พรมแดนเก่า ยุทธการใหม่ - ไทยแลนด์ กัมพูชา และสงครามที่ยังไม่สิ้นสุด
William Hurst (2025) Old Borders, New Battles: Thailand, Cambodia and an Unfinished War. RUSI: The Royal United Services Institute for Defence and Security Studies, 14 August 2025
สถาบันบริการรวมใจเพื่อศึกษาการป้องกันและความปลอดภัย (RUSI: Royal United Services Institute for Defence and Security Studies) เป็นสถาบันอิสระ ที่ทำหน้าที่จัดทำงานวิจัย ผลิตสิ่งพิมพ์ และดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในด้านการป้องกันประเทศ ความมั่นคง และกิจการระหว่างประเทศ เพื่อช่วยสร้างสหราชอาณาจักรให้มีความปลอดภัยยิ่งขึ้น รวมถึงให้โลกปลอดภัย เสมอภาค และมั่นคงยิ่งขึ้น
ความขัดแย้งบริเวณพรมแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งมีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์หลายศตวรรษ
และมีแนวโน้มที่จะปะทุขึ้นอีกครั้ง หากไม่แก้ไขสาเหตุที่เป็นพื้นฐาน
การหยุดยิงที่ผ่านมาและการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชาที่กำลังดำเนินอยู่นี้นั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงผ้าพันแผลที่เปราะบางมากๆ บนบาดแผลที่ฝังรากลึกมายาวนาน การเจรจาครั้งนี้เกิดขึ้นโดยผู้นำประเทศมาเลเซีย และจีน สหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้เข้ามาร่วมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด หลังจากการปะทะทางทหารที่ทวีความรุนแรงขึ้นหลายสัปดาห์ คลิปโทรศัพท์ระหว่างผู้นำของสองประเทศที่หลุดออกมาจนก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง และความเป็นปรปักษ์ที่มีอยู่อย่างเปิดเผย ซึ่งคุกคามที่จะเปลี่ยนข้อพิพาทชายแดนที่กำลังคุกรุ่นให้กลายเป็นความขัดแย้งระดับภูมิภาค ความสงบสุขที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างที่รับรู้เป็นสิ่งที่น่ายินดี แต่ว่ามันอาจเกิดขึ้นแค่เพียงชั่วคราว หากไม่คำนึงถึงพลวัตทางประวัติศาสตร์ การเมืองภายในประเทศ และภูมิรัฐศาสตร์ ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เกิดความขัดแย้งนี้ คำถาม คือ เราจะเห็นการเผชิญหน้ากันอีกครั้งเมื่อใด ไม่ใช่แค่จะถามว่า มันจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่
ความแตกแยกทางประวัติศาสตร์อันลึกซึ้ง
รากเหง้าของข้อพิพาทในปัจจุบัน คงต้องย้อนกลับไปถึงยุคสมัยของจักรวรรดิเขมร ซึ่งครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9-13 รวมถึงพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทยในปัจจุบัน เมื่อจักรวรรดิเขมรเสื่อมถอยลง การผงาดขึ้นของอาณาจักรสยาม ซึ่งเป็นดินแดนก่อนหน้าประเทศไทยในปัจจุบัน ได้นำมาซึ่งความพลิกผันของโชคชะตา ตลอดหลายศตวรรษต่อมา ดินแดนส่วนใหญ่ที่เป็นข้อพิพาทในปัจจุบัน รวมถึงวัดวาอารามสำคัญและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ของทั้งสองฝ่าย ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของราชสำนักสยามอย่างสิ้นเชิง
การโต้ตอบกันไปมาอย่างไม่หยุดหย่อนนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งฝรั่งเศส ซึ่งสถาปนาตนเองเป็นเจ้าอาณานิคมในกัมพูชาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ได้พยายามกำหนดเขตแดนในอินโดจีนอย่างเป็นทางการ สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม (Franco-Siamese Treaty 1907) ได้ร่างแผนที่ใหม่ขึ้นมา ทำให้ไทยตกอยู่ในความเสี่ยงในการควบคุมสถานที่สำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมหลายแห่ง รวมถึงปราสาทพระวิหารอันเลื่องชื่อ ประเทศไทยในขณะนั้นยังคงเป็นสยาม ได้ลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าว ภายใต้ความไม่พอใจและความขัดแย้งที่ยังคงอยู่
วัดวาอารามและพื้นที่โดยรอบกลายเป็นศูนย์กลางเชิงสัญลักษณ์และยุทธศาสตร์ของการแย่งชิงดินแดน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อฝรั่งเศสอยู่ภายใต้การยึดครองของนาซี และกองทัพภายใต้พระนามจักรพรรดิญี่ปุ่นได้ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยได้ฉวยโอกาสครอบครองพื้นที่ชายแดนที่เป็นข้อพิพาทส่วนใหญ่ หลังสงครามสงบลง ประเทศไทยถูกขับไล่ออกจากพื้นที่เหล่านี้ แต่บาดแผลจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของพวกชาตินิยม
ศาล ความขัดแย้ง และสงครามกลางเมืองกัมพูชา
ข้อพิพาทหลังสงครามได้เปลี่ยนจากสนามรบไปสู่การพิจารณาคดีในศาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในปี 1962 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำตัดสินให้กัมพูชาเป็นฝ่ายชนะ
โดยยืนยันอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารและพื้นที่ข้างเคียง ประเทศไทยยอมรับคำตัดสินดังกล่าวอย่างไม่เต็มใจ
แต่ความไม่พอใจของประชาชนยังคงมีสูงกว่าการยอมรับอย่างเป็นทางการแบบนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชาตินิยมในการเมืองไทย
ปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบกลายเป็นศูนย์กลางเชิงสัญลักษณ์และยุทธศาสตร์ของการโต้แย้งเรื่องดินแดน
ต่อมาในช่วงทศวรรษ
1960 และตลอดช่วงทศวรรษ 1970
กัมพูชาได้เผชิญกับความขัดแย้งภายในอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากสงครามกลางเมือง
การรุกรานของอเมริกา การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ภายใต้การปกครองของเขมรแดง และท้ายที่สุด
คือ การรุกรานและยึดครองของเวียดนาม ในช่วงเวลาดังกล่าว กลุ่มติดอาวุธ มักข้ามพรมแดนเข้าสู่ประเทศไทย
เพื่อแสวงหาที่หลบภัย และบางครั้งก็หลบภัยอย่างไม่เป็นธรรม ชายแดนดังกล่าวกลายเป็นเขตปลอดกฎหมายที่น่าตกใจ
เนื่องจากเต็มไปด้วยกิจกรรมของกองโจร การค้ามนุษย์ และการลักลอบขนสินค้า
แม้ว่าประเทศไทยจะมีความค่อนข้างมั่นคง และมีความใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
แต่ความใกล้ชิดกับความวุ่นวายในกัมพูชาและที่อื่นๆ
ทำให้กัมพูชากลายเป็นแนวหน้าของภูมิภาคในช่วงสงครามเย็น
การสถาปนาระบอบการปกครองที่สนับสนุนฮานอยหลังจากการรุกรานกัมพูชาของเวียดนามในปี 1979 ถือเป็นจุดเปลี่ยน แม้ว่าชัยชนะของเวียดนามจะโค่นล้มอำนาจของเขมรแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ก่อให้เกิดความไม่สมดุลด้วยเช่นกัน ประเทศไทยซึ่งมีความร่วมมือกับมหาอำนาจตะวันตกและมีความเคลือบแคลงสงสัยเวียดนามอย่างลึกซึ้ง ได้กลายเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มต่อต้านเวียดนาม และให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาจำนวนมาก รวมถึงบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับเขมรแดง
หลังจากการถอนทหารของเวียดนามตามข้อตกลงสันติภาพปารีสในปี 1993 และการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลในกรุงพนมเปญในปี 1993 ซึ่งสมเด็จมหาอัครเตโชฮุนเซนได้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ความสงบสุขจึงกลับคืนมาสู่พื้นที่ชายแดนอีกครั้ง และในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ฯพณฯ นายทักษิณ ชินวัตร ได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจในประเทศไทย โดยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลที่มีลักษณะเป็นประชานิยมสุดขั้วในปี 2001 ซึ่งมีจุดยืนเดียวกันกับแนวคิดเผด็จการนิยมของฮุนเซน และใช้เวลาเวลายาวนานเกือบทศวรรษที่ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ใกล้ชิดระหว่างผู้นำทั้งสอง ที่ได้ช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้เป็นปกติและลดความตึงเครียดลง
สันติภาพอันเปราะบางกำลังสลาย
เมื่อทักษิณถูกโค่นอำนาจโดยการรัฐประหารในปี 2006 การเมืองภายในประเทศของไทยเข้าสู่ยุคแห่งความไร้เสถียรภาพอันยาวนาน ประเทศไทยเต็มไปด้วยการประท้วงครั้งใหญ่ การแทรกแซงของฝ่ายตุลาการ การรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการเปลี่ยนแปลงผู้นำอื่นๆ ช่วงเวลานี้ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงทุกวันนี้
