หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2568

สงครามของผู้หญิงผู้ชาย

 สงครามของผู้หญิงผู้ชาย amazon war

พัฒนา ราชวงศ์ อาศรมภูมิวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

คำว่า แอมะซอน เชื่อกันว่ามาจากคำภาษากรีกโบราณว่า แมซอน ซึ่งแปลว่า ไม่มีหน้าอก ตามตำนานเล่าว่า ชาวแอมะซอนแต่ละคนได้ผ่าอกขวาของเธอจนไหม้เกรียม เพื่อไม่ให้รบกวนการใช้ธนูของเธอ ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ชาวแอมะซอนเป็นตัวแทนของชาตินักรบหญิง ดินแดนบ้านเกิดของพวกเธอย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยขึ้นอยู่กับผู้บอกเล่า แต่ชาวแอมะซอนมักจะถูกมองว่าอาศัยอยู่ในดินแดนที่อยู่เลยขอบเขตของโลกที่เรารู้จักในแง่นี้ เรื่องราวของพวกเธอก็เลยแตกต่างจากเรื่องราวที่คุ้นเคยเกี่ยวกับดินแดนอันห่างไกลที่ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างถูกดำเนินการอย่างผิดวิธีที่คนทั่วไปรู้จักคุ้นเคย — Cynthia Enloe, Does Khaki Become You?



ภาพที่ 3.12 Countess Markievicz, Source: Courtesy of the National Library of Ireland Lawrence Collection.


ตำนานและเรื่องเล่าปรัมปรามักเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจากชีวิตประจำวันในอดีต น่าแปลกที่อาจเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าตำนานของชาวแอมะซอนสะท้อนชีวิตร่วมสมัย โดยที่ผู้หญิงมีส่วนร่วมในการทำสงครามอย่างแข็งขันนั้นจะถูกมองว่าไม่ได้อยู่ในสถานะที่เป็นบรรทัดฐานของภูมิทัศน์ ดังที่แจ็กคลิน เอนโล (Enloe 1983) ให้เหตุผลเอาไว้ โลกของแอมะซอนเป็นสถานที่ที่แยกจากกัน ซึ่งบทบาททางเพศถูกพลิกกลับ หรือแย่กว่านั้น มีสิ่งที่ผิดปกติเกี่ยวกับชาวแอมะซอนไม่ใช่แค่ว่าพวกเธอเป็นผู้หญิงที่ต่อสู้ด้วยอาวุธและยุทธวิธีทางทหารเท่านั้น แต่พวกเธอยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีผู้ชายด้วย อย่างไรก็ตาม สังคมตะวันตกต่างจากชาวแอมะซอนตรงที่สังคมตะวันตกยกย่องผู้ชายที่เป็นทหาร นักรบ และวีรบุรุษแห่งสงคราม ขณะที่ผู้หญิงกลับต้องตกเป็นเหยื่อหรือสัญลักษณ์แห่งสงคราม ในสังคมๆ หนึ่ง เราได้รับกำลังใจด้วยการเทิดทูนภาพลักษณ์ของผู้หญิงที่มีบทบาทสำคัญในฐานพยาบาลในสนามรบ หรืออาจสำคัญที่สุดในฐานะแกนกลางของบ้าน ซินเธีย ค็อก (Cock 1993) ยืนยันว่าเมื่อผู้คนเข้าสู่สงคราม พวกเขาทำเช่นนั้นโดยเฉพาะในฐานะชายและหญิง แทนที่จะเป็นความสามัคคีในชาตินิยม เธอให้เหตุผลว่ากองทัพในฐานะที่เป็นโครงสร้างการยกย่องอำนาจของผู้ชายจริงๆ แล้วเป็นการขยายความหมายของความเป็นชายและความเป็นผู้หญิงในสังคม

สิ่งนี้ดูเหมือนจะมีความคงที่แม้ในกรณีพิเศษของชาวแอมะซอนก็ตาม นักสตรีนิยมหลายคนให้ความเห็นว่าตลอดระยะเวลาประวัติศาสตร์ การเป็นตัวแทนของนักรบหญิงเหล่านี้มีลักษณะแบบขั้วที่อยู่คู่กัน โดยในแง่หนึ่ง ภาพลักษณ์ของชาวแอมะซอนบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งทางอารมณ์และทางกายภาพของผู้หญิง ขณะเดียวกันก็ทำให้พวกเธอดูมีความเร่าร้อนแรงทางอารมณ์ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับว่ามีความเป็นผู้ชาย ดังที่แอบบี เวตแทน ไคลน์บัม (Kleinbaum 1983) เคยยืนยันเอาไว้ว่า แน่นอนว่า ไม่มีใยแมงมุมถูกสร้างขึ้นเพื่อยกย่องแมลงวัน แนวคิดของแอมะซอนไม่ได้ได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งเสริมสตรีขณะที่ในหนังสือ War and Gender ของโจชัวร์ โกลด์สตีน (Goldstein 2001) ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเป็นตัวแทนของตำนานยอดนิยมเพื่ออธิบายประเด็นนี้ ขณะที่ละครเวทีที่ออกแสดงเมื่อปี 1931 เรื่อง The Warrior's Husband นั้น บทบาทการแสดงเป็นราชินีนักรบแอนทิโอเป้ของแคทธารีน เฮปเบิร์น ท้าทายความเข้าใจร่วมสมัยเกี่ยวกับบทบาททางเพศในสมัยของเธออย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม บทวิจารณ์ของบทละครมองข้ามคำถามเกี่ยวกับอัตลักษณ์เหล่านี้และให้ความสำคัญกับรูปร่างของเฮปเบิร์นด้วยข้อความต่างๆ นานา เช่น บทละครที่เธอเปลือยขาอันสวยงามของเธอก่อน ในทำนองเดียวกันกับซีนาซึ่งเป็นไอคอนที่โด่งดังกว่า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นแบบจำลองของการแสดงบทบาทของแมดเดอลีน อัลไบรท์ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นความสูงสง่างาม แข็งแกร่ง บึกบึน ดวงตาสีฟ้าสง่าผ่าเผย สวมรองเท้าบู๊ต กระโปรงหนังสั้น และเสื้อเกราะโลหะ เหล่านี้ไม่ได้ทำให้ร่างกายน่าทึ่งของเธอเสียหายแต่อย่างใด ในมุมมองนี้ นักรบแอมะซอนจึงดูกลายเป็นส่วนผสมผสานของวัตถุทางเพศและพลังเข้าด้วยกัน โดยความแข็งแกร่งของเธอเกิดจากความเร่าร้อนของเธอ ที่น่าสนใจคือ มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เพียงเล็กน้อยที่แสดงว่าเคยมีสังคมแอมะซอนหรือของชุมชนใดๆ ที่ผู้หญิงต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่รุนแรงของสงครามเป็นหลัก ในความเป็นจริง ไม่มีหลักฐานว่าสังคมใดที่มีการเพิ่มเติมเข้ามาหรือมีการควบคุมโดยผู้หญิง หรือสังคมที่ผู้หญิงเป็นนักสู้หลัก

อย่างไรก็ตาม สังคมแอมะซอนมีเนื้อหาที่น่าสนใจสำหรับการวิเคราะห์วัฒนธรรมและตำนาน เป็นที่น่าสนใจว่าแม้ว่ากระบวนการทางสังคมจะแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม แต่บทบาททางเพศของสงครามยังคงเป็นเรื่องทั่วไปในระดับสากลและขัดแย้งกับตำนานเหล่านี้ ในทุกวัฒนธรรม นักสู้มักเป็นผู้ชาย ยกเว้นจำนวนที่มีอยู่น้อยกว่าร้อยละ 1 ของนักรบทั้งหมดในประวัติศาสตร์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม บทบาทของสตรีในฐานะผู้ไม่สู้รบนั้นแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมในบทบาทต่างๆ เช่น กองกำลังสนับสนุน ผู้ส่งเสริมสงครามทางจิต และผู้สร้างสันติ ขณะที่บทบาทในสงครามของผู้ชายมีความเชื่อมโยงกับการต่อสู้ในสงครามมาอย่างสม่ำเสมอ

ปัจจุบัน ทหารจำนวน 23 ล้านคน ปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพภายใต้การสวมเครื่องแบบทหาร โดยจำนวนนี้มีมากกว่าร้อยละ 97 เป็นผู้ชาย และมีเพียง 11 ใน 200 ประเทศเท่านั้น ที่มีผู้หญิงคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 5 ของกองกำลังทหาร ผู้หญิงเหล่านี้ส่วนใหญ่ในกองกำลังทหารทั่วโลกยังคงยึดครองรูปแบบแบบดั้งเดิม โดยให้ผู้หญิงมีบทบาทเดิมๆ เช่น พนักงานพิมพ์ดีดและพยาบาล สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่าสถิติเหล่านี้ไม่ได้กล่าวถึงบทบาทของผู้หญิงในขบวนการปฏิวัติ เช่น ในประเทศนิการากัวและเอลซัลวาดอร์ อย่างไรก็ตาม ดังที่เอนโล (Enloe 1983) ชี้ให้เห็น จำนวนนักรบหญิงในกองกำลังปฏิวัติมีมากกว่าทหารในเครื่องแบบอย่างเห็นได้ชัด แต่ผู้หญิงเหล่านี้มักถูกผลักไสให้มีบทบาทในบ้านมากขึ้นหลังการปฏิวัติ เธอให้เหตุผลว่าภาพลักษณ์สาธารณะของผู้หญิงในสงครามกับผู้ชายนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านที่ทรงพลังมากๆ


