อัจฉริยะ .. สร้างได้ !
สิบกว่าปีผ่านมาแล้ว รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการของมหาวิทยาลัยท่านหนึ่งให้ผมเข้าไปหารือเกี่ยวกับพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาศึกษาทั่วไป ผมเรียนท่านไปว่าวิชาศึกษาทั่วไปไม่ใช่วิชาสุกเอาเผากิน แต่เป็นวิชา initiate ในการสร้างความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นให้กับผู้เรียนที่จะถูกผลักเข้าไปสู่กระบวนการสร้างคนมีความรู้ตามสาขาที่เขาและเธอเลือกเข้ามาเรียน เพราะการที่แต่ละสารัตถะได้รับการแบ่งสรรให้เป็นวิชาๆ หนึ่งได้นั้น ต้องยืนอยู่บน intellectual ที่มีความเป็น comprehensive, inclusive และ holistic ของ content, approach และ value เพื่อสนับสนุนการสร้างทรัพยากรบุคคลในสาขาวิชาต่างๆ ที่ประเทศและสังคมต้องการ
วันนั้นผมยังได้นำเรียนต่อไปอีกว่า ในฐานะผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ เราต้องเชื่อมั่นอย่างจริงจังว่า ’คนเก่งสร้างได้‘ แล้วเราทุกๆ ส่วนต้องร่วมกันสร้างสิ่งที่ฝันนั้นร่วมกัน
ปีนี้ 2024 สถานศึกษาระดับมัธยมศึกษาแห่งหนึ่ง เขาจะจัดงานแข่งขันวิชาการของนักเรียนชิงรางวัลใหญ่ ตั้งชื่องานด้วยคำว่า genius challenge ได้ยินได้ฟังแล้วตื่นเต้นกับเป้าหมายของงานมาก แต่ก็เกิดคำถามในใจว่า เขาคงจะเอาคำถามต่างๆ ตามกรอบสาระการเรียนรู้มาให้นักเรียนตอบ ใครตอบได้มาก คนนั้นก็เป็นผู้ชนะเลิศรับรางวัล genius challenge ซึ่งหากเป็นไปอย่างนั้น มันจะใช่รื๊อ ?
ในฐานะนายกสมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย ผมเรียนผู้อำนวยการท่านไปว่า ชื่องานชื่อรางวัลมันท้าทายเอามากๆ ซึ่งท่านและทีมงานก็เห็นด้วย แต่จะสร้างกิจกรรมให้ท้าทายผู้เข้าร่วมได้อย่างไร ค่อยๆ หารือกันไป ซึ่งผมเองเห็นว่า น่าจะเอาคำว่า ’คนเก่งสร้างได้‘ ที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้นมาใช้ หลักการง่ายๆ ครับ คือ แทนที่จะทำกันแบบเดิมๆ ด้วยการสร้างข้อสอบมาวัด intellegence ของนักเรียน ให้เปลี่ยนเป็นการสร้างเครื่องมือประเมินพัฒนาการของการสร้างคนเก่ง
ทีนี้ขั้นตอนจะทำกันอย่างไร อันนี้ต้องมาว่ากันในรายละเอียดทีละเปราะ ทีละเปราะ ต้องอาศัยเวลา สารสนเทศ ความใส่ใจ และครีเอทิวิตี้ แต่ว่าอย่างแรกที่ต้องทำ คือ ทำความเข้าใจกับหลักการที่ว่า ’คนเก่งสร้างได้‘ ซ่ะก่อน
เพื่อเตรียมการไปสู่กระบวนการสร้างคนเก่ง มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจมากอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเดียวกับหลักการที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเรื่องของครอบครัวนักจิตวิทยาชาวฮังกาเรียนกับภริยาที่เป็นครูสอนภาษาชาวยูเครน ลองอ่านเรื่องแปลกแต่จริงและทำได้ของครอบครัว Polgár ลองอ่านดู
