ทำให้แบ่งเขตโครงสร้างและภูมิประเทศออกเป็น ๕ เขต (ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเป็นฐานที่มาของการแบ่งเขตภูมิศาสตร์ประเทศไทย ของราชบัณฑิตสภา ๒๕๒๐) ประกอบด้วย ที่ราบลุ่มน้ำภาคกลาง ชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของอ่าวไทย ที่สูงภาคพื้นทวีป คาบสมุทรทางใต้ และที่ราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คัดลอกมาเฉพาะพื้นที่สูงภาคพื้นทวีป ศาสตราจารย์สวาท เสนาณรงค์ อธิบายไว้เป็น ๒ ส่วน คือ ทิวเขาและหุบเขาทางเหนือ และเทือกเขาและหุบเขาทางตะวันตก โดยมีรายละเอียดดังนี้
ก. ทิวเขาและหุบเขาทางเหนือ ได้แก่ บริเวณที่สูงและภูเขาทั้งหมดในภาคเหนือ ที่อยู่เหนือบริเวณที่ราบภาคกลางขึ้นไป ตั้งแต่ละติจูด ๑๘ องศาเหนือ จนสุดพรมแดนไทยด้านเหนือ กินอาณาบริเวณตั้งแต่จังหวัดแม่ฮ่องสอนทางตะวันตกเฉียงเหนือจนถึงจังหวัดน่านทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วยพื้นที่ของจังหวัดภาคเหนือ ๘ จังหวัด คือแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ตาก ลำพูน ลำปาง เชียงราย แพร่ และน่าน
บริเวณที่สูงทางภาคเหนือนี้ มีลักษณะเป็นภูเขาและหุบเขาสลับกันเป็นแนวยาวจากเหนือมาใต้ ภูเขาและหุบเขาเหล่านี้ต่อเนื่องจากบริเวณที่สูงในเขตมณฑลยูนานประเทศจีน และที่รายสูงฉานของพม่า จึงมีความสูงลดหลั่นลงมา ระดับสูงเฉลี่ยประมาณ ๑,๖๐๐ เมตร นับว่าเป็นบริเวณพื้นดินที่เฉลี่ยแล้วสูงสุดของประเทศ ทิวเขาและยอดเขาสูงๆ จะอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอนและในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ยอดเขาที่สูงที่สุด คือ ดอยอินทนนท์หรือดอยอ่างกาของทิวเขาจอมทองในจังหวัดเชียงใหม่ สูงถึง ๒,๕๗๖ เมตร (๘,๔๕๐ ฟุต) นับว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศไทย ความสูงจากบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือนี้ ค่อยลดต่ำลงเมื่อเข้าสู่บริเวณตอนกลาง และมาสูงขึ้นอีกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในเขตจังหวัดน่าน ยอดเขาที่สูงได้แก่ ทิวเขาแดนลาวที่ต่อเนื่องไปยังทิวเขาสูงของราชอาณาจักรลาว ยอดเขาสูงบริเวณนี้มีระดับความสูงเฉลี่ยถึง ๑,๘๐๐ เมตร เป็นทิวเขาที่เป็นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับราชอาณาจักรลาว บริเวณดังกล่าวนี้จึงเต็มไปด้วยทิวเขาสูง หุบเขา ลุ่มน้ำใหญ่ๆ มีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย ลำน้ำที่ไหลผ่านจะขัดเซาะแผ่นดินสองข้างให้เป็นหุบเหวลึก แสดงถึงลักษณะของการดันตัวของแผ่นดินในยุคหลัง
บริเวณที่สูงทางภาคเหนือนี้ เป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำสำคัญ ๔ สายของประเทศไทย คือ แม่น้ำปิ วัง ยม และน่าน ที่ปันน้ำส่วนใหญ่สู่บริเวณที่ราบภาคกลางที่อยู่ใต้ลงมา และยังปันน้ำส่วนน้อยสู่ลุ่มน้ำโขงทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืออีกด้วย คือ แม่น้ำอิง และกก
