การทำแผนที่กับงานศิลปะ
การตัดกันระหว่างศิลปะและการทำแผนที่นั้น ไปไกลเกินกว่าแนวคิดของการออกแบบและการวาดภาพประกอบ เนื่องจากการทำแผนที่มีมิติทางวัฒนธรรม สังคม และการเมือง ที่หลากหลายอยู่เสมอ เมื่อพิจารณาจากมุมมองที่กว้างขึ้นต่อไปนี้จะนำเสนอการทบทวนจุดตัดร่วมสมัยที่แตกต่างกันเหล่านี้ โดยการสำรวจความสัมพันธ์หลักสามประการ คือ 1) การทำแผนที่ที่ได้รับอิทธิพลจากแนวปฏิบัติทางศิลปะ 2) ศิลปะแผนที่หรือแผนที่ฝังอยู่ในการปฏิบัติทางศิลปะ และ 3) การทำแผนที่ที่มีส่วนต่อประสานระหว่างศิลปะและสถานที่ต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะถูกกล่าวถึงในรายละเอียดตามภาพรวมโดยย่อเป็นเครื่องหมายทางประวัติศาสตร์หลักที่ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและการทำแผนที่ได้เกิดขึ้นแล้ว
ประวัติความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับการทำแผนที่
นักทำแผนที่มักจะเลือกระหว่างความเป็นศิลปะกับความเป็นวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ทำแผนที่จากกรีกโบราณได้รับอิทธิพลจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่มีพื้นฐานมาจากเรขาคณิตและดาราศาสตร์ (Brotton, 2014) แผนที่ยุคกลางของตะวันตกใช้เทคนิคทางศิลปะและแนวทางสุนทรียภาพเพื่อสื่อสารความเชื่อทางศาสนาและตำนานเกี่ยวกับโลก (Zumthor, 1993) ในยุคเรอเนซองส์ แผนที่มีบทบาทสำคัญในการสำรวจและการตั้งรกราก ช่วยให้นักเดินเรือเข้าถึงและอ้างสิทธิ์ในดินแดนต่างๆ ทั่วโลก ช่วงเวลานี้ยังโดดเด่นด้วยการค้นพบแนวปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์โบราณที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยเครื่องมือและเทคนิคใหม่ในการทำแผนที่ จากข้อมูลของเดนิส วูด (2010a) แผนที่สมัยใหม่ของตะวันตกถือกำเนิดขึ้นของรัฐชาติและวิทยาศาสตร์ที่เป็นทางการในสถานศึกษากำลังก่อตั้งขึ้น สอดคล้องกับการเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ในยุโรป และการขยายตัวผ่านการสำรวจทางทะเล การทำแผนที่ได้ทิ้งสัญลักษณ์โบราณไว้เพื่อสนับสนุนการมองเห็นเชิงหน้าที่มากกว่า (Zumthor, 1993)
ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนไปสู่กระบวนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่เริ่มเข้าสู่การแสดงออกทางศิลปะ จากข้อมูลของมอนไซน์จิออน (Monsaingeon 2013, p.34) ระบุว่าการกำเนิดของการทำแผนที่สมัยใหม่เชื่อมโยงกับการฟื้นฟูจิตรกรรมยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา โดยเฉพาะที่เห็นในผลงานของเลโอนาร์โด ดา วินชี และอัลเบอร์ติ ซึ่งเป็นศิลปิน วิศวกร และนักวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน ดังจะเห็นได้ในแผนที่ของอิโมลา (Plan de Imola 1502) (ดูภาพที่ 1) ในยุคเรอเนซองส์ แผนที่เริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น แม้กระทั่งปรากฏในภาพวาดนักภูมิศาสตร์ หรือ The Geographer ที่มีชื่อเสียงมากๆ ของเวอร์เมียร์ (Vermeer 1669) (ดูภาพที่ 2)
ภาพที่ 1 แผนที่เมืองอิโมลา ปี 1502 ของเลโอนาร์โด ดา วินชี ที่เป็นการนำเสนอมุมมองทางอากาศของอิโมลา โดยผสมผสานเทคนิคการวัดที่แม่นยำเข้ากับความดึงดูดทางสุนทรียภาพ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ผลงานชิ้นเอกของการทำแผนที่ แผนที่นี้ Cesare Borgia ขุนนางและนักการเมืองชาวอิตาลี สั่งให้ทำหลังจากพิชิตเมืองแห่งนี้ได้
ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้จาก Da Vinci's City Plan, 1502 และ Leonardo da Vinci และการสร้างแผนที่ Source:
Wikimedia Commons
ภาพที่ 2 นักภูมิศาสตร์ของเวอร์เมีย 1669 เนเธอร์แลนด์มีประเพณีที่โดดเด่นในด้านการทำแผนที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศตวรรษที่ 17 และ 18 อิทธิพลอันแรงกล้าของวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นใหม่นี้เป็นแรงบันดาลใจให้ Vermeer พรรณนาถึงนักภูมิศาสตร์ในตู้ของเขาที่ทำงานเกี่ยวกับแผนที่ Source: Wikimedia Commons.
