หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

แผนที่กับงานศิลปะ

 การทำแผนที่กับงานศิลปะ

การตัดกันระหว่างศิลปะและการทำแผนที่นั้น ไปไกลเกินกว่าแนวคิดของการออกแบบและการวาดภาพประกอบ เนื่องจากการทำแผนที่มีมิติทางวัฒนธรรม สังคม และการเมือง ที่หลากหลายอยู่เสมอ เมื่อพิจารณาจากมุมมองที่กว้างขึ้นต่อไปนี้จะนำเสนอการทบทวนจุดตัดร่วมสมัยที่แตกต่างกันเหล่านี้ โดยการสำรวจความสัมพันธ์หลักสามประการ คือ 1) การทำแผนที่ที่ได้รับอิทธิพลจากแนวปฏิบัติทางศิลปะ 2) ศิลปะแผนที่หรือแผนที่ฝังอยู่ในการปฏิบัติทางศิลปะ และ 3) การทำแผนที่ที่มีส่วนต่อประสานระหว่างศิลปะและสถานที่ต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะถูกกล่าวถึงในรายละเอียดตามภาพรวมโดยย่อเป็นเครื่องหมายทางประวัติศาสตร์หลักที่ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและการทำแผนที่ได้เกิดขึ้นแล้ว

ประวัติความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับการทำแผนที่

นักทำแผนที่มักจะเลือกระหว่างความเป็นศิลปะกับความเป็นวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ทำแผนที่จากกรีกโบราณได้รับอิทธิพลจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่มีพื้นฐานมาจากเรขาคณิตและดาราศาสตร์ (Brotton, 2014) แผนที่ยุคกลางของตะวันตกใช้เทคนิคทางศิลปะและแนวทางสุนทรียภาพเพื่อสื่อสารความเชื่อทางศาสนาและตำนานเกี่ยวกับโลก (Zumthor, 1993) ในยุคเรอเนซองส์ แผนที่มีบทบาทสำคัญในการสำรวจและการตั้งรกราก ช่วยให้นักเดินเรือเข้าถึงและอ้างสิทธิ์ในดินแดนต่างๆ ทั่วโลก ช่วงเวลานี้ยังโดดเด่นด้วยการค้นพบแนวปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์โบราณที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยเครื่องมือและเทคนิคใหม่ในการทำแผนที่ จากข้อมูลของเดนิส วูด (2010a) แผนที่สมัยใหม่ของตะวันตกถือกำเนิดขึ้นของรัฐชาติและวิทยาศาสตร์ที่เป็นทางการในสถานศึกษากำลังก่อตั้งขึ้น สอดคล้องกับการเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป และการขยายตัวผ่านการสำรวจทางทะเล การทำแผนที่ได้ทิ้งสัญลักษณ์โบราณไว้เพื่อสนับสนุนการมองเห็นเชิงหน้าที่มากกว่า (Zumthor, 1993)

ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนไปสู่กระบวนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่เริ่มเข้าสู่การแสดงออกทางศิลปะ จากข้อมูลของมอนไซน์จิออน (Monsaingeon 2013, p.34) ระบุว่าการกำเนิดของการทำแผนที่สมัยใหม่เชื่อมโยงกับการฟื้นฟูจิตรกรรมยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา โดยเฉพาะที่เห็นในผลงานของเลโอนาร์โด ดา วินชี และอัลเบอร์ติ ซึ่งเป็นศิลปิน วิศวกร และนักวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน ดังจะเห็นได้ในแผนที่ของอิโมลา (Plan de Imola 1502) (ดูภาพที่ 1) ในยุคเรอเนซองส์ แผนที่เริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น แม้กระทั่งปรากฏในภาพวาดนักภูมิศาสตร์ หรือ The Geographer ที่มีชื่อเสียงมากๆ ของเวอร์เมียร์ (Vermeer 1669) (ดูภาพที่ 2)

ภาพที่ 1 แผนที่เมืองอิโมลา ปี 1502 ของเลโอนาร์โด ดา วินชี ที่เป็นการนำเสนอมุมมองทางอากาศของอิโมลา โดยผสมผสานเทคนิคการวัดที่แม่นยำเข้ากับความดึงดูดทางสุนทรียภาพ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ผลงานชิ้นเอกของการทำแผนที่ แผนที่นี้ Cesare Borgia ขุนนางและนักการเมืองชาวอิตาลี สั่งให้ทำหลังจากพิชิตเมืองแห่งนี้ได้

ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้จาก Da Vinci's City Plan, 1502 และ Leonardo da Vinci และการสร้างแผนที่ Source: Wikimedia Commons










ภาพที่ 2 นักภูมิศาสตร์ของเวอร์เมีย 1669 เนเธอร์แลนด์มีประเพณีที่โดดเด่นในด้านการทำแผนที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศตวรรษที่ 17 และ 18 อิทธิพลอันแรงกล้าของวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นใหม่นี้เป็นแรงบันดาลใจให้ Vermeer พรรณนาถึงนักภูมิศาสตร์ในตู้ของเขาที่ทำงานเกี่ยวกับแผนที่ Source: Wikimedia Commons.