บริเวณหุบเขาระหว่างที่สูงที่แม่น้ำเหล่านี้ไหลผ่านจะเกิดที่ราบดินตะกอนแคบๆ เพราะน้ำพาโคลนตมจากไหล่เขามาทับถม เป็นบริเวณที่มีดินอุดมสมบูรณ์ เหมาะในการเพาะปลูกอย่างมาก ที่ราบเหล่านี้จึงกลายเป็นบริเวณสำคัญของภาคเหนือ เป็นแหล่งที่มีประชากรอยู่หนาแน่น เป็นที่ตั้งของเมืองสำคัญหลายเมือง เช่น ที่ราบลุ่มน้ำปิง มีเมืองเขียงใหม่ตั้งอยู่ (สูง ๓๑๔ เมตร เหนือระดับน้ำทะเล) เป็นที่ราบกว้างขวางกว่าที่ราบอื่นๆ ในบริเวณนี้ ในลุ่มน้ำน่านมีเมืองทุ่งช้าง เมืองปัว เมืองวิม และที่สำคัญคือ เมืองน่าน เมืองแพร่ (สูง ๑๕๗ เมตร) ในลุ่มน้ำวังมีเมืองลำปาง (สูง ๒๔๓ เมตร) เป็นเมืองสำคัญ
ส่วนลุ่มน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงทางตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นแม่น้ำสายสั้นๆ ไหลเชี่ยว ที่สำคัญคือแม่น้ำอิง มีเมืองเถิงและเมืองเชียงของตั้งอยู่ และลุ่มน้ำกกมีเมืองยางและเมืองเชียงราย (สูง ๑๕๗ เมตร) เป็นเมืองสำคัญ ส่วนเมืองที่ตั้งอยู่ในลุ่มน้ำโขงของบริเวณนี้โดยตรง ได้แก่ เมืองพาน เมืองพะเยา แม่น้ำอิงและแม่น้ำกกนี้ ไหลลงลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแนวพรมแดนที่กั้นอยู่ระหว่างประเทศไทยกับราชอาณาจัดรลาว เป็นแม่น้ำสายสั้นๆ จึงมีความสำคัญน้อยกว่าแม่น้ำที่ไหลลงสู่ที่ราบภาคกลาง
ข. เทือกเขาและหุบเขาทางตะวันตก
เทือกเขานี้ประกอบด้วยทิวเขายาวต่อเนื่องเรียงซ้อนกันหลายทิว เป็นเมือกเขาแนวเดียวกับเทือกเขาแนวกลางของภูมิประเทศรูปพัดของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กั้นพรมแดนระหว่างไทยกับพม่าตลอดแนวลงไปจนถึงทิวเขาที่เป็นแกนหรือกระดูกสันหลังของคาบสมุทรภาคใต้ ต่อลงไปจนถึงแดนมลายู
เทือกเขาตะวันตกนี้ประกอบด้วยทิวเขาสำคัญ ๒ ทิว คือ ทิวเขาถนนธงชัยในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก และทิวเขาตะนาวศรีในเขตจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี เทือกเขาเหล่านี้มีอายุกลางเก่าทางธรณีวิทยา คือ มหายุคพาลีโอโซอิก ได้ผ่านการสึกกร่อนมาย้างในสมัยหลัง แต่ยังไม่ลดต่ำลงมามากนัก ยังมีแนวให้เห็นจากเหนือมาใต้ ถึงแม้จะอยู่ในบริเวณที่มีฝนตกชุด มีป่าไม้ขึ้นตลอดปี แต่ความสูงของป่าเขาไม่เป็นอุปสรรคสำคัญในการติดต่อระหว่างชาวไทยและพม่า เพราะมีช่องเขาหรือด่านใช้เป็นช่องทางติดต่อค่าขาย หรือการยกทัพเข้าสูดินแดนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ด่านสำคัญเหล่านี้ได้แก่ ด่านแม่สอด (จังหวัดตาก) ด่านเจดีย์สามองค์ (จังหวัดกาญจนบุรี) ทิวเขาตะนาวศรีประกอบด้วยทิวเขาย่อยๆ สามทิวด้วยกัน ระหว่างทิวเขาเหล่านี้มีหุบเขาลุ่มน้ำแควน้อยและแควใหญ่ที่ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำแม่กลองที่จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และสู่อ่าวไทยที่จังหวัดสมุทรสงคราม
เทือกเขาตะวันตกนี้มีสันเขาเป็นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับพม่า แบ่งสันปันน้ำออกเป็น ๒ ทาง คือ พวกที่ไหลลงสู่ประเทศสหภาพพม่าทางด้านตะวันตก และลงสู่ที่ราบภาคกลางของไมยทางด้านตะวันออก แม่น้ำสำคัญที่สุดที่ถือกำเนิดจากทิวเขาตะนาวศรี คือ แม่น้ำแม่กลองดังกล่าวมาแล้ว ส่วนลุ่มน้ำทางด้านตะวันตกสู่แดนพม่าเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ ไหลลงสู่อ่าวเมาะตะมะ