László กับ Klara Polgár สองสามีภริยาเชื่อว่าพวกเขารู้วิธีสร้างอัจฉริยะ พวกเขาแต่งงานและดำเนินตามขั้นตอนต่างๆ ก่อนที่ลูกๆ ซึ่งพวกเขาได้ปูทางสู่ความสำเร็จในอนาคตเอาไว้จะเกิดด้วยซ้ำ พวกเขาใช้ทฤษฎีอัจฉริยะเชิงสร้างสรรค์ (theory of creative genius) ของ László เพื่อเปลี่ยนแปลงลูกสาวทั้งสามคนให้เป็นนักหมากรุกระดับแชมป์โลกได้สำเร็จ แล้วกับพวกเราละ พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แน่ใจว่าลูกๆ จะประสบความสำเร็จแบบนั้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
László Polgár เป็นนักจิตวิทยาชาวฮังการี เขายื่นข้อเสนอขอแต่งงานกับสาวในแบบที่ไม่มีใครเหมือนมาก่อน ให้กับ Klara แฟนสาวที่อยู่ต่างแดนและห่างไกล Klara เป็นครูสอนภาษาในยูเครน ระหว่างเกี้ยวพาราสีในช่วงแรกๆ เขาเขียนถึง Klara โดยอธิบายว่าด้วยการใช้วิธีการศึกษาและฝึกอบรมของเขา เขาสามารถเปลี่ยนเด็กที่มีภูมิหลังใดๆ ไม่จำกัดให้เป็นอัจฉริยะได้ แต่ว่าตอนนี้เขามีปัญหาสำคัญอย่างหนึ่ง คือ เขาไม่มีลูกเป็นของตัวเอง
เขาจึงขอให้ Klara แต่งงานกับเขา และเธอก็ตอบตกลง!
เมื่อทั้งคู่แต่งงานกันและย้ายไปอยู่ฮังการี ที่นี่พวกเขามีลูกสาวสามคน และร่วมกันพิจารณาสิ่งที่พวกเขาจะสามารถฝึกฝนลูกๆ ได้ พวกเขาพูดคุยกันถึงงานทางด้านภาษา คณิตศาสตร์ และอื่นๆ อีกหลายสาขา แต่ก็มาสรุปตกลงกันได้ที่ ‘หมากรุก‘ ซึ่งโดยปรกติจะมีผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นชาย เมื่อตัดสินใจได้แล้ว พวกเขาก็เริ่มดำเนินการตามแผนที่จะปั้นลูกหลานให้เป็นผู้เล่นระดับโลกทันที
ก่อนที่ László จะได้พบกับ Klara เขาได้เขียนหนังสือชื่อ Nevelj zsenit! - Bring Up Genius ซึ่งเขาสรุปทฤษฎีของเขาโดยอิงจากการศึกษาอัจฉริยะเชิงสร้างสรรค์หลายร้อยคน เช่น ไอน์สไตน์ และโสกราตีส และเขาได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือตอนหนึ่งว่า "อัจฉริยะเท่ากับงานและสถานการณ์ที่โชคดี... อัจฉริยะถูกสร้างขึ้นมา ไม่ใช่เกิดขึ้นมา" และเชื่อมั่นในความถูกต้องอย่างชอบธรรมของสมมติฐานของเขา ดังนั้น ด้วยวิธีการ อุปกรณ์ วัสดุ และวิชาต่างๆ ที่พร้อม László และ Klara จึงเริ่มต้นภารกิจอันยาวนานของพวกเขา
ครอบครัว Polgárs เริ่มการทดลองในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ด้วยสมมติฐานที่ว่าเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงสามารถเป็นอัจฉริยะในสาขากีฬา วิทยาศาสตร์ หรือศิลปะใดๆ ก็ได้ ตราบใดที่การศึกษาของพวกเขาเริ่มต้นเมื่ออายุประมาณ 3 ขวบ และพวกเขาก็จะเริ่มมีความเชี่ยวชาญเมื่ออายุ 6 ขวบ อย่างไรก็ดี งานของพวกเขากลับกลายเป็นที่ถกเถียงกัน และพวกเขาก็พบกับการต่อต้านจากเพื่อนบ้านและหน่วยงานท้องถิ่น
ผู้คนกล่าวว่าครอบครัว Polgárs กำลังทำลายลูกๆ และพวกเขาต้องต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนเพื่อให้ได้สิทธิ์ในจัดารการศึกษาแบบโฮมสคูลของเด็กหญิงทั้งสามคน อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องอดทนอยู่ในอพาร์ทเมนต์เล็กๆ ในกรุงบูดาเปสต์ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์การเล่นหมากรุก แต่แล้วทั้ง Zsuzsa, Sofia และ Judit ก็เข้ารับค่าเล่าเรียนจากทางการ แม้ว่าจะมีการต่อต้านมากมายก็ตาม ในความเป็นจริง อาจเป็นเพราะมีการต่อต้านอย่างมาก เลยทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น และเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กผู้หญิง