ตอนต้นของศตวรรษที่ 20 การผสมผสานระหว่างศิลปะและการทำแผนที่ทำให้เกิดความเป็นไปได้ของการสร้างสรรค์ใหม่ๆ ช่วงเวลานี้ การเคลื่อนไหวทางศิลปะเช่น ลัทธิศิลปะแบบดาด้า (Dadaism) เริ่มเปิดเผยอำนาจทางการเมืองของแผนที่ ตามที่วู้ด (Wood 2010a) กล่าวถึงวิธีการใหม่นี้มีชื่อว่า ศิลปะแผนที่ - map art ซึ่งสามารถนิยามได้อย่างกว้างๆ ว่าเป็นแผนที่ที่ออกแบบโดยศิลปินที่ท้าทายแนวทางการทำแผนที่แบบเดิมๆ โดยมักเปิดโปงมิติทางการเมืองด้วยวิธีกวี ความสัมพันธ์นี้ถูกค้นพบเพิ่มเติมในปี 1920 โดยกลุ่มศิลปะลัทธิเหนือจริง - Surrealism ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวทางปัญญาและศิลปะ ที่มีส่วนร่วมอย่างชัดเจนในการทำแผนที่เป็นการปฏิบัติแทนที่จะเป็นเพียงภาพของแผนที่ (Cosgrove, 2005, p.39) นักเซอร์เรียลลิสม์เน้นการปฏิบัติมากกว่าแค่ภาพ โดยเน้นที่การสร้างทางการเมืองและวัฒนธรรมของแผนที่ใดๆ และทั้งหมด ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมโดยนักทำแผนที่ที่สำคัญในช่วงปลายศตวรรษที่ 20
ช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 21 ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและการทำแผนที่มาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้งด้วยความสนใจที่เพิ่มขึ้นในการเข้าถึงงานศิลปะ ในฐานะแหล่งข้อมูลเชิงพื้นที่ที่สามารถนำมาทำเป็นแผนที่ได้ แนวโน้มนี้รวมถึงความกระตือรือร้นในการทำแผนที่เรื่องราวและเรื่องเล่าทุกประเภท (Caquard & Cartwright, 2014) การพยายามระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และทำแผนที่สถานที่ตามที่ปรากฏในนิยายเป็นการปฏิบัติที่มีมาช้านานทั้งในและนอกวงวิชาการ (Senges, 2011; Piatti & Hurni, 2011) แต่แท้จริงแล้วเกิดจากงานของฟรังโก มอเรตติ และการตีพิมพ์แผนที่แอตลาสดินแดนใหม่ของยุโรปของเขาในปี 1999 นั่นทำให้การทำแผนที่วรรณกรรมกลายเป็นโดเมนการวิจัยที่โดดเด่น ปัจจุบัน ความสนใจในการทำแผนที่สถานที่มีมากกว่าการศึกษาวรรณกรรมและเข้าถึงสาขาต่างๆ ของมนุษยศาสตร์ ที่พยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่ผู้คนได้พัฒนากับสถานที่ต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป การเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดระหว่างบุคคลและชุมชนกับสถานที่ต่างๆ มักได้รับการสำรวจผ่านการผสมผสานระหว่างแผนที่ศิลปะกับเรื่องเล่า ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เน้นอารมณ์ความรู้สึกและความเชื่อมโยงส่วนตัวกับสถานที่ต่างๆ
ตารางที่ 1 บทสรุปของหมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์ในความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับการทำแผนที่
หมุดหมาย |
ลักษณะเด่นทางศิลปะ |
ตัวอย่างแผนที่ |
แผนที่ของชาวตะวันตกในยุคกลาง |
สุนทรียภาพในการถ่ายทอดมิติทางจิตวิญญาณแบบกราฟิก |
Ebstorf Mappamundi(link is external) (1234), Isidore of Seville’s
T-O map(link is external) (1472) |
ยุคเรอเนอซองค์ |
แผนที่ปรากฏในงานศิลปะ (เช่น ภาพวาด นวนิยาย) |
Vermeer’s The Geographer(link is external) (1669), Thomas More Utopia’s islands(link is external) (1516) |
เริ่มเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 |
จัดทำแผนที่ศิลปะเป็นการแสดงออกทางการเมือง (เช่น Dadaism,
Surrealism) |
Le monde au temps des