.ในปี 2008 ความตึงเครียดเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่กัมพูชาประสบความสำเร็จในการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก กลุ่มชาตินิยมไทยกล่าวหารัฐบาลกัมพูชาว่าใช้สหประชาชาติเพื่ออ้างสิทธิ์ในดินแดนอย่างคับแคบ ตั้งแต่ปี 2008-2011 เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงหลายครั้ง ส่งผลให้ทหารทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตหลายสิบนาย และทำให้พลเรือนต้องพลัดถิ่นหลายพันคน ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศถูกขอให้เข้าแทรกแซงอีกครั้งในปี 2013 โดยได้ออกคำชี้แจงเพื่อยืนยันอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเหนือปราสาทพระวิหารและพื้นที่ใกล้เคียง
ถึงกระนั้น
ปัญหาพื้นฐานก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ พรมแดนยังคงไร้ขอบเขต เรื่องเล่าชาตินิยมในทั้งสองประเทศยังคงไม่มีใครมาท้าทาย
และกองกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายยังคงรักษากำลังพลและท่าทีที่ตื่นตัว
การขาดกลไกการระงับข้อพิพาททวิภาคีหรือพหุภาคีที่ยั่งยืน หมายความว่า สถานการณ์ยังคงผันผวน
รอเพียงประกายไฟที่เหมาะสมที่จะจุดประกายขึ้นอีกครั้ง
วิกฤตการณ์ปี 2025: การทวีความรุนแรงและการเปิดเผย
ประกายไฟนั้นเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2025 เมื่อเหตุการณ์ปกติระหว่างการลาดตระเวนของกัมพูชาและไทยในพื้นที่พิพาทกลับลุกลามกลายเป็นการยิงต่อสู้กัน โดยปกติแล้ว เหตุการณ์เช่นนี้สามารถจัดการได้ผ่านการสื่อสารแบบ backchannel หรือการถอนกำลังระดับพื้นที่ออกจากความขัดแย้ง แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ กลับมีความพลิกผันทางการเมืองที่ไม่คาดคิดได้เปลี่ยนการปะทะเล็กๆ น้อยๆ ให้กลายเป็นวิกฤตระดับชาติและระดับภูมิภาค
ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้โทรศัพท์ถึงฮุนเซนเพื่อพยายามคลี่คลายความตึงเครียด หลังจากนั้น ฮุนเซนก็ได้ปล่อยบันทึกเสียงการสนทนาดังกล่าวให้สื่อมวลชนทราบ การรั่วไหลของคลิปโทรศัพท์ครั้งนี้ ก่อให้เกิดความวุ่นวายในประเทศไทย นำไปสู่การสั่งพักงานนายกรัฐมนตรีของแพทองธาร ชินวัตร และก่อให้เกิดบรรยากาศทางการเมืองที่ไร้ขอบเขตในกรุงเทพฯ
ขณะที่เรื่องอื้อฉาวทางการเมืองยังคงดำเนินอยู่ ทหารไทยคนหนึ่งสูญเสียขาจากกับระเบิด ซึ่งทางการไทยอ้างว่าถูกกองกำลังกัมพูชาวางไว้เมื่อไม่นานมานี้ ยิ่งทำให้เกิดกระแสชาตินิยมรุนแรงขึ้น ในอีกไม่กี่วันต่อมา ประเทศไทยได้เปิดฉากการโจมตีทางอากาศและระดมยิงปืนใหญ่ใส่ด่านชายแดนและชุมชนใกล้เคียงของกัมพูชา การตอบโต้ของกัมพูชามีจำกัด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะขีดความสามารถทางทหารที่อ่อนแอกว่า และส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะฮุนเซนและผู้นำประเทศผู้สืบทอดตำแหน่งพยายามหลีกเลี่ยงการยกระดับสถานการณ์ (ซึ่งแน่นอนว่าจีนก็ทำเช่นเดียวกัน)
จีน อเมริกา และกระดานหมากรุกระดับภูมิภาค
เบื้องหลัง มีผู้เล่นอีกรายหนึ่งที่ควรจับตามองอย่างใกล้ชิด นั่นคือ จีน ซึ่งกัมพูชาเป็นหนึ่งในพันธมิตรระดับภูมิภาคที่สำคัญและมั่นคงที่สุดของปักกิ่งมาอย่างยาวนาน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การลงทุนของจีนได้เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจบางส่วนของกัมพูชา ขณะที่การสนับสนุนทางทหารของจีนช่วยพัฒนากองทัพให้ทันสมัย ฐานทัพเรือจีนที่กำลังก่อสร้างตามแนวชายฝั่งทางตอนใต้ของกัมพูชาได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับวอชิงตัน กรุงเทพฯ และฮานอย ค่อนข้างมาก
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนมีความซับซ้อนมากกว่า
แม้ว่าทั้งสองประเทศจะมีความสัมพันธ์ทางการค้าที่แน่นแฟ้นและความร่วมมือทางทหารที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
แต่ไทยยังคงรักษาพันธมิตรด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ และระมัดระวังไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของปักกิ่งมากเกินไป
ความขัดแย้งบริเวณชายแดนในปัจจุบันทำให้ไทยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก
อยู่ระหว่างการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดน การผลักดันวาระทางเศรษฐกิจและการทูต
และการจัดการสมดุลทางยุทธศาสตร์
การไม่มีกลไกการแก้ไขข้อพิพาททวิภาคีหรือพหุภาคีที่ยั่งยืน ทำให้สถานการณ์ยังคงผันผวน รอเพียงประกายไฟที่เหมาะสมที่จะจุดขึ้นอีกครั้ง
ส่วนจีนนั้นก็กระตือรือร้นที่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่ตรงไปตรงมา เป็นผู้มีบทบาทในภูมิภาคที่มีความสัมพันธ์อันดีกับทั้งสองฝ่าย ที่พร้อมจะทำหน้าที่เป็นคนกลางและผู้ค้ำประกันสันติภาพ ซึ่งการลดทอนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับวอชิงตันและตะวันตก จะยิ่งส่งเสริมผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ที่กว้างขวางของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มากขึ้น
ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังไม่ได้มีบทบาทในที่สาธารณะมากนัก แต่ได้เข้าร่วมการเจรจาที่กำลังดำเนินอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์ หากรัฐบาลทรัมป์ให้ความสนใจ ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ก็คือการรักษาและเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับไทย ขณะเดียวกันก็ป้องกันไม่ให้จีนใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเพื่อบีบบังคับให้เกิดข้อตกลง
ประเทศอื่นๆ ในสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มอาเซียน ได้พยายามวางตนเป็นศูนย์กลางเพื่อแสดงให้เห็นว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถแก้ไขปัญหาของตนเองได้โดยไม่ต้องมีการแทรกแซงจากอเมริกาหรือจีนอย่างไม่เหมาะสม ดูเหมือนว่าน่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงบางอย่างได้ในขณะนี้ สิ่งที่ยังไม่ชัดเจนคือสันติภาพใดๆ จะคงอยู่ต่อไปหลังจากเหตุการณ์อื้อฉาวหรือวิกฤตครั้งต่อไปหรือไม่ และผลกระทบต่อดุลอำนาจและอิทธิพลโดยรวมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่จะเป็นอย่างไร
เราจะไปที่ไหนต่อจากนี้?
ทั้งไทยและกัมพูชาไม่มีแรงจูงใจมากนัก
ที่จะดำเนินการผ่อนปรนหรือประนีประนอมอย่างจริงจัง กัมพูชาอยู่ในสถานะที่อ่อนแอกว่าอย่างเห็นได้ชัดทั้งในแง่ของกำลังทหารและความเป็นรัฐ
ซึ่งสาธารณรัฐประชาชนจีนมีผลประโยชน์อย่างต่อเนื่องในการปกป้องอธิปไตยของกัมพูชา
ดังนั้น จึงต้องตรวจสอบประเทศไทย สหรัฐอเมริกาควรผลักดันสันติภาพและเสถียรภาพอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในประเทศ ซึ่งไทยมีความร่วมมือด้านความมั่นคงที่สำคัญ
มหาอำนาจตะวันตกอื่นๆ ส่วนใหญ่ รวมถึงสหราชอาณาจักร
จะมีแรงจูงใจที่แข็งแกร่งกว่ามากในการรักษาหรือยกระดับสถานะของไทยในภูมิภาค ประเทศอื่นๆ
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาเลเซียในขณะนี้ รวมถึงฟิลิปปินส์
เวียดนาม และอินโดนีเซีย ในอนาคตด้วยว่าจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันว่าควรสนับสนุนกัมพูชาหรือไทย
หรือวางตัวเป็นกลางดีกว่ากัน แต่ทั้งสองประเทศมีพันธสัญญาร่วมกันต่ออาเซียน และการเสริมสร้างกลไกการระงับข้อพิพาทในภูมิภาค
และการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนี้และความขัดแย้งอื่นๆ
โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงจากมหาอำนาจภายนอกอย่างสหรัฐอเมริกาหรือจีนมากเกินไป
ดังนั้น ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาจึงมีแนวโน้มที่จะถูกระงับไว้ชั่วคราว
รอคอยวิกฤตครั้งต่อไป
มากกว่าที่จะรอการแก้ไขปัญหาหรือสร้างสมดุลที่มั่นคงในระยะยาว

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น