“เมื่อได้ดูเรื่องราวชีวิตต่างๆ ของอัจฉริยะหลายคนแล้ว ก็พบสิ่งเดียวกัน คือ ทุกเรื่องเริ่มต้นตั้งแต่อายุยังน้อยมาก และมุ่งมั่นกับศึกษาอย่างเข้มข้น” László Polgár
ผู้ชายครองโลกของหมากรุกมานานหลายศตวรรษ แต่สาวๆ จากครอบครัว Polgár กำลังเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่าง กล่าวคือ ในปี 1973 เมื่ออายุได้สี่ขวบ Zsuzsa ชนะการแข่งขันครั้งแรก และเมื่ออายุได้สิบห้าปีก็ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นหมากรุกหญิงที่เก่งที่สุดในโลก ต่อมาเธอกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับตำแหน่ง grandmaster ในเส้นทางเดียวกับที่ผู้ได้รับรางวัลชายคนก่อนๆ ทุกคนต้องทำ
ลูกสาวคนที่สาม Judit กลายเป็น grandmaster เมื่ออายุ 15 ปี ทำให้เธอเป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุดที่เคยได้รับรางวัลนี้ สำหรับ Sofia เด็กหญิงคนกลาง แม้จะได้คะแนนมากพอที่จะคว้ารางวัลนี้ แต่ก็ไม่เคยได้รับการย่องย่องบนสถานะ grandmaster ซึ่งบางคนกล่าวว่าเป็นเพราะเหตุผลทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของเธอยังคงน่าประทับใจ โดยได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักเล่นหมากรุกหญิงที่เก่งที่สุด อันดับที่ 6 ของโลก
การทดลองของ László กับ Klara Polgár ประสบความสำเร็จด้วยมาตรการภายนอกทั้งหมด แม้ว่าจะคำนึงว่าสาวสามคนของพวกเขาต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไร? รายงานจากเด็กผู้หญิงในปีต่อๆ มาชี้ให้เห็นว่าการเรียนรู้และการฝึกฝนของพวกเธอเป็นเรื่องสนุก พวกเขาบอกว่าพวกเธออยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับหมากรุกและเลือกที่จะเล่นหมากรุก — ไม่เคยถูกบังคับ และพวกเขาก็พูดถึง “บรรยากาศที่พิเศษมาก” ในบ้านของพวกเขา
“ในตอนแรกมันเป็นเกม ต่อมาหมากรุกสำหรับฉันกลายเป็นกีฬา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ ทุกสิ่งทุกอย่างรวมกัน ฉันจดจ่อกับหมากรุกมากและมีความสุขกับโลกนั้น ฉันไม่ใช่คนชื่นชอบการเป็นกบฏและไม่ชอบออกไปข้างนอก ฉันมีความสุขที่บ้านเราที่เป็นวัฐจักรของความใกล้ชิด จากนั้นเราก็ออกไปเล่นหมากรุกและมองดูโลก” Judit Polgár กล่าว
ระดับความหลงใหลในเกมของเด็กหญิงดูจะรุนแรงมากอย่างเห็นได้ชัด โดยกลางดึกของคืนหนึ่ง László พบลูกสาวของเขา Sofia นั่งคุกเข่าอยู่ในห้องน้ำโดยมีกระดานหมากรุกอยู่ตรงหน้า เขาบอกให้เธอละจากสิ่งนั้นเสีย แล้วกลับไปนอน แต่เธอกลับตอบออกมาว่า “พ่อ ตัวหมากรุกเหล่านี้ เขาจะไม่ยอมทิ้งหนูไว้ตามลำพัง” นั่นแสดงให้เห็นได้ว่าเธอและน้องสาวของเธอมีความมุ่งมั่นและหมกมุ่นอยู่กับเกมนี้เป็นอย่างมาก