สัญลักษณ์ยอดนิยมของกองทัพปลดปล่อยหลายแห่งในเอเชีย ละตินอเมริกา และแอฟริกา คือ สตรีถือปืนไรเฟิลบนไหล่ข้างหนึ่งอย่างมั่นใจ และมีทารกกอดอยู่ในอ้อมแขนของเธอ รูปภาพเสกสรรค์ที่เป็นภาพของยอดหญิงที่สามารถทำได้ทุกอย่าง ดูเหมือนว่าจะบอกเป็นนัยว่า ในด้านหนึ่งกระบวนการสงครามปฏิวัติสามารถเปลี่ยนบทบาทของสตรีและความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองได้ ขณะเดียวกันก็รักษาระเบียบทางสังคมที่ในอดีตได้ประกันการสืบเผ่าพันธุ์และการเลี้ยงดูของสตรีรุ่นต่อไป

กองกำลังรบในเครื่องแบบทุกวันนี้แทบจะกีดกันผู้หญิงออกทั้งหมด และระบบทหารทั่วโลกมีผู้หญิงน้อยมาก ซึ่งทำให้สถานที่ที่สำคัญที่สุดหลายแห่งเป็นของผู้ชายทั้งหมด ที่สำคัญที่สุด สถานที่เหล่านี้เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณะอย่างแน่นอน ซึ่งทำให้เกิดการแบ่งแยกเพศของพื้นที่ที่ผู้หญิงถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงพื้นที่ทางการเมืองที่ทรงพลัง อย่างเช่น สนามรบ การสร้างพื้นที่สำหรับผู้ชายทั้งหมดในที่สาธารณะทำหน้าที่เสริมสร้างความแตกต่างในแง่ของอำนาจของผู้ชาย โกลด์สตีน (Goldstein 2001) ให้เหตุผลว่าการแบ่งแยกเพศของการสงครามเป็นกลยุทธ์ของสงคราม


การสังหารชีวิตในสงครามไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติสำหรับมนุษย์ไม่ว่าเพศชายหรือเพศหญิง แต่ศักยภาพในการทำสงครามนั้นมีอยู่ทั่วไปในสังคมมนุษย์ เพื่อช่วยให้สามารถเอาชนะ ความไม่เต็มใจของทหารในการต่อสู้ แต่ละวัฒนธรรมจึงพัฒนาบทบาททางเพศที่ถือว่า "ความเป็นลูกผู้ชาย" เท่ากับความแข็งแกร่งภายใต้กระสุนปืนที่สาดใส่กัน เมื่อมองข้ามวัฒนธรรมและเวลาที่ผ่านไป การเลือกผู้ชายให้เป็นนักสู้และส่งเสริมให้สตรีมีบทบาทในการสนับสนุนสงคราม อันนี้ได้ช่วยก่อรูประบบสงครามขึ้นมาได้เหมือนกัน ทางกลับกัน ความแพร่หลายของสงครามในประวัติศาสตร์ได้ส่งผลกระทบทางเพศอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรทัดฐานทางเพศในการเลี้ยงดูบุตร

ธรรมชาติกับการเลี้ยงดู

คำยืนยันของโกลด์สตีนที่ว่าบทบาทของผู้ชายผู้หญิงเป็นยุทธศาสตร์ในการทำสงครามที่แสดงให้เห็นสิ่งที่มักเรียกกันว่ามุมมองเชิงโครงสร้างทางสังคม มีการถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องยาวนานในหมู่นักสตรีนิยมเกี่ยวกับบทบาทของธรรมชาติกับการเลี้ยงดูในการสร้างอัตลักษณ์ความรุนแรง อย่างไรก็ตาม มีสิ่งสำคัญมากที่ต้องบ่งชี้ว่านักสตรีนิยมทุกคนล้วนยืนหยัดต่อต้านหลักการพื้นฐานของเหตุผลที่ว่าด้วยการเป็นอยู่ที่เหนือกว่าของผู้ชายที่ถูกกำหนดโดยลักษณะทางชีวภาพ โดยมีแนวคิดอยู่ 2 แบบเกี่ยวกับประเด็นของบทบาทผู้ชายผู้หญิงกับความรุนแรง ซึ่งมีสำนักคิดที่แพร่หลายมากๆ คือ สำนักคิดโครงสร้างทางสังคม ซึ่งเชื่อว่าพฤติกรรมรุนแรงไม่ได้มีความเฉพาะเจาะจงกับผู้ชายผู้หญิง แต่เป็นผลมาจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น บรรทัดฐานของสังคม จุดยืนของสตรีนิยมทางชีววิทยาที่เป็นอีกสำนักคิดหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งให้เหตุผลว่าผู้หญิงไม่มีความสามารถทางชีวภาพในการใช้ความรุนแรงและเป็นผู้สร้างสันติโดยธรรมชาติของสังคม ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นในเรื่องนี้น่าจะเป็น นิทานของภรรยาเก่า ที่ว่าผู้หญิงที่ในเชิงสัญลักษณ์มีฐานะแม่ของชาติซึ่ง หากได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาก็จะไม่มีสงครามอีกต่อไป เพราะผู้หญิงจะไม่ส่งลูกชายของเธอ หรือลูกหลานของชาติของเธอเข้าสู่สนามรบ เห็นได้ชัดว่า หากเราพิจารณาบทบาทของผู้นำสตรีคนอื่นๆ เช่น มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น นอกจากนี้ กลุ่มนักกำหนดปัจจัยทางชีวภาพเหล่านี้ยังให้เหตุผลต่อไปอีกว่าเนื่องจากความสามารถทางวิทยาศาสตร์ในการควบคุมพันธุกรรมเพิ่มมากขึ้น สักวันหนึ่งข้างหน้าเราอาจยุติสงครามด้วยการกำจัดยีนที่ก้าวร้าวออกไป

อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งเหล่านี้ไม่ได้คำนึงถึงอิทธิพลของประเทศต่างๆ ที่เพียงพอที่จะอธิบายปริศนาเกี่ยวกับบทบาทสงครามของผู้ชายผู้หญิงได้ โกลด์สตีนชี้ชัดว่าชีววิทยาให้คำอธิบายเพียงบางส่วน โดยแสดงให้เห็นว่าเหตุใดสงครามจึงมีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องกับผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ให้คำอธิบายที่เพียงพอสำหรับปริศนาว่าทำไมสงครามจึงเป็นเรื่องของผู้ชายล้วนๆ

กรณีที่เกิดซ้ำซ้อนทางประวัติศาสตร์

ในฐานะที่เป็นจุดเริ่มต้นของการบ่งชี้อัตลักษณ์ความเป็นชายหญิงในสงคราม ลอร์เรน ดาวเลอร์ (Lorraine Dowler 1998) จึงได้นำเสนอกรณีศึกษา 2 กรณี ซึ่งกรณีหนึ่งเป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์และอีกกรณีหนึ่งเป็นประเด็นร่วมสมัย เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าอัตลักษณ์ของผู้หญิงถูกหล่อหลอมและจัดการเพื่อตอบสนองความต้องการของสงครามอย่างไร โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือการการแสดงให้เห็นว่าภูมิทัศน์ทางการเมืองหรือมุมมองแบบผู้ชาย (masculine way of seeing) นี้ ถูกสร้างขึ้นจากแนวคิดโบราณเกี่ยวกับพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัว (public and private space) ได้อย่างไร สำหรับกรณีแรกเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของผู้หญิงในการปฏิวัติไอริชที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือวีรบุรุษชายในการปฏิวัติได้อย่างไร การปฏิวัติไอริชมักได้รับการขนานนามว่าเป็นการต่อต้านร่วมกันโดยที่ผู้ชายและผู้หญิงชาวไอริชต่างยืนเคียงข้างกันอย่างสมัครสมานสามัคคี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีบนพื้นที่สาธารณะ แต่สิ่งสำคัญ คือ จำเป็นจะต้องตรวจสอบว่าอัตลักษณ์ของผู้หญิงยังคงถูกผลักไสให้อยู่ภายใต้การคุ้มครองสภาพแวดล้อมที่บ้านของพวกเธออย่างไร และสิ่งสำคัญที่สุด คือ ผู้หญิงที่ท้าทายความคิดของนักรบชาย ด้วยการมีส่วนร่วมในบทบาทบนพื้นที่สาธารณะมากขึ้นนั้น ล้วนแต่ถูกผลักออกมาจากภูมิทัศน์ทางการเมือง

