กัมพูชาในอารักขาฝรั่งเศส 1863-1953
Cambodge - Sous protectorat françai
1863 – 1953
พัฒนา ราชวงศ์ อาศรมภูมิวิทยาศาสตร์
สาขาวิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
เจ้านโรดมที่ 1
ในศตวรรษที่ 19 ราชอาณาจักรกัมพูชาอยู่ภายใต้การปกครองของราชอาณาจักรสยาม (ปัจจุบันคือ ประเทศไทย) ซึ่งได้ยึดครองนครวัด แล้วบังคับให้ต้องเปลี่ยนที่ตั้งของเมืองหลวงอยู่เป็นประจำ ขณะเดียวกัน ราชวงศ์เหงียนอันนัมของจักรพรรดิเวียดนามก็กำลังขยายขนาดขึ้นเช่นกัน ซึ่งทั้งสองปรากฎการณ์ล้วนเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของกัมพูชา ต่อมา เจ้านโรดมที่ 1 ซึ่งขึ้นครองราชย์ในปี 1860 ได้ทรงแสวงหาทางออกจากกับดักที่เพื่อนบ้านทั้งตะวันตกและตะวันออกวางเอาไว้ ในวันที่ 5 กรกฎาคม 1863 พระองค์ทรงลงนามในสนธิสัญญาอารักขากับจักรวรรดิฝรั่งเศส หนึ่งเดือนต่อมา อนุสัญญาฝรั่งเศส-เขมรได้กำหนดเงื่อนไขของอนุสัญญานี้ โดยห้ามกัมพูชารักษาความสัมพันธ์กับมหาอำนาจต่างชาติใดๆ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากฝรั่งเศส และอนุญาตให้มีนายพลชาวฝรั่งเศสประจำการอยู่ในเมืองหลวงได้ นอกจากนี้ อนุสัญญายังให้สิทธิพิเศษมากมายแก่พลเมืองฝรั่งเศส เช่น สิทธิในการเคลื่อนย้ายอย่างเสรี สิทธิในการเป็นเจ้าของที่ดิน และความเป็นไปได้ในการถูกพิจารณาคดีโดยศาลผสม เนื่องจากรัฐบาลนโปเลียนที่ 3 ล่าช้าในการให้สัตยาบันสนธิสัญญา เจ้านโรดม (ทรงวิตกกังวลเกี่ยวกับความอยู่รอดของประเทศ) จึงทรงพิจารณาหันไปพึ่งสยาม แนวทางนี้ประสบผลสำเร็จ และในที่สุดสนธิสัญญาก็ได้รับการให้สัตยาบันโดยฝรั่งเศสในเดือนเมษายน 1864
แรงจูงใจของฝรั่งเศสในกัมพูชา
เห็นได้ชัดว่าการขยายอิทธิพลเหนือกัมพูชา นำมาซึ่งประโยชน์มากมายสำหรับฝรั่งเศส นอกจากการหาทางแก้ไขความไม่มั่นคงทางการเมืองที่ขัดขวางการเผยแผ่ศาสนาคริสต์แล้ว ฝรั่งเศสยังมองว่านี่เป็นหนทางหนึ่งในการสถาปนากองทัพอาณานิคมในโคชินไชน่าอย่างมั่นคง การปรากฏตัวของฝรั่งเศสในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้จากกลุ่มกบฏที่ลี้ภัยอยู่ในดินแดนกัมพูชา การควบคุมทั้งสองฝั่งชายแดนระหว่างกัมพูชาและเวียดนามทำให้การติดตามตัวกบฎเหล่านั้นง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นหนทางหนึ่งในการขยายพื้นที่เพาะปลูกและป้องกันไม่ให้อังกฤษรุกรานพื้นที่ดังกล่าว อีกทั้ง การที่ฝรั่งเศสควบคุมกัมพูชายังเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการล่าอาณานิคมของทั้งสามประเทศ รวมถึงเวียดนามและลาว ซึ่งจะรวมตัวกันเป็นอินโดจีนเป็นเวลาครึ่งศตวรรษ
การบริหารพื้นที่อาณานิคม