ตอนต้นของศตวรรษที่ 20 การผสมผสานระหว่างศิลปะและการทำแผนที่ทำให้เกิดความเป็นไปได้ของการสร้างสรรค์ใหม่ๆ ช่วงเวลานี้ การเคลื่อนไหวทางศิลปะเช่น ลัทธิศิลปะแบบดาด้า (Dadaism) เริ่มเปิดเผยอำนาจทางการเมืองของแผนที่ ตามที่วู้ด (Wood 2010a) กล่าวถึงวิธีการใหม่นี้มีชื่อว่า ศิลปะแผนที่ - map art ซึ่งสามารถนิยามได้อย่างกว้างๆ ว่าเป็นแผนที่ที่ออกแบบโดยศิลปินที่ท้าทายแนวทางการทำแผนที่แบบเดิมๆ โดยมักเปิดโปงมิติทางการเมืองด้วยวิธีกวี ความสัมพันธ์นี้ถูกค้นพบเพิ่มเติมในปี 1920 โดยกลุ่มศิลปะลัทธิเหนือจริง - Surrealism ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวทางปัญญาและศิลปะ ที่มีส่วนร่วมอย่างชัดเจนในการทำแผนที่เป็นการปฏิบัติแทนที่จะเป็นเพียงภาพของแผนที่ (Cosgrove, 2005, p.39) นักเซอร์เรียลลิสม์เน้นการปฏิบัติมากกว่าแค่ภาพ โดยเน้นที่การสร้างทางการเมืองและวัฒนธรรมของแผนที่ใดๆ และทั้งหมด ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมโดยนักทำแผนที่ที่สำคัญในช่วงปลายศตวรรษที่ 20

ช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 21 ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและการทำแผนที่มาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้งด้วยความสนใจที่เพิ่มขึ้นในการเข้าถึงงานศิลปะ ในฐานะแหล่งข้อมูลเชิงพื้นที่ที่สามารถนำมาทำเป็นแผนที่ได้ แนวโน้มนี้รวมถึงความกระตือรือร้นในการทำแผนที่เรื่องราวและเรื่องเล่าทุกประเภท (Caquard & Cartwright, 2014) การพยายามระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และทำแผนที่สถานที่ตามที่ปรากฏในนิยายเป็นการปฏิบัติที่มีมาช้านานทั้งในและนอกวงวิชาการ (Senges, 2011; Piatti & Hurni, 2011) แต่แท้จริงแล้วเกิดจากงานของฟรังโก มอเรตติ และการตีพิมพ์แผนที่แอตลาสดินแดนใหม่ของยุโรปของเขาในปี 1999 นั่นทำให้การทำแผนที่วรรณกรรมกลายเป็นโดเมนการวิจัยที่โดดเด่น ปัจจุบัน ความสนใจในการทำแผนที่สถานที่มีมากกว่าการศึกษาวรรณกรรมและเข้าถึงสาขาต่างๆ ของมนุษยศาสตร์ ที่พยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่ผู้คนได้พัฒนากับสถานที่ต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป การเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดระหว่างบุคคลและชุมชนกับสถานที่ต่างๆ มักได้รับการสำรวจผ่านการผสมผสานระหว่างแผนที่ศิลปะกับเรื่องเล่า ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เน้นอารมณ์ความรู้สึกและความเชื่อมโยงส่วนตัวกับสถานที่ต่างๆ

ตารางที่ 1 บทสรุปของหมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์ในความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับการทำแผนที่

หมุดหมาย

ลักษณะเด่นทางศิลปะ

ตัวอย่างแผนที่

แผนที่ของชาวตะวันตกในยุคกลาง

สุนทรียภาพในการถ่ายทอดมิติทางจิตวิญญาณแบบกราฟิก

Ebstorf Mappamundi(link is external) (1234), Isidore of Seville’s T-O map(link is external) (1472)

ยุคเรอเนอซองค์

แผนที่ปรากฏในงานศิลปะ (เช่น ภาพวาด นวนิยาย)

Vermeer’s The Geographer(link is external) (1669), Thomas More Utopia’s islands(link is external) (1516)

เริ่มเข้าสู่ศตวรรษที่ 20

จัดทำแผนที่ศิลปะเป็นการแสดงออกทางการเมือง (เช่น Dadaism, Surrealism)

Le monde au temps des Surréalistes(link is external) (1929).

ปลายศตวรรษที่ 20

ศิลปะเป็นแหล่งข้อมูลการทำแผนที่ (เช่น การทำแผนที่วรรณกรรม)

Franco Moretti’s Atlas of the European Novel 1800-1900(link is external) (1999)

เริ่มเข้าสู่ศตวรรษที่ 21

ศิลปะผสมผสานกับแผนที่อย่างกว้างขวาง (เช่น การทำแผนที่เชิงลึก)

Rebecca Solnit’s atlases(link is external) (2010, 2013, 2016).