Surréalistes(link is external) (1929). |
ปลายศตวรรษที่ 20 |
ศิลปะเป็นแหล่งข้อมูลการทำแผนที่ (เช่น การทำแผนที่วรรณกรรม) |
Franco Moretti’s Atlas of the European Novel 1800-1900(link is external) (1999) |
เริ่มเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 |
ศิลปะผสมผสานกับแผนที่อย่างกว้างขวาง (เช่น
การทำแผนที่เชิงลึก) |
Rebecca Solnit’s atlases(link is external) (2010,
2013, 2016). |
ในหัวข้อต่อไปนี้ จะได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์หลักสามประการระหว่างศิลปะและการทำแผนที่ที่ได้ระบุไว้ก่อนหน้านี้ คือ 1) อิทธิพลของแนวปฏิบัติทางศิลปะต่อการออกแบบการทำแผนที่ 2) รูปแบบและบทบาทของศิลปะแผนที่ และ 3) การทำแผนที่ที่ต่อประสานระหว่างศิลปะกับสถานที่
อิทธิพลของงานศิลปะที่มีต่อการทำแผนที่
ศิลปะมีประเพณีอันยาวนานที่มีอิทธิพลต่อการทำแผนที่ นักทำแผนที่ในยุคก่อนมักได้รับการฝึกฝนให้เป็นศิลปิน ตัวอย่างเช่น นักทำแผนที่ชาวยุโรปในศตวรรษที่ 17 และ 18 อย่างเช่นเจอรัลด์ เมอร์เคเตอร์ และโจอัน บลาอู ต้องใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคการวาดภาพ การแกะสลัก และประติมากรรม เพื่อสร้างและขายแผนที่โลก แผนที่ และลูกโลก (Brotton, 2014)
การทำแผนที่สมัยใหม่ยังได้รับอิทธิพลจากศิลปินอีกด้วย หนึ่งในตัวอย่างที่โด่งดังที่สุดของสิ่งนี้น่าจะเป็น London Underground Map ของเฮนรี เบ็ค ที่เป็นวิศวกรตีพิมพ์เอาไว้ในปี 1933 อย่างไรก็ดีจากข้อมูลของฟิลด์และคาร์ทไรท์ (Field and Cartwright 2014) งานสร้างสรรค์ของเบ็คได้รับการสนับสนุนจากศิลปะสมัยใหม่และการเคลื่อนไหวทางศิลปะแนวหน้า โดยเทคนิคนี้มีพื้นฐานอยู่บนเส้นตรงและจุด ซึ่งการเชื่อมต่อที่ชัดเจนระหว่างสายรถไฟใต้ดินมีความสำคัญมากกว่าตำแหน่งที่ถูกต้องของสถานีรถไฟใต้ดินภายในเมือง และมีอิทธิพลต่อการออกแบบแผนที่รถไฟใต้ดินร่วมสมัยทั่วโลก แผนที่พาโนรามาเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของอิทธิพลทางศิลปะที่มีต่อการทำแผนที่สมัยใหม่ แผนที่พาโนรามาเป็นรูปแบบที่ผสมผสานประเพณีการวาดภาพแบบเก่าของยุโรปเข้ากับการทำแผนที่สมัยใหม่ (Troyer, 2002) เพื่อแสดงภูมิทัศน์จากมุมมองที่เอียง สไตล์การสร้างแผนที่แบบนี้เน้นความงามของภูมิทัศน์ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากแผนที่พาโนรามาซึ่งออกแบบโดยศิลปินชื่อ เฮนริช เบอรัน ในช่วงทศวรรษ 1930 (Demaj & Field, 2012) นอกจากนี้ สไตล์การสร้างแผนที่แบบนี้ยังคงใช้อย่างกว้างขวางสำหรับแผนที่เมืองท่องเที่ยว เช่นเดียวกับแผนที่อุทยานแห่งชาติในสหรัฐอเมริกา เทคนิคการวาดภาพที่คล้ายกันนี้ถูกนำไปใช้กับการแสดงภูมิประเทศด้วย ซึ่งศิลปินที่ได้รับการฝึกหัดใช้การระบายเงาเป็นการแรเงา (Imhof, 1982, 1982) ตามที่แสดงในแผนที่บริเวณรอบวาเลนซีที่วาดเอาไว้ในปี 1938
ตัวอย่างล่าสุดของอิทธิพลของศิลปะในการทำแผนที่ คือ The Earth from Space (1990) แผนที่อันโด่งดังของโลกทั้งใบฉบับนี้สร้างขึ้นจากภาพถ่ายดาวเทียมมากกว่า 10,000 ภาพ แต่ได้รับการปรับแต่งสีและเย็บเข้าด้วยกันโดยศิลปินสองคน คือ ทอม แวน แซนต์ และลอยด์ แวน วาร์เรน ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ของนาซ่า สิ่งนี้สร้างสิ่งที่ดูเหมือนภาพที่สมบูรณ์แบบของโลกที่ถ่ายจากอวกาศ แต่มันถูกตีความด้วยวิสัยทัศน์ทางสุนทรียศาสตร์และการเมืองของโลกโดยเฉพาะ (Wood, 1992)