หนังสือสำคัญอีกเล่มหนึ่ง ที่ทรงคุณค่ามากอีกเล่มหนึ่งสำหรับการอ้างอิงสำหรับการศึกษาด้านต่างๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ คือ หนังสือ “ภูมิศาสตร์กายภาพภาคเหนือของประเทศไทย” ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นวลศิริ วงศ์ทางสวัสดิ์ (๒๕๓๔) ภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หนังสือเล่มนี้ได้รับการนำไปอ้างอิงในงานวิจัยของนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา และโบราณคดี จำนวนมาก แต่เสียดายว่า ยังไม่มีการเผยแพร่ออนไลน์ให้ได้เรียนรู้กัน
นอกจากนี้แล้ว วิกิพีเดียไทย ยังได้นำเสนอข้อมูลทิวเขาถนนธงชัยเอาไว้น่าสนใน เพราะมีการอ้างอิงฐานข้อมูลจากเอกสารที่น่าเชื่อถือ ๒ ฉบับ Avijit Gupta (๒๐๐๕) The Physical Geography of Southeast Asia, Oxford University Press. และ Wolf Donner (๑๙๗๘) The Five Faces of Thailand, Institute of Asian Affairs, Hamburg. โดยระบุว่า ทิวเขาถนนธงชัย เป็นแนวทิวเขาทางด้านตะวันตกของภาคเหนือ เริ่มจากจุดที่บรรจบกับทิวเขาแดนลาว ทอดตัวเป็นแนวยาวลงมาทางตอนล่างของภาค แบ่งออกเป็น ๓ แนว ได้แก่ ทิวเขาถนนธงชัยตะวันตก ทิวเขาถนนธงชัยกลาง และทิวเขาถนนธงชัยตะวันออก พร้อมนี้วิกิพีเดียไทยยังนำเสนอแผนที่ที่ทำให้มองเห็นแนวทิวเขาสำคัญทุกแนว และลำน้ำสายหลักที่ไหลลงไปตามร่องเขาแต่ละแนว ซึ่งถือว่าชัดเจนมาก
ก. ทิวเขาถนนธงชัยตะวันตก หรือ ทิวเขาดอยมอนกุจู หรือ ทิวเขาดอนะ (ภาษาพม่า) เป็นแนวพรมแดนธรรมชาติระหว่างไทยกับพม่า ตั้งแต่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน จนถึงอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก รวมความยาว หลายกิโลเมตร ยอดเขาสำคัญ เช่น ยอดเขาโมโกจู (ความสูง ๑,๙๖๔ เมตร) ในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ (บริเวณอำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร)
ข. ทิวเขาถนนธงชัยกลาง หรือ ทิวเขาดอยปางเกี๊ยะ เป็นแนวกลางระหว่างแม่น้ำแจ่ม กับแม่น้ำปิง ทางตะวันออกของแม่น้ำยวม และทางทิศตะวันตกแม่น้ำเมย เป็นแนวแบ่งเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดเชียงใหม่ มีความยาวจากแม่น้ำปาย ถึงช่องเจดีย์สามองค์ และมีความกว้างจากลำน้ำเมยจนจดลำน้ำปิง มีบางส่วนข้ามลำน้ำปิงไปทางตะวันออก จนถึงแม่น้ำลี้ ทำให้ลำน้ำปิงบริเวณจากอำเภอฮอดถึงอำเภอสามเงา เป็นโกรกเขาและเกาะแก่งโดยตลอด ทิวเขาเริ่มจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน ผ่านจังหวัดตาก มาถึงพื้นที่ระหว่างแม่น้ำแควน้อยกับแควใหญ่ และไปบรรจบกับทิวเขาตะนาวศรี ในอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี รวมความยาวประมาณ ๘๘๐ กิโลเมตร ยอดเขาสำคัญ เช่น ดอยช้าง (ความสูง ๑,๙๖๒ เมตร) ดอยแม่ยะ (ความสูง ๒,๐๐๕ เมตร) ในอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง (บริเวณอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่)
ค. ทิวเขาถนนธงชัยตะวันออก หรือ ทิวเขาอินทนนท์ ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำแจ่มกับแม่น้ำปิง ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ตอนกลางจังหวัดเชียงใหม่ รวมความยาวประมาณ ๒๒๕ กิโลเมตร มียอดเขาสูงและสำคัญ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไม่มากนัก เช่น ดอยอินทนนท์ (ความสูง ๒,๕๖๕ เมตร) ดอยผ้าขาว (ความสูง ๑,๙๐๐ เมตร) ในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ (บริเวณอำเภอจอมทองและอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่), ดอยสุเทพ (ความสูง ๑,๖๗๖ เมตร) ในอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย (บริเวณตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่)