ส่วนกรณีที่สองจะเน้นไปที่การบ่งชี้ความเป็นชายหญิงของภาพแสดงความกล้าหาญของนักผจญเพลิง เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยอื่นๆ ที่เสียสละทำงานหามรุ่งหามค่ำอย่างกล้าหาญเยี่ยงวีรบุรุษวีรสตรีใต้ซากของอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ หลังเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่นำเรื่องนี้มาเปรียบเทียบกับกรณีประวัติศาสตร์ของการบ่งชี้อัตลักษณ์ของผู้หญิงไอร์แลนด์บนกรอบของความเป็นชายหญิงในตอนต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งพบว่าภูมิทัศน์ทางการเมืองของอเมริกาตอนต้นศตวรรษที่ 21 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก กรณีของกราวนด์ ซีโร่ เป็นการนำเสนอประเด็นเชิงวาทกรรมที่คล้ายกันกับกรปฏิวัติที่เกิดขึ้นในไอร์แลนด์ ประการแรก คำจำกัดความของคำว่านักรบถูกกำหนดไว้แล้วในพื้นที่สาธารณะ และไม่รวมถึงการกระทำที่กล้าหาญในชีวิตประจำวัน เช่น การให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ หรือเพียงสร้างครอบครัวท่ามกลางความไม่แน่นอนของสงคราม ประการที่สอง สังคมไม่สบายใจกับความคิดที่ว่าผู้หญิงเป็นทหารและเป็นนักรบที่มีความแข็งแกร่งปราดเปรียว และแม้ว่านักผจญเพลิงจะไม่ถูกมองว่าเป็นนักสู้ในเครื่องแบบ แต่การดับเพลิงถือเป็นการปกป้องชุมชนมาโดยตลอด ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1900 หน่วยดับเพลิงได้รับการจัดตั้งขึ้นมาคู่ขนานกับหน่วยทางการทหาร มีพร้อมด้วยเครื่องแบบ ยศของนายทหาร กองพัน ผู้บังคับกอง และผู้บัญชาการดับเพลิง บทบาทของนักผจญเพลิงในฐานะผู้พิทักษ์ไฟตามบ้านเรือนและผู้ปกป้องชาติ คือ สิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และเป็นความรับผิดชอบที่สามารถปะทุขึ้นมาในสถานที่ใดก็ได้และเกิดขึ้นได้ทุกขณะเช่นเดียวกับสงคราม ที่สำคัญที่สุด การดับไฟแบบผู้ชายเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถกเถียงกันระหว่างการเลี้ยงดูและธรรมชาติ ซึ่งจำกัดการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในวิชาชีพที่มีความรุนแรงหรือเน้นปฏิบัติการมากขึ้น การตรวจสอบเจ้าหน้าที่กู้ภัยหญิงที่กราวนด์ ซีโร่ ไม่เพียงแต่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการแบ่งแยกบทบาทของชายหญิงในช่วงความขัดแย้งที่รุนแรง แต่ยังชี้ให้เห็นว่าบทบาทเหล่านี้สามารถถ่ายโอนไปยังสถานที่อื่นๆ ที่เคยเป็นสถานที่ของผู้ชายล้วน เช่น ตำรวจและงานก่อสร้าง ได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ ประเด็นสำคัญของการตรวจสอบนี้จะอยู่ที่ความสัมพันธ์ที่พึ่งพาซึ่งกันและกันระหว่างภูมิทัศน์ทางศีลธรรมและปฏิบัติการที่เหมาะสมของชายหญิงในช่วงเวลาแห่งสงคราม

ภูมิทัศน์ของนักรบ: คุณธรรมที่มีพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัวเป็นสิ่งกำหนด

จนกระทั่งมีการให้เหตุผลถึงความสัมพันธ์ระหว่างขั้วความคิดเกี่ยวกับพื้นที่สาธารณะ กับขั้วความคิดพื้นที่ส่วนตัวที่มีการรับรู้กันอย่างกว้างขวางนั้น สามารถให้ความกระจ่างเกี่ยวกับกระบวนการที่ช่วยในการแสดงภูมิทัศน์ในลักษณะการมองเห็นแบบผู้ชายจากแบบแผนที่ยึดปฏิบัติกันมา พื้นที่ส่วนตัวนั้นเกี่ยวข้องกับบ้าน และถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ของผู้หญิง ขณะที่พื้นที่สาธารณะ (หรือพื้นที่นอกบ้าน) ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ของผู้ชาย นักทฤษฎีสตรีนิยมได้สำรวจคำจำกัดความทางเลือกของพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัวด้วยการวิเคราะห์พื้นที่สาธารณะที่มีความเกี่ยวพันกับพื้นที่ส่วนตัว โดยเรื่องนี้ โรสซาริน ดอยต์เช (Rosalyn Deutsche 1996) ชี้ไปที่การพึ่งพาซึ่งกันและกันระหว่างความแตกต่างระหว่างพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัวกับศีลธรรม ดอยต์เชให้เหตุผลว่าคำจำกัดความของพื้นที่สาธารณะเชื่อมโยงกับชุมชนการเมืองแบบที่ได้มีการจินตนาการเอาไว้แล้ว ในโลกที่ให้ความสำคัญกับความต่อเนื่อง การต่อต้านมักจะถูกเพิกเฉย ซึ่งจะสร้างความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ได้รับการยอมรับในอาณาจักรสาธารณะกับสิ่งที่ต้องซ่อนเร้นเอาไว้ ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ถูกมองและสิ่งที่ถูกพัดพาไปนี้เอง ที่เป็นตัวกำหนดหลักพื้นฐานในการสร้างภูมิทัศน์ทางศีลธรรม ดังนั้น เพื่อที่จะได้เข้าใจปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างการปฏิวัติไอริชและเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจวิธีการเป็นตัวอย่างและปฏิบัติตามศีลธรรมในแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับภูมิทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแบ่งแยกความเป็นชายหญิงของพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัว

ฮันนาห์ อาเรนต์ (Hannah Arendt 2001) ให้เหตุผลว่า ในการอภิปรายใดๆ เกี่ยวกับการสร้างอำนาจ นักทฤษฎีการเมืองทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ต่างเห็นพ้องกัน ว่าความรุนแรงเป็นเพียงการแสดงอำนาจที่เห็นได้ชัดที่สุด ด้วยเหตุนี้ หากประเทศต่างๆ ได้รับการประดิษฐ์สิ่งนั้นขึ้นมาผ่านอัตลักษณ์ความเป็นชายหญิงที่จารึกขึ้นมาใหม่ ความไม่สมดุลของอำนาจระหว่างชายหญิงอาจจะเป็นประโยชน์ที่จะตรวจสอบว่าสงครามเสริมสร้างอัตลักษณ์เหล่านี้อย่างไร แม้จะมีความสนใจเพิ่มมากขึ้นในการแบ่งแยกความเป็นชายหญิงกับลัทธิชาตินิยม แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็แทบไม่ได้ให้ความสนใจกับสงครามในฐานะปัจจัยหนึ่งในการหล่อหลอมสังคมมนุษย์

ภูมิทัศน์การปฏิวัติ: หลักศีลธรรมของความสามัคคีของชาวไอริช

มาร์กาเร็ต วอร์ด (Margaret Ward 1989) นักประวัติศาสตร์สตรีนิยมให้การยืนยันว่าเราไม่เพียงแต่จำเป็นต้องเขียนถึงผู้หญิงไอริชใหม่เพื่อจารึกลงในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจแรงจูงใจว่าทำไมพวกเธอเหล่านั้นจึงถูกละเลย มันเป็นเพียงการกำกับดูแลหรือเป็นความพยายามโดยเจตนาที่จะทำให้เราอยู่ในความมืดมนว่าประวัติศาสตร์อาจเกิดขึ้นได้อย่างไร? เธอยืนยันว่า ผู้หญิงเป็นคนชายขอบในจิตสำนึกของผู้ที่ศึกษาค้นคว้าเหตุการณ์ต่างๆ ความสำคัญของพวกเธอยังคงซ่อนอยู่ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ รอคอยการศึกษาของใครบางคนที่ต้องการรู้ว่าผู้หญิงทำอะไร คิดอะไร และ ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในศตวรรษที่ผ่านมาอย่างไร