แม้แต่แอปพลิเคชันแผนที่ออนไลน์ร่วมสมัยก็ได้รับแรงบันดาลใจจากวิสัยทัศน์ทางศิลปะ ในนวนิยายเรื่อง Mirror Words (1992) ของเดวิด เจเลอร์นเตอร์ นักเขียนและนักวิทยาศาสตร์ อธิบายถึงฟังก์ชันการทำงานของแผนที่เมืองแบบอินเทอแรคทีฟที่ดูเหมือนคล้ายกับสิ่งที่กูเกิลได้พัฒนา Google Maps และ Google Earth ขึ้นมามากกว่าสองทศวรรษต่อมา อันที่จริง ภาพยนต์สั้นชื่อดังเรื่อง Powers of Ten (Charles and Ray Eames, 1977) เป็นที่ยอมรับกันดีว่าเป็นต้นตอของแรงบันดาลใจในการพัฒนา Google Earth (Crampton, 2008) ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นด้วยการซูมออกจากคู่รักในสวนสาธารณะในชิคาโกไปจนถึงสุดขอบจักรวาล ตามด้วยการซูมเข้าภายในร่างกายของชายคนนั้น เพื่อเข้าไปในโมเลกุลดีเอ็นเอของเขา อย่างไรก็ตาม ความสามารถหลายอย่างของ Google Earth เช่น การตั้งชื่อและการซูมจากทั้งโลกไปจนถึงระดับถนน เคยปรากฏขึ้นมาหลายทศวรรษก่อนหน้านั้นในโรงภาพยนต์ อย่างเช่นในฉากแรกของภาพยนตร์เรื่อง Casablanca ปี 1942 ที่กำกับโดยไมเคิล คูติซ (Caquard, 2009)
โดยสรุป แม้ว่าการทำแผนที่ตะวันตกจะได้รับอิทธิพลอย่างกว้างขวางจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ แต่แผนที่ร่วมสมัยที่น่าทึ่งจำนวนมากนั้นได้รับการกำหนดรูปแบบ ได้รับแรงบันดาลใจและออกแบบโดยแนวปฏิบัติและวิสัยทัศน์ทางศิลปะ
ศิลปะในแผนที่ – การเมืองของการทำแผนที่
แม้ว่าแผนที่จะเริ่มปรากฏในงานศิลปะในช่วงยุคเรอเนสซองส์ แต่แผนที่เหล่านี้เริ่มแพร่หลายในทัศนศิลป์เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 พร้อมกับการเกิดขึ้นของการเคลื่อนไหวทางศิลปะแนวหน้า การเคลื่อนไหวเหล่านี้นำมาสู่เบื้องหน้าด้านบทกวีในมิติทางการเมืองของแผนที่ผ่านการพัฒนาศิลปะแผนที่ หนึ่งในตัวอย่างที่โด่งดังที่สุด คือ แผนที่โลก Le monde au temps des surréalistes (1929) ซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ละประเทศตามสัดส่วนความสำคัญทางวัฒนธรรมของตน (Ginioux, 2004) (ดูภาพที่ 3) โจอาควิน ตอร์เรส-การ์เซีย ศิลปินชาวอุรุกวัยซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะของลัทธิเหนือจริง และเคยเป็นสมาชิกของขบวนการทางศิลปะแขนงนั้นนั้น ได้ออกแบบ Inverted Map of South America (เผยแพร่ในปี 1936) เพื่อสนับสนุนแนวคิดทางการเมืองหลักสองประการ ประการแรก โลกด้อยพัฒนาหรือฝ่ายใต้ถูกจัดวางเอาไว้ที่ด้านล่างของแผนที่ใดๆ เพื่อให้เป็นตัวเลือกที่เสริมแนวคิดของลำดับชั้นระหว่างโลกที่พัฒนาแล้วกับโลกด้อยพัฒนา และประการที่สอง ศิลปะนั้นควรถูกสร้างขึ้นจากล่างขึ้นบน แทนที่จะสร้างจากมุมมองของชนชั้นสูง ดังเช่นในอดีต
ในช่วงทศวรรษ 1950 สมาชิกของขบวนการลัทธิสถานการณ์นิยมด้านศิลปะและนักเคลื่อนไหวได้ออกแบบแผนที่ชื่อ
The Naked City (1957)
แผนที่นี้แสดงถึงการรับรู้ของย่านต่างๆ
โดยนักสถานการณ์ในขณะที่ล่องลอยไปทั่วเมือง (ด้วยการเดินแบบสุ่ม)
แนวทางการเดินและการแสดงแผนที่นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อล้มล้างการใช้ฟังก์ชันนิยมของเมือง
และเสนอทางเลือกอื่นในการโต้ตอบกับพื้นที่ในเมืองโดยทำให้ผู้คนสามารถข้ามพรมแดนทางจิตวิทยาภูมิศาสตร์
และกระตุ้นให้พวกเขามีกิจกรรมประจำวันในการเยี่ยมชมสถานที่และละแวกใกล้เคียงที่พวกเขาไม่เคยไปเยี่ยมชมมาก่อน