ทิวเขาถนนธงชัยทั้ง ๓ แนว ก่อให้เกิดแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำปาย ยวม เมย แม่ตื่น แม่แจ่ม เป็นต้น
อีกทั้งหนังสือชุด “แผนที่ความรู้ท้องถิ่นไทย ภาคเหนือ” ของผู้ช่วยศาสตราจารย์กวี วรกวิน (๒๕๔๗) เป็นชุดความรู้ทางภูมิศาสตร์บนแผนที่ที่ได้รับความนิยมนำไปอ้างอิงในการจัดการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานและหน่วยงานต่างๆ ที่ต้องการระบุตำแหน่งที่ตั้งและขอบเขตพื้นที่ให้น่าเชื่อถือตามหลักการทางภูมิศาสตร์มากที่สุดแห่งหนึ่ง กล่าวถึงภูมิประเทศที่สำคัญทางภาคเหนือในส่วนที่เป็นเทือกเขาและทิวเขาเอาไว้ว่า ภาคเหนือได้ชื่อว่าเป็นผืนแผ่นดินที่มีเทือกเขาสลับซับซ้อนมากที่สุดของประเทศไทย พื้นดินมากกว่าร้อยละ ๒๐ เป็นพื้นที่ภูเขาและไหล่เขา ซึ่งจัดตัวอยู่ในรูปของเทือกเขาที่วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ เช่น เทือกเขาถนนธงชัย แดนลาว หลวงพระบาง และผีปันน้ำ แต่ละเทือกเขาจะมีสันเขาหลายทิว ในแต่ละทิวเขามียอดเขาหลายยอด ซึ่งบางครั้งเรียกว่า “ดอย” บ้าง “ม่อน” บ้าง ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย คือ ดอยอินทนนท์ สูง ๒,๕๙๐ เมตร อยู่ในเทือกเขาถนนธงชัย เขตอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
ภูเขาสูงในเขตภาคเหนือมีความสำคัญในฐานะเป็นต้นน้ำลำธารของแม่น้ำสายสำคัญๆ ที่ไหลลงสู่ลุ่มน้ำต่างๆ ได้แก่ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำโขง และลุ่มน้ำสาละวิน นอกจากนี้บนเทือกเขายังปกคลุมด้วยพืชพรรณธรรมชาติ เป็นผลทำให้ภาคเหนือมีพื้นที่ป่าไม้มากกว่าภาคอื่นๆ ป่าไม้และพืชพรรณที่อยู่บนภูเขาสูงเหล่านี้ ช่วยเป็นแกนจับเมฆในบรรยากาศให้รวมตัวกันเป็นหยดน้ำลงสู่พื้นดิน และซึมซาบจากไหล่เขาลงสู่ห้วยบริเวณร่องหุบเขา และไหลลงสู่แม่น้ำสายใหญ่ในแอ่งที่ราบต่อไป ภูเขาสูงทางภาคเหนือนอกจากเป็นต้นน้ำลำธารแล้ว ยังเป็นแหล่งวัตถุต้นกำเนิดดินอันอุดมสมบูรณ์ เคลื่อนย้ายลงมาทับถมเป็นดินในแอ่งที่ราบต่างๆ
มาถึงตรงนี้ ขอแทรกสารที่สื่อมาจากราชบัณฑิตสภาเกี่ยวกับ “ทิวเขา” และ “เทือกเขา” นิดหนึ่ง เพราะผู้เขียนได้ปรับเปลี่ยนคำว่า “เทือกเขา” บางจุดในหนังสือที่นำมาอ้างให้เป็นคำว่า “ทิวเขา” ซึ่งอาจทำให้ขัดใจผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานที่นำมากล่าวอ้างอยู่บ้าง ด้วยดูเขียนผิดไม่ตรงกับต้นฉบับ จึงขอทำความเข้าใจก่อนจะไปต่อนิดหนึ่งตรงนี้ว่า เรื่อง “ภูเขา ทิวเขา และเทือกเขา” นั้น มีรายงานปรากฎในเวบใซต์ของราชบัณฑิตสภาระบุว่า ครั้งหนึ่งในการประชุมคณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์ธรณีวิทยา (วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๑) ที่ประชุมได้อภิปรายเรื่องการพิจารณาศัพท์ คำว่า range ซึ่งมีความหมายหนึ่งเป็นแนวภูเขาที่ต่อเนื่องเป็นพืด ว่าควรจะบัญญัติศัพท์เป็น “ทิวเขา” หรือ “เทือกเขา” ในที่สุดก็ได้ข้อยุติว่าให้ใช้ได้ทั้ง ๒ คำ ด้วยเหตุผลที่ทั้ง ๒ คำมีความหมายเหมือนกันและใช้แทนกันได้นั่นเอง สำหรับในทางภูมิศาสตร์แม้ว่าทั้งสองคำจะใช้แทนกันได้ แต่หนังสืออักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย จะใช้คำว่า “ทิวเขา” กับชื่อภูเขาต่างๆ ในประเทศไทย เนื่องจากมีความสูงใหญ่ไม่มากนัก เช่น ทิวเขาภูพาน ทิวเขาถนนธงชัย ทิวเขาแดนลาว และใช้คำว่า “เทือกเขา” กับภูเขาที่มีขนาดสูงใหญ่มากๆ เช่น เทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาฮินดูกูช ทั้งนี้เพื่อแสดงความแตกต่างด้านขนาด สำหรับคำว่า “ภูเขา” พจนานุกรมศัพท์ภูมิศาสตร์ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พิมพ์ครั้งที่ ๔ อธิบายว่า เป็นพื้นที่ที่มีระดับสูงขึ้นจากบริเวณรอบๆ ตั้งแต่ ๖๐๐ เมตรขึ้นไป โดยมีส่วนยอดเล็กกว่าส่วนฐานมาก และมีความลาดชันสูง ในภาษาอังกฤษตรงกับคำว่า mountain
กลับเข้าเรื่องพื้นที่สูงภาคเหนือของประเทศไทยกันดีกว่า เพื่อระบุตำแหน่งและมณฑลครอบคลุมของทิวเขาสำคัญๆ ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย อันจะเป็นประโยชน์ต่อการอ้างอิงได้อย่างถูกต้อง เบื้องต้นสามารถตรวจสอบได้ใน “อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย” ที่เป็นหนังสือที่ราชบัณฑิตยสถานจัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมรายชื่อภูมิศาสตร์ที่มีอยู่ในท้องถิ่นต่างๆ ของประเทศไทย รวมทั้งลักษณะทั่วไปทางภูมิศาสตร์ครอบคลุมลักษณะภูมิศาสตร์ทั้งทางด้านกายภาพ ทรัพยากรธรรมชาติ การคมนาคม การปกครอง และประวัติความเป็นมา มีแผนที่และภาพประกอบมาจัดทำคำอธิบายในรูปแบบของอักขรานุกรม (เรียงชื่อตามตัวอักษร)
ทั้งนี้ ทิวเขาถนนธงชัย ที่เป็นแนวต่อเนื่องลงมาจากทิวเขาด้านเหนือบนเพลตฉาน-ไทย ทิวเขานี้สากลเขาเรียกว่า Dawna range ในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย ที่สามารถตรวจสอบได้แบบออนไลน์ใน http://legacy.orst.go.th เรียกว่าทิวเขาถนนธงชัย ข้อมูลระบุว่ามี ๔ แนวด้วยกัน คือ ถนนธงชัยกลาง ถนนธงชัยตะวันตก ถนนธงชัยตะวันออก และถนนธงชัยเหนือ และมีรายละเอียดของแต่ละแนวของทิวเขาถนนธงชัย ดังนี้
ก. ถนนธงชัยเหนือ เป็นทิวเขา ต่อเนื่องจากทิวเขาแดนลาวไปทางทิศตะวันตก ตามแนวเส้นแบ่งเขตแดนไทย-พม่า ใน อ.ปาย และ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน จนถึงจุดที่เส้นแบ่งเขตแดนไทย-พม่า หักลงไปทางทิศใต้ ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือสุดของ อ.ปางมะผ้า รวมยาวประมาณ ๖๕ กม. ยอดสูงสุดชื่อ ดอยหลวง สูง ๑,๙๓๑ ม. นอกจากนี้ ยังมีทิวเขาสำคัญ คือ ๑. ดอยหลักแต่ง (๑,๕๓๐ ม.) ๒. ดอยตอก (๑,๒๗๐ ม.)
ข. ถนนธงชัยตะวันตก เป็นทิวเขา ต่อเนื่องจากทิวเขาถนนธงชัยเหนือที่จุดด้านตะวันตกเฉียงเหนือสุดของ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ทอดยาวลงไปทางทิศใต้ตามแนวเส้นเขตแดนไทย-พม่าในเขต อ.ขุนยวม อ.แม่ลาน้อย และอ.แม่สะเรียง จากนั้นแยกออกเป็น ๒ แนว แนวหนึ่งหักไปทางทิศตะวันตกตามแนวเส้นเขตแดนไทย-พม่า ในเขต อ.แม่สะเรียง ไปสิ้นสุดทิวเขาที่ใกล้ดอยผาตั้ง บนฝั่งแม่น้ำสาละวิน อีกแนวหนึ่งลงไปทางใต้ตามเส้นแบ่งเขต อ.แม่สะเรียง กับอ.แม่ลาน้อย ไปสิ้นสุดที่ อ.สบเมย กับ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน รวมยาวประมาณ ๓๑๘ กม. ยอดสูงสุดชื่อ ดอยตองมอก สูง ๑,๘๖๐ ม. นอกจากนี้ ยังมีเขาสำคัญ คือ ๑. ดอยเหลียง (๑,๒๑๔ ม.) ๒. ดอยลาน (๑,๐๖๐ ม.) ๓. ดอยขุนห้วยเดื่อ (๑,๐๐๐ ม.)
ค. ถนนธงชัยตะวันออก เป็นทิวเขา แยกจากทิวเขาถนนธงชัยเหนือ ที่จุดเชื่อมต่อระหว่างทิวเขาถนนธงชัยเหนือกับทิวเขาแดนลาว ตรงเส้นแบ่งเขต อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ กับ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ทอดยาวลงไปทางทิศใต้ จนไปสิ้นสุดทิวเขาที่เส้นแบ่งเขต อ.แม่แจ่ม กับ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เป็นทิวเขาที่มียอดสูงเป็นจำนวนมาก รวมทั้งดอยอินทนนท์ (๒,๕๘๐ ม.) ซึ่งเป็นยอดสูงที่สุดในประเทศ รวมยาวประมาณ ๒๕๐ กม. นอกจากนี้ยังมีมีเขาสำคัญ คือ ๑. ดอยฮิต (๑,๖๗๐ ม.) ๒. ดอยห้วยเมี่ยง (๑,๗๖๙ ม.) ๓. ดอยช้าง (๑,๙๖๑ ม.) ๔. ดอยแม่ยะ (๑,๙๔๖ ม.) ๕. ดอยผาแง่ม (๑,๘๑๙ ม.)
ขณะที่ทิวเขาแดนลาวที่ปรากฎในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย ซึ่งค้นพบคำๆ นี้ พร้อมรายละเอียดเอาไว้ว่า เป็นทิวเขา ทอดตัวไปตามแนวเส้นแบ่งเขตแดนไทย-พม่า ในเขต จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ เริ่มจากบริเวณทางตะวันออกของน้ำแม่สาย ใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ไปทางทิศตะวันตก ผ่าน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงรายอ.แม่อาย อ.ฝาง อ.เชียงดาว และ อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ไปสิ้นสุดทิวเขาที่ตรงเส้นแบ่งเขต อ.เวียงแหงจ.เชียงใหม่ กับ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน รวมยาวประมาณ ๒๖๒ กม. ยอดสูงสุดชื่อ ดอยหลักแต่ง สูง ๑,๘๖๖ ม. นอกจาก นี้ยังมีเขาที่สำคัญ คือ ๑. ดอยตุง (๑,๔๑๐ ม.) ๒. ดอยผ้าห่มปก (๑,๔๔๓ ม.) ๓. ดอยอ่างขาง (๑,๙๑๘ม.) ๔. ดอยช้างมูบ (๑,๕๐๔ ม.
สำหรับทิวเขาผีปันน้ำที่ปรากฎในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย ซึ่งค้นพบคำๆ นี้ โดยมีรายละเอียดว่า เป็นทิวเขาที่มีลักษณะซับซ้อน เชื่อมต่อกันเป็นโครงข่ายอยู่ทางซีกตะวันออกของภาคเหนือ ที่เรียกชื่อว่าทิวเขาผีปันน้ำ เพราะทิวเขานี้เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำหลายสายในภาคเหนือ ซึ่งไหลแยกไปในทิศทางตรงกันข้ามกัน ได้แก่ แม่น้ำปิง วัง ยม และน่าน ไหลลงทางทิศใต้ เป็นแควของแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำลาว แม่น้ำกก และแม่น้ำอิง ซึ่งไหลขึ้นไปทางทิศเหนือ ลงสู่แม่น้ำโขง รวมยาวประมาณ ๔๗๕ กม. ยอดสูงสุดชื่อ ดอยผีปันน้ำ สูง ๑,๘๕๔ ม. นอกจากนี้ ยังมีเขาสำคัญ คือ ๑. ดอยขุนแม่ต๋ำหลวง (๑,๖๘๐ ม.) ๒. ดอยแม่โก (๑,๗๖๗ ม.) ๓. ดอยภูลังกา (๑,๗๔๔ ม.) ๔. ดอยจี๋ (๑,๗๖๖ ม.)
และทิวเขาหลวงพระบางที่ปรากฎในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย ซึ่งค้นพบคำๆ นี้ พร้อมรายละเอียดว่า เป็นทิวเขา อยู่ทางตะวันออกสุดของภาคเหนือ เป็นแนวแบ่งเขตแดนไทย-ลาว ในเขต จ.เชียงราย จากนั้นผ่านเข้าไป จ.พะเยา จ.น่าน และ จ.อุตรดิตถ์ แล้วไปสิ้นสุดทิวเขาที่เส้นแบ่งเขต อ.ชาติตระการ กับ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก รวมยาวประมาณ ๕๐๕ กม. ยอดสูงสุดชื่อ ภูเข้ สูง ๒,๐๘๒ ม. นอกจากนี้ ยังมีเขาสำคัญ คือ ๑.ภูชี้ฟ้า (๑,๖๒๕ ม.) ๒. ดอยผีปันน้ำ (๑,๘๓๐ ม.) ๓. ภูสอยดาว (๑,๖๓๙ ม.) ๔. ดอยขุนน้ำแปด (๑,๗๐๒ ม.) ๕. ดอยภูฟ้า (๑,๖๗๐ ม.) ๖. ดอยหลักหมื่น (๑,๔๖๔ ม.)