ในการศึกษาเรื่องดังกล่าวนี้ ลอร์เรน ดาวเลอร์ (1998) ได้ให้เหตุผลว่าคำอธิบายประการหนึ่งต่อการที่ไม่ค่อยมีผู้หญิงในประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติไอริช ก็คือ ผู้หญิงไอริชไม่เคยถูกมองว่าเป็นทหาร ด้วยเหตุผลที่ว่าอัตลักษณ์ของพวกเธอถูกลบออกจากภูมิทัศน์ทางการเมือง ซึ่งเป็นลักษณะการมองเห็นแบบผู้ชายอย่างแท้จริง สิ่งสำคัญที่สุด การสร้างภูมิทัศน์ทางการเมืองแบบผู้ชายนั้น ขึ้นอยู่กับการรักษาภูมิทัศน์ภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามที่แนช (Nash 1994) ได้ให้เหตุผลว่าในกรณีทางประวัติศาสตร์ของลัทธิชาตินิยมไอริช การแยกผู้หญิงออกจากเวทีสาธารณะได้ส่งเสริมความสัมพันธ์ของชายหญิงในสถานที่ซึ่งเวทีการเมืองถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ของผู้ชาย

ในปี 1914 มีการก่อตั้งคูมันน์ นา เอ็มบัน (Cumann na mBan) อันถือเป็นการดำเนินการทางการเมืองครั้งแรกโดยกลุ่มสตรีแห่งไอร์แลนด์ การก่อตั้งองค์กรนี้ทำให้ผู้หญิงไม่เพียงแต่ต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมของอังกฤษเท่านั้น แต่ยังช่วยเขียนบันทึกให้ผู้หญิงก้าวเข้าสู่ภูมิทัศน์ทางการเมืองด้วย ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้ชายชาวไอริชให้นิยามบทบาทขององค์กรนี้ไว้อย่างชัดเจนในฐานะเป็นผู้ช่วยมือปืน สตรีทั้งหลายในคูมันน์ นา เอ็มบัน ถูกลดบทบาทให้ไปอยู่ในบทบาทดั้งเดิมของผู้หญิงในบ้านเรือน ซึ่งมีหน้าที่ให้การสนับสนุนและเลี้ยงดู เช่น การแบกหาม การพยาบาล และการระดมทุน แม้ว่าผู้หญิงจะพยายามแสดงตนในลักษณะที่เข้มแข็งบึกบึนแบบผู้ชาย เช่น ทำหน้าที่เป็นคนส่งของและจับอาวุธ โดยส่วนใหญ่ในช่วงปีแรกๆ คูมันน์ นา เอ็มบัน ยังคงเป็นองค์กรเงาในสายตาของอาสาสมัครชาย อย่างไรก็ตาม ในปี 1920 มีการปรับเปลี่ยนสถานะครั้งใหญ่เมื่อคูมันน์ นา เอ็มบัน ยืนหยัดทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วยการประณามการแบ่งแยกชายหญิง ขณะที่โดยรวมแล้วกองทัพรีพับลิกันไอริชหรือไออาร์เอ (IRA: the Irish Republican Army) ก็มีความแตกแยกกันอย่างรุนแรงในเรื่องสนธิสัญญาที่จะทำให้เทศมณฑลทางตอนเหนืออยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของอังกฤษ

สนธิสัญญาดังกล่าวได้รับการเจรจาตกลงกันเมื่อปี 1920 โดยผู้แทนชาวไอริช 5 คน ประกอบด้วย อาเธอร์ กริฟฟิธ ไมเคิล คอลลินส์ จอร์จ กาแวน ดัฟฟี โรเบิร์ต บาร์ตัน และเอมอน ดักแกน เดินทางไปเข้าพบกับเดวิด ลอยด์ จอร์จ นายกรัฐมนตรีอังกฤษในกรุงลอนดอน บุคคลเหล่านี้ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐสภาไอริช และสมาชิกหลายคนของคูมันน์ นา เอ็มบัน รู้สึกไม่พอใจที่ในนั้นไม่มีผู้หญิงร่วมคณะไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมรี แมคสไวนีย์ ที่เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งคูมันน์ นา เอ็มบัน และเป็นประธานสาขาของคอร์กที่เธอถูกกักขังหลังการลุกขึ้นในปี 1916 ปัจจุบันนักประวัติศาสตร์เห็นพ้องกันว่าวิถีประวัติศาสตร์ของไอร์แลนด์อาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากการรวมตัวของพรรครีพับลิกันที่ไม่เคยยอมลงให้ใครเข้าไว้ด้วย ต่อไปนี้เป็นข้อความที่ตัดตอนมาจากสุนทรพจน์ความยาว 2 ชั่วโมง 40 นาที ที่แมคสไวนีย์กล่าวกับรัฐสภาไอริช


พวกผู้ชายมักพูดว่าไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องสงครามกับเราที่เป็นสตรี ขอให้คิดเสียใหม่ว่า สตรีต่างหากที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความยากลำบากส่วนใหญ่จากสงคราม คุณสามารถออกไปสัมผัสความตื่นเต้นของการต่อสู้และนำเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเองมาด้วย เราต้องนั่งที่บ้านและทำงานด้วยวิธีที่ถ่อมตัวมากขึ้น เราต้องอดทนต่อความเจ็บปวด ความทรมานจากความทุกข์ยาก และความขาดแคลนที่เกิดจากสงคราม ความสยองขวัญของการมาเยี่ยมบ้านของเราทุกคืน และผลที่ตามมา มันง่ายกว่าสำหรับคุณมากกว่าสำหรับเรา แต่คุณจะไม่พบสตรีในไอร์แลนด์ที่ไม่ได้รับความทุกข์ทรมานซึ่งวันนี้จะพูดเหมือนที่ทหารที่นี่พูดในวันนี้ และขอถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า เป็นอย่างนั้นหรือไม่กับทหารที่เขามี ในนามของสวรรค์ โปรดส่งสตรีเหล่านั้นมาเป็นนายทหารของคุณในครั้งต่อไปด้วยเถอด

คำกล่าวของแมคสไวนีย์ขยายความเข้าใจแบบดั้งเดิมของทหารโดยรวมการสู้รบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนตัวของบ้าน เธอให้เหตุผลว่าบ้านไม่ใช่สถานที่คุ้มครองและเลี้ยงดูอย่างที่ผู้ชายตั้งใจกำหนดให้เป็น สำคัญที่สุด เธอได้ปิดบังขอบเขตของพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัวเอาไว้ภายในภูมิทัศน์ทางการเมือง เมื่อเธอยืนยันว่า ผู้หญิงกลุ่มเดียวกันที่อดทนทำงานอยู่หน้าบ้านด้วยความยากลำบาก น่าจะเป็นผู้ที่สามารถสร้างความเป็นทหารได้ดีกว่าพวกผู้ชายที่เคยเก็บเกี่ยวความรุ่งโรจน์จากสนามรบ

ในช่วงสัปดาห์แห่งการโต้แย้งเกี่ยวกับสนธิสัญญานี้ในรัฐสภาไอริช เจ้าหน้าที่หญิงทั้ง 6 คน ยังคงไม่หวั่นไหวสั่นคลอนในการต่อต้านสนธิสัญญา ความทรงจำเกี่ยวกับบุตรชาย สามี และพี่น้อง ที่เสียชีวิต ถูกนำมาใช้เพื่อยืนยันจุดยืนของพวกเธอ แนวร่วมที่รวมตัวกันโดยสตรีแห่งรัฐสภาไอริชให้ความเชื่อถืออย่างมากต่อคำกล่าวอ้างของพวกเธอที่เป็นตัวแทนในการเปิดเผยมุมมองของสตรีชาวไอริชส่วนใหญ่ สมาชิกผู้ชายบางคนพยายามทำลายสุขภาพจิตของสมาชิกผู้หญิงของรัฐสภาไอริช ซึ่งแย้งว่าผู้หญิงเหล่านี้ประสบกับความสูญเสียส่วนตัวอันเลวร้ายถึงขนาดที่พวกเขาอ้างว่าพวกเธอไม่สามารถประเมินประเด็นทางการเมืองได้ นอกจากนี้ ผู้ชายกลุ่มเดียวกันยังยืนยันว่าผู้หญิงได้รับแรงบันดาลใจจากอารมณ์และความมุ่งมั่นที่จะลงคะแนนเสียงตามความต้องการของสามีและลูกชายที่เสียชีวิตไปแล้ว การถกเถียงครั้งนี้ทำให้เกิดเขตแดนทางการเมืองในรูปแบบที่ถือว่าผู้หญิงไม่สามารถมองเห็นเกินขอบเขตของบ้านของตนได้ หรืออีกนัยหนึ่ง เมื่อพวกเธอออกจากบ้านและเข้าสู่พื้นที่สาธารณะ ผู้หญิงไม่สามารถมีเหตุผลต่างๆ ได้ แบบนี้ถือเป็นดาบสองคม ที่ผู้หญิงไม่ได้รับการยอมรับอย่างเท่าเทียมกันบนความยากลำบากที่จะนำมาซึ่งสงคราม แต่ภาระของพวกเธอกลับถูกโต้แย้งว่าอยู่ลึกมากจนไม่อาจแยกตัวออกจากมันได้ การลงคะแนนเสียงครั้งสุดท้ายในรัฐสภาไอริช คือ 64 ต่อ 57 ในการให้สัตยาบันสนธิสัญญา หลังจากประกาศนับคะแนนแล้ว แมรี แมคสวินีย์ ประกาศว่า เธอจะไม่เข้าไปมีส่วนช่วยปฏิบัติการ หรือมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือรัฐอิสระไอริชให้นำชาติกลับมาอีก ประเทศที่เคยรุ่งโรจน์แห่งนี้ถูกทรยศจากรัฐสภาด้วยการยอมศิโรราบเดินเข้าสู่จักรวรรดิอังกฤษในคืนนั้น