(Pinder, 1996; Corner, 1999) ตั้งแต่นั้นมา ลัทธิสถานการณ์นิยมได้มีอิทธิพลต่อแนวทางปฏิบัติทางศิลปะร่วมสมัยหลายแขนงที่ขับเคลื่อนโดยกิจกรรมที่คล้ายคลึงกัน
(Kvas, 2014)
ภาพที่ 3 Le monde au temps des surréalistes, 1929 งานศิลปะแผนที่ที่มชื่อเสียงชิ้นนี้เป็นของพอล เอลูอาร์ด หนึ่งในผู้ก่อตั้งลัทธิศิลปะแบบเหนือจริง(Wood, 2010a) พวกนิยมลัทธินี้จงใจบิดเบือนแผนที่ โดยเสนอข้อความทางการเมืองต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมและลัทธิยุโรปเป็นศูนย์กลางที่เป็นตัวแทนของโลก ที่มา: Beth Harris, "Le monde au temps des Surrealistes (The World at the Time of the Surrealists), ภาพจากหน้า 26-27 ในฉบับพิเศษ “Le Surrealisme en 1929″ of Varietes: Revue mensuelle Illustree de l'espirit contemporain (มิถุนายน 1929)," ใน Smarthistory 7 กันยายน 2559 เข้าถึง 10 กุมภาพันธ์ 2016
ภาพที่ 4 รายละเอียดจากเดอบอร์ก (1957) คู่มือแสดงภูมิศาสตร์จิตวิทยาในเมืองปารีส ซึ่งมีการปรับแก้โดยบูอูส พิมพ์ในเดนมาร์กโดยเปอร์ไมลด์และโรเซนกรีน ขบวนการของลัทธิอิงสถานการณ์นำเสนอขั้นตอนการจัดทำแผนที่ทางเลือก โดยพิจารณาจากการสำรวจการเดินแบบสุ่มและการรับรู้ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากการเดินเหล่านี้ระหว่างช่วงตึกและย่านต่างๆ ในปารีส
แม้ว่าวู้ด (Wood 2010a) จะเคยเสนอว่าศิลปะแผนที่นั้นเริ่มต้นกันจริงๆ ในช่วงทศวรรษ 1910 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกับขบวนการศิลปะแบบดาด้า แต่ใครๆ ก็สามารถโต้แย้งได้ว่าแผนที่ที่มีชื่อเสียง Carte du pays de Tendre (1654) ที่สร้างขึ้นมาโดยมาเดลีน เดอ สกูเดรี นั้นเป็นสารตั้งต้นของศิลปะแผนที่ (ดูภาพที่ 5) แม้ว่าจุดประสงค์ดั้งเดิมของเธออาจไม่ได้เกี่ยวกับการเมือง เนื่องจากมันควรจะแสดงถึงวิวัฒนาการของความสัมพันธ์ทางอารมณ์ผ่านชื่อสถานที่ต่างๆ ที่สืบทอดต่อกันมา แผนที่นี้ได้รับการพิจารณาว่าเป็นการแสดงออกทางแผนที่สตรีนิยมครั้งแรก (Bruno, 2002) ซึ่งแท้จริงแล้ว ในแผนที่นี้สกูเดรีได้ล้มล้างหลักปฏิบัติด้านการทำแผนที่แบบดั้งเดิมในสมัยนั้นที่เน้นไปที่จุดประสงค์ทางการทหารเป็นส่วนใหญ่
ภาพที่ 5 Madeleine de Scudéry’s la Carte du Tendre, 1654 แผนที่นี้ปรากฏในนวนิยายเรื่อง Clélie (1654) ของมาเดลลีน เดอ สกูเดรี ซึ่งแสดงวิวัฒนาการของความสัมพันธ์ทางอารมณ์ผ่านชื่อสถานที่ งานศิลปะนี้ได้รับการพิจารณาโดยกิอูลิอานา บรูโน (Bruno 2002) ว่าเป็นการแสดงออกทางการทำแผนที่สตรีนิยมครั้งแรกเนื่องจากมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ส่วนตัวและความใกล้ชิดมากกว่าที่จะเป็นประโยชน์และทางทหารที่โดดเด่นในเวลานั้น Source: Wikimedia Commons(link is external)
ภาพที่ 6 ในแผนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาฉบับนี้ แจสเปอร์ จอห์นส์ นักแสดงออกเชิงนามธรรมเสนอการแปลมุมมองของเขาเกี่ยวกับประเทศสหรัฐอเมริกาในเชิงกวีโดยใช้สีที่เข้มข้น พู่กันที่แข็งแรง และป้ายกำกับที่เลือก จากข้อมูลของฮาร์มอน (Harmon 2009, p. 10) ในชุดแผนที่ระบายสีที่มีชื่อเสียงโด่งดังของสหรัฐอเมริกานี้ แจสเปอร์ จอห์นส์ ใช้ไอคอนที่คุ้นเคย ซึ่งเป็นรูปแบบที่เด็กเรียนรู้ที่จะรู้จักในโรงเรียนอนุบาล และเล่นกับมันเหมือนเด็กๆ” Source: Art © Jasper Johns/Licensed by VAGA, New York, NY. Used with permission.
