วิธีเล่าเรื่องด้วย Freytag’s Pyramid
พัฒนา ราชวงศ์ อาศรมภูมิวิทยาศาสตร์
สาขาวิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
แปลและเรียบเรียงจาก Sean Glatch (2025). “The 5 Elements of Dramatic Structure: Understanding Freytag’s Pyramid”, September 18, Available on https://writers.com/freytags-pyramid
Freytag’s Pyramid คืออะไร และจะช่วยให้สามารถเขียนเรื่องราวได้ดีขึ้นอย่างไร พูดง่ายๆ Freytag’s Pyramid คือ แผนผังโครงสร้างละครที่แบ่งออกเป็น 5 ส่วน ซึ่งการทำความเข้าใจ 5 ขั้นตอนของ Freytag’s Pyramid จะช่วยให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เรื่องราวมีพลังและน่าติดตาม
เรื่องราวส่วนใหญ่ดำเนินตามรูปแบบง่ายๆ ที่เรียกว่า Freytag’s Pyramid
การเล่าเรื่องเป็นหนึ่งในประเพณีที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ และแม้ว่าศิลปะการเขียนเชิงสร้างสรรค์จะครอบคลุมหลายสิบแนวและหลายพันภาษา แต่สูตรการเล่าเรื่องที่แท้จริงก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ไม่ว่าจะเขียนเรื่องสั้น บทภาพยนตร์ สารคดี หรือแม้แต่บทกวีเชิงบรรยาย เรื่องราวส่วนใหญ่ก็ดำเนินตามรูปแบบที่ค่อนข้างเรียบง่ายที่เรียกว่า Freytag’s Pyramid
Freytag’s Pyramid
Freytag’s Pyramid คืออะไร? นักประพันธ์ Gustav Freytag พัฒนาปิระมิดการเล่าเรื่องนี้ขึ้นขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างที่นักเขียนนิยายใช้มานานนับพันปี มันค่อนข้างโด่งดัง ดังนั้นใครๆ ก็อาจเคยได้ยินชื่อนี้ในชั้นเรียนภาษาอังกฤษเก่าๆ หรืออาจจะเพิ่งเคยรับรู้เมื่อเร็วๆ นี้จากการบรรยายในชั้นเรียนวิชา Anthropocene ของมหาวิทยาลัยนเรศวร
Freytag's Pyramid อธิบายขั้นตอนสำคัญห้าขั้นตอนของเรื่องราว โดยเสนอกรอบแนวคิดสำหรับการเขียนเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ ขั้นตอนเหล่านี้ประกอบด้วย
1. เปิดเรื่อง - exposition
2. ดำเนินเรื่องให้ชวนติดตาม - rising action
3. จุดไคลแม็กซ์ - climax
4. ดำเนินเรื่องให้คลี่คลายปมประเด็น - falling action
5. บทสรุป - resolution
ไดอะแกรมตาม Freytag’s Pyramid
สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าก่อนว่าภาพวาด Freytag’s Pyramid ดั้งเดิมนั้น ไม่ได้รวมเส้นแบนเหล่านั้นไว้ที่ฐานของภาพวาด สิ่งเหล่านั้นถูกดึงขึ้นมาในภายหลังโดยนักทฤษฎีการเล่าเรื่องคนอื่นๆ แต่แนวคิดนี้เองก็ยังเป็นผลมาจาก Freytag ไม่ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลง นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสังเกตว่า Freytag’s Pyramid ใช้ได้กับเรื่องราวที่เขียนในประเทศตะวันตกมากที่สุด แม้ว่าความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นและลดลงเช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับเรื่องราวในหลักการตะวันตกเท่านั้น แต่ก็มีโครงสร้างเรื่องราวที่หลากหลายมากมาย ทั้งจากตะวันตกและทั่วโลก
หากใครกำลังมองหาวิธีการ/ขั้นตอนที่จะเขียนเรื่องต่อไปหรือแม้กระทั่งแค่จะขัดเกลาเรื่องที่เพิ่งเขียน ให้อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Freytag's Pyramid และสิ่งที่แต่ละองค์ประกอบสามารถช่วยให้งานเขียนดูน่าสนใจได้มากทีเดียว
ขั้นตอนเล่าเรื่อง 5 ขั้นตอน ตาม Freytag’s Pyramid
มาดู Freytag’s Pyramid ทั้ง 5 ขั้นให้ละเอียดยิ่งขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นในแต่ละขั้นตอนของโครงสร้างเรื่องราวแบบเดิมๆ นี้
1. การเปิดเผยเรื่องราวที่ต้องการเล่าใน Freytag’s Pyramid
เรื่องราวที่จะเขียนนั้นต้องเริ่มต้นจากที่ไหนสักแห่ง และใน Freytag's Pyramid แนะนำให้เริ่มต้นด้วยการเปิดเผยเรื่องราวที่ต้องการเล่า (exposition) โดยเรื่องราวที่เขียนในส่วนนี้จะเป็นการแนะนำองค์ประกอบหลักๆ ที่สมมติขึ้นมา เช่น ฉาก ตัวละคร สไตล์ ฯลฯ เป็นหลัก ในการอธิบาย ผู้เขียนมุ่งเน้นไปที่การสร้างโลกที่ความขัดแย้งของเรื่องราวเกิดขึ้น