แม้ว่าสนธิสัญญาจะได้รับการรับรอง แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ครั้งสุดท้ายที่จะปฏิเสธการแบ่งแยก รัฐสภาไอริชที่ได้รับเลือกมาจากบุคคลที่อาศัยอยู่บนเกาะไอร์แลนด์ รวมถึงพลเมืองทางตอนเหนือซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐอีกต่อไป ดังนั้น รัฐสภาไอริชที่มีอยู่จึงไม่ได้เป็นตัวแทนของรัฐบาลเฉพาะกาลทางตอนใต้ของไอร์แลนด์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เอมอน เด วาเลรา ประธานาธิบดีขณะนั้น จึงเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ และความอยู่รอดของสนธิสัญญาในเวลานี้จะขึ้นอยู่กับว่าการเลือกตั้งใหม่จะสนับสนุนหรือต่อต้านรัฐสภาไอริช

น่าแปลกที่ผู้หญิงได้รับสิทธิลงคะแนนเสียงเมื่อหลายปีก่อน และสมาชิกของคูมันน์ นา เอ็มบัน ก็มีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าผู้หญิงควรได้รับบัตรลงคะแนน แต่มันตรงกันข้ามกับความเชื่อพื้นฐานของพวกเธอในการพยายามที่จะเลือกรัฐสภาอังกฤษ น่าเศร้าที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ได้รับการลงทะเบียนเพื่อให้มีสิทธิลงคะแนนเสียง และเมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว หลายคนรู้สึกว่าการตั้งเป้าหมายแบ่งแยกดินแดนไว้ก่อนเป้าหมายของสตรีนิยม ทำให้พวกเธอตัดขาดตัวเองออกจากความเป็นไปได้ในการลงคะแนนเสียงเพื่ออิสรภาพที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการรวบรวมผู้หญิงเหล่านั้นที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ มีการเคลื่อนไหวในรัฐสภาไอริชโดยเจ้าหน้าที่หญิง 6 คน เพื่อขอให้มีการลงทะเบียนใหม่อีกครั้ง แต่ถูกขัดขวางโดยเจ้าหน้าที่ชายส่วนใหญ่ ส่งผลให้ผู้หญิงมีตัวแทนน้อยกว่าความเป็นจริงอย่างมากในการลงคะแนนเสียงครั้งนี้ น่าแปลกที่สมาชิกของรัฐสภาไอริชที่ไม่สบายใจกับรัฐสภาที่รวมรัฐทางตอนเหนือไว้ด้วย โดยไม่ได้กังวลกับการยกเว้นสัดส่วนที่มากของประชากรที่มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งก็คือคะแนนเสียงของผู้หญิง ชะตากรรมที่พลิกผันนี้แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติของการกีดกันของภูมิทัศน์ทางการเมืองในฐานะพื้นที่สาธารณะที่เป็นของผู้ชาย ซึ่งเป็นการใช้แนวคิดของด้อยต์เช่ก็สามารถกวาดล้างทำลายความขัดแย้งในพื้นที่ส่วนตัวออกไปให้พ้นสายตาได้

คูมันน์ นา เอ็มบัน ตัดสินใจที่จะดำเนินการประท้วงอย่างแข็งขันมากขึ้น เมื่อเริ่มการโจมตีหลายครั้งต่อธงชาติไอริชที่ชูตระหง่านบนแท่นที่แสดงการสนับสนุนสนธิสัญญา สำหรับสมาชิกทั้งหลาย ธงผืนนี้เป็นสัญลักษณ์ของการทรยศที่ร้ายแรงที่สุด รัฐสภาที่ได้รับการเลือกตั้งด้วยส่วนต่างเพียงเล็กน้อย และสงครามกลางเมืองนองเลือดได้ปะทุขึ้นซึ่งกินเวลานานถึง 6 เดือน เมื่อสงครามสิ้นสุดลง 4 ใน 6 เทศมณฑลของอุลสเตอร์ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ก็ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเป็นจังหวัดใหม่ในไอร์แลนด์เหนือ

ประโยชน์อันเกิดจากวิวัฒนาการของคูมันน์ นา เอ็มบัน ในฐานะที่เป็นองค์กรที่แยกออกมาจากกลุ่มอาสาสมัครชาย ก็คือ ทั้งสององค์กรอนุญาตให้ผู้หญิงจำนวนมากมีพื้นที่ซึ่งพวกเธอสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมอันมีค่าในการต่อสู้ทางทหารเพื่อต่อต้านการปกครองของอังกฤษ และยังทำให้ผู้หญิงสามารถพัฒนากลยุทธ์ทางการเมืองของตนเองได้ อีกทั้งยังสามารถอภิปรายประเด็นทางการเมืองประจำวันที่น่าสนใจได้ แม้จะได้รับการสนับสนุนจากกองทัพรีพับลิกันไอริช แต่คูมันน์ นา เอ็มบัน ก็ไม่ถูกห้ามโดยรัฐบาลของรัฐอิสระแบบที่กองทัพรีพับลิกันไอริชปฏิบัติในปี 1936 จึงเห็นเหตุผลที่ชัดเจนได้ว่าในการปฏิวัติครั้งนี้ไม่ได้ถือว่าผู้หญิงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงบางคนได้รับการชื่นชมในที่สาธารณะจากการเข้าร่วมการปฏิวัติของพวกเธอ ผู้หญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในการต่อต้านจักรวรรดิอังกฤษ คือ เคาน์เตส คอนสแตนซ์ มาร์คีวิซ จากปฏิบัติการอันเป็นที่ประจักษ์จากความกล้าหาญและความแข็งแกร่งทางการทหารของเธอ อย่างไรก็ตาม ให้แนบคำกล่าวของโรเจอร์ ซอว์เยอร์ (Sawyer 1993) ที่บรรยายถึงความสำเร็จของมาร์คีวิซไว้เคียงข้างภาพถ่ายที่แสดงในภาพข้างบน ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพที่โด่งดังที่สุดของสตรีในการต่อต้านในไอร์แลนด์

 

เคาน์เตส มาร์ไควิชซ์ เธอไม่ชอบทำอาหารและทำงานพยาบาล จึงเป็นผู้บังคับบัญชาลำดับที่สองของกองกำลังที่ยึดครองสตีเฟนส์กรีน จนกระทั่งต้องล่าถอยไปที่วิทยาลัยศัลยแพทย์ บ่อยครั้งที่เธอปลดประจำทางทหาร แต่เธอก็ยังคงเป็นคนของกองทัพที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมอยู่ในชนชั้นทางสังคมแบบที่เธอปรารถนาเหมือนช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ ที่มีผู้ชายสิบคนและผู้หญิงเก้าคน ทั้งหมดติดอาวุธด้วยปืนพก พวกเขาและเธอได้รับข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการโจมตีเสมือนจริง สัญลักษณ์แห่งอำนาจของอังกฤษที่ไม่มีการป้องกัน ปราสาทดับลิน สตรีได้รับอาวุธเพื่อป้องกันตนเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่จะโจมตีปราสาท ทั้งสตรีและบุรุษต่างๆก็มีส่วนร่วมในการบุกโจมตีประตู แต่ความเท่าเทียมกันของพวกเขาในฐานะนักรบนั้นมีอายุสั้น เมื่อถูกขับไล่ พวกเธอจึงย้ายไปที่ศาลาว่าการ ซึ่งพวกเธอกลับไปสู่บทบาทดั้งเดิมของสตรีในสงคราม พวกเขาไปถึงจุดที่ไกลที่สุดจากความขัดแย้งและจัดโรงอาหารและโรงพยาบาล