การอยู่ร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสและราชสำนักในกรุงพนมเปญเต็มไปด้วยความขัดแย้งในช่วงทศวรรษแรกๆ ระหว่างการเริ่มต้นของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และการสิ้นพระชนม์ของเจ้านโรดมที่ 1 โดยในปี 1904 ฝรั่งเศสอนุญาตให้พระองค์บริหารกิจการภายในของประเทศในฐานะกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระองค์ทรงปรารถนาที่จะพัฒนาประเทศให้ทันสมัย แต่ฝรั่งเศสซึ่งเห็นว่าระบอบกษัตริย์กัมพูชามีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป จึงได้ลดมาตรฐานการครองชีพของพระองค์และปฏิรูปโครงสร้างหลายประการ เช่น การเลิกทาสในกัมพูชา ในปี 1884 รัฐบาลฝรั่งเศสเชื่อมั่นว่ากษัตริย์ทรงยับยั้งการปฏิรูป จึงตัดสินใจกระชับอำนาจในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถึงขั้นใช้กำลังบังคับให้กษัตริย์ลงนามในอนุสัญญาศุลกากรเพื่อจัดตั้งสหภาพศุลกากรสำหรับอินโดจีนฝรั่งเศส ส่งผลให้เกิดการลุกฮือของประชาชนระหว่างปี 1885-1885 ซึ่งบีบให้ฝรั่งเศสต้องล่าถอย ทั้งสองประเทศซึ่งมีปัญหาต้องแก้ไขอยู่แล้วในรัชสมัยอันนัม ได้เจรจาข้อตกลงใหม่กับเจ้านโรดมที่ 1 เพื่อสร้างความสงบสุขให้กับประเทศ
หลังจากพระองค์สวรรคต พระราชโอรสทรงได้รับพระราชทานราชสมบัติเป็นของพระอนุชา เจ้าชายสีสุวัตถิ์ ซึ่งทรงรักษาสัมพันธภาพอันดีกับรัฐบาลอาณานิคม พระองค์ทรงสนับสนุนนโยบายการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แต่แล้วเจ้ามณีวงศ์ พระราชโอรสได้ขึ้นครองราชย์แทนพระองค์หลังจากสวรรคต โดยทรงรักษาสัมพันธไมตรีอันดีกับฝรั่งเศสไว้ ในทางปฏิบัติ การพัฒนาของกัมพูชาเกิดขึ้นภายใต้กรอบของสหภาพอินโดจีน และเจ้ามณีวงศ์มีตัวแทนในรัฐบาลกลางน้อยมาก ระบบการศึกษาพัฒนาได้อย่างเชื่องช้าและมีเพียงการศึกษาระดับประถมศึกษาเท่านั้น ในปี 1937 ประเทศยังคงไม่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่เหมาะสม ชาวเขมรจากครอบครัวที่ร่ำรวยจึงต้องไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่ไซ่ง่อน
กำเนิดชาตินิยมเขมร
ในช่วงทศวรรษ 1930 แม้ว่าชีวิตทางการเมืองจะเงียบสงบ แต่ลัทธิชาตินิยมเขมรก็ค่อยๆ เฟื่องฟูขึ้น โดยกระจุกตัวอยู่ในแวดวงปัญญาชนและศาสนา ปัญญาชนที่ได้รับการฝึกฝนจากตะวันตกได้รับอิทธิพลจากขบวนการเรียกร้องเอกราชของเวียดนาม หนึ่งในนั้นคือ ซอนหง็อกถั่น พร้อมด้วยผู้ร่วมงานอีกสองคน คือ เสิมวา และบาจฌืน ได้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์นครวัด (หมายถึง เมืองของเรา) ขึ้น เรื่องนี้สร้างความตื่นตัวให้กับรัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งได้นำแนวทางการบรรณาธิการต่อต้านอาณานิคมและต่อต้านเวียดนามมาใช้ตั้งแต่ทศวรรษ 1940 เป็นต้นมา ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ขบวนการเรียกร้องเอกราชของเขมรอิสระ ได้ก่อตั้งขึ้น โดยมุ่งหวังที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราช
สงครามโลกครั้งที่สองและการประกาศอิสรภาพ
เจ้านโรดม สีหนุ
ญี่ปุ่นฉวยโอกาสจากความอ่อนแอของฝรั่งเศส หลังจากพ่ายแพ้ต่อเยอรมนีในปี 1940 เพื่อข่มขู่รัฐบาลและเข้าประจำการในอินโดจีนตามที่เห็นสมควร อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นยังคงเคารพอธิปไตยของฝรั่งเศส และอนุญาตให้รัฐบาลวิชี (หมายถึงรัฐบาลเผด็จการของฝรั่งเศสที่จัดตั้งขึ้นที่เมืองวิชีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตั้งแต่กรกฎาคม 1940 - สิงหาคม 1944 หลังจากการพ่ายแพ้ต่อเยอรมนี โดยมีจอมพลฟิลิป เปแต็ง เป็นประมุข) บริหารประเทศ ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมลัทธิชาตินิยมเขมร
เมื่อเจ้ามณีวงศ์สวรรคต รัฐบาลจึงเลือกเจ้าชายนโรดม สีหนุ เจ้าหนุ่มน้อยที่มีที่ปรึกษาชาวฝรั่งเศสรายล้อมอย่างใกล้ชิด และในวันที่ 9 มีนาคม 1945 จักรวรรดิญี่ปุ่นได้ก่อรัฐประหารต่อต้านฝรั่งเศสและยึดครองดินแดนอินโดจีนทั้งหมด เพื่อพยายามหลีกเลี่ยงการรุกรานของฝ่ายสัมพันธมิตร หลังจากได้รับเอกราชเพียงช่วงสั้นๆ เจ้าชายสีหนุจึงประณามรัฐในอารักขา หลังจากลี้ภัยอยู่ในญี่ปุ่น ซอนหง็อกถั่น จึงเดินทางกลับกรุงพนมเปญ และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จากนั้นจึงสถาปนาตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่น ในช่วงเริ่มต้นของขบวนการชาตินิยมต่อต้านญี่ปุ่น เหตุการณ์นี้สร้างความสับสน และในที่สุดแล้วเจ้าชายสีหนุจึงได้ติดต่อฝรั่งเศสเพื่อฟื้นฟูรัฐในอารักขาและจับกุมเซินหง็อกถั่น
ในช่วงสงครามอินโดจีน กัมพูชาเป็นประเทศ (ในสามประเทศ) ที่ได้รับผลกระทบจากกองกำลังกองโจรเรียกร้องเอกราชของคอมมิวนิสต์น้อยที่สุด เอกราชสามารถมอบให้กับเจ้าชายสีหนุได้ ซึ่งพยายามเจรจากับฝรั่งเศสในเงื่อนไขที่ทุกฝ่ายยอมรับได้
Bibliographie
A. Dauphin-Meunier, Histoire du Cambodge, PUF, Paris, 1961, 1983
Alain Forest, Le Cambodge et la colonisation française : Histoire d’une colonisation sans heurts (1897 – 1920), vol. 1, Editions l’Harmattan coll. « Centre de documentation et de recherches sur l’Asie du Sud-Est et le monde insulindien », 1er mars 1993, 546 p
Philippe Franchini, Les guerres d’Indochine : des origines de la présence française à l’engrenage du conflit international, Paris, Pygmalion éditions
Pierre Montagnon, la France coloniale : la gloire de l’empire du temps des croisades à la seconde guerre mondiale. Paris, Pygmalion éditions
John F. Cady, Roots of French Imperialism in Eastern Asia, Cornell University Press, 1968, 336 p


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น