ในหนังสือของ Anders Ericsson (2017 ) เรื่อง Peak; how all of us can achieve extraordinary things ซึ่ง Ericsson อธิบายว่า Zsuzsa, Sofia และ Judit เดินไปตามเส้นทางที่อัจฉริยะผู้สร้างสรรค์ที่มีประสิทธิภาพสูงทุกคนดูเหมือนจะเดินทาง เขากล่าวว่าการพัฒนาของผู้เชี่ยวชาญต้องผ่านสามขั้นตอนตั้งแต่เริ่มเกิดความอยากรู้อยากเห็นไปจนถึงอัจฉริยะด้านความคิดสร้างสรรค์ที่เต็มเปี่ยม โดยปกติแล้ว เขากล่าวว่ากระบวนการนี้เริ่มต้นในวัยเด็กหรือวัยรุ่นตอนต้นและดำเนินต่อไปอย่างน้อยสิบปีจนกว่าเด็กจะมีความเชี่ยวชาญ
และจากนั้นก็ดำเนินต่อไป ในการแสวงหาความสมบูรณ์แบบและการตอบคำถามอันร้อนแรงอย่างไม่หยุดยั้ง ผู้เชี่ยวชาญพยายามผลักดันขอบเขตความสามารถของตนเองอยู่เสมอ ในที่สุด พวกเขาไม่เพียงแต่ทำลายขีดจำกัดส่วนตัวของพวกเขาลงเท่านั้น หากแต่ยังทำลายขีดจำกัดของโดเมนด้วย และนำเสนอผลงานที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์มาสู่โลก Ericsson สรุปขั้นตอนการสร้างอัจฉริยะไว้ 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 ความอยากรู้อยากเห็น
ขั้นแรกของการพัฒนาสู่ความเป็นอัจฉริยะ ถือได้ว่าความอยากรู้อยากเห็นเป็นตัวขับเคลื่อนเด็ก หรือบางทีอาจเกิดจากความอยากรู้อยากเห็น ดูจะเป็นวลีที่ดีกว่า เพราะความอยากรู้อยากเห็นรู้สึกเหมือนเป็นสุญญากาศที่เราถูกพาเข้าไป แทนที่จะถูกผลักดันหรือผลักไส เด็กต้องการตรวจสอบทุกสิ่ง ความปรารถนาและแรงจูงใจของพวกเขาเป็นของพวกเขาเอง และวัตถุต่างๆ ในโลกก็ทำหน้าที่เป็นช่องทางในการสำรวจ ในช่วงแรกนี้เองที่ Polgárs ได้พยายามร่วมกันเพื่อโน้มน้าวลูกหลานของตน
Zsuzsa Polgár อธิบายในการสัมภาษณ์นิตยสารต่อคำถามที่ว่าเธอจำปฏิสัมพันธ์ครั้งแรกกับหมากรุกได้อย่างไร “ใช่ พ่อของฉันให้เราเลือกอยู่ในสาขาอาชีพใดก็ได้ แต่เป็นฉันเองที่เลือกหมากรุกตั้งแต่อายุสี่ขวบ .. ฉันชอบเป็นนักเล่นหมากรุก หมากรุกเป็นของเล่นสำหรับฉัน และต่อมาหมากรุกก็เป็นตรรกะที่ทำให้ฉันทึ่งและเป็นความท้าทาย”
Ericsson กล่าวได้ว่าในระยะแรกนี้ พ่อแม่มีบทบาทสำคัญในพัฒนาการของเด็ก ด้วยการมอบความรัก การให้เวลา ความเอาใจใส่ และการให้กำลังใจแก่ลูก พวกเขาจึงมุ่งความสนใจไปที่ความสนใจของเด็ก เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ปกครองจะต้องให้คำชี้แนะถึงประโยชน์ของการมีวินัยในตนเอง การอุทิศตน และความรับผิดชอบ ควบคู่ไปกับการรักษาสัดส่วนที่สำคัญของการเล่น การสนับสนุนเสริมพลังให้กับพฤติกรรมเช่นนั้นของเด็กต้อวได้รับการยกย่องและให้รางวัล นอกจากนี้การสนับสนุนเสริมพลังยังทำได้โดยการสังเกตของเด็กเล็กต่อคนโตอีกด้วย
บนความก้าวหน้าของเด็กๆ เด็กจะสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเกมมากขึ้น สำหรับ Zsuzsa มันเป็นช่วงที่องค์ประกอบเชิงตรรกะและเชิงกลยุทธ์เข้ามาแทนที่การเล่น เป็นแง่มุมของการเล่นที่กว้างยิ่งขึ้น และนี่คือจุดที่การสร้างอัจฉริยะของเด็กก้าวเข้าสู่ระยะที่สอง
ขั้นที่ 2 เอาจริงเอาจัง