ตรงกันข้ามกับปฏิบัติการที่ถูกบันทึกไว้ของมาร์ไควิชซ์ ที่เป็นการนำเสนอภาพลักษณ์ของนางเอกนี้ ได้รับการหล่อหลอมอย่างดีเพื่อแสดงให้โลกได้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างความเป็นผู้หญิงและสถานะที่เป็นอยู่อย่างเหมาะสม แต่เธอกลับถูกสร้างให้ดูมีความเข้มแข็งและดุดัน ภาพสัญลักษณ์อันโด่งดังนี้แสดงให้เห็นด้วยภาพของเธอทรงตัวนั่งถือปืนพก และไม่สะท้อนถึงความอวดดีของภริยาของขุนนางที่บรรจงยกปืนพกขึ้นจูบ ก่อนมอบตัวกับผู้บัญชาการทหารของอังกฤษ นอกจากนี้ ยังไม่ได้เป็นตัวแทนของผู้หญิงที่ถูกสามีแยกทาง ด้วยการที่ต้องแต่งงานกับคุณหญิงที่ซุกซ่อนปืนเอาไว้ใต้เตียงสมรส แน่นอนว่าไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของผู้หญิงที่ต้องร้องไห้ออกมา เมื่อโทษประหารชีวิตของเธอถูกลดลงเหลือเพียงแค่การจำคุกตลอดชีวิต ด้วยเหตุเพราะความเป็นสตรีเพศของเธอ น้ำตาที่หลั่งออกมาของมาร์ไควิชซ์ไม่ใช่อาการโล่งใจ แต่เป็นการแสดงความผิดหวัง เพราะเธอไม่ได้ถูกประหารชีวิตร่วมกับสหายผู้ชายของเธอจากอีสเตอร์ไรซิ่ง

แต่ภาพถ่ายนี้เป็นแบบจำลองสำหรับพฤติกรรมที่เป็นที่ยอมรับของผู้หญิงในสงคราม ภาพสะท้อนออกมาด้วยการโพสท่าของมาร์ไควิชซ์นี้แสดงให้เห็นผู้หญิงที่มีสถานะโดยการใช้อุปกรณ์ประกอบฉากที่หรูหรา และแสดงถึงความเป็นผู้หญิงด้วยท่าทางที่เป็นผู้หญิงและผ้าโพกศีรษะที่ดูพลิ้วไหว ฉากหลังของภูมิทัศน์แบบชนบทที่สื่อถึงความรู้สึกสงบ ความประณีต และความโอบอ้อมอารีจากสวนที่เป็นส่วนขยายของบ้าน ภาพนี้อาจไม่เข้ากันกับภาพของมาร์ไควิชซ์ที่กำลังบุกโจมตีปราสาทดับลิน แต่ภาพนี้กลับส่งเสริมภาพลักษณ์ที่นุ่มนวลและน่ารักมากขึ้นของการต่อสู้กับผู้หญิงชาวไอริช การผลิตภาพลักษณ์แบบนี้ขึ้นมาซ้ำไม่ได้บ่งบอกถึงผู้หญิงที่ต่อสู้เคียงข้างชายและหญิงที่มีสถานะต่ำกว่า ในที่สุด นิ้วที่เหนี่ยวไกของมาร์ไควิชซ์ยังคงคลายออก ราวกับว่าเธอไม่พร้อมที่จะยิงปืนพกอันเป็นที่รักของเธอ คุณนายภริยาขุนนางที่ค่อนข้างสบายใจกับอาวุธปืนถูกมองว่าไม่สบายใจราวกับว่าเธอถูกบังคับให้เป็นทหาร ภาพของมาร์ไควิชซ์เป็นหนึ่งในขบวนการที่มีผู้ชายครอบงำซึ่งเป็นที่ยอมรับในการโปรโมตสู่เวทีระดับโลก มันดูเกินจริงบรรทัดฐานที่เป็นที่ยอมรับของความเป็นผู้หญิงซึ่งได้รับการปลูกฝังมาอย่างยาวนาน โดยที่ความไร้อำนาจจากเหตุด้วยความเป็นผู้หญิงนี้กลายเป็นอาวุธแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ที่แจ๊คคลิน ค๊อค (Jacklyn Cock 1993) อธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับการจัดการไร้พลังของผู้ชายประเภทนี้ โดยเธอกล่าวว่าผู้ทรงอำนาจเปรียบเสมือนโรคฮีโมฟีเลีย ที่ติดต่อโดยผู้หญิง แต่จะปรากฏเฉพาะในผู้ชายเท่านั้น

กรณีกราวนด์ ซีโร่

ตัวอย่างของภาวะไร้อำนาจของผู้หญิงที่ช่วยเติมพลังให้กับผู้ชายในช่วงเวลาแห่งสงคราม คือ ความสนใจของสื่อที่มีต่อภริยาที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังหลังการโจมตีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 อย่างเช่น ลิซา บีเมอร์ ซึ่งสามีของเธอเป็นหนึ่งในวีรบุรุษที่ได้รับการยกย่องจากสาธารณชนจากการตกของเที่ยวบินที่ 93 แม้ว่าเธอจะได้รับการยกย่องในสื่อสารมวลชนว่าเป็นวีรบุรุษและมีลักษณะเหมือนนักบุญ แต่ตัวตนของเธอกลับถูกผลักไสกลับไปให้คงอยู่แค่ความเป็นแม่ของลูกและภริยาที่ตกเป็นเหยื่อ ภาพลักษณ์ที่ออกมาของ บีเมอร์ มีผลกระทบเฉกเช่นเดียวกับภาพลักษณ์ของผู้หญิงในอัฟกานิสถาน จากเหตุผลที่ประเทศชาติต้องตกอยู่ในภาวะที่ต้องมีการทำสงคราม ดังนั้นเพื่อจุดประสงค์ของการตรวจสอบ ณ ตรงนี้ จึงจะขอเน้นในสองสามประเด็น ประเด็นแรก การสร้างวีรบุรุษที่เป็นผู้ชายนั้นไม่มีอะไรยากขึ้นอยู่กับภูมิทัศน์ภายในประเทศ ตัวอย่างเช่น คำว่า ‘let’s roll - ลงมือกันเลยพวกเรา"  ที่ท็อดด์ มอร์แกน บีเมอร์ กล่าวเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนการต่อสู้กับสลัดอากาศเพื่อยึดห้องนักบินคืน ไม่นานก่อนที่เที่ยวบินที่ 93 จะสูญเสียการควบคุมและชนเข้ากับสนามแห่งหนึ่งในเมืองสโตนีครีก รัฐเพนซิลเวเนีย คำพูดดังกล่าวจะกลายเป็นภาพอันทรงพลังของความสามัคคีชาตินิยมโดยไม่มีไอคอนที่เหมือนมาดอนน่าของลิซ่า บีเมอร์ คุณแม่ผู้มีบุตรอยู่ในครรภ์ที่กำลังไว้ทุกข์กับการกระทำอันกล้าหาญของสามีของเธอ? ประเด็นที่สอง การกระทำของผู้หญิงที่มีบทบาทในการสู้รบมากขึ้น อย่างนักผจญเพลิงและตำรวจหญิง มักถูกละเลยในการบันทึกเอาไว้ในเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน และประเด็นสุดท้าย การลบผู้หญิงเหล่านี้ออกจากภูมิทัศน์นั้น ทำให้เกิดพื้นที่สาธารณะที่เปี่ยมไปด้วยลักษณะเกี่ยวข้องกับภูมิทัศน์ภายในบ้าน เช่น การเลี้ยงดูและการเยียวยา ดังนั้น การกระทำอย่างเช่นการร้องไห้ของนักผจญเพลิงชายและเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงถือว่ามีความเหมาะสม ในกรณีที่ไม่มีผู้หญิง พวกเขาได้สร้างภราดรภาพ ครอบครัวสาธารณะที่ต้องไว้ทุกข์ ในกรณีนี้ ประเทศชาติถูกกระตุ้นให้เกิดความสามัคคีด้วยการกระทำที่เลวร้าย จนทำให้แม่ที่ตั้งครรภ์กลายเป็นม่าย และซุปเปอร์ฮีโร่ก็ร้องไห้ออกมาจริงๆ