ระยะเวลาในการอธิบายของส่วนนี้ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของความขัดแย้งของเรื่อง (complexity of the story’s conflict) ขอบเขตของโลกที่เขียน และความชอบส่วนตัวของผู้เขียน (personal preference) นวนิยายเลื่องโลก Lord of the Rings ของ John Ronald Reuel Tolkien สร้างขึ้นด้วยเรื่องราวเบื้องหลังและการอธิบาย ซึ่งมักจะครอบคลุมบทต่างๆ ของการสร้างโลกอันบริสุทธิ์ ในทางตรงกันข้าม Clive Staples Lewis เสนอคำอธิบายเพียงเล็กน้อยในซีรีส์ Chronicles of Narnia โดยเลือกที่จะเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งกับการสร้างโลกแทน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคำบรรยายของเรื่องจะมีห้าสิบหน้าหรือหนึ่งประโยค ให้ใช้ส่วนนี้ของเรื่องราวเพื่อดึงดูดผู้อ่าน ทำให้โลกในจินตนาการเป็นจริงเหมือนโลกนี้
ทั้งนี้ การแสดงส่วนำเรื่องควรจบลงด้วย "เหตุการณ์ที่เป็นการยุยงผู้อ่าน - inciting incident" ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งหลักของเรื่อง
2. การดำเนินเรื่องให้ชวนติดตามใน Freytag’s Pyramid
การ “ดำเนินเรื่องให้ชวนติดตาม - rising action” เป็นการสำรวจนำเสนอความขัดแย้งของเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงจุดไคลแม็กซ์ จะพบในเรื่องเล่าบ่อยครั้งที่ผู้เขียนสร้างเรื่องตรงนี้ส่วนนี้ดูเหมือนว่ามีสิ่งต่างๆ หรือมีสถานการณ์ที่ดู "แย่ลง" อย่างเช่น มีคนตัดสินใจผิด ศัตรูทำให้ตัวเอกเจ็บปวด หรือแม้กระทั่งตัวละครตัวใหม่ที่เข้ามาทำให้โครงเรื่องซับซ้อนยิ่งขึ้น เป็นต้น
สำหรับเรื่องราวหลายๆ เรื่อง “ดำเนินเรื่องให้ชวนติดตาม - rising action” จะใช้จำนวนหน้ามากที่สุด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าส่วนนี้ของหนังสือจะสำรวจความขัดแย้งและความซับซ้อนของเรื่องราว แต่ฉากแอ็คชันที่เพิ่มขึ้นควรสร้างให้มีการสืบสวนมากกว่าแค่โครงเรื่องเท่านั้น ในการ “ดำเนินเรื่องให้ชวนติดตาม - rising action” ผู้อ่านมักจะสามารถเข้าถึงเรื่องราวเบื้องหลังที่สำคัญๆ ได้ เมื่อความขัดแย้งคลี่คลาย ผู้อ่านควรเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแรงจูงใจของตัวละคร โลกแห่งเรื่องราว ธีมที่กำลังนำเสนอ และอาจต้องการคาดเดาถึงจุดไคลแม็กซ์ที่กำลังจะตามมาด้วย
ท้ายที่สุด เมื่อผู้เล่าเรื่องมองย้อนกลับไปที่ฉาก “ดำเนินเรื่องให้ชวนติดตาม - rising action” ของเรื่องราว ก็ควรจะชัดเจนว่าแต่ละจุดของโครงเรื่องเชื่อมโยงกับจุดไคลแม็กซ์และผลที่ตามมาของเรื่องอย่างไร แต่ก่อนอื่น มาเขียนไคลแม็กซ์กันก่อน
3. เล่ามาถึงจุดไคลแมกซ์ใน Freytag’s Pyramid
แน่นอนว่าทุกส่วนของเรื่องราวที่ต้องการเล่ามีความสำคัญ แต่หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่อยากจะยึดจุดนั้นไว้ นั่นก็คือ ไคลแม็กซ์ ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่ถึงจุดสูงสุดของเรื่องราว (story’s conflict peaks) และการได้เรียนรู้ชะตากรรมของตัวละครหลัก นักเขียนหลายคนเข้าสู่จุดไคลแม็กซ์ของเรื่องราวโดยเชื่อว่าเรื่องราวจะต้องสั้น รวดเร็ว และเต็มไปด้วยแอ็กชัน แม้ว่าบางเรื่องอาจต้องใช้ไคลแม็กซ์สไตล์นี้ แต่ก็ไม่มีสูตรตายตัวที่เข้มงวดในการเขียนไคลแม็กซ์ คิดว่าไคลแม็กซ์เป็นจุด “เปลี่ยน” ของเรื่อง ความขัดแย้งหลักได้รับการแก้ไขด้วยวิธีที่ไม่อาจแก้ไขได้
ไม่ว่าไคลแม็กซ์จะเป็นเพียงฉากเดียวหรือหลายตอนก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่า แต่จำไว้ว่าไคลแม็กซ์ของเรื่องไม่ได้เป็นเพียงจุดเปลี่ยนในโครงสร้างโครงเรื่องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงธีมและแนวคิดด้วย นี่เป็นโอกาสของผู้เล่าเรื่องที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวคิดใดก็ตามที่ขับเคลื่อนการเล่าเรื่อง ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านได้รับอารมณ์ความรู้สึก
หมายเหตุ: สำหรับผู้บทละคร จุดไคลแม็กซ์มักจะเป็นการแสดงช่วงที่อยู่ตรงกลางของเรื่อง แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าการแสดงละครทุกครั้งจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่ว่านี้
4. การดำเนินเรื่องให้คลี่คลายปมประเด็นใน Freytag’s Pyramid
ในฉาก “ดำเนินเรื่องให้คลี่คลายปมประเด็น - falling action” ผู้เขียนเรื่องเล่าจะแสดงผลพวงของไคลแม็กซ์ โดยชี้ให้เห็นว่ามีความขัดแย้งอื่นๆ เกิดขึ้นหรือไม่? ไคลแม็กซ์ส่งผลอย่างไรต่อธีมหลักของเรื่อง? ตัวละครมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจย้อนกลับได้ในไคลแม็กซ์?