 

ในหัวข้อต่อไปนี้ จะได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์หลักสามประการระหว่างศิลปะและการทำแผนที่ที่ได้ระบุไว้ก่อนหน้านี้ คือ 1) อิทธิพลของแนวปฏิบัติทางศิลปะต่อการออกแบบการทำแผนที่ 2) รูปแบบและบทบาทของศิลปะแผนที่ และ 3) การทำแผนที่ที่ต่อประสานระหว่างศิลปะกับสถานที่

อิทธิพลของงานศิลปะที่มีต่อการทำแผนที่

ศิลปะมีประเพณีอันยาวนานที่มีอิทธิพลต่อการทำแผนที่ นักทำแผนที่ในยุคก่อนมักได้รับการฝึกฝนให้เป็นศิลปิน ตัวอย่างเช่น นักทำแผนที่ชาวยุโรปในศตวรรษที่ 17 และ 18 อย่างเช่นเจอรัลด์ เมอร์เคเตอร์ และโจอัน บลาอู ต้องใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคการวาดภาพ การแกะสลัก และประติมากรรม เพื่อสร้างและขายแผนที่โลก แผนที่ และลูกโลก (Brotton, 2014)

การทำแผนที่สมัยใหม่ยังได้รับอิทธิพลจากศิลปินอีกด้วย หนึ่งในตัวอย่างที่โด่งดังที่สุดของสิ่งนี้น่าจะเป็น London Underground Map ของเฮนรี เบ็ค ที่เป็นวิศวกรตีพิมพ์เอาไว้ในปี 1933 อย่างไรก็ดีจากข้อมูลของฟิลด์และคาร์ทไรท์ (Field and Cartwright 2014) งานสร้างสรรค์ของเบ็คได้รับการสนับสนุนจากศิลปะสมัยใหม่และการเคลื่อนไหวทางศิลปะแนวหน้า โดยเทคนิคนี้มีพื้นฐานอยู่บนเส้นตรงและจุด ซึ่งการเชื่อมต่อที่ชัดเจนระหว่างสายรถไฟใต้ดินมีความสำคัญมากกว่าตำแหน่งที่ถูกต้องของสถานีรถไฟใต้ดินภายในเมือง และมีอิทธิพลต่อการออกแบบแผนที่รถไฟใต้ดินร่วมสมัยทั่วโลก แผนที่พาโนรามาเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของอิทธิพลทางศิลปะที่มีต่อการทำแผนที่สมัยใหม่ แผนที่พาโนรามาเป็นรูปแบบที่ผสมผสานประเพณีการวาดภาพแบบเก่าของยุโรปเข้ากับการทำแผนที่สมัยใหม่ (Troyer, 2002) เพื่อแสดงภูมิทัศน์จากมุมมองที่เอียง สไตล์การสร้างแผนที่แบบนี้เน้นความงามของภูมิทัศน์ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากแผนที่พาโนรามาซึ่งออกแบบโดยศิลปินชื่อ เฮนริช เบอรัน ในช่วงทศวรรษ 1930 (Demaj & Field, 2012) นอกจากนี้ สไตล์การสร้างแผนที่แบบนี้ยังคงใช้อย่างกว้างขวางสำหรับแผนที่เมืองท่องเที่ยว เช่นเดียวกับแผนที่อุทยานแห่งชาติในสหรัฐอเมริกา เทคนิคการวาดภาพที่คล้ายกันนี้ถูกนำไปใช้กับการแสดงภูมิประเทศด้วย ซึ่งศิลปินที่ได้รับการฝึกหัดใช้การระบายเงาเป็นการแรเงา (Imhof, 1982, 1982) ตามที่แสดงในแผนที่บริเวณรอบวาเลนซีที่วาดเอาไว้ในปี 1938

ตัวอย่างล่าสุดของอิทธิพลของศิลปะในการทำแผนที่ คือ The Earth from Space (1990) แผนที่อันโด่งดังของโลกทั้งใบฉบับนี้สร้างขึ้นจากภาพถ่ายดาวเทียมมากกว่า 10,000 ภาพ แต่ได้รับการปรับแต่งสีและเย็บเข้าด้วยกันโดยศิลปินสองคน คือ ทอม แวน แซนต์ และลอยด์ แวน วาร์เรน ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ของนาซ่า สิ่งนี้สร้างสิ่งที่ดูเหมือนภาพที่สมบูรณ์แบบของโลกที่ถ่ายจากอวกาศ แต่มันถูกตีความด้วยวิสัยทัศน์ทางสุนทรียศาสตร์และการเมืองของโลกโดยเฉพาะ (Wood, 1992)