สิ่งสำคัญคือต้องการระบุว่าจุดประสงค์ของการตรวจสอบดังกล่าวนี้ไม่ใช่เพื่อลบล้างการกระทำอันกล้าหาญใดๆ ที่เกิดขึ้นโดยบุคคลจำนวนมากจากเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2001 แต่มีเจตนาที่จะเริ่มการตรวจสอบเบื้องต้นว่าหลังการโจมตีครั้งนั้นแล้ว โลกเป็นอย่างไร ศูนย์การค้าในภูมิทัศน์ของนครนิวยอร์กถูกทำให้เป็นพื้นที่ของผู้ชาย เพื่อแสดงให้เห็นว่าเมืองนี้น่าเกรงขามเพียงใดเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตี เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการอภิปรายนี้ การวิเคราะห์เกี่ยวกับการจัดตั้งภูมิทัศน์ทางศีลธรรมของนครนิวยอร์กด้วยภาพยอดนิยมที่เผยแพร่หลังโศกนาฏกรรมไม่นาน จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องดำเนินการ โดยอาศัยการอภิปรายเกี่ยวกับการโจมตีจากมุมมองของสตรีนิยมให้มากขึ้น อย่างเช่น Firework: The News-letter of Women in the Fire Service, Inc. ที่แสดงให้เห็นว่านักผจญเพลิงเหล่านี้มีความกังวลว่าวีรบุรุษของการถูกโจมตีครั้งนี้ล้วนเป็นผู้ชายและเพิกเฉยต่อการมีส่วนร่วมของนักผจญเพลิง เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กู้ภัย ที่เป็นผู้หญิง ที่เสี่ยงชีวิตและเสียชีวิตไปในวันที่ 11 กันยายน สิ่งนี้นำไปสู่การหล่อหลอมความเป็นผู้ชาย ขึ้นมาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นของแผนกดับเพลิงในนครนิวยอร์ก ด้วยการฟื้นฟูดังกล่าวทำให้มีความเป็นนักดับเพลิงมากกว่านักผจญเพลิงที่มีความเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด ในอดีต ความท้าทายของแนวคิดของนักรบชายจะถือว่าไม่รักชาติ อย่างไรก็ตาม ในกรณีของการโจมตีนครนิวยอร์กสิ่งสำคัญคือต้องถามว่า ทำไมการกระทำของผู้หญิงจึงถูกเพิกเฉยในการบันทึกเหตุการณ์ในวันนั้น และหลักศีลธรรมประเภทใดที่แสดงออกเมื่อพวกเธอไม่อยู่ สิ่งสำคัญที่สุด คือ การรักษาอัตลักษณ์ของผู้หญิงในสงครามทางประวัติศาสตร์นั้น ได้ถูกเขียนใหม่ลงในภูมิทัศน์ทางการเมืองร่วมสมัยเอาไว้บ้างหรือไม่?

ผู้แกร่งกล้าในตึกล่ม

หนึ่งในภาพที่ได้รับความนิยมมากที่สุดหลังเหตุโจมตีนิวยอร์กซิตี้ คือ การ์ตูนเรื่อง ผู้แกร่งกล้าในตึกล่ม - Our Towering Heroes’ ซึ่งเปรียบภาพของตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์กับศพของนักผจญเพลิงและเจ้าหน้าที่ตำรวจชาย การหล่อหลอมความเป็นผู้ชายของภูมิทัศน์ที่แท้จริงนั้นมีลักษณะปรากฎที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม น่าสงสัยว่าภาพนี้กับภาพนักผจญเพลิงกอดและร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน จะช่วยสร้างความสามัคคีในชาติได้อย่างไร ในกรณีของผู้ชายที่แสดงออกทางอารมณ์ในที่สาธารณะ เห็นได้ชัดว่ามีความผูกพันอันลึกซึ้งที่พัฒนาขึ้นเมื่อเผชิญกับโศกนาฏกรรมครั้งนี้ แต่ก็มีความรู้สึกถึงพลังได้เช่นกัน ดังที่ให้เหตุผลเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากความไร้พลังของพวกเขา ตัวอย่างเช่น บทความของหนังสือพิมพ์นิวยอ์กไทม์ส เรื่อง “When The Hero Wept” แย้งว่า เคยเห็นนักผจญเพลิงผู้กล้าหาญร้องไห้ ผู้ชายคนอื่นก็ทำได้แบบนั้นเช่นกัน การตอบสนองอย่างอบอุ่นของมนุษย์ต่อความสูญเสียในวันที่ 11 กันยายน แสดงให้เราเห็นความเป็นจริง น้ำตาเผยให้เห็นความเข้มแข็งไม่ใช่ความอ่อนแอ ความเมตตาไม่ใช่ความกลัว วุฒิภาวะไม่ใชสูญเสียการควบคุม ความอยากที่จะร้องไห้เมื่ออารมณ์มีอย่างท่วมท้นเป็นส่วนหนึ่งของปุถุชน และไม่มีอะไรดีเลยที่จะปฏิเสธการหลั่งน้ำตา ในกรณีแบบนี้ คุณลักษณะที่มักเกี่ยวข้องกับบ้าน เช่น ความเห็นอกเห็นใจและอารมณ์ จะถูกนำเสนอสู่พื้นที่สาธารณะ อย่างไรก็ตาม ลักษณะเหล่านี้ได้รับการแปลความหมายให้เป็นความเข้มแข็งและวุฒิภาวะตามที่ผู้ชายได้แสดงออกมาในพื้นที่สาธารณะ

แม้ว่าจะมีวีรสตรีอยู่ที่กราวนด์ ซีโร่ ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น แต่วีรสตรีที่ได้รับการยอมรับของความขัดแย้งนี้ ดูเหมือนจะเป็นแม่ที่เป็นคริสเตียนผิวขาวและรักต่างเพศ ที่ถูกทิ้งไว้โดยปราศจากสามี แน่นอนว่านี่เป็นโศกนาฏกรรม และไม่มีอะไรสามารถพิสูจน์สภาพของผู้หญิงเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่พวกเธอได้ลุกขึ้นมาในฐานะสัญลักษณ์ทางศีลธรรมของความขัดแย้งนี้ ในขณะที่ผู้หญิงคนอื่นๆ ถูกละเลย

ประเด็นของการโต้แย้งนี้ไม่ใช่เพื่อดึงความกล้าหาญที่ผู้หญิงเหล่านี้แสดงออกมาเมื่อเผชิญกับความโศกเศร้าอย่างไม่อาจเข้าใจได้ แต่เป็นการถามว่า ทำไมจึงไม่รวมผู้หญิงคนอื่นๆ เอาไว้ในฐานะวีรสตรีที่โดดเด่น อย่างเช่น มอยรา สมิธ ชาวนิวยอร์ก เธอเป็นเจ้าหน้าที่กรมตำรวจนิวยอร์กที่ถูกสังหารเมื่อวันที่ 11 กันยายน สมิธเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกๆ ที่ตอบสนองการโจมตีที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และมีคนพบเห็นครั้งสุดท้ายในการอพยพผู้คนออกจากอาคารหลังที่สอง ซึ่งมีการช่วยชีวิตผู้คนได้หลายร้อยชีวิต หนังสือพิมพ์เดลินิวส์นิวยอร์กบรรยายถึงเธอว่า มีหน้าตาของนางฟ้าและมีหัวใจของสิงโต กรอบภาพแสดงความอาลัยที่สวยงามสมเกียรติของสมิธ อาจทำให้บางคนยอมรับได้ง่ายขึ้นว่าเธอได้รับรางวัลเหรียญอันทรงเกียรติจากกรมตำรวจนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเกียรติสูงสุดของแผนกนี้แล้ว นอกจากนั้นก็ยังมียาเมล เมริโน ช่างเทคนิคการแพทย์ฉุกเฉินเชื้อสายโดมินิกัน ซึ่งทำหน้าที่ดูแลผู้บาดเจ็บ เธอเสียชีวิตเมื่อตึกสองถล่มลงมา เมริโนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องทิ้งเควิน ลูกชายวัย 8 ขวบเอาไว้เบื้องหลัง แต่เด็กคนนี้ก็ได้รับความสนใจน้อยมาก ซึ่งตอนนี้ยายของเขารับหน้าที่ต้องเลี้ยงดูต่อจากเมริโน อีกทั้งก็ยังมี เคตี มาซซ่า ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่การท่าเรือหญิงคนแรกที่ถูกสังหารขณะปฏิบัติหน้าที่ มาซซาถูกสังหารขณะอพยพผู้คนจากตึก 1 ของอาคารเวิลด์เทรด นั่นทำให้เกิดคำถามว่ามีผู้หญิงคนอื่นที่ปฏิบัติการอย่างกล้าหาญอีกหรือไม่ และทำไมไม่ประกาศให้เป็นวีรสตรีในคราวนั้นด้วย? ร้อยโทเบรนดา เบิร์คแมน มีวันหยุด แต่ว่าเธอเองก็เหมือนกับนักผจญเพลิงคนอื่นๆ ที่เมื่อได้ยินว่ามีภัยพิบัติเกิดขึ้น เธอก็รีบตรงไปที่โรงดับเพลิงที่ใกล้ที่สุด แล้วกระโดดขึ้นรถบรรทุกเพื่อไปที่กราวนด์ ซีโร่ เธอทำงานอย่างไม่รู้จบที่กราวนด์ ซีโร่ จากนั้นก็กลับไปที่สถานีดับเพลิงเพื่อรับประทานอาหารหรือพักผ่อนราวๆ 2-3 ชั่วโมง พร้อมให้คำปรึกษากับนักผจญเพลิงคนอื่นๆ และช่วยวางแผนจัดการกับร่างผู้เสียชีวิต ในข้อความที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์มินนีแอโพลิส สตาร์ ทริบูน เขียนถึงคำพูดของเบิร์คแมนว่า ฉันรู้ว่านักผจญเพลิงทั้งหลายเป็นวีรบุรุษ เป็นมาก่อน 9/11 เสียอีก