โดยทั่วไปแล้ว การ ”ดำเนินเรื่องให้คลี่คลายปมประเด็น - falling action“ ของเรื่องราวมักเป็นส่วนที่ยากที่สุดในการเขียน ผู้เขียนจะต้องเริ่มเชื่อมโยงจุดจบที่หลวมๆ จากความขัดแย้งหลัก แสดงแนวคิดและธีมที่กว้างขึ้น และผลักดันเรื่องราวไปสู่การแก้ปัญหาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งโดยยังคงให้ความสำคัญกับจุดไคลแม็กซ์และผลที่ตามมาเอาไว้ หากการ “ดำเนินเรื่องให้ชวนติดตาม - rising action” ผลักเรื่องราวออกไปจาก "ปกติ" การ “ดำเนินเรื่องให้คลี่คลายปมประเด็น - falling action“ คือ การนำกลับไปสู่ "ความปกติใหม่" แม้ว่าการกระทำที่เพิ่มขึ้นและลดลงจะดูแตกต่างออกไปอย่างมาก
ในขณะเดียวกันเรื่องราวก็ยังต้องดึงดูดผู้อ่าน เมื่อเขียนเรื่องราวที่เป็นการ “ดำเนินเรื่องให้คลี่คลายปมประเด็น - falling action “ อย่าลืมขยายโลกแห่งเรื่องราว ความลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายในโลกนั้น และสิ่งอื่นใดที่ทำให้เรื่องราวที่เล่าดูน่าสนใจ
5. บทสรุปของการเล่าเรื่องใน Freytag’s Pyramid
เรื่องราวจะจบลงอย่างไร? ส่วนหนึ่งในการเขียนที่น่าหงุดหงิดที่สุดคือการรู้ว่าเรื่องราวจะจบลงที่ใด ตามทฤษฎีแล้ว เรื่องราวสามารถดำเนินต่อไปได้ตลอดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลพวงของไคลแม็กซ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต หรือแม้แต่แม้ว่าเรื่องราวจะตั้งอยู่ในอีกโลกหนึ่งก็ตาม
ความละเอียดของเรื่องเกี่ยวข้องกับการผูกจุดสิ้นสุดของไคลแม็กซ์และฉากแอ็กชันที่หลุดลอยไป บางครั้ง นี่หมายถึงการติดตามผลพวงของเรื่องราวไปสู่บทสรุปอันน่าสยดสยอง เช่น ตัวเอกเสียชีวิต ศัตรูหลบหนี ความผิดพลาดร้ายแรงส่งผลร้ายแรง ฯลฯ ในบางครั้ง การปณิธานจะจบลง (resolution ends) ด้วยข้อความที่เบากว่า บางทีตัวเอกอาจเรียนรู้จากความผิดพลาด เริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือให้อภัยและแก้ไขสิ่งใดก็ตามที่กระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งในเรื่องราว ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ให้ใช้ปณิธานเพื่อคิดต่อเกี่ยวกับธีมของเรื่องราว และให้ผู้อ่านได้คิดอะไรหลังจากอ่านคำสุดท้ายแล้ว
นักเขียนบางคนยังใช้คำว่า "ไขข้อไขเค้าความเรื่อง" (denouement) เมื่อหารือเกี่ยวกับการแก้ปัญหา ข้อไขเค้าความเรื่อง [day-new-mawn] หมายถึงเหตุการณ์สุดท้ายที่เชื่อมโยงกับจุดจบของเรื่องราว ซึ่งบางครั้งแสดงในบทส่งท้ายของเรื่องหรือฉากปิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น