มิติทางกวีและการเมืองของศิลปะแผนที่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินสมัยใหม่ อย่างแจสเปอร์ จอห์น (ดูภาพที่ 6) เช่นเดียวกับศิลปินร่วมสมัย เช่นอาเรียน ลิตต์แมน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลัทธิดาด้า ศิลปินจากกรุงเยรูซาเล็มคนนี้ได้ตัด ฉีก พันผ้าพันแผล และเย็บแผนที่ทางการต่างๆ ของอิสราเอล สหประชาชาติ และปาเลสไตน์ ซึ่งกำหนดเขตแดนระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอล ตลอดกระบวนการทำแผนที่ใหม่นี้ ลิตต์แมนแสวงหากระบวนการเยียวยาบาดแผลลึกที่ก่อขึ้นในอดีตระหว่างคนสองคนนี้ ตลอดกระบวนการจัดสรร/เวนคืนที่ดิน ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยแผนที่อย่างเป็นทางการ (ดูภาพที่ 7) นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของนักเคลื่อนไหวร่วมสมัยยังเป็นแรงผลักดันเบื้องหลัง An Atlas of Radical Cartography (Mogel & Bhagat, 2007) ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับศิลปินด้วยแผนที่และบทความที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการรับรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับเครือข่าย สายเลือด สมาคม และการเป็นตัวแทนของสถานที่ ผู้คน และอำนาจ (Mogel & Bhagat, 2007, p.6) (ดูภาพที่ 8)
ดังที่แสดงไว้ในส่วนนี้ วาระทางการเมืองของศิลปะแผนที่ที่ผสมผสานกับการแสดงออกทางกวีได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินสมัยใหม่และร่วมสมัย หากเราดูให้ดี แผนที่มีอยู่ทั่วไปในศิลปะร่วมสมัย ซึ่งสะท้อนถึงการมีอยู่อย่างกว้างขวางในชีวิตประจำวันของเรา
ภาพที่ 7 อาเรียน ลิตต์แมน กำลังทำการเย็บแผนที่บาดแผลใน Jerusalem's Old City (2011) ในผลงานชุดนี้ ศิลปินได้ตัดชิ้นส่วนของแผนที่อย่างเป็นทางการซึ่งแสดงเส้นสีเขียวระหว่างการตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอลกับหมู่บ้านของชาวปาเลสไตน์ จากนั้นจึงหุ้มชิ้นส่วนเหล่านี้ด้วยผ้าพันแผลและพลาสเตอร์ที่ปลอดเชื้อก่อนจะเย็บด้วยด้ายสีเขียว การตัด ลบ เย็บ และพันแผนที่ด้วยผ้าพันแผล ทำให้ฉันสามารถแยกโครงสร้างลำดับชั้นของอำนาจการทำแผนที่ที่จารึกไว้ในแผนที่ต้นฉบับได้
ภาพที่ 8 ด้วยการกระจายของแผนที่นี้และตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาของคำว่า "Latino/a" และ "America" ศิลปินมีเป้าหมายที่จะท้าทายความหมายของ 'อเมริกา' และความหมายของการเป็น 'อเมริกัน'" ที่มา: Pedro Lasch, LATINO/A AMERICA: ROUTE GUIDES, New York Edition, Vicencio Marquez (2006) แผนที่พิมพ์ สัมผัสกับสภาพอากาศและการใช้งาน พร้อมข้อความ 30x41
การเขียนแผนที่ที่ต้องพิจารณาการแสดงศิลปะและสถานที่
จุดตัดหลักประการที่สามระหว่างศิลปะและการทำแผนที่ที่ระบุในนี้หมายถึงการใช้การทำแผนที่เป็นวิธีการตรวจสอบความสัมพันธ์ของเรากับสถานที่ กับและภายในรูปแบบต่างๆ ของการแสดงออกทางศิลปะ การตรวจสอบประเภทนี้สามารถทำได้เพื่อจุดประสงค์หลักสามประการ คือ ก) เพื่อตรวจสอบโครงสร้างการเล่าเรื่องที่แต่งขึ้นและไม่ใช่เรื่องแต่งผ่านมิติเชิงพื้นที่ ข) เพื่อทำความเข้าใจสถานที่ตามที่ปรากฏในงานศิลปะ โดยเฉพาะในภาพยนต์และนวนิยาย และ ค) เพื่อสำรวจความสัมพันธ์ส่วนตัวและอารมณ์ของเรากับสถานที่ต่างๆ
ความสนใจในการทำแผนที่สถานที่ที่ปรากฏในเรื่องเล่าต่างๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่ (Piatti, 2016) แต่เริ่มแพร่หลายมากขึ้นตั้งแต่ผลงานชิ้นเอกของฟรังโก มอเร็ตติ (Franco Moretti, 1999) เกี่ยวกับการทำแผนที่วรรณกรรม ตามมาด้วยสิ่งพิมพ์ที่หลากหลายในสาขานี้ (Rossetto, 2557) เป้าหมายหลักของการทำแผนที่วรรณกรรมที่สังเคราะห์โดยมอเร็ตติ (Moretti 1999) คือ การจัดเรียงส่วนประกอบของการเล่าเรื่องใหม่ในลักษณะที่คาดไม่ถึงเพื่อนำเสนอโครงร่างที่ซ่อนอยู่ การจัดเรียงใหม่นี้สามารถทำได้ด้วยแผนที่ทั่วไป แต่ยังสามารถกระตุ้นการออกแบบรูปแบบดั้งเดิมของการแสดงออกทางแผนที่เช่นเดียวกับใน Literary Atlas ของแอนดรูว์ เดอกราฟฟ์ (Andrew DeGraff, 2015) แผนที่เหล่านี้สามารถใช้เพื่อศึกษาโครงสร้างเรื่องเล่าเช่นเดียวกับแผนที่ทางภูมิศาสตร์ แท้จริงแล้วงานศิลปะเช่นนวนิยายและภาพยนตร์ถูกมองว่าเป็นฐานข้อมูลทางภูมิศาสตร์ที่สามารถช่วยให้สามารถเข้าใจสถานที่ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