 

แต่น่าเสียดายที่นักกู้ภัยสตรีที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับบุรุษที่กราวนด์ ซีโร่ ถูกสื่อมวลชนเมินเฉยอย่างรุนแรง แต่ว่าคำว่านักผจญเพลิงกลับมาเป็นที่กล่าวขวัญอีกครั้ง สตรีลงไปที่นั่นตั้งแต่เครื่องบินลำแรกชนหอคอยหลังแรก เธอบอกว่ามีสตรีหลายคนถูกขังอยู่ใต้ซากปรักหักพัง เจ้าหน้าที่กู้ภัยสตรี 3 คน ถูกสังหารในวันนั้น ไม่คิดเลยว่านี่เป็นการแสดงความรักชาติเพียงกลุ่มเดียวในการทำงานคราวนั้น

เบรนด้า เบิร์กแมน แสดงความกล้าหาญอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในวันนั้น อย่างไรก็ตาม เธอก็เหมือนกับผู้หญิงหลายคน ที่ต้องเข้าสู่สงครามเพื่อเข้าถึงภูมิทัศน์ทางการเมือง และแน่นอนว่าเธอและพวกของเธอเป็นวีรบุรุษของสงครามครั้งนั้น เธอได้รับการว่าจ้างจากแผนกดับเพลิงของนครนิวยอร์กในปี 1982 อันเป็นผลมาจากคดีฟ้องร้องแบบกลุ่มที่บังคับให้แผนกต้องจ้างเธอ เธอจึงกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับการว่าจ้างจากแผนก ซึ่งเป็นเพียง 1 ใน 40 คนที่เข้าร่วมงานหลังคดีสิ้นสุด นับแต่นั้นเป็นต้นมา จำนวนดังกล่าวก็ลดน้อยลงเหลือผู้หญิงทำงานที่นั่นเพียง 25 คน จากนักผจญเพลิงทั้งหมดในแผนก 11,500 คน เมื่อเธอพูดถึงช่วงแรกๆ ของเธอในที่ทำงาน ออกซิเจนเคยถูกระบายออกจากถังลมของเธอ เครื่องตอบรับอัตโนมัติเต็มไปด้วยคำขู่  และเพื่อนร่วมงานชายที่สนับสนุนไม่กี่คนของเธอก็ถูกเจาะยาง เจ้าหน้าที่ดับเพลิงส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะพูดคุย ฝึก หรือรับประทานอาหารกับเธอ ที่แย่ที่สุดคือเธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าเพื่อนร่วมงานชายจะคอยเฝ้าดูเธอในไฟที่อันตรายเหมือนที่พวกเขาทำกันเองหรือไม่ ประสบการณ์ของเบรนดา เบิร์กแมน ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงที่แสวงหาการเข้าถึงภูมิทัศน์ทางการเมืองมีส่วนร่วมในการต่อสู้ทุกวันอย่างไร

บทสรุป

เมื่อมาร์ไควิชซ์รู้ว่าเธอไม่ควรถูกประหารชีวิตพร้อมกับสหายชายของเธอ เธอตำหนิชาวอังกฤษ โดยยืนยันว่า "ฉันหวังว่ากระสุนของคุณจะมีความเหมาะสมที่จะยิงฉัน" มาร์ไควิชซ์กำลังตั้งคำถามถึงหลักศีลธรรมของสงครามครั้งนี้ซึ่งปฏิเสธเธอ สิทธิในการแสดงท่าทางแบบชาตินิยมครั้งสุดท้ายด้วยการ ยอมสละชีพเพื่อไอร์แลนด์อย่างเปิดเผย แต่เธอโต้เถียงต่อต้านการผิดศีลธรรมในการขังตัวเองและผู้หญิงไอริชอีก 17 คน ให้ถูกคุมขังเดี่ยว ด้วยวิธีนี้ การพลีชีพในที่สาธารณะเป็นสถานที่ที่สงวนไว้สำหรับผู้ชาย ในขณะที่การเสียสละของผู้หญิงถูกละเลยและถูกผลักไสไปยังพื้นที่ส่วนตัว เช่น บ้าน ส่วนหนึ่งของการสร้างบทบาททางเพศในความขัดแย้งก็คือการกำหนดว่าการเสียสละประเภทใดที่เป็นที่ยอมรับทางศีลธรรมในแง่ของเพศ ตัวอย่างเช่น อนุญาตให้ผู้หญิงต้องทนทุกข์ในบทบาทของแม่ แต่ไม่ใช่ในฐานะนักรบในที่สาธารณะ ด้วยวิธีนี้ ภาพลักษณ์ของผู้หญิงในประเทศที่ไร้อำนาจทำให้ภาพลักษณ์ของผู้ชายเป็นนักรบ และด้วยเหตุนี้จึงสร้างภูมิทัศน์ทางการเมืองในฐานะผู้ชาย

 

ประเด็นของการเทียบเคียงกรณีทางประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติไอร์แลนด์กับการโจมตีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 คือ การแสดงให้เห็นว่าภูมิทัศน์ทางการเมืองร่วมสมัยยังคงเป็นวิธีมองของผู้ชาย ตัวอย่างเช่น รูปภาพของผู้หญิงที่เป็นเหยื่อ มารดา และหญิงม่าย ถูกนำมาใช้อย่างเสรีเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับเหตุระเบิดในอัฟกานิสถาน วีรบุรุษในเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน ได้แก่ นักผจญเพลิง  เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยอื่นๆ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นผู้ชาย น่าแปลกที่สุนัขกู้ภัยได้รับรายงานข่าวจากสื่อมากกว่าผู้หญิงที่กราวนด์ ซีโร่  เช่นเดียวกับในกรณีของชาวแอมะซอน ผู้หญิงที่ละเมิดขอบเขตของภูมิทัศน์ทางการเมืองจะถูกมองว่าเป็นคนต่างชาติและอยู่นอกสถานที่ ที่สำคัญที่สุด ทั้งสองกรณีนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่สงครามอาจมีต่อการแบ่งแยกเพศของสังคม ตัวอย่างเช่น ประวัติศาสตร์ของไอร์แลนด์จะแตกต่างไปอย่างไรหากมุมมองของผู้หญิงถูกรวมไว้ในการตัดสินใจทางการเมืองครั้งสำคัญเช่นนี้เป็นการแบ่งแยก ในทำนองเดียวกัน การรุกรานอัฟกานิสถานของสหรัฐฯ จะแตกต่างออกไปหรืออาจสร้างภาระผูกพันหรือไม่ หากภาพผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นลิซ่า บีมเมอร์หรือผู้หญิงชาวอัฟกานิสถานที่สวมผ้าคลุมหน้า ไม่ได้เป็นเหตุผลอันทรงพลังเช่นนี้ในการเข้าสู่สงคราม

 

บางทีคำพูดของมาร์ไควิชซ์อาจจะอธิบายลักษณะสองประการของพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัวได้ดีที่สุดในช่วงสงคราม ถนนสายแรกสู่อิสรภาพคือการตระหนักว่าตนเองเป็นชาวไอริช - ไม่ใช่ชาวไอริชหรือเป็นเพียงผู้หญิง แต่เป็นชาวไอริชที่ตกเป็นทาสสองเท่าและด้วยการต่อสู้สองครั้งเพื่อสู้รบ ถ้อยคำเหล่านี้แม้จะเจาะจงเฉพาะประเทศและช่วงเวลา แต่ก็เป็นความจริงสำหรับผู้หญิงทุกคน โดยไม่คำนึงถึงวัฒนธรรม เชื้อชาติ หรือชนชั้น เมื่อพวกเขาพยายามเขียนภูมิทัศน์ทางการเมืองใหม่เพื่อเป็นแนวทางในการมองเห็นทั้งชายและหญิง ส่วนประสบการณ์ของเบรนด้า เบอร์กแมน ไม่ต่างจากแมรี แมคสไวนีย์ เมื่อเกือบหนึ่งศตวรรษก่อนหน้านี้ ทั้งเบอร์กแมนและแมคสไวนีย์ต้องการให้ผู้หญิง "ถูกนับรวมเข้าไปด้วย" ไม่ว่าจะในการเลือกตั้งและการเคลื่อนไหวระดับชาติ หรือเพื่อตอบสนองต่อโศกนาฏกรรมระดับชาติ ผู้หญิงทั้งสองคนเสี่ยงชีวิตเพื่อทำหน้าที่รับใช้ชาติของตน อย่างไรก็ตาม และที่สำคัญที่สุด ผู้หญิงทั้งสองคนได้ท้าทายระบบปิตาธิปไตยเมื่อพวกเขาชักลากผู้หญิงใหม่เข้าสู่ภูมิทัศน์ทางการเมืองในช่วงที่เกิดความขัดแย้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น