Ericsson กล่าวว่าในช่วงหลายปีก่อนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น และหลังจากที่เด็กแสดงสัญญาที่สำคัญ พวกเขาก็มองหาครูหรือโค้ช และจะต้องได้พบกับการฝึกฝนด้วยความจริงจังและจริงใจ (deliberate practice) เป็นครั้งแรก ขณะที่การเล่นยังคงเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของประสบการณ์ส่วนตัวของเด็ก แต่จะต้องเน้นย้ำเกี่ยวกับการดำเนินการที่จริงจังและจัดการปรับแต่งภาระงานสำคัญๆ ให้เหมาะสม
ครูไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้วยตนเอง พวกเขาเพียงแค่ต้องมีความเชี่ยวชาญพอสมควร แค่นั้นก็พอ László Polgár ไม่ใช่นักเล่นหมากรุกที่เก่งกาจ และลูกสาวของเขาก็เก่งกว่าเขามากขึ้นๆ อย่างรวดเร็ว แต่ก็อย่างที่ Judit กล่าวในการให้สัมภาษณ์ พ่อของเธอเป็น “ผู้สร้างแรงบันดาลใจและมีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยม”
คุณลักษณะของครูเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อนักเรียนรุ่นเยาว์ ครูของพวกเขาจะต้องมีความสามารถในการฝึกสอนและส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะ การพัฒนา และประสิทธิภาพในระดับที่สูงขึ้น แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว แรงจูงใจของเด็ก (หรือของคุณไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไรก็ตาม) จะต้องเป็นเรื่องภายใน การศึกษาสมรรถนะของมนุษย์แสดงให้เห็นว่าแรงจูงใจจากภายนอกนั้นหาได้ยาก ดังนั้น เพื่อที่จะเดินทางบนเส้นทางอันยาวไกลไปสู่ความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์ เราจึงต้องมีแรงจูงใจในตนเอง
Ericsson กล่าวว่าเรารู้ว่าการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจะเปลี่ยนแปลงระบบประสาทของสมอง ซึ่งนำไปสู่ความสามารถที่เพิ่มขึ้นในทักษะที่ฝึกฝน เขาสงสัยว่ามีพื้นฐานทางระบบประสาทที่ส่งผลต่อแรงจูงใจและความเพลิดเพลินหรือไม่ ปัจจุบันยังไม่ชัดเจน สิ่งที่เรารู้ก็คือผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายล้วนได้รับความพึงพอใจอย่างมากจากการทำงานของพวกเขา — พวกเขาชอบที่จะทำงานนั้น
เมื่อพิจารณาเรื่องนี้แล้ว ดูเหมือนว่าทั้งบุคคลกับงานในระยะที่หนึ่งนั้น จะกลายมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นการผสมกลมกลืนกับงานและสั่นสะเทือนด้วยความถี่เดียวกันกับกิจกรรม ซึ่งเรื่องนี่ผู้ที่มีประสบการณ์สูงสุด Abraham Maslow (2018) ระบุเอาไว้ในหนังสือ Toward A Psychology of Being โดยบอกว่า
“ผู้ที่อยู่ในประสบการณ์ระดับสูงสุดจะรู้สึกเป็นบูรณาการ เป็นหนึ่งเดียว เป็นทั้งหมดมั้งมวล เรียกว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของๆ สิ่งหนึ่ง (all-of-a-piece) เป็นได้มากกว่าครั้งอื่นครั้งใด นอกจากนี้ เขายังจะมองว่าผู้สังเกตการณ์มีความเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น แบ่งแยกหรือแยกตัวออกจากกันน้อยลง” Abraham Maslow
ขั้นที่ 3 มุ่งมั่นทุ่มเท