แม้แต่แอปพลิเคชันแผนที่ออนไลน์ร่วมสมัยก็ได้รับแรงบันดาลใจจากวิสัยทัศน์ทางศิลปะ ในนวนิยายเรื่อง Mirror Words (1992) ของเดวิด เจเลอร์นเตอร์ นักเขียนและนักวิทยาศาสตร์ อธิบายถึงฟังก์ชันการทำงานของแผนที่เมืองแบบอินเทอแรคทีฟที่ดูเหมือนคล้ายกับสิ่งที่กูเกิลได้พัฒนา Google Maps และ Google Earth ขึ้นมามากกว่าสองทศวรรษต่อมา อันที่จริง ภาพยนต์สั้นชื่อดังเรื่อง Powers of Ten (Charles and Ray Eames, 1977) เป็นที่ยอมรับกันดีว่าเป็นต้นตอของแรงบันดาลใจในการพัฒนา Google Earth (Crampton, 2008) ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นด้วยการซูมออกจากคู่รักในสวนสาธารณะในชิคาโกไปจนถึงสุดขอบจักรวาล ตามด้วยการซูมเข้าภายในร่างกายของชายคนนั้น เพื่อเข้าไปในโมเลกุลดีเอ็นเอของเขา อย่างไรก็ตาม ความสามารถหลายอย่างของ Google Earth เช่น การตั้งชื่อและการซูมจากทั้งโลกไปจนถึงระดับถนน เคยปรากฏขึ้นมาหลายทศวรรษก่อนหน้านั้นในโรงภาพยนต์ อย่างเช่นในฉากแรกของภาพยนตร์เรื่อง Casablanca ปี 1942 ที่กำกับโดยไมเคิล คูติซ (Caquard, 2009)

โดยสรุป แม้ว่าการทำแผนที่ตะวันตกจะได้รับอิทธิพลอย่างกว้างขวางจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ แต่แผนที่ร่วมสมัยที่น่าทึ่งจำนวนมากนั้นได้รับการกำหนดรูปแบบ ได้รับแรงบันดาลใจและออกแบบโดยแนวปฏิบัติและวิสัยทัศน์ทางศิลปะ

ศิลปะในแผนที่ – การเมืองของการทำแผนที่

แม้ว่าแผนที่จะเริ่มปรากฏในงานศิลปะในช่วงยุคเรอเนสซองส์ แต่แผนที่เหล่านี้เริ่มแพร่หลายในทัศนศิลป์เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 พร้อมกับการเกิดขึ้นของการเคลื่อนไหวทางศิลปะแนวหน้า การเคลื่อนไหวเหล่านี้นำมาสู่เบื้องหน้าด้านบทกวีในมิติทางการเมืองของแผนที่ผ่านการพัฒนาศิลปะแผนที่ หนึ่งในตัวอย่างที่โด่งดังที่สุด คือ แผนที่โลก Le monde au temps des surréalistes (1929) ซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ละประเทศตามสัดส่วนความสำคัญทางวัฒนธรรมของตน (Ginioux, 2004) (ดูภาพที่ 3) โจอาควิน ตอร์เรส-การ์เซีย ศิลปินชาวอุรุกวัยซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะของลัทธิเหนือจริง และเคยเป็นสมาชิกของขบวนการทางศิลปะแขนงนั้นนั้น ได้ออกแบบ Inverted Map of South America (เผยแพร่ในปี 1936) เพื่อสนับสนุนแนวคิดทางการเมืองหลักสองประการ ประการแรก โลกด้อยพัฒนาหรือฝ่ายใต้ถูกจัดวางเอาไว้ที่ด้านล่างของแผนที่ใดๆ เพื่อให้เป็นตัวเลือกที่เสริมแนวคิดของลำดับชั้นระหว่างโลกที่พัฒนาแล้วกับโลกด้อยพัฒนา และประการที่สอง ศิลปะนั้นควรถูกสร้างขึ้นจากล่างขึ้นบน แทนที่จะสร้างจากมุมมองของชนชั้นสูง ดังเช่นในอดีต

ในช่วงทศวรรษ 1950 สมาชิกของขบวนการลัทธิสถานการณ์นิยมด้านศิลปะและนักเคลื่อนไหวได้ออกแบบแผนที่ชื่อ The Naked City (1957) แผนที่นี้แสดงถึงการรับรู้ของย่านต่างๆ โดยนักสถานการณ์ในขณะที่ล่องลอยไปทั่วเมือง (ด้วยการเดินแบบสุ่ม) แนวทางการเดินและการแสดงแผนที่นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อล้มล้างการใช้ฟังก์ชันนิยมของเมือง และเสนอทางเลือกอื่นในการโต้ตอบกับพื้นที่ในเมืองโดยทำให้ผู้คนสามารถข้ามพรมแดนทางจิตวิทยาภูมิศาสตร์ และกระตุ้นให้พวกเขามีกิจกรรมประจำวันในการเยี่ยมชมสถานที่และละแวกใกล้เคียงที่พวกเขาไม่เคยไปเยี่ยมชมมาก่อน (Pinder, 1996; Corner, 1999) ตั้งแต่นั้นมา ลัทธิสถานการณ์นิยมได้มีอิทธิพลต่อแนวทางปฏิบัติทางศิลปะร่วมสมัยหลายแขนงที่ขับเคลื่อนโดยกิจกรรมที่คล้ายคลึงกัน (Kvas, 2014)


