ตกลงโคโรนาไวรัส มาจากไหนกันแน่ ?
BYAMY MCKEEVERG, National Geographic เขียน แปลและเรียบเรียงโดย พัฒนา ราชวงศ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ปกติแล้วจะต้องใช้เวลาหลายปีในการติดตามเส้นทางของไวรัสชนิดใดชนิดหนึ่งไปถึงต้นตอของการระบาด SARS-CoV-2 ก็เช่นเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์จะต้องสืบสวนกลับไปให้ถึงรากเหง้าของมันให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานฉบับหนึ่ง ได้วางกรอบเบื้องต้นเพื่อที่จะทำความเข้าใจว่าโคโรนาไวรัสกระโดดมาจากสัตว์สู่มนุษย์ครั้งแรกได้อย่างไร
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความรู้และความเข้าใจว่าไวรัสแพร่กระจายจากสัตว์สู่มนุษย์ครั้งแรกได้อย่างไร เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการป้องกันการแพร่ระบาดในอนาคต
ถึงวันนี้ การค้นหาต้นกำเนิดของไวรัสที่ทำให้เกิดโรคโควิด-๑๙ และเส้นทางการกระโดดจากสัตว์สู่มนุษย์ ที่สร้างความหายนะไปทั่วทุกมุมโลก ทำให้ผู้คนติดเชื้อใกล้ 2 ร้อยล้านคนไม่มาก และมีผู้เสียชีวิตกว่า 4.2 ล้านคน ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 (ข้อมูลล่าสุดโดยผู้แปลและเรียบเรียง) ยังคงดำเนินต่อไป
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ข่าวกรองตรวจสอบต้นกำเนิดของไวรัสอย่างละเอียดยิ่งขึ้น รวมถึงการแพร่จากสัตว์สู่คน หมายถึงไวรัสที่แพร่กระจายจากสัตว์อื่นสู่มนุษย์ และความเป็นไปได้ของการรั่วไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจจากห้องปฏิบัติการที่มีตัวอย่าง SARS-CoV-2 ไว้สำหรับการศึกษาวิจัย
จนถึงขณะนี้ ภาพลักษณ์ที่ดูใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับแหล่งที่มาของไวรัส SARS-CoV-2 คือ รายงานขององค์การอนามัยโลกที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 โดยทีมนักวิจัยนานาชาติที่เดินทางไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ใน 4 ฉากทัศน์ที่ไวรัส SARS-CoV-2 อาจเกิดการระบาดขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งนับตั้งแต่วันนั้นอีกหลายสัปดาห์ต่อมา รัฐบาลของประเทศต่างๆ ก็ได้แสดงความกังวลว่า นักวิจัยที่ทำหน้าที่เป็นผู้สืบสวนครั้งนี้จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ในขณะที่มีรายงานออกมาจากนักวิทยาศาสตร์ดังกล่าวก็ให้ความกระจ่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ว่าไวรัสเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร
Angela Rasmussen นักไวรัสวิทยาจาก Center for Global Health Science and Security ของ Georgetown University Medical กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะได้คำตอบอย่างรวดเร็วและชัดเจน โดยปกติแล้วจะใช้เวลาหลายปีในการติดตามไวรัสย้อนกลับไปยังรากของมัน หากนักวิจัยสามารถทำเช่นนั้นได้ แต่ในกรณีนี้ เธอกล่าวว่า "ฉันคิดว่าเรามีหลักฐานเพียงพอที่จะบอกว่า มีบางอย่างที่มีโอกาสเป็นไปได้มากกว่าอย่างอื่น"
ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก ทีมงานพบว่า ไวรัสน่าจะกระโดดจากสัตว์ตัวหนึ่งข้ามไปยังอีกสัตว์อีกตัวหนึ่ง ก่อนที่จะเดินทางต่อไปถึงตัวมนุษย์ พวกเขายังดูหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีที่ว่าไวรัสถูกส่งไปถึงมนุษย์ได้โดยตรงจากสัตว์ที่เป็นแหล่งฟักเชื้อ หรือว่าบางทีมันอาจจะเดินทางผ่านห่วงโซ่อุปทานของอาหารแช่แข็งและอาหารแช่เย็น นอกจากนี้ ทีมงานยังได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่ไวรