บัณฑิตวิทยาลัยแห่งอนาคต
สร้าง think global, act local - การสร้างเสริมงานวิจัยร่วมวิทยาศาสตร์ นำพากันก้าวเข้าสู่ความเป็นดิจิทัล จัดการความรู้ภาษาต่างประเทศ
และจัดระบบนิเวศสนับสนุนบัณฑิตศึกษา
การจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาในยุคสมัยข้างหน้า (the next generation of higher graduate education management) เป็นการจัดการที่มุ่งเน้นไปที่การจัดการด้วยความคล่องตัว (agility) สร้างทุกอย่างให้เป็นดิจิทัล (digitalization) และสร้างความร่วมมือแบบหุ้นส่วน (partnerships) เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานและความต้องการของนักศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ การย้ายระบบการเรียนรู้จากชั้นเรียนแบบเดิมไปสู่การเรียนรู้ที่แยกส่วนตามความต้องการ (modular and micro-credentialed learning) บูรณาการกับอุตสาหกรรมมากขึ้นสำหรับการฝึกอบรมตามทักษะ (industrial integrated skills-based training) และนำเอาข้อมูลและเทคโนโลยีมาใช้เพื่อพัฒนาและวัดผลการเรียนรู้ (reliance on data and technology to personalize and measure learning outcomes) นอกจากนี้ ยังจะต้องสร้างสรรค์และส่งเสริมระบบนิเวศ (higher graduate education ecosystem) ด้วยการจัดให้มีโปรแกรมที่หลากหลายให้สอดคล้องกับผู้ประกอบการและอุตสาหกรรม และสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อจัดการกับความท้าทายของโลก
แนวโน้มของยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ประกอบด้วย 7 ยุทธศาสตร์หลัก คือ
· สร้างความร่วมมือแบบหุ้นส่วนกับภาคอุตสาหกรรม
(industry-academic
partnerships): การสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับธุรกิจและอุตสาหกรรมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้อง
ดังที่เห็นในโปรแกรมต่างๆ เช่น Job First, College Included Model และโปรแกรมวิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่พัฒนาร่วมกันโดยบริษัทและมหาวิทยาลัย
· สร้างการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและเป็นโหมดสนับสนุนความต้องการที่แยกเป็นส่วนๆ
(flexible
& modular learning): การเพิ่มขึ้นของข้อเสนอที่ไม่ใช่ปริญญา (non-degree
offerings) เช่น ประกาศนียบัตรและหลักสูตรเฉพาะบุคคล
เหล่านี้สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของนักศึกษาและช่วยพัฒนาทักษะที่ตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ
· บูรณาการทุกอย่างให้เข้ากับระบบดิจิทัลและเทคโนโลยี
(digitalization
& technology integration): การระบาดใหญ่เร่งใช้เทคโนโลยี
โดยต้องมีการคิดใหม่เกี่ยวกับการสอนและการสร้างคอนเท้นต์ในระบบดิจิทัลเป็นเจ้าแรก
(digital-first content) ไม่ใช่ทำเพียงแค่การถ่ายโอนสื่อที่มีอยู่ทางออนไลน์
· สร้างหลักคิดการเป็นผู้ประกอบการ
(entrepreneurial
mindset): สถาบันและผู้บริหารจะต้องมีความคล่องตัวและมีความเป็นผู้ประกอบการ
โดยตระหนักว่านักศึกษาในปัจจุบันมีนวัตกรรมมากขึ้นและต้องการประสบการณ์การเรียนรู้และเส้นทางอาชีพใหม่ๆ
มากกว่า
· สร้างการเรียนรู้ที่บูรณาการกับการทำงานจริง
(work-integrated
learning): โปรแกรมที่บูรณาการประสบการณ์การทำงานและการเรียนรู้
เช่น การศึกษาแบบมีส่วนร่วมและการทำงาน (CWIE: cooperative & work
integrated education) และการเรียนรู้แบบผสมผสานการทำงาน (WiL:
work-integrated learning) กำลังกลายเป็นมาตรฐานสำหรับการพัฒนาผู้มีความสามารถที่พร้อมใช้ในทางปฏิบัติและพร้อมสำหรับบุคลากร
· นำเสนอโปรแกรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย
(diverse
program offerings): หลักสูตรและข้อเสนออันหลากหลายเป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ
โดยมหาวิทยาลัยต่างๆ
ใช้ประโยชน์จากแบรนด์ของตนเพื่อขยายไปสู่ทางเลือกที่ไม่ใช่การเรียนรู้เพื่อให้ได้ปริญญา
· สร้างระบบนิเวศการศึกษาขั้นสูง (supportive ecosystems): การสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนซึ่งส่งเสริมการทำงานร่วมกัน ความเป็นสากล และการพัฒนาบุคลากรคุณภาพสูงถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จ
ทั้งนี้ เมื่อบัณฑิตวิทยาสามารถดำเนินการตามยุทธศาสตร์ทั้ง 7 ยุทธศาสตร์แล้ว จะมีสิ่งที่จะเกิดขึ้น ดังต่อไปนี้
· มีการดำเนินงานที่คล่องตัวและว่องไว
(agile
& nimble operations): การจัดการจะต้องเปิดรับแนวคิดใหม่ๆ
และปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงและความต้องการของนักเรียนได้อย่างรวดเร็ว
· มีการใช้เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์
(strategic
use of technology): เทคโนโลยีไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันอีกต่อไปแล้ว
แต่ได้กลายเป็นข้อกำหนดหลัก
การใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ
· มีการดำเนินงานที่มุ่งเน้นทักษะและความสามารถ
(focus
on skills & competencies): การจัดการการศึกษาจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาทักษะเฉพาะที่สามารถวัดผลได้
ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงในตลาดงาน
· มีการตัดสินใจที่ตั้งอยู่บนฐานข้อมูล (data-driven decision making): การให้ความสำคัญกีบการวัดผลทางการศึกษาและการวิเคราะห์การเรียนรู้นั้น ต้องการผู้เชี่ยวชาญที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อให้สามารถแจ้งผลและปรับปรุงกลยุทธ์ทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ เมื่อนำมาบูรณาการให้เป็นแนวนโยบายที่จะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายหลักของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งแล้ว จึงมีสิ่งสำคัญที่จะต้องดำเนินการ 4 ประการ คือ 1) การจัดชั้นเรียนรวมการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ (รวมถึงศิลปศาสตร์ด้วย) 2) การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลในการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา 3) ความรู้ภาษาต่างประเทศในการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา และ 4) ระบบนิเวศการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาแห่งอนาคต ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
สิ่งสำคัญประการที่ 1 การจัดชั้นเรียนรวมการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
"ชั้นเรียนรวมการวิจัยทางวิทยาศาสตร์" (scientific research collective class) หมายถึง สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ร่วมกันโดยตรงที่สุด ซึ่งนักศึกษาสามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อกำหนดหัวข้องานวิจัย ออกแบบการวิจัย และสร้างแนวทางแก้ไขปัญหาทางวิทยาศาสตร์ คล้ายกับโปรแกรมการวิจัยและการออกแบบทางวิทยาศาสตร์ (SCIRD: scientific research & design) นอกจากนี้ยังสามารถอธิบายความพยายามในการวิจัยโดยรวมที่มุ่งเน้นไปที่หัวข้อทางวิทยาศาสตร์ที่มีการแบ่งปันแลกเปลี่ยนกันและกัน หรือองค์กรหรือเครือข่าย เช่น Flow Research Collective หรือกลุ่มนักวิจัยพื้นเมืองของมหาวิทยาลัยที่สนับสนุนการทำงานร่วมกันและการแบ่งปันความรู้ระหว่างสมาชิก
สภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ร่วมกัน
· คำจำกัดความ: เหล่านี้เป็นชั้นเรียนหรือโปรแกรมที่นักศึกษาทำงานเป็นกลุ่ม โดยใช้การทำงานเป็นทีมเพื่อรับมือกับความท้าทายทางวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมที่เปิดกว้าง
· ตัวอย่าง:
o
โปรแกรมการวิจัยและออกแบบทางวิทยาศาสตร์
(scientific
research & design): หลักสูตรเหล่านี้ต้องการให้นักศึกษาค้นคว้า
ออกแบบ และสร้างแนวทางแก้ไขปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง
โดยเน้นแนวทางการทำงานร่วมกันแบบเน้นโครงงาน
o รวมกลุ่มกันตามชั้นเรียน (class-based collectives): ผู้สอนอาจจัดโครงสร้างชั้นเรียนที่นักศึกษาจัดกลุ่มเพื่อตรวจสอบคำถามทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะหรือพัฒนาโครงงานร่วมกัน โดยรวบรวมแง่มุม "ส่วนรวม" ในการเรียนรู้ของพวกเขา
ความพยายามในการสร้างระบบสนับสนุนงานพัฒนางานวิจัยแบบรวมศูนย์
· คำจำกัดความ:
หมายถึง การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่กลุ่มบุคคลร่วมมือกันในโครงการวิจัยหรือการศึกษาร่วมกัน
· ประเด็นสำคัญ:
การวิจัยมักจะสำรวจปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจงหรือประเด็นทางสังคม เช่น
การมาบรรจบกันของเชื้อชาติและชนชั้นในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์
· ตัวอย่าง: หน่วยงานของมหาวิทยาลัยอาจจัดโครงการวิจัยร่วม (collective research program) ในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น โดยมีนักศึกษาและคณาจารย์กลุ่มต่างๆ ร่วมแบ่งปันความเชี่ยวชาญ
องค์กรวิจัยร่วมแบบรวมศูนย์
· คำจำกัดความ:
เป็นกลุ่มหรือเครือข่ายอย่างเป็นทางการ ที่ทำหน้าที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน
การแบ่งปันความรู้ และการเสริมสร้างขีดความสามารถระหว่างนักวิจัย
· เป้าหมาย:
องค์กรนี้จะคอยทำหน้าที่ส่งเสริมชุมชนสนับสนุนนักวิจัย (supportive community)
โดยจัดหาทรัพยากร โอกาส และเวทีสำหรับการทำงานร่วมกัน
· ตัวอย่าง
o
Flow
Research Collective: ที่เป็นสถาบันวิจัยและฝึกอบรมที่เน้นด้านประสาทวิทยาของประสิทธิภาพสูงสุด
o First Nations Researchers Collective (Flinders University): ที่เป็นเครือข่ายที่สนับสนุนนักวิจัยพื้นเมืองในการแบ่งปันความรู้และยกระดับการทำงานร่วมกัน
สิ่งสำคัญประการที่ 2 การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลในการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลในการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา (digital transformation) เกี่ยวข้องกับการบูรณาการเทคโนโลยีและกระบวนการดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ การวิจัย และการบริหาร การสร้างประสบการณ์ส่วนบุคคล การขยายการเข้าถึงทรัพยากรระดับโลก และการส่งเสริมนวัตกรรม โดยองค์ประกอบหลักของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ประกอบด้วย แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ การวิเคราะห์ข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ ความจริงเสมือน และการเล่นเกม ซึ่งจัดการกับความท้าทาย เช่น การแบ่งกลุ่มดิจิทัลและเพิ่มการมีส่วนร่วม (digital divide & increase) ของนักศึกษา ความสำเร็จจำเป็นต้องมีความเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ความสามารถด้านไอทีที่แข็งแกร่ง การฝึกอบรมคณาจารย์ และการทำงานร่วมกันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อปลูกฝังวัฒนธรรมการให้ดิจิทัลมีความสำคัญเป็นอันดับแรก (digital-first culture - การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานและแนวคิดขององค์กรให้ยึดถือเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นหลักในการดำเนินงานทุกด้าน เน้นการใช้เครื่องมือและช่องทางดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การเข้าถึงลูกค้า และการสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้น วัฒนธรรมนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่รวมถึงการสร้างทัศนคติที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง เจ้าหน้าที่มีความคุ้นเคยและพร้อมปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้องค์กรมีความคล่องตัวและสามารถแข่งขันในยุคดิจิทัลได้) และบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์
องค์ประกอบหลักของการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความเป็นดิจิทัล
· แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์และระบบการจัดการการเรียนรู้
(online
learning platforms & LMS: learning management system): เครื่องมือเช่น
Coursera และ Blackboard ช่วยให้สามารถเข้าถึงหลักสูตร
ทรัพยากรดิจิทัลแบบรวมศูนย์ และอำนวยความสะดวกในการสื่อสารและการประเมิน
· การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง
(advanced
data analysis): ใช้เพื่อติดตามผลการเรียนของนักเรียน
ระบุบุคคลที่มีความเสี่ยง และปรับแต่งเส้นทางการเรียนรู้ในแบบของคุณ
· เทคโนโลยีที่ใช้ในการจำลองเพื่อคนใช้สามารถซึมซับและจินตนาการได้
(immersive
technologies): ความเป็นจริงเสมือนและความเป็นจริงเสริมสามารถ
· ปัญญาประดิษฐ์และแมชชีนเลอร์นนิ่ง
(AI
& Machine Learning): เทคโนโลยีเกิดใหม่ที่สามารถปรับแต่งการเรียนการสอนและปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการการศึกษาและการบริหาร
· การเรียนรู้ผ่านมือถือ
(mobile
learning): ช่วยให้นักเรียนสามารถเข้าถึงสื่อการเรียนการสอนและรายวิชาได้ทุกที่ทุกเวลา
· ห้องสมุดดิจิทัล (digital libraries): นำเสนอการวิจัยและเครื่องมือการทำงานร่วมกันที่กว้างขวางและเข้าถึงได้ ขจัดอุปสรรคทางภูมิศาสตร์ต่อความรู้
ประโยชน์ที่จะเกิดแก่การศึกษาขั้นบัณฑิตศึกษา
· การเรียนรู้ส่วนบุคคล
(personalized
learning): เครื่องมือดิจิทัลช่วยให้ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคลซึ่งปรับให้เหมาะกับความต้องการและจังหวะของนักเรียน
· การเข้าถึงที่เพิ่มขึ้น
(enhanced
accessibility): ขจัดข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์
เปิดประตูสำหรับนักเรียนที่ไม่ใช่นักศึกษาแบบดั้งเดิมและนักศึกษาต่างชาติ
· การมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้น
(increased
engagement): Gamification เนื้อหาเชิงโต้ตอบ
และสภาพแวดล้อมเสมือนจริงทำให้การเรียนรู้มีความไดนามิกส์และมีส่วนร่วมมากขึ้น
· การทำงานร่วมกันระดับโลก
(global
collaboration): แพลตฟอร์มดิจิทัลอำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อและการทำงานร่วมกันระหว่างนักศึกษาและคณาจารย์ในสถาบันและประเทศต่างๆ
· ประสิทธิภาพและประสิทธิผล (efficiency & productivity): ปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการและจัดเตรียมเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของครู
ความท้าทายและสิ่งที่ต้องพิจารณา
· การแบ่งแยกทางดิจิทัล
(digital
divide): รับประกันการเข้าถึงเทคโนโลยีและทรัพยากรที่จำเป็นอย่างเท่าเทียมกันสำหรับนักเรียนทุกคน
โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลังทางเศรษฐกิจของพวกเขา
· การฝึกอบรมคณะ
(faculty
training): ให้การพัฒนาวิชาชีพและการฝึกสอนอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้นักการศึกษานำทักษะและเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ
มาใช้
· ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล
(data
privacy & security): การปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของนักเรียนที่รวบรวมผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล
· โครงสร้างพื้นฐานและงบประมาณ
(infrastructure
& budget): ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่แข็งแกร่งและการจัดทำงบประมาณที่ยั่งยืนสำหรับโครงการริเริ่มด้านดิจิทัล
· การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม (cultural shift): ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับนวัตกรรม ความสามารถด้านดิจิทัล และวิธีการทำงานแบบใหม่
กุญแจสู่ความสำเร็จ
· ความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง
(strong
leadership): ผู้นำระดับสูงจะต้องสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง
ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน และสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันสำหรับการบูรณาการทางดิจิทัล
· ความสามารถด้านไอทีและองค์กรแบบบูรณาการ
(integrated
IT & organizational capability): ความพยายามในการประสานงานระหว่างแผนกไอทีและหน่วยงานวิทยาเขตอื่นๆ
มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการออกแบบและการนำโซลูชันดิจิทัลใหม่ๆ ไปใช้
· ความร่วมมือของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholder collaboration): เกี่ยวข้องกับหน่วยงานภาครัฐ พันธมิตรด้านเทคโนโลยี และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ เพื่อสนับสนุนและขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลง
สิ่งสำคัญประการที่ 3 ความรู้ภาษาต่างประเทศในการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
ความรู้ภาษาต่างประเทศ (international language literacy) ในการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หมายถึง ความสามารถของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาในการใช้ภาษาที่สองอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มีการเติบโตทางวิชาการ วิชาชีพ และส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาวิชาการที่โดดเด่น แต่ภาษาอื่นมีข้อได้เปรียบที่แตกต่างกันออกไป การพัฒนาความรู้นี้มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับการได้รับทักษะความรู้ความเข้าใจ วัฒนธรรม และการปฏิบัติ ช่วยให้นักเรียนสามารถเข้าถึงการวิจัยระดับนานาชาติ ทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานจากทั่วโลกที่หลากหลาย และมีส่วนร่วมกับความรู้ที่นอกเหนือไปจากบริบททางภาษาของตนเอง
เหตุใดการรู้ภาษาต่างประเทศจึงมีความสำคัญในการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
· การเข้าถึงความรู้ระดับโลก
(access
to global knowledge): บทความวิจัยขั้นสูงและการค้นพบมากมายได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ
ทำให้การรู้หนังสือภาษาอังกฤษมีความสำคัญสำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาเพื่อติดตามพัฒนาการในสาขาของตน
· ความร่วมมือระหว่างประเทศ
(international
collaboration): นอกเหนือจากภาษาอังกฤษแล้ว ความสามารถในภาษาอื่นสามารถเปิดประตูสู่ความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างประเทศที่เฉพาะเจาะจง
โอกาสในการระดมทุน และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
ช่วยให้มีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งกับชุมชนทั่วโลก
· การพัฒนาทางปัญญา
(cognitive
development): การเรียนรู้และการใช้ภาษาใหม่ช่วยเพิ่มความสามารถทางปัญญา
รวมถึงการแก้ปัญหา การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และความสามารถในการปรับตัว
ซึ่งมีความสำคัญต่อความสำเร็จในการศึกษาและการวิจัยขั้นสูง
· ความเข้าใจในวัฒนธรรม
(cultural
understanding): การเรียนรู้ภาษาโดยเนื้อแท้เกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจวัฒนธรรมและมุมมองที่แตกต่างกัน
ส่งเสริมความเห็นอกเห็นใจและมุมมองที่เหมาะสมยิ่งขึ้นในประเด็นระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับสาขาระดับบัณฑิตศึกษาหลายสาขา
· ความก้าวหน้าทางอาชีพ (career advancement): ในตลาดงานที่เชื่อมโยงถึงกัน ผู้สำเร็จการศึกษาที่พูดได้สองภาษาหรือพูดได้หลายภาษามักจะมีการแข่งขันสูงกว่า สามารถนำทางสภาพแวดล้อมทางวิชาชีพที่หลากหลาย และสื่อสารกับลูกค้าและเพื่อนร่วมงานต่างประเทศในวงกว้างขึ้น
วิธีส่งเสริมความรู้ภาษาสากล
· การเรียนรู้ภาษาแบบบูรณาการ
(integrated
language learning): มหาวิทยาลัยสามารถสร้างการเรียนรู้ภาษาในหลักสูตรของตน
แทนที่จะมองว่าเป็นโปรแกรมเสริม
ซึ่งเป็นแนวทางที่มีโครงสร้างสำหรับนักเรียนในการพัฒนาทักษะเหล่านี้
· มุ่งเน้นไปที่การใช้งานจริง
(focus
on practical applications): การบูรณาการการเรียนภาษาเข้ากับสาขาวิชาการเฉพาะของนักศึกษาหรือเป้าหมายทางอาชีพสามารถทำให้กระบวนการเรียนรู้มีส่วนร่วมและเกี่ยวข้องมากขึ้น
· ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือดิจิทัล
(leverage
digital tools): แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งทดแทนการเรียนรู้ที่ครอบคลุม
แต่แพลตฟอร์มและทรัพยากรดิจิทัลสามารถรองรับการเรียนรู้ภาษาและให้การเข้าถึงเนื้อหาระดับนานาชาติ
· ส่งเสริมการมีส่วนร่วมข้ามวัฒนธรรม (promote cross-cultural engagement): การสร้างโอกาสให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนต่างชาติและใช้ทักษะทางภาษาในบริบทที่แท้จริงจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความคล่องแคล่วได้อย่างมาก
สิ่งสำคัญประการที่ 4 ระบบนิเวศการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
ระบบนิเวศการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาแห่งอนาคต
(higher
graduate education ecosystem) จะขับเคลื่อนด้วยประสบการณ์การเรียนรู้ของบุคคล
(personalized learning experience) บุคคลแรกของระบบดิจิทัล
(digital-first learning experience) และแบบที่สามารถปรับเปลี่ยนได้
(adaptive learning experience) โดยผสมผสานเข้ากับเอไอ
วิอาร์/เออาร์
และมุ่งเน้นไปที่ทักษะการปฏิบัติและการเรียนรู้ตามแผนการเรียนรู้หรือหลักสูตรต่างๆ
เพื่อตอบสนองความต้องการของพนักงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังจะเน้นย้ำถึงความร่วมมือในอุตสาหกรรมผ่านแบบจำลองจตุภาคี
(quadruple helix model) และบริษัทโฮลดิ้งของมหาวิทยาลัย
ส่งเสริมการเรียนรู้ทุกขณะ (lifelong learning) และการยกระดับทักษะ
และจัดลำดับความสำคัญของความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตและประชากรนักศึกษาที่หลากหลาย
เพื่อปลูกฝังบัณฑิตที่ปรับตัวได้และมีนวัตกรรม
หมายเหตุ - แบบจำลองจตุภาคี ประกอบด้วย 1) สถาบันการศึกษาและวิจัยที่ทำหน้าที่สร้างและเผยแพร่ความรู้ 2) ภาคธุรกิจและการผลิตที่นำความรู้ไปสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการเชิงพาณิชย์ 3) หน่วยงานภาครัฐที่กำหนดนโยบายและกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม และ 4) ประชาชน สังคม ชุมชน ผู้บริโภค และสื่อต่างๆ ที่มีส่วนในการแสดงความคิดเห็น กำหนดความต้องการ และขับเคลื่อนนวัตกรรมให้ตอบสนองต่อบริบททางสังคมและสิ่งแวดล้อม)
คุณลักษณะที่สำคัญ
· การบูรณาการทางดิจิทัล
(digital
integration): การผสมผสานของวิทยาเขตแบบดั้งเดิมเข้ากับสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่สมจริง
การสอนพิเศษโดยใช้เอไอและแพลตฟอร์มการเรียนรู้แบบปรับเปลี่ยนได้
ซึ่งจะช่วยปรับประสบการณ์การเรียนรู้ให้เฉพาะบุคคลได้เป็นอย่างดี
· หลักสูตรที่มุ่งเน้นทักษะ
(skill-focused
curriculum): การเปลี่ยนจากชั่วโมงหน่วยกิต (credit hours) เป็นการเรียนรู้ตามความสามารถ (competency-based learning) โดยเน้นการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติจริง การเรียนรู้ตามโครงงาน
และการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ในเครือข่ายทั่วโลก
เพื่อพัฒนาผู้มีความสามารถที่มีทักษะสูง
· ความร่วมมือทางอุตสาหกรรม
(industry
partnerships) : การทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย ภาคเอกชน
และรัฐบาล (ตามแบบจำลองจตุภาคี - quadruple helix model) เพื่อลดช่องว่างด้านทักษะ
ร่วมสร้างโปรแกรม และดึงดูดผู้มีความสามารถให้เข้ามาร่วมงาน
· การเรียนรู้ตลอดชทุกขณะ
(lifelong
learning): ความมุ่งมั่นที่จะจัดให้มีโปรแกรมการยกระดับทักษะและทบทวนทักษะ
(upskilling and reskilling) อย่างต่อเนื่อง
เพื่อช่วยให้ผู้สำเร็จการศึกษาและพนักงานที่มีอยู่ปรับตัวเข้ากับภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
(economic and technological landscapes) ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
· ความเป็นอยู่ที่ดีทางด้านจิตใจและความครอบคลุม
(mental
well-being & inclusivity): ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต ความสุข
และความเป็นอยู่โดยรวมของนักเรียนมากขึ้น
โดยสนับสนุนสภาพแวดล้อมทางการศึกษาที่หลากหลายและครอบคลุม
· การมีความคิดเป็นผู้ประกอบการ
(entrepreneurial
mindset): ปลูกฝังจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมภายในผู้สำเร็จการศึกษาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจและส่งเสริมความยืดหยุ่นของสังคม
· การปรับตัวที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (data-driven adaptation): การใช้การวิเคราะห์เพื่อติดตามความก้าวหน้าของนักศึกษา ระบุช่องว่างทางความรู้ และแจ้งการพัฒนาเส้นทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพและเป็นส่วนตัวมากขึ้น
สิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
คือ บัณฑิตวิทยาลัยจะต้องมีศักยภาพพร้อมปรับตัวตลอดเวลา ให้ได้ชื่อว่าเป็นองค์กร adaptive
organization
· การใช้กลไกเช่น
University
Holding Companies (UHCs) เพื่อการลงทุนร่วมและการแลกเปลี่ยนความรู้กับภาคเอกชน
· เปิดตัวโปรแกรมเฉพาะทาง
(launching
specialized programs): สร้างการเพิ่มขีดความสามารถอย่างรวดเร็วและหลักสูตรระยะสั้นแบบเร่งรัดที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการของอุตสาหกรรม
เช่น โครงการวิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ใหม่ในประเทศไทย
· เปิดรับเทคโนโลยีเกิดใหม่
(embracing
emerging technologies): สำรวจและบูรณาการเทคโนโลยี เช่น Virtual
และ Augmented Reality (VR/AR) เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่น่าดึงดูดและดื่มด่ำยิ่งขึ้น
· การจัดลำดับความสำคัญของการวางแผนทักษะ
(prioritizing
skills mapping): เปิดตัวกรอบการทำงานระดับชาติ เช่น Skill
Future Thailand เพื่อสร้างแผนที่ทักษะส่วนบุคคลเทียบกับความคาดหวังของอุตสาหกรรมเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการศึกษาและความสามารถที่ปรับให้เหมาะสม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น