ภาพที่ 3 Le monde au temps des surréalistes, 1929 งานศิลปะแผนที่ที่มชื่อเสียงชิ้นนี้เป็นของพอล เอลูอาร์ด หนึ่งในผู้ก่อตั้งลัทธิศิลปะแบบเหนือจริง(Wood, 2010a) พวกนิยมลัทธินี้จงใจบิดเบือนแผนที่ โดยเสนอข้อความทางการเมืองต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมและลัทธิยุโรปเป็นศูนย์กลางที่เป็นตัวแทนของโลก ที่มา: Beth Harris, "Le monde au temps des Surrealistes (The World at the Time of the Surrealists), ภาพจากหน้า 26-27 ในฉบับพิเศษ “Le Surrealisme en 1929″ of Varietes: Revue mensuelle Illustree de l'espirit contemporain (มิถุนายน 1929)," ใน Smarthistory 7 กันยายน 2559 เข้าถึง 10 กุมภาพันธ์ 2016






ภาพที่ 4 รายละเอียดจากเดอบอร์ก (1957) คู่มือแสดงภูมิศาสตร์จิตวิทยาในเมืองปารีส ซึ่งมีการปรับแก้โดยบูอูส พิมพ์ในเดนมาร์กโดยเปอร์ไมลด์และโรเซนกรีน ขบวนการของลัทธิอิงสถานการณ์นำเสนอขั้นตอนการจัดทำแผนที่ทางเลือก โดยพิจารณาจากการสำรวจการเดินแบบสุ่มและการรับรู้ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากการเดินเหล่านี้ระหว่างช่วงตึกและย่านต่างๆ ในปารีส

แม้ว่าวู้ด (Wood 2010a) จะเคยเสนอว่าศิลปะแผนที่นั้นเริ่มต้นกันจริงๆ ในช่วงทศวรรษ 1910 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกับขบวนการศิลปะแบบดาด้า แต่ใครๆ ก็สามารถโต้แย้งได้ว่าแผนที่ที่มีชื่อเสียง Carte du pays de Tendre (1654) ที่สร้างขึ้นมาโดยมาเดลีน เดอ สกูเดรี นั้นเป็นสารตั้งต้นของศิลปะแผนที่ (ดูภาพที่ 5) แม้ว่าจุดประสงค์ดั้งเดิมของเธออาจไม่ได้เกี่ยวกับการเมือง เนื่องจากมันควรจะแสดงถึงวิวัฒนาการของความสัมพันธ์ทางอารมณ์ผ่านชื่อสถานที่ต่างๆ ที่สืบทอดต่อกันมา แผนที่นี้ได้รับการพิจารณาว่าเป็นการแสดงออกทางแผนที่สตรีนิยมครั้งแรก (Bruno, 2002) ซึ่งแท้จริงแล้ว ในแผนที่นี้สกูเดรีได้ล้มล้างหลักปฏิบัติด้านการทำแผนที่แบบดั้งเดิมในสมัยนั้นที่เน้นไปที่จุดประสงค์ทางการทหารเป็นส่วนใหญ่


ภาพที่ 5 Madeleine de Scudéry’s la Carte du Tendre, 1654 แผนที่นี้ปรากฏในนวนิยายเรื่อง Clélie (1654) ของมาเดลลีน เดอ สกูเดรี ซึ่งแสดงวิวัฒนาการของความสัมพันธ์ทางอารมณ์ผ่านชื่อสถานที่ งานศิลปะนี้ได้รับการพิจารณาโดยกิอูลิอานา บรูโน (Bruno 2002) ว่าเป็นการแสดงออกทางการทำแผนที่สตรีนิยมครั้งแรกเนื่องจากมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ส่วนตัวและความใกล้ชิดมากกว่าที่จะเป็นประโยชน์และทางทหารที่โดดเด่นในเวลานั้น Source: Wikimedia Commons(link is external)

ภาพที่ 6 ในแผนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาฉบับนี้ แจสเปอร์ จอห์นส์ นักแสดงออกเชิงนามธรรมเสนอการแปลมุมมองของเขาเกี่ยวกับประเทศสหรัฐอเมริกาในเชิงกวีโดยใช้สีที่เข้มข้น พู่กันที่แข็งแรง และป้ายกำกับที่เลือก จากข้อมูลของฮาร์มอน (Harmon 2009, p. 10) ในชุดแผนที่ระบายสีที่มีชื่อเสียงโด่งดังของสหรัฐอเมริกานี้ แจสเปอร์ จอห์นส์ ใช้ไอคอนที่คุ้นเคย ซึ่งเป็นรูปแบบที่เด็กเรียนรู้ที่จะรู้จักในโรงเรียนอนุบาล และเล่นกับมันเหมือนเด็กๆ” Source: Art © Jasper Johns/Licensed by VAGA, New York, NY. Used with permission.

มิติทางกวีและการเมืองของศิลปะแผนที่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินสมัยใหม่ อย่างแจสเปอร์ จอห์น (ดูภาพที่ 6) เช่นเดียวกับศิลปินร่วมสมัย เช่นอาเรียน ลิตต์แมน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลัทธิดาด้า ศิลปินจากกรุงเยรูซาเล็มคนนี้ได้ตัด ฉีก พันผ้าพันแผล และเย็บแผนที่ทางการต่างๆ ของอิสราเอล สหประชาชาติ และปาเลสไตน์ ซึ่งกำหนดเขตแดนระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอล ตลอดกระบวนการทำแผนที่ใหม่นี้ ลิตต์แมนแสวงหากระบวนการเยียวยาบาดแผลลึกที่ก่อขึ้นในอดีตระหว่างคนสองคนนี้ ตลอดกระบวนการจัดสรร/เวนคืนที่ดิน ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยแผนที่อย่างเป็นทางการ (ดูภาพที่ 7) นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของนักเคลื่อนไหวร่วมสมัยยังเป็นแรงผลักดันเบื้องหลัง An Atlas of Radical Cartography (Mogel & Bhagat, 2007) ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับศิลปินด้วยแผนที่และบทความที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการรับรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับเครือข่าย สายเลือด สมาคม และการเป็นตัวแทนของสถานที่ ผู้คน และอำนาจ (Mogel & Bhagat, 2007, p.6) (ดูภาพที่ 8)

ดังที่แสดงไว้ในส่วนนี้ วาระทางการเมืองของศิลปะแผนที่ที่ผสมผสานกับการแสดงออกทางกวีได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินสมัยใหม่และร่วมสมัย หากเราดูให้ดี แผนที่มีอยู่ทั่วไปในศิลปะร่วมสมัย ซึ่งสะท้อนถึงการมีอยู่อย่างกว้างขวางในชีวิตประจำวันของเรา





ภาพที่ 7 อาเรียน ลิตต์แมน กำลังทำการเย็บแผนที่บาดแผลใน Jerusalem's Old City (2011) ในผลงานชุดนี้ ศิลปินได้ตัดชิ้นส่วนของแผนที่อย่างเป็นทางการซึ่งแสดงเส้นสีเขียวระหว่างการตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอลกับหมู่บ้านของชาวปาเลสไตน์ จากนั้นจึงหุ้มชิ้นส่วนเหล่านี้ด้วยผ้าพันแผลและพลาสเตอร์ที่ปลอดเชื้อก่อนจะเย็บด้วยด้ายสีเขียว การตัด ลบ เย็บ และพันแผนที่ด้วยผ้าพันแผล ทำให้ฉันสามารถแยกโครงสร้างลำดับชั้นของอำนาจการทำแผนที่ที่จารึกไว้ในแผนที่ต้นฉบับได้







ภาพที่ 8 ด้วยการกระจายของแผนที่นี้และตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาของคำว่า "Latino/a" และ "America" ​​ศิลปินมีเป้าหมายที่จะท้าทายความหมายของ 'อเมริกา' และความหมายของการเป็น 'อเมริกัน'" ที่มา: Pedro Lasch, LATINO/A AMERICA: ROUTE GUIDES, New York Edition, Vicencio Marquez (2006) แผนที่พิมพ์ สัมผัสกับสภาพอากาศและการใช้งาน พร้อมข้อความ 30x41

การเขียนแผนที่ที่ต้องพิจารณาการแสดงศิลปะและสถานที่

จุดตัดหลักประการที่สามระหว่างศิลปะและการทำแผนที่ที่ระบุในนี้หมายถึงการใช้การทำแผนที่เป็นวิธีการตรวจสอบความสัมพันธ์ของเรากับสถานที่ กับและภายในรูปแบบต่างๆ ของการแสดงออกทางศิลปะ การตรวจสอบประเภทนี้สามารถทำได้เพื่อจุดประสงค์หลักสามประการ คือ ก) เพื่อตรวจสอบโครงสร้างการเล่าเรื่องที่แต่งขึ้นและไม่ใช่เรื่องแต่งผ่านมิติเชิงพื้นที่ ข) เพื่อทำความเข้าใจสถานที่ตามที่ปรากฏในงานศิลปะ โดยเฉพาะในภาพยนต์และนวนิยาย และ ค) เพื่อสำรวจความสัมพันธ์ส่วนตัวและอารมณ์ของเรากับสถานที่ต่างๆ

ความสนใจในการทำแผนที่สถานที่ที่ปรากฏในเรื่องเล่าต่างๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่ (Piatti, 2016) แต่เริ่มแพร่หลายมากขึ้นตั้งแต่ผลงานชิ้นเอกของฟรังโก มอเร็ตติ (Franco Moretti, 1999) เกี่ยวกับการทำแผนที่วรรณกรรม ตามมาด้วยสิ่งพิมพ์ที่หลากหลายในสาขานี้ (Rossetto, 2557) เป้าหมายหลักของการทำแผนที่วรรณกรรมที่สังเคราะห์โดยมอเร็ตติ (Moretti 1999) คือ การจัดเรียงส่วนประกอบของการเล่าเรื่องใหม่ในลักษณะที่คาดไม่ถึงเพื่อนำเสนอโครงร่างที่ซ่อนอยู่ การจัดเรียงใหม่นี้สามารถทำได้ด้วยแผนที่ทั่วไป แต่ยังสามารถกระตุ้นการออกแบบรูปแบบดั้งเดิมของการแสดงออกทางแผนที่เช่นเดียวกับใน Literary Atlas ของแอนดรูว์ เดอกราฟฟ์ (Andrew DeGraff, 2015) แผนที่เหล่านี้สามารถใช้เพื่อศึกษาโครงสร้างเรื่องเล่าเช่นเดียวกับแผนที่ทางภูมิศาสตร์ แท้จริงแล้วงานศิลปะเช่นนวนิยายและภาพยนตร์ถูกมองว่าเป็นฐานข้อมูลทางภูมิศาสตร์ที่สามารถช่วยให้สามารถเข้าใจสถานที่ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