ตามข้อมูลที่เวบไซต์ของราชบัณฑิตยสภาให้ไว้จากการสืบค้นในส่วนของอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทยด้วยคำนามตามที่เวตไซต์ให้คำแนะนำ ดังกล่าวข้างบนนี้ จะเห็นได้ถึงการระบุพื้นที่ ทิศทาง ระยะทาง และตำแหน่งที่มีความถูกต้อง และมีความสอดคล้องกับนามของสถานที่ตามลักษณะการปกครอง เอาไว้ชัดเจน ผู้ใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวถึง กำหนดพื้นที่ศึกษา บรรยายลักษณะพื้นที่ หรือประโยชน์อื่นๆ สามารถนำไปใช้ได้เลย ดังตัวอย่างของคอร์สเรียนออนไลน์รายวิชาภูมิศาสตร์ประเทศไทยของวิทยาลัยนานาชาติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และแผนที่ที่ปรากฎในรายงานการวิจัยของอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
สำหรับแผนที่แสดงภูมิประเทศที่สามารถระบุชื่อและตำแหน่งทิวเขาหลักๆ ของพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยนั้น เท่าที่ตรวจสอบแบบเร็วๆ เห็นว่าแผนที่ประเทศไทยในคอร์สเรียนออนไลน์รายวิชา “ภูมิศาสตร์ประเทศไทย” ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สตีเวน มาร์ติน วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แสดงแผนที่ประเทศไทยที่มีแนวทิวเขาแดนลาวที่อยู่ทางทิศเหนือ ทิวเขาหลวงพระบางที่อยู่ทางทิศตะวันออก และทิวเขาถนนธงชัยอยู่ทางทิศตะวันตกของพื้นที่ภาคเหนือเอาไว้ได้อย่างถูกต้อง สวยงาม และชัดเจนดี เช่นเดียวกับแผนที่ของวิกิพีเดียไทย และแผนที่ของผู้ช่วยศาสตราจารย์กวี วรกวิน ซึ่งทั้งหมดนี้มีความสอดคล้องกับข้อมูลที่แสดงในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทยที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น
รวมถึงแผนที่ที่ปรากฎในรายงานการวิจัย เรื่อง “Phylogenetic analyses of distantly related clades of bent‑toed geckos (genus Cyrtodactylus) reveal an unprecedented amount of cryptic diversity in northern and western Thailand” ที่พิมพ์เผยแพร่ในวารสารที่ได้รับการยอมรับระดับนานาชาติ nature ของรองศาสตราจารย์ ดร.สิริวดี ชมเดช คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะ (๒๐๒๑) เป็นการศึกษาการกระจายของตุ๊กแกแต่ละสายพันธุ์ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศไทย รายงานฉบับนี้ทำแผนที่แสดงพื้นที่ศึกษาในเขตมณฑลครอบคลุมของทิวเขาหลักในเขตภาคเหนือและตะวันตกของประเทศไทย ประกอบด้วย ทิวเขาแดนลาวอยู่เหนือสุด ทิวเขาผีปันน้ำอยู่ทางตะวันออก ต่อมาเป็นทิวเขาขุนตาล และทิวเขาถนนธงชัยอยู่ตะวันตกสุด ทั้งนี้ “ด้านเหนือ” ของจังหวัดเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน มีพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างทิวเขาแดนลาวกับทิวเขาถนนธงชัย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่แสดงในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทยที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น
ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์มีความเป็นสหวิทยาการ หรือ interdisciplinary มากขึ้น จนแทบแยกไม่ออกและระบุตัวตนของวิชาได้ยาก วิชาภูมิศาสตร์ได้ที่ชื่อว่าเป็น mother of sciences หมายความว่า วิทยาศาสตร์และศาสตร์ทั้งหลายทั้งปวงล้วนแตกหน่อแตกแขนงออกไปจากวิชาภูมิศาสตร์ทั้งสิ้น และก็หมายความว่า วิทยาการต่างๆ ล้วนยึดโยงอยู่กับวิชาภูมิศาสตร์ด้วยกันทั้งหมด ดังนั้น การกล่าวถึงพื้นที่ สถานที่ ตำแหน่งที่ตั้ง ขอบเขตพื้นที่ อาณาบริเวณพื้นที่ เส้นแบ่งเขต หรืออะไรต่างๆ อีกมากมาย ควรจะต้องกล่าวถึงหรืออ้างถึงให้ถูกต้อง ทั้ง accuracy และ precision เพราะนอกจากความถูกต้องจะทำให้งานชิ้นนั้นมีความน่าเชื่อถือแล้ว ยังเป็นการให้เกียรติกับศาสตร์แม่ที่มีหน้าที่รับผิดชอบสร้างสรรค์และพัฒนาการความรู้เหล่านี้ออกมาสู่สาธารณชน
หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมวิชาภูมิศาสตร์สร้างสรรค์และพัฒนาองค์ความรู้เพื่อตอบสนองสังคมอุตสาหกรรม ภูมิศาสตร์สมัยนั้นทำการศึกษาเชิงพื้นที่บน 4 กรอบใหญ่ (geography four traditions) ตามข้อเสนอของวิลเลียม แพทติสัน (William Pattison ๑๙๖๔) อันประกอบด้วย ความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ (spatial interaction) การศึกษาพื้นที่ (area studies) การศึกษาความสัมพันธ์ของมนุษย์กับที่ดิน (man-land relationships) และวิทยาศาสตร์โลก (earth science) อีกทั้งผลการศึกษารวมรวมข้อมูลภายใต้กรอบการศึกษาพื้นที่ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก ยังถูกนำมาใช้อย่างเข้มข้นสำหรับกิจการทหารของสัมพันธมิตร นาซี ญี่ปุ่น และอิตาลี ในช่วงสงครามโลก ข้อมูลภูมิประเทศ ประชากร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ของดินแดนส่วนต่างๆ ของโลก กลายมาเป็นตำราเรียนวิชาภูมิศาสตร์ให้กับชั้นเรียนต่างๆ ทั่วโลก
ช่วงสงครามเย็นภูมิศาสตร์ศึกษาเชิงพื้นที่ 5 สาระสำคัญ หรือ geography five themes ที่นำเสนอโดยโนโตลิ และคณะ (Notoli, Boehm, Kracht, Lanegran, Monk and Morrill ๑๙๘๔) ที่เป็นคณะทำงานร่วมระหว่างสภาการศึกษาเพื่อการศึกษาภูมิศาสตร์กับสมาคมนักภูมิศาสตร์อเมริกัน เพื่อสร้างเป็น guidelines for geographic education: elementary and secondary schools ประกอบด้วย การเคลื่อนย้าย (movement) ภูมิภาค (region) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม (human-environment interaction) ทำเลที่ตั้ง (location) และสถานที่ (place) ให้กับการศึกษาในระบบ และได้รับการยอมรับทั่วโลก ทำให้การอธิบายเกี่ยวกับพื้นที่มีความละเอียดมากขึ้นทั้งในพื้นที่สัมบูรณ์และพื้นที่สัมพัทธ์ คุณลักษณ์เชิงพื้นที่ที่เคยอธิบายไว้แต่ยังไม่ละเอียดพอ ก็ได้รับการศึกษาและอธิบายให้ละเอียดมากขึ้น พื้นที่ส่วนไหนของโลกที่ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ก็มีเทคโนโลยีการสำรวจด้วยภาพถ่ายทางอากาศและข้อมูลภาพจากดาวเทียม เข้าไปช่วยศึกษาและอธิบายอย่างละเอียด
มาถึง ณ ปัจจุบัน เป็นเวลาที่ผ่านเข้าสู่ศตวรรษที่ ๒๑ มากว่าสองทศวรรษแล้ว ประเด็นเรื่อง “การมีความรู้ภูมิศาสตร์ หรือ geoliteracy” ยังคงถือว่ามีความสำคัญมากๆ และมีความครอบคลุมทั้งเนื้อหาสาระ ทักษะจำเป็น และการใช้ประโยชน์ให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนจากยุคแบ่งงานกันทำสู่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ทำงานแทน ดาเนียล เอเดลสัน (Daniel Edelson ๒๐๑๒) จึงได้นำเสนอ “การมีความรู้ภูมิศาสตร์” ว่าเป็นการมีความรู้ความเข้าใจ (รวมถึงมีทักษะด้วย) เกี่ยวกับสารัตถะภูมิศาสตร์ที่จะเป็นภูมิปัญญาฝังติดตัวติดตนทุกคน เป็นปัญญาพื้นฐานของวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ ที่ใช้ศึกษาแอบอิงกับภูมิศาสตร์ และเป็นปัญญาเฉพาะทางของผู้ที่มุ่งมั่นให้ความสนใจศาสตร์ทางพื้นที่ ที่จะนำไปเป็นฐานการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งในรูปแบบที่สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติของพื้นที่นั้นๆ กับรูปแบบที่เป็นการแทรกแซงให้เหมาะสมกับเจตนาในการที่จะมีความเป็นอยู่ที่ดีในสถานที่มีเสรีภาพในการอยู่อย่างปลอดภัย มีสิ่งจำเป็นพื้นฐานรองรับการเป็นอยู่/เติบโต/ดำรงเผ่าพันธุ์ มีความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม และมีสิทธิในการเลือกสิ่งที่ปรารถนา โดยมีกรอบการมีความรู้ภูมิศาสตร์ ๓ ประการ คือ จะต้องรู้ว่าโลกทำงานอย่างไร โลกเชื่อมโยงกันอย่างไร และจะตัดสินใจเกี่ยวกับโลกบนการมีเหตุผลที่ดีเหมาะสมได้อย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น