แนวคิดในการทำความเข้าใจสถานที่ต่างๆ ผ่านมุมมองการเล่าเรื่องนี้ฝังอยู่ในโดเมนที่เกิดขึ้นใหม่ของการทำแผนที่เชิงลึก ตามที่ซูซาน มาเฮอร์ (Susan Maher, 2014) อธิบายเกี่ยวกับการทำแผนที่เชิงลึกว่าสามารถกำหนดลักษณะการทำแผนที่เรื่องราวได้มากมาย รวมทั้งเรื่องที่สมมติขึ้นมาด้วย เพื่อจับความรู้สึกเชิงลึกของสถานที่ สิ่งนี้อยู่บนสมมติฐานที่ว่าเราสามารถเข้าใจสถานที่ในเชิงลึกได้โดยการรู้ว่าผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กับสถานที่นั้นอย่างไรและพวกเขารู้สึกอย่างไร และปฏิสัมพันธ์และความรู้สึกเหล่านี้มักจะแสดงออกผ่านเรื่องราว ล่าสุดมีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งได้นำแนวทางดังกล่าวมาเสนอแนวทางใหม่ในการทำความเข้าใจสถานที่ต่างๆ ตามมุมมองนี้ การทำแผนที่อาจรวมกับการแสดงสถานที่และเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับสถานที่เพื่อสนับสนุนความเข้าใจที่ลึกซึ้งนี้ (Bodenhamer, Corrigan & Harris, 2015) ในแง่นั้น การทำแผนที่เชิงลึกเกี่ยวข้องกับงานศิลปะในฐานะทั้งแหล่งข้อมูลที่สามารถจัดทำแผนที่เพื่อช่วยให้เข้าใจสถานที่ในเชิงลึก เช่นเดียวกับรูปแบบของการแสดงออกที่สามารถช่วยเปิดเผยและเป็นตัวแทนของความเข้าใจนี้
แนวคิดเกี่ยวกับสถานที่นี้ยังเกี่ยวข้องกับการเป็นตัวแทนของอารมณ์ การรับรู้ และความรู้สึกส่วนตัวที่เกี่ยวข้อง ศิลปิน คริสเตียน โนลด์ ทำการสำรวจสิ่งนี้โดยพัฒนาวิธีการทำแผนที่อารมณ์และชุดเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คนวัดและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับการตอบสนองทางสรีรวิทยาขณะเดินในเมือง สร้างแผนที่อารมณ์ความรู้สึก (emotional maps) ของเมืองต่างๆ เช่น ปารีส และซานฟรานซิสโก (Nold, 2009) iug[H8dhk รีเบ็คก้า โซลนิต นักเขียนชื่อดังทำงานร่วมกับศิลปินและนักทำแผนที่ เพื่อสร้างแผนที่ต้นฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเขียนเรียงความ โดยนำเสนอตัวอย่างมุมมองส่วนบุคคลและบทกวีเกี่ยวกับเมืองสามแห่งในอเมริกา (Solnit, 2010; Solnit & Snedeker, 2013; Solnit & Jelly-Schapiro, 2016) (ดูภาพที่ 3.9) g[Hdduh 8^gxviเบ็กกี้ คูเปอร์ Cooper (2013) ศิลปินผู้ได้รับแรงบันดาลใจจากความแปลกประหลาดของเรื่องราวส่วนตัว เชิญชวนให้ชาวแมนฮัตตันวาดแผนที่นิวยอร์กซิตี้ของตนเอง เน้นความเชื่อมโยงทางอารมณ์ของผู้สร้างแผนที่มือสมัครเล่นกับสถานที่ต่างๆ ผ่านความทรงจำในวัยเด็ก เรื่องราวความรัก และอารมณ์ความรู้สึกอื่นๆ เครื่องหมาย การผสมผสานสถานที่ใกล้ชิดเข้ากับการทำแผนที่อย่างมีศิลปะยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของ Everything Sings (Wood, 2010b) ซึ่งเป็นแผนที่เล่าเรื่องของ Boylan Heights ซึ่งเป็นย่านในเมืองราลี รัฐนอร์ทแคโรไลนา ระหว่างทศวรรษ 1980 เดนิส วู้ด และนักศึกษาของเขาที่มหาวิทยาลัยนอร์ธ แคโรไลนา สเตท ได้รวบรวมและทำแผนที่เกี่ยวกับบทกวีและองค์ประกอบที่ไม่ธรรมดาของเมือง เช่น ฟักทองฮัลโลวีน หรือโคมไฟถนน เพื่อเสนอมุมมองทางเลือกของย่านนี้ (ดูภาพที่ 10) ตัวอย่างแผนที่ที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่เหล่านี้เชิญชวนให้ผู้อ่านดูสถานที่เฉพาะผ่านแผนที่จากมุมมองที่ไม่เหมือนใคร พวกเขายังขยายแนวคิดดั้งเดิมของแผนที่เพื่อเสนอการสำรวจด้วยภาพของชั้นของความหมายที่มีอยู่ภายในสถานที่ โดยรวบรวมและผสมผสานเทคนิคทางศิลปะหลายอย่างเข้ากับกระบวนการสร้างแผนที่ เช่น ภาพปะติด ภาพวาด ประติมากรรม ภาพวาด และแม้แต่การเล่าเรื่อง (ดูตัวอย่างอื่นๆ ใน GNS, 2003; Harmon, 2004, 2009; Watson 2009; Monsaingeon, 2013)
ภาพที่ 9 ภาพระยะใกล้บนแผนที่ “Lead and Lies” จากหนังสือ Unfathomable City: A New Orleans Atlas ของรีเบ็คกา โซลนิต (Solnit 2013) ในแผนที่นี้ ผู้เขียนซ้อนทับความเข้มข้นของตะกั่วในดินของเมืองด้วยเรื่องโกหกทางการเมืองตั้งแต่ปี 1699 ที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางสังคมและเชื้อชาติของเมือง Source: Used with permission of the publisher.