แนวคิดในการทำความเข้าใจสถานที่ต่างๆ ผ่านมุมมองการเล่าเรื่องนี้ฝังอยู่ในโดเมนที่เกิดขึ้นใหม่ของการทำแผนที่เชิงลึก ตามที่ซูซาน มาเฮอร์ (Susan Maher, 2014) อธิบายเกี่ยวกับการทำแผนที่เชิงลึกว่าสามารถกำหนดลักษณะการทำแผนที่เรื่องราวได้มากมาย รวมทั้งเรื่องที่สมมติขึ้นมาด้วย เพื่อจับความรู้สึกเชิงลึกของสถานที่ สิ่งนี้อยู่บนสมมติฐานที่ว่าเราสามารถเข้าใจสถานที่ในเชิงลึกได้โดยการรู้ว่าผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กับสถานที่นั้นอย่างไรและพวกเขารู้สึกอย่างไร และปฏิสัมพันธ์และความรู้สึกเหล่านี้มักจะแสดงออกผ่านเรื่องราว ล่าสุดมีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งได้นำแนวทางดังกล่าวมาเสนอแนวทางใหม่ในการทำความเข้าใจสถานที่ต่างๆ ตามมุมมองนี้ การทำแผนที่อาจรวมกับการแสดงสถานที่และเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับสถานที่เพื่อสนับสนุนความเข้าใจที่ลึกซึ้งนี้ (Bodenhamer, Corrigan & Harris, 2015) ในแง่นั้น การทำแผนที่เชิงลึกเกี่ยวข้องกับงานศิลปะในฐานะทั้งแหล่งข้อมูลที่สามารถจัดทำแผนที่เพื่อช่วยให้เข้าใจสถานที่ในเชิงลึก เช่นเดียวกับรูปแบบของการแสดงออกที่สามารถช่วยเปิดเผยและเป็นตัวแทนของความเข้าใจนี้

แนวคิดเกี่ยวกับสถานที่นี้ยังเกี่ยวข้องกับการเป็นตัวแทนของอารมณ์ การรับรู้ และความรู้สึกส่วนตัวที่เกี่ยวข้อง ศิลปิน คริสเตียน โนลด์ ทำการสำรวจสิ่งนี้โดยพัฒนาวิธีการทำแผนที่อารมณ์และชุดเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คนวัดและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับการตอบสนองทางสรีรวิทยาขณะเดินในเมือง สร้างแผนที่อารมณ์ความรู้สึก (emotional maps) ของเมืองต่างๆ เช่น ปารีส และซานฟรานซิสโก (Nold, 2009) iug[H8dhk รีเบ็คก้า โซลนิต นักเขียนชื่อดังทำงานร่วมกับศิลปินและนักทำแผนที่ เพื่อสร้างแผนที่ต้นฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเขียนเรียงความ โดยนำเสนอตัวอย่างมุมมองส่วนบุคคลและบทกวีเกี่ยวกับเมืองสามแห่งในอเมริกา (Solnit, 2010; Solnit & Snedeker, 2013; Solnit & Jelly-Schapiro, 2016) (ดูภาพที่ 3.9) g[Hdduh 8^gxviเบ็กกี้ คูเปอร์ Cooper (2013) ศิลปินผู้ได้รับแรงบันดาลใจจากความแปลกประหลาดของเรื่องราวส่วนตัว เชิญชวนให้ชาวแมนฮัตตันวาดแผนที่นิวยอร์กซิตี้ของตนเอง เน้นความเชื่อมโยงทางอารมณ์ของผู้สร้างแผนที่มือสมัครเล่นกับสถานที่ต่างๆ ผ่านความทรงจำในวัยเด็ก เรื่องราวความรัก และอารมณ์ความรู้สึกอื่นๆ เครื่องหมาย การผสมผสานสถานที่ใกล้ชิดเข้ากับการทำแผนที่อย่างมีศิลปะยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของ Everything Sings (Wood, 2010b) ซึ่งเป็นแผนที่เล่าเรื่องของ Boylan Heights ซึ่งเป็นย่านในเมืองราลี รัฐนอร์ทแคโรไลนา ระหว่างทศวรรษ 1980 เดนิส วู้ด และนักศึกษาของเขาที่มหาวิทยาลัยนอร์ธ แคโรไลนา สเตท ได้รวบรวมและทำแผนที่เกี่ยวกับบทกวีและองค์ประกอบที่ไม่ธรรมดาของเมือง เช่น ฟักทองฮัลโลวีน หรือโคมไฟถนน เพื่อเสนอมุมมองทางเลือกของย่านนี้ (ดูภาพที่ 10) ตัวอย่างแผนที่ที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่เหล่านี้เชิญชวนให้ผู้อ่านดูสถานที่เฉพาะผ่านแผนที่จากมุมมองที่ไม่เหมือนใคร พวกเขายังขยายแนวคิดดั้งเดิมของแผนที่เพื่อเสนอการสำรวจด้วยภาพของชั้นของความหมายที่มีอยู่ภายในสถานที่ โดยรวบรวมและผสมผสานเทคนิคทางศิลปะหลายอย่างเข้ากับกระบวนการสร้างแผนที่ เช่น ภาพปะติด ภาพวาด ประติมากรรม ภาพวาด และแม้แต่การเล่าเรื่อง (ดูตัวอย่างอื่นๆ ใน GNS, 2003; Harmon, 2004, 2009; Watson 2009; Monsaingeon, 2013)






ภาพที่ 9 ภาพระยะใกล้บนแผนที่ “Lead and Lies” จากหนังสือ Unfathomable City: A New Orleans Atlas ของรีเบ็คกา โซลนิต (Solnit 2013) ในแผนที่นี้ ผู้เขียนซ้อนทับความเข้มข้นของตะกั่วในดินของเมืองด้วยเรื่องโกหกทางการเมืองตั้งแต่ปี 1699 ที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางสังคมและเชื้อชาติของเมือง  Source: Used with permission of the publisher.






ภาพที่ 10 หนึ่งในแผนที่ใน Everything Sings โดยเดนิส วู้ด (Wood 2010b) แทนที่จะเน้นที่ลวดลายแบบดั้งเดิม เช่น ถนน อาคาร หรือที่ดิน วูดและนักเรียนของเขาทำแผนที่องค์ประกอบที่ไม่ธรรมดาของเมือง (ในกรณีนี้คือไฟถนน) เพื่อเน้นการเล่าเรื่องแบบกวีที่ "เอาใจใส่ต่อ ประสบการณ์ของสถานที่” (Wood, 2015, p. 307) Source: Used with permission of the author.

จุดตัดที่สามระหว่างศิลปะและการทำแผนที่ เน้นย้ำถึงพลังของแผนที่ในการชมงานศิลปะจากมุมมองเชิงพื้นที่ เช่นเดียวกับการสำรวจสถานที่ต่างๆ ผ่านงานศิลปะที่เกี่ยวข้อง วิธีที่ศิลปะและศิลปินพูดถึงสถานที่สามารถปรับปรุงได้เมื่อมีการระดมการทำแผนที่ ช่วยให้เราเข้าถึงและเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกส่วนตัว บทกวี และการตีความที่ซับซ้อนมากขึ้นของสถานที่เหล่านี้

ท้ายบท

ภาพรวมของความสัมพันธ์ระหว่างการทำแผนที่และศิลปะนี้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองโดเมนได้ตัดกันในหลายระดับตลอดประวัติศาสตร์ แนวปฏิบัติทางศิลปะที่ผสมผสานกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อการออกแบบแผนที่ดังตัวอย่างที่โดดเด่น เช่น แผนที่ใต้ดินลอนดอนของเบ็ค (Beck’s London Underground Map 1933) ซึ่งเป็นข้อมูลอ้างอิงพื้นฐานสำหรับแผนที่รถไฟใต้ดินทั้งหมดทั่วโลก The Earth from Space (1990) หนึ่งในภาพที่ขายได้มากที่สุดในโลก และ Google Earth ซึ่งได้กำหนดวิธีที่เราใช้และโต้ตอบกับแผนที่และลูกโลกใหม่ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2005 ตลอดศตวรรษที่ 20 ขบวนการแนวหน้าของยุโรปเช่น กลุ่มศิลปะที่เชื่อในลัทธิดาด้า ลัทธิเหนือจริง และลักทธิสถานการณ์นิยม ยังได้เปิดเผยและท้าทายรูปแบบต่างๆ ของ พลังที่อยู่เบื้องหลังความพยายามในการทำแผนที่ใด ๆ ปูทางไปสู่การเกิดขึ้นของการทำแผนที่ที่สำคัญ การเคลื่อนไหวเหล่านี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินร่วมสมัยแสดงวิสัยทัศน์ทางสุนทรียะและการเมืองของโลกผ่านแผนที่ ในที่สุด ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 20 นักวิชาการจากมนุษยศาสตร์ได้ค้นพบพลังของแผนที่ในการเปิดเผยโครงสร้างการเล่าเรื่องที่ซ่อนอยู่ในนวนิยายและภาพยนตร์ ดังนั้น นักภูมิศาสตร์ นักทำแผนที่ และนักวิชาการอื่นๆ จึงเริ่มตระหนักว่าเนื้อหานี้เป็นแหล่งข้อมูลทางภูมิศาสตร์ที่มีความหมาย ซึ่งสามารถนำมาทำแผนที่เพื่อทำความเข้าใจสถานที่ต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

บทวิจารณ์สั้นๆ นี้ ชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและการทำแผนที่มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น หวังว่าสิ่งนี้จะสามารถสร้างรูปแบบใหม่ของแผนที่และแนวปฏิบัติในการทำแผนที่ต่อไป ซึ่งสามารถช่วยแก้ไขปัญหาทางการเมือง สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนในวงกว้างที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น