ช่วงวัยรุ่นตอนต้น เป็นห้วงเวลาที่อัจฉริยะในอนาคตจะตัดสินใจทุ่มเทอย่างเต็มที่ พวกเขาตัดสินใจอย่างมีสติที่จะอุทิศชีวิตของตนให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเขามุ่งมั่นและละทิ้งกิจกรรมอื่นๆ ทั้งหมดที่ไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาไปสู่ความเป็นผู้เชี่ยวชาญ อัจฉริยะคนนั้นเขาจะแสวงหาโรงเรียนและครูสอนพิเศษที่ดีที่สุด และหากจำเป็น เขาก็ออกเดินทางไปยังประเทศอื่นเพื่อเข้าถึงโรงเรียนเหล่านั้น
เงินช่วยได้มาก การฝึกอบรมอาจมีราคาแพง โดยมีค่าใช้จ่ายเป็นหมื่นๆ ต่อปี Ericsson อ้างอิงบทความที่เขียนไว้เมื่อปี 2014 ในนิตยสาร Money Magazine ซึ่งเสนอเงิน 30,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อปีสำหรับเด็ก เพื่อเข้ารับการฝึกเทนนิสชั้นยอด อย่างไรก็ตาม การสร้างอัจฉริยะไม่จำเป็นต้องมีเงินในกระเป๋าเสมอไป พ่อแม่ที่มีเงินเพียงเล็กน้อยและได้รับการสนับสนุนจากผู้ใจดี เช่น Polgárs ก็สามารถสร้างความแตกต่างได้ แต่ว่าในความเป็นจริง เงินจำนวนมากและการไม่มีการสนับสนุนมักจะทำให้นักเรียนไปไหนไม่ได้
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งของการพัฒนาความเชี่ยวชาญในเด็ก คือ การควบคุมโมเมนตัมของการเจริญเติบโตในร่างกาย หากพวกเขาไม่ได้พัฒนาทักษะเฉพาะในเยาวชน ก็จะไม่ค่อยพัฒนาในชีวิตบั้นปลาย ตัวอย่างเช่น เพื่อให้นักเต้นบัลเล่ต์ได้รับช่วงการเคลื่อนไหวที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการแสดง พวกเขาจะต้องทำเช่นนั้นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก กระดูกจะเจริญเติบโตเต็มที่ และข้อต่อจะแข็งตัวตามอายุ และการพัฒนาทักษะบัลเล่ต์ที่จำเป็นนั้นเป็นไปไม่ได้ ไหล่ สะโพก เข่า ฯลฯ สามารถปั้นไปที่ปลายที่ต้องการได้ แต่ต้องทำตั้งแต่เนิ่นๆ
ที่สำคัญมาก เราต้องควบคุมโมเมนตัมของการพัฒนาสมองตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วย มีผลการศึกษาพบว่าพื้นที่บางส่วนของสมองได้รับการพัฒนาในบุคคลที่เป็นศิลปินมากกว่าในศิลปินที่ไม่ใช่ศิลปิน ขณะเดียวกันนักดนตรีก็ยังมีพื้นที่สมองขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งไม่พบในผู้ที่ไม่ใช่นักดนตรี เราจะเห็นสิ่งนี้ได้โดยเฉพาะในนักดนตรีที่เริ่มต้นในวัยเด็ก ดังนั้นจึงสรุปได้จากการวิจัยที่ปรากฏว่า หากต้องการให้ลูกเก่ง จงเริ่มต้นตั้งแต่เนิ่นๆ
มันเป็นช่วงของการเรียนรู้ที่ละเอียดอ่อนและสำคัญมากๆ สำหรับเด็ก และเมื่อความทะเยอทะยานอยู่กับพ่อแม่เป็นหลัก เด็กก็สามารถทนทุกข์ได้ อย่างไรก็ตาม หากวัยรุ่นที่มีความสามารถมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะของตนให้สมบูรณ์แบบ ขอความช่วยเหลือจากครูสอนพิเศษที่มีความมุ่งมั่นพอๆ กัน พวกเขาก็อาจก้าวไปสู่จุดสูงสุดในสาขาของตนได้
ถึงตรงนีคุณ้แล้ว ผู้อ่านทั้งหลายลองตอบตัวเองหน่อยว่า จะทำแบบเดียวกับที่ Polgár และภรรยาทำ เพื่อให้ลูกๆ ของของเรามีวินัยมากเป็นพิเศษแบบนั้นไหม? หรือเป็นเพราะ Polgár หมกมุ่นอยู่กับหมากรุกและทฤษฎีของเขาอย่างมาก และพร้อมที่จะทุ่มสุดตัวเพื่อพิสูจน์ตัวเองใช่ไหม?
