หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2568

The science of climate change

วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

สภาพภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในขณะนี้ ไม่ต้องมาถกเถียงกันอีกแล้วว่าเกิดขึ้นจริงหรือไม่จริง เพราะมีฉันทามติทางวิทยาศาสตร์ออกมาแล้วว่า โลกของเรากำลังกลายเป็นสถานที่ที่มีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอันเนื่องมาจากกิจกรรมของมนุษย์ ในคำกล่าวของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ IPCC ที่ปรากฏในรายงานการประเมินครั้งที่ 4 หรือ AR4 ระบุว่า "การร้อนขึ้นของระบบภูมิอากาศเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน" ย้อนหลังกลับไปราว 1 ล้านปีก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม การสะสมตัวของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ มีความเข้มข้นอยู่ระหว่าง 170 และ 280 ส่วนในล้านส่วน (ppm) แต่ว่าปัจจุบันนี้มีระดับการสะสมสูงกว่านั้นมาก คือ 387 ส่วนในล้านส่วน ซึ่งสูงกว่าจุดที่สูงที่สุดในเวลาอย่างน้อยที่ผ่านมา 8 แสนปี และอัตราการเพิ่มขึ้นนี้อาจจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นไปอีก ภายใต้สถานการณ์จำลองการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงมากอย่างนี้ การสะสมตัวในตอนท้ายของศตวรรษที่ 21 อาจเกินกว่าที่โลกของเราเคยรองรับในหลายสิบล้านปีเลยก็เป็นได้

ตามกฎข้อ 2 ของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำหนดวัตถุประสงค์ของการบรรลุถึงเสถียรภาพของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับที่จะป้องกันการรบกวนของมนุษย์ที่เป็นอันตรายกับระบบภูมิอากาศ" เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนที่เป็น "อันตราย" ได้ถูกกำหนดไว้ด้วย โดยมีการอธิบายถึงการรักษาระดับการปล่อยให้อยู่ในระดับที่ยังสามารถ "ช่วยให้ระบบนิเวศธรรมชาติปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้มีความมั่นใจได้ว่าการผลิตอาหารจะไม่ถูกคุกคาม และดำเนินการพัฒนาทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน" คงยังไม่มีความชัดเจนนักว่าวัตถุประสงค์นี้จะบรรลุผลอย่างเต็มที่ เพราะความร้อนที่สังเกตได้จะเชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของภัยแล้ง น้ำท่วม คลื่นความร้อน ไฟป่า และฝนตกรุนแรง ที่กำลังบีบเค้นมนุษย์และระบบธรรมชาติอยู่

มีหลักฐานที่น่าเชื่อว่า ศักยภาพการผลิตของสังคมและระบบนิเวศ ที่ปรับตัวให้เข้ากับภาวะโลกร้อน กำลังได้รับการทดสอบอย่างรุนแรงในระดับที่สูงเกินกว่า 2°C ถ้าหากว่าโลกของเราสามารถที่จำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิจากกิจกรรมของมนุษย์ประมาณ 2°C เทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม อาจเป็นไปได้ที่จะลดการสูญเสียแผ่นน้ำแข็งที่เกาะกรีนแลนด์และแอนตาร์คติกฝั่งตะวันตกได้อย่างมีนัยสำคัญและช่วยจำกัดการเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลที่ตามมา ช่วยจำกัดการเพิ่มขึ้นของน้ำท่วม ภัยแล้ง และไฟป่าในหลายภูมิภาค ช่วยจำกัดการเพิ่มขึ้นของภาวะการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยจากการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อและโรคอุจจาระร่วงและความร้อนสูง ช่วยเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญพันธุ์ของสปีชีส์มากกว่าหนึ่งในสี่ และช่วยป้องกันการลดลงของการผลิตอาหารของโลกอย่างมีนัยสำคัญ

แต่เสถียรภาพอุณหภูมิของโลกที่กำหนดไว้ 2°C เหนือระดับก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมจะมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโลก ลองนึกภาพโลกของเราจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเฉลี่ย 0.8°C ตั้งแต่สมัยก่อนยุคอุตสาหกรรม และภูมิภาคในเขตละติจูดสูงทั้งหลายล้วนมีประสบการณ์การถูกรบกวนทางด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม ผลกระทบจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อเนื่องไปเรื่อย การเพิ่มขึ้น 2°C ของอุณหภูมิจะเป็นเหตุให้เกิดอากาศวิปริตอย่างรุนแรง รวมถึงคลื่นความร้อน ภาวะกดดันเกี่ยวกับน้ำในหลายภูมิภาคของโลก การผลิตอาหารจะลดลงในภูมิภาคเขตร้อน และระบบนิเวศที่ได้รับความเสียหาย รวมทั้งการสูญเสียแนวปะการังอย่างกว้างขวางจากภาวะโลกร้อนและภาวะความเป็นกรดของน้ำในมหาสมุทร

หากโลกไม่ได้ปฏิบัติการอย่างรวดเร็วที่จะปรับเปลี่ยนวิถีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว แบบจำลองทั้งหลายที่ใช้ทำนายกันอยู่ ล้วนบ่งบอกว่าปี 2100 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้น 2.5-7°C เหนือระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณและอัตราการเจริญเติบโตของการใช้พลังงาน ข้อจำกัดเกี่ยวกับแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล และย่างก้าวของการพัฒนาเทคโนโลยีที่ปลอดจากพลังงานคาร์บอน แม้ว่าอุณหภูมินี้อาจดูเหมือนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลปลายจากออสโลถึงมาดริด แต่ว่าภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นตั้งแต่จุดสูงสุดของอายุน้ำแข็งสุดท้ายซึ่งนำไปสู่การละลายของน้ำแข็งหนา 2 กิโลเมตร ที่เคยปกคลุมทางตอนเหนือของทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา คาดกันว่า ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้าอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 0.2-0.3°C (อ้างอิง 8) อีกสองสามทศวรรษข้างหน้า นั่นจะทำให้อัตราการเปลี่ยนแปลงที่จะไปทำลายความสามารถในการปรับตัวของสายพันธุ์และระบบนิเวศ

การนิยามเกี่ยวกับ "การแทรกแซงของมนุษย์ที่เป็นอันตราย" (dangerous anthropogenic interference) จะเป็นตัดสินใจทางการเมือง ที่ไม่ได้เป็นไปด้วยข้อกำหนดทางวิทยาศาสตร์ สิบปีหลังจากที่พิธีสารเกียวโต เราเข้าสู่ช่วงแรกของการตรวจสอบของการปล่อยก๊าซของประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลกอย่างเข้มงวด และอยู่ระหว่างการเจรจาแน่นอนของการดำเนินการสำหรับทศวรรษที่ผ่านมาที่ส่วนใหญ่จะตรวจสอบว่าลูกหลานของเราได้รับมรดกดาวเคราะห์ที่มีเสถียรภาพประมาณ 2°C ที่อบอุ่น หรืออยู่บนเส้นทางที่มีอุณหภูมิที่สูงขึ้นมาก คำว่า "อันตราย" นั้นมีความเกี่ยวข้องกับหลายส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณของการเปลี่ยนแปลง อัตราการเปลี่ยนแปลง ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันหรือทันทีทันใด และโอกาสในการข้ามเกณฑ์ที่เป็นอันตรายถาวร แต่ว่าระดับที่เป็นอันตรายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะขึ้นอยู่กับผลกระทบต่อมนุษย์และระบบธรรมชาติและความสามารถของพวกเขาในการปรับตัว สิ่งที่จะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นลักษณะการทำงานของระบบภูมิอากาศ ที่มีการเปลี่ยนแปลงที่สามารถสังเกตได้ อะไรจะเป็นตัวกำหนดว่าอุณหภูมิของโลกจะเพิ่มขึ้น 2°C หรือสูงขึ้นถึง 5°C ความเสี่ยงของการข้ามเกณฑ์ขีดจำกัด และความท้าทายในการจำกัดระดับอุณหภูมิไว้ที่ 2°C

ระบบภูมิอากาศทำงานอย่างไร

ภูมิอากาศของโลกถูกกำหนดโดยพลังงานที่เข้ามาจากดวงอาทิตย์ พลังงานที่แผ่รังสีออกจากโลกและการแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างบรรยากาศ แผ่นดิน ทะเล น้ำแข็ง และสิ่งมีชีวิต ส่วนผสมของบรรยากาศมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากแก็สและอนุภาคขนาดเล็กจะส่งผลต่อการหลั่งไหลเข้ามาของรังสีดวงอาทิตย์และแผ่รังสีอินฟาเรดออกไป ไอน้ำ CO2 มีเทน โอโซน และ N2O เหล่านี้เป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีอยู่ตามธรรมชาติในบรรยากาศ ความอบอุ่นของพื้นผิวโลกเกิดขึ้นได้ เนื่องจากรังสีอินฟาเรตหลุดลอดเข้าไปในบรรยากาศ ความอบอุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นมาในระดับที่เป็นธรรมชาติ เรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจกตามธรรมชาติ (Natural Greenhouse Effect) ซึ่งจะทำให้โลกมีอุณหภูมิประมาณ 33°C  ทำให้น้ำบนโลกคงสถานะเป็นของเหลว และทำให้ชีวิตสามารถดำรงอยู่ได้ตั้งแต่เขตศูนย์สูตรไปจนถึงบริเวณใกล้ขั้วโลก

แก๊สต่างๆ ที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์มีผลต่อปรากฏการณ์เรือนกระจกที่เกิดอยู่ตามธรรมชาติในทางที่ช่วยให้เกิดเพิ่มขึ้น การสะสมตัวของ CO2 ในบรรยากาศเฉลี่ยของโลกกำลังเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่เริ่มการปฏิวัติอุตสาหกรรม เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา ตลอดทศวรรษที่ 20 การสะสมตัวของ CO2 เพิ่มขึ้นจาก 280 PPM เป็น 387 PPM หรือราวร้อยละ 40 หลักๆ แล้วเกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การทำลายป่าไม้และการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน การเผาไหม้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ทำให้ CO2 ถูกปล่อยออกสู่บรรยากาศถึงร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 มาจากการใช้ที่ดินและการตัดต้นไม้ทำลายป่า การสะสมตัวของก๊าซชนิดอื่นอันได้แก่ มีเทน และ N2O ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การเกษตรและอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน

มีมลพิษบางชนิดที่มนุษย์ก่อขึ้นและมีผลการเพิ่มขึ้นและลดลงของอุณหภูมิโลก (ภาพ FA.2) บางชนิดมีอายุอยู่นาน บางชนิดมีอายุอยู่สั้น ก๊าซ CO2 N2O รังสีอินฟาเรด และฮาโลคาร์บอน เหล่านี้ทำให้โลกร้อนขึ้นและเป็นก๊าซที่อยู่คงทนนานหลายศตวรรษ ส่งผลให้สร้างความร้อนให้กับโลกเป็นระยะยาว ตรงกันข้ามกับก๊าซมีเทนที่มีอายุอยู่ได้ไม่กี่ทศวรรษ รวมถึงอานุภาคขนาดเล็กอย่างคาร์บอนดำจำพวกซัลเฟตที่มีอายุอยู่เพียงไม่กี่วัน การลดการปล่อยก๊าซ CO2 จากการเผาไหม้ถ่านหินลงในทศวรรษนี้และทศวรรษหน้า จะช่วยลดความร้อนของโลกลงได้ระยะยาว การลดลงอย่างสัมพันธ์กันของความเย็นจากการปล่อยซัลเฟอร์ที่เป็นสาเหตุมาจากการเผาถ่านหินจะเพิ่มขึ้น ถึง 0.5°C

ทุกวันนี้อุณหภูมิของโลกสูงกว่าระดับอุณหภูมิเมื่อช่วงก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม 0.8°C (ภาพ FA.3) ไม่ได้เป็นไปด้วยอิทธิพลการสร้างความเย็นของอนุภาคฟอสเฟตและหลายทศวรรษที่มีการสร้างสมดุลของอุณหภูมิน้ำในมหาสมุทร โดยการเพิ่มรังสีอินฟาเรดลงไป อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้นเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์จนเป็นผลให้โลกร้อนขึ้นราว 1°C เมื่อเทียบกับปัจจุบัน ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าการสะสมตัวเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกอย่างเดียวจะทำให้โลกร้อนขึ้นอีก 2°C ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสิ่งต่างๆ บนโลก

การเปลี่ยนแปลงที่มีหลักฐานและความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์

ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศนับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 เป็นที่สังเกตได้จากอุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศและน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น การละลายของหิมะและน้ำแข็งขั้วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาร์กติกและกรีนแลนด์ (ภาพ FA. 4) และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลทั่วโลก วันที่มีอากาศหนาวเย็น คืนที่มีอากาศหนาวเย็นและการแข็งตัวของน้ำในดินเกิดขึ้นน้อยลง ขณะที่ความถี่และความรุนแรงของการเกิดคลื่นความร้อนมีมากขึ้น ทั้งน้ำท่วมและภาวะแห้งแล้งเกิดบ่อยขึ้น พื้นที่ภายในทวีปเกิดความแห้งแล้งทั้งๆ ที่ในภาพรวมมีฝนตกมากขึ้น ปริมาณน้ำฝนของโลกเพิ่มสูงขึ้นทำให้วัฏจักรของน้ำบนโลกมีอัตราการหมุนเวียนเร็วขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำสูงขึ้น ภูมิภาคซาเฮลและเมดิเตอร์เรเนียนจะเกิดการแห้งแล้งบ่อยและมากขึ้น ฝนที่ตกหนักและน้ำท่วมจะกลายเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งยังมีพายุและไซโคลนมากและรุนแรงขึ้น

ผลกระทบเหล่านี้ไม่ได้กระจายแบบเดียวกันอย่างทั่วถึงทั้งโลก (แผนที่ FA.1) ตามคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิจะเกิดขึ้นมากบริเวณขั้วโลก บางบริเวณอย่างอาร์กติกอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นในรอบ 30 ปี ถึง 0.5°C ส่วนในเขตละติจูดต่ำที่อยู่ใกล้ศูนย์สูตรพลังงานอินฟาเรดจะทำให้เกิดการระเหยของน้ำ ทำให้ไอน้ำในอากาศมีมากขึ้น ส่งผลต่อความเข้มข้นของฝนที่เกิดจากการพาความร้อนและพายุไซโคลน

การฟื้นคืนสภาพของระบบนิเวศทั้งหลายที่เคยมีอยู่ได้รับการกระทบกระเทือนอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและแรงดกดันอื่น ได้แก่ การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัย การระบาดของบางชนิดพันธุ์ และมลพิษอากาศ/ น้ำ การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเกิดในระบบนิเวศอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศคือการเปลี่ยนแปลงพิสัยทางภูมิศาสตร์ (Geographic Range) ของชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ ผลิตภาพการเกษตร ป่าไม้ และประมง จะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับระบบนิเวศบริการอื่นๆ มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือถึง 20,000 ชุด ที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพิสัยของชนิดพันธุ์ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีค่าเฉลี่ยประมาณ 6 กิโลเมตร ต่อทศวรรษขึ้นไปและลงไปตามขั้วโลก หรือ 6 เมตร ต่อศตวรรษขึ้นสู่ที่สูง อันเป็นผลมากจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ (18) การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้กำลังทำให้เกิดความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างผู้ล่าและเหยื่อที่จะต้องอยู่ห่างไกลกันมากขึ้น ชนิดพันธุ์บางอย่างอาจจะพบกับแหล่งอาหารเดิมเร็วขึ้นหรือช้าลง

ตลอดระยะ 20 ปีที่ผ่านมา ความเข้าใจของพวกเราเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศได้รับการปรับมากขึ้น โดยเมื่อปี 1995 IPCC

ปี 2001 และ 2007 วงการวิทยาศาสตร์ได้สรุปความเข้าใจผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเอาไว้เป็นอย่างดี โดยแบ่งผลกระทบออกเป็น 5 กลุ่ม คือ ชนิดพันธุ์เฉพาะ/ ระบบนิเวศที่ถูกรบกวน เหตุการณ์วิปริต ลมหายใจของผลกระทบ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และผลกระทบขนาดใหญ่ที่ไม่ต่อเนื่องกับอะไรเลย ภาพการแผดเผา (ภาพ FA.5) ที่เห็นเฉดสีแดงแสดงความเข้มข้นของผลกระทบต่างๆ ลองเปรียบเทียบกันดูในแท่ง B ทางด้านซ้ายและด้านขวาเป็นตัวอย่าง จะเห็นว่าพื้นที่สีแดงเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ระดับ 0°C ของเหตุการณ์วิปริตนั้นคือ ณ ระดับอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ปัจจุบันเหตุการณ์วิปริตจะมีมากขึ้น เปรียบเทียบแท่ง E ทั้ง 2 ปี จะเห็นว่าการรบกวนของเหตุการณ์ใหญ่ เช่น การเปลี่ยนแปลงการกระจายความร้อนในกระแสน้ำของโลก หรือภัยพิบัติจากการละลายของน้ำแข็งในอาร์กติกที่ทำให้เกิดก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาลเหล่านี้จะเป็นปัญหาที่ใหญ่มากถ้าหากอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นอีก 2°C

นับตั้งแต่รายงานการประเมินครั้งที่ 4 (AR 4) ของ IPCC ปรากฏออกมาเมื่อปี 2007 ทำให้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น สารสนเทศที่นำมาแสดงยังได้รวบรวมเอาผลการสำรวจการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศปัจจุบันไว้ด้วย มีรายละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์และปัจจัยทางธรรมชาติที่บันทึกไว้ มีการปรับปรุงความเข้าใจเกี่ยวกับผลสะท้อนกลับของวัฏจักรคาร์บอนและมีการทำนายการเปลี่ยนแปลงในอนาคตของอากาศวิปริตและภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ความเสี่ยงทั้งหลายได้รับการประเมินดีขึ้นกว่าอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงจากการเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลและอากาศวิปริต

การเปลี่ยนแปลงในอนาคตถ้าหากอุณหภูมิเพิ่มเกิน 2°C

ผลกระทบทางกายภาพของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในอนาคตของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจะรวมถึงการเพิ่มขึ้นของแรงกดดันและการล่มสลายของระบบนิเวศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การเปลี่ยนแปลงฤดูกาลเพาะปลูก การกัดเซาะชายฝั่งและการแทรกซึมความเค็ม การละลายของน้ำแข็งในดิน ความเป็นกรดของน้ำทะเลและการเปลี่ยนแปลงพิสัยของศัตรูพืชและเชื้อโรค ผลกระทบเหล่านี้เกิดขึ้นแตกต่างกันตามระดับอุณหภูมิและภูมิภาคต่างๆ ของโลก (ภาพ FA.6)

ผลกระทบทางกายภาพต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกจะแปรปรวนไปตามประชาชนและสิ่งแวดล้อมของโลกที่มีการเพิ่มอุณหภูมิและภูมิภาคที่ต่างกัน ถ้าหากว่าอุณหภูมิเพิ่มขึ้นถึง 2°C นับจากก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมอุปทานของน้ำจะลดลงส่งผลกระทบต่อประชาชน 0.4-1.7 พันล้านคน ในเขตละติจูดกลางและเขตแห้งแล้งละติจูดต่ำ ทำให้ทวีปอัฟริกาและเอเชียเกิดการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง การที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้นสูงขึ้นนี้แนวปะการังส่วนมากจะตาย พืชผลบางชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งธัญพืชจะไม่ได้ผลในเขตละติจูดต่ำ ชนิดพันธุ์ทั้งพืชและสัตว์ราว  จะสูญพันธุ์ ชุมชนต่างๆ จะเดือดร้อนจากอากาศร้อนและพื้นที่ชายฝั่งจะถูกน้ำท่วมบ่อยขึ้น

อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น 5°C เหนือระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมประมาณว่าประชาชน 3,000 ล้านคนจะเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ ปะการังส่วนใหญ่ของโลกจะตาย ชนิดพันธุ์ทั่วโลกร้อยละ 50 จะสูญพันธุ์ ผลผลิตพืชทั้งเขตร้อนและอบอุ่นจะลดลง พื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งร้อยละ 30 จะถูกน้ำท่วม ระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะสูงขึ้นหลายเมตร และเกิดปัญหาต่อระบบสุขภาพอันเนื่องจากทุโภชนาการมีมากขึ้น โรคทางเดินอาหารและอหิวาตกโรค ระบบนิเวศภาคพื้นที่เคยเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนจะเปลี่ยนไปเป็นแหล่งผลิตคาร์บอนและคาร์บอนเหล่านี้จะกลายเป็น CO2 และมีเทนที่ไปเพิ่มความร้อนให้แก่โลกเข้าไปอีก ประเทศที่เป็นเกาะขนาดเล็กทั้งหลายและพื้นที่ราบชายฝั่งจะถูกน้ำท่วมจากพายุหอบน้ำทะเล (Storm Surge) และระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอันเนื่องมาจากการละลายของแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ วิถีของผู้คนรอบอาร์กติกจะเปลี่ยนแปลงไป

การก้าวข้ามขีดจำกัด

การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก ผลกระทบเหล่านี้จะไม่ถูกตรวจสอบและนำเสนอตามความน่าจะเป็นและความไม่แน่นอนของการที่มีเหตุการณ์วิปริตเพิ่มขึ้น หรือการกำหนดขีดจำกัดของภัยพิบัติขนาดใหญ่ แม้ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกมีการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจะเกิดขึ้นในลักษณะที่เพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็ยังไม่เพียงพอและมีความผิดพลาดอย่างน้อย 2 ประการ

ประการแรก ข้อมูลที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์และข้อมูลภูมิอากาศในยุคสมัยปัจจุบัน ได้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่คาดการณ์ว่าภูมิอากาศจะเปลี่ยนแปลงแบบกระโดดและเปลี่ยนแปลงรุนแรง มากกว่าเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป มีเหตุการณ์ยืนยัน คือ แผ่นน้ำแข็งที่เกาะกรีนแลนด์และแอนตาร์คติกกำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงจากภาวะโลกร้อน และมีกลไกปรากฏให้เห็นว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่และเร็ว กับมวลน้ำแข็งจำนวนมากที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว นี่ถือเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะว่าการสูญเสียมวลน้ำแข็งที่เก็บไว้ทั้ง 2 แห่งนี้ จะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นถึง 12 เมตร งานวิเคราะห์บางฉบับ แสดงให้เห็นว่า กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อโลกร้อนขึ้น ซึ่งอาจจะใช้เวลาเป็นพันปีหรือมากกว่านั้น แต่ว่าการศึกษาที่มีอยู่ตอนนี้กลับชี้ชัดลงไปว่า เนื่องจาก แผ่นน้ำแข็งเหล่านี้มีส่วนที่จมอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลที่ล้อมรอบด้วยน้ำอุ่น ความรุนแรงของปัญหาจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายใน 2–3 ศตวรรษ ข้างหน้าเท่านั้น การละลายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของแผ่นน้ำแข็ง 2 บริเวณดังกล่าว เมื่อผนวกกับการเปลี่ยนแปลงของการหมุนเวียนของน้ำในมหาสมุทร ก็เป็นไปได้อย่างมากว่า ระบบภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นของโลกนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถเรียกกลับคืนได้

ประการที่สอง ไม่มีใครอาศัยอยู่ภายใต้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจะแตกต่างกันอย่างมากจากภูมิภาคสู่ภูมิภาค และบ่อยครั้งที่การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศไปปฏิสัมพันธ์กับแรงบีบด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ตัวอย่างเช่น การละเหยของน้ำและการเกิดฝน เป็นสองอย่างที่เพิ่มขึ้น และยังคงเพิ่มขึ้นไปทั่วโลก แต่เมื่อกระแสของบรรยากาศเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงจะแปรผันไปตามภูมิภาค ทำให้บางพื้นที่ชื้นมาก บางพื้นที่แห้งมาก หากเพิ่มเติมการเปลี่ยนแปลงทางเดินของพายุเข้าไป ไซโคลนและฝนตกหนักก็จะเกิดมากขึ้น แนวหิมะที่หนาขึ้นจะทำให้การเกาะตัวของหิมะในฤดูใบไม้ผลิจะน้อยลงจนนำไปสู่การละลายของภูเขาน้ำแข็ง ในฤดูหนาวหิมะก็จะตกน้อยลงน้ำแข็งในทะเลก็จะน้อย การละเหยของน้ำในดินที่รวดเร็วขึ้นจะทำให้เกิดความแห้งแล้งและไฟป่า มีน้ำใต้ดินแข็งตัวน้อยลงและเกิดมลพิษทางอากาศบ่อยขึ้น การเปลี่ยนช่วงเวลาและรูปแบบของมรสุมและบรรยากาศเหนือมหาสมุทรเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง FA.2 และตาราง FA.1 แสดงให้เห็นจุดเปลี่ยนที่เป็นไปได้เหล่านี้ โดยระบุถึงตำแหน่งที่ตั้ง และอุณหภูมิที่จะมีการเปลี่ยนแปลงจนเกิดผลกระทบต่างๆ

เราสามารถตั้งเป้าให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นแค่ 2°C ได้หรือไม่ และเราจะหลีกเลี่ยงการเพิ่มขึ้นไปถึง 5 องศาได้หรือไม่

การศึกษาหลายฉบับสรุปว่าการสะสมตัวในบรรยากาศของก๊าซเรือนกระจก จะคงอยู่ที่ 450 ppm co2 หรือเทียบได้กับการที่เราจะจำกัดการปล่อยก๊าซไว้ที่ร้อยละ 40-50 เพื่อให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นเพียง 2 c. เหนือระดับอุณหภูมิช่วงก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม แนวทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลายแนวทางชี้นำเราไปทางนั้น แต่ทั้งหมดต้องปล่อยจนถึงจุดสูงสุดในทศวรรษหน้า แล้วให้ลดลงทั่วโลกเหลือครึ่งหนึ่งของระดับที่ปล่อย ณ วันนี้ในปี 2050 อย่างไรก็ตามมีความเชื่อมั่นมากว่า อุณหภูมิจะไม่สูงเกินกว่านี้ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเป็นไปได้อย่างรวดเร็วในภาพ FA.7c เป็นแบบอย่างที่ดีของแนวทางการคงไว้ที่ 2°C โดยไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มขึ้นถึง 4°C ออกไป วิธีการที่ดีของการคิดเกี่ยวกับปัญหานี้เป็นเรื่องของการคิดต้นทุนการปล่อยก๊าซ (Emission Budget) การคงระดับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจาก CO2 อย่างเดียวไว้ที่ 2°C นั้นต้องจำกัดการปล่อยก๊าซ CO2 สะสมไว้ที่ 1 ล้านล้านตันคาร์บอน ซึ่งในจำนวนนี้โลกเราได้ปล่อยไปแล้วครึ่งหนึ่งในช่วง 2 ศตวรรษครึ่ง ที่ผ่านมา สำหรับศตวรรษที่ 21 หากกการพัฒนาเศรษฐกิจยังคงเป็นไปในทิศทางเดิมก๊าซเรือนกระจก ก๊าซ CO2 อีก 0.5 ล้านล้านตัน จะถูกปล่อยออกมาใน 40 ปีต่อจากนี้ นั้นจึงเป็นเหตุผลที่อนาคตชนจะอาศัยอยู่ในโลกที่ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Zero Carbon)

แนวความคิดเกี่ยวกับปริมาณสะสมทำให้เกิดกรอบคิดเกี่ยวกับเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตัวอย่างเช่น การปล่อยก๊าซจะมีสูงมากในปี 2020 และจะคงสภาพอยู่จนถึง 2050 ถ้าหากว่าการปล่อยคาร์บอนมีเพิ่มขึ้น ร้อยละ 20-40 ก่อนที่จะเริ่มมีการลด อัตราการลดควรจะอยู่ระหว่างร้อยละ 4 (เส้นสีส้มในภาพ FA7a ) ถึงร้อยละ 8 (เส้นสีน้ำเงิน) ในแต่ละปีเพื่อคงสภาพปริมาณคาร์บอน เมื่อการประชุมที่เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ประเทศร่ำรวยยอมตกลงลดการปล่อยก๊าซลงร้อยละ 4-8 ในแต่ละปี เพื่อที่จะจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิ ไว้ที่ 2°C

การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิที่เกิดจากก๊าซเรือนกระจกตัวอื่น เช่น มีเทน คาร์บอนดำ และไนตรัสออกไซด์ คิดเป็นร้อยละ 25 ของทั้งหมด โดยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยไปแล้วในขณะนี้มีอยู่ 125 พันล้านตัน ของทั้งหมด 500 พันล้านตัน หมายความว่าคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะปล่อยได้ ในหน่วยของคาร์บอน คือ 375 พันล้านตัน มาตรการในระยะสั้นที่จะลดการปล่อยก๊าซ ในปี 2020 แต่ว่าก๊าซเหล่านี้มีอายุสั้น ทั้งมีเทน คาร์บอนดำ และโอโซน ซึ่งส่งผลให้อัตราความร้อนเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ เท่านั้น การลดคาร์บอนดำลงร้อยละ 50 หรือลดโอโซนลง ร้อยละ 70 หรือการหยุดทำลายป่า จะช่วยให้ความร้อนของโลกลดลงเพิ่มเติมจากการปล่อย CO2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น