ภาพที่ 10 หนึ่งในแผนที่ใน Everything Sings โดยเดนิส วู้ด (Wood 2010b) แทนที่จะเน้นที่ลวดลายแบบดั้งเดิม เช่น ถนน อาคาร หรือที่ดิน วูดและนักเรียนของเขาทำแผนที่องค์ประกอบที่ไม่ธรรมดาของเมือง (ในกรณีนี้คือไฟถนน) เพื่อเน้นการเล่าเรื่องแบบกวีที่ "เอาใจใส่ต่อ ประสบการณ์ของสถานที่” (Wood, 2015, p. 307) Source: Used with permission of the author.
จุดตัดที่สามระหว่างศิลปะและการทำแผนที่ เน้นย้ำถึงพลังของแผนที่ในการชมงานศิลปะจากมุมมองเชิงพื้นที่ เช่นเดียวกับการสำรวจสถานที่ต่างๆ ผ่านงานศิลปะที่เกี่ยวข้อง วิธีที่ศิลปะและศิลปินพูดถึงสถานที่สามารถปรับปรุงได้เมื่อมีการระดมการทำแผนที่ ช่วยให้เราเข้าถึงและเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกส่วนตัว บทกวี และการตีความที่ซับซ้อนมากขึ้นของสถานที่เหล่านี้
ท้ายบท
ภาพรวมของความสัมพันธ์ระหว่างการทำแผนที่และศิลปะนี้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองโดเมนได้ตัดกันในหลายระดับตลอดประวัติศาสตร์ แนวปฏิบัติทางศิลปะที่ผสมผสานกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อการออกแบบแผนที่ดังตัวอย่างที่โดดเด่น เช่น แผนที่ใต้ดินลอนดอนของเบ็ค (Beck’s London Underground Map 1933) ซึ่งเป็นข้อมูลอ้างอิงพื้นฐานสำหรับแผนที่รถไฟใต้ดินทั้งหมดทั่วโลก The Earth from Space (1990) หนึ่งในภาพที่ขายได้มากที่สุดในโลก และ Google Earth ซึ่งได้กำหนดวิธีที่เราใช้และโต้ตอบกับแผนที่และลูกโลกใหม่ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2005 ตลอดศตวรรษที่ 20 ขบวนการแนวหน้าของยุโรปเช่น กลุ่มศิลปะที่เชื่อในลัทธิดาด้า ลัทธิเหนือจริง และลักทธิสถานการณ์นิยม ยังได้เปิดเผยและท้าทายรูปแบบต่างๆ ของ พลังที่อยู่เบื้องหลังความพยายามในการทำแผนที่ใด ๆ ปูทางไปสู่การเกิดขึ้นของการทำแผนที่ที่สำคัญ การเคลื่อนไหวเหล่านี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินร่วมสมัยแสดงวิสัยทัศน์ทางสุนทรียะและการเมืองของโลกผ่านแผนที่ ในที่สุด ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 20 นักวิชาการจากมนุษยศาสตร์ได้ค้นพบพลังของแผนที่ในการเปิดเผยโครงสร้างการเล่าเรื่องที่ซ่อนอยู่ในนวนิยายและภาพยนตร์ ดังนั้น นักภูมิศาสตร์ นักทำแผนที่ และนักวิชาการอื่นๆ จึงเริ่มตระหนักว่าเนื้อหานี้เป็นแหล่งข้อมูลทางภูมิศาสตร์ที่มีความหมาย ซึ่งสามารถนำมาทำแผนที่เพื่อทำความเข้าใจสถานที่ต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น
บทวิจารณ์สั้นๆ นี้ ชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและการทำแผนที่มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น
หวังว่าสิ่งนี้จะสามารถสร้างรูปแบบใหม่ของแผนที่และแนวปฏิบัติในการทำแผนที่ต่อไป
ซึ่งสามารถช่วยแก้ไขปัญหาทางการเมือง สังคม
และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนในวงกว้างที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น