สิ่งสำคัญ คือ ลูกสาวทั้งสามของ Polgár อยากเล่นหมากรุก พวกเธอไม่ได้ถูกฉุดลากและออกคำสั่งบีบบังคับให้มุ่งความสนใจแต่ที่กระดานหมากรุกแค่นั้น László และ Klara สร้างบรรยากาศที่สนุกสนานและครึกครื้นตลอดทั้งเกม เมื่อเผชิญกับแรงกดดันภายนอกที่ไม่พึงประสงค์ พวกเขาก็มีความเป็นหนึ่งเดียวกันในชีวิตครอบครัวมากยิ่งขึ้น — พวกเขาต่อต้านโลก
ต่อมา เมื่อเรื่องราวดำเนินต่อไป Polgár ต้องการรับเด็กที่ไม่ใช่คนผิวขาวสามคนมาเลี้ยงจากประเทศโลกที่สาม เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีอัจฉริยะสร้างได้ของเขาที่แม่นยำยิ่งขึ้น เขาได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากนักธุรกิจมหาเศรษฐีคนหนึ่ง แต่แผนดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นจริง ดูเหมือนว่าความกดดันจาก Klara และการตระหนักว่าชีวิตไม่ใช่แค่เรื่องหมากรุกเท่านั้น László ตัดสินใจที่จะไม่ดำเนินการต่อ
เมื่อนึกถึงเรื่องราวของ Polgár ก็ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่ง เกี่ยวกับความตั้งใจที่มีต่อลูกๆ หลายคนคำนึงถึงอนาคตของลูกๆ แล้วก็ตรึกตรองต่ออีกว่าจะช่วยเหลือสร้างความสุขและความสำเร็จให้กับพวกเขาได้อย่างไร รวมถึงเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย การชี้ไปทางใดทางหนึ่งโดยแนะนำสิ่งที่พวกเขาอาจสนใจ หลายคนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรับรู้ให้ได้ว่าความสนใจของลูกๆ อยู่ที่ไหน และเพียรพยายามจะกระตุ้นให้เกิดสิ่งนั้นขึ้น
การปฏิบัติเช่นนั้น จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแสดงอิทธิพลต่อพวกเขาได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เชื่อว่าทางที่ดี พ่อแม่ผู้ปกครองล้วนอยากให้พวกเขาเลือกทางเดินด้วยตัวเอง พวกเขาจะมีองค์ประกอบหลายอย่างที่แย่งชิงความสนใจของพวกเขา และพวกเราต้องการช่วยให้พวกเขามีสมาธิ แต่มันคือชีวิตของพวกเขา และพวกเราต้องการให้ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาเติบโตตามธรรมชาติมากกว่าผ่านการออกแบบของใครคนใดคนหนึ่ง
ถึงตรงนี้แล้วทำให้อดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกว่า Polgár ไล่ตามความทะเยอทะยานของตัวเองผ่านลูกๆ ของเขา และนั่นอาจเป็นเงาของเรื่องทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น สาวๆ บอกว่าพวกเขาเลือกหมากรุกและดูเหมือนพวกเธอจะมีชีวิตครอบครัวที่ดี ดังนั้น พวกเราทั้งหลายใช่ว่าจะไปตัดสินใครได้
ครอบครัว Polgárs แสดงให้เห็นว่าเมื่อพิจารณาจากตัวแปรที่มีอยู่สำหรับพวกเขา สภาพแวดล้อมที่น้อยและความกดดันในการปรับให้เป็นไปตามปกติ การแกะสลักความเชี่ยวชาญระดับอัจฉริยะให้กับลูกๆ ของพวกเขาจึงเป็นไปได้ และยืนยันได้ว่าปลายทางที่วางเอาไว้เป็นสิ่งกำหนดวิธีการที่จะเดินไปสู่สิ่งนั้น
แล้วเราควรทำตามไหม? เราควรสร้างชีวิตลูกหลานด้วยความตั้งใจมากขึ้นหรือปล่อยให้พวกเขาพัฒนาไปตามครรลอง?
ที่มา Larry G.Maquire (2020). How To Create A Genius. สืบค้นจาก
https://larrygmaguire.com/how-to-create-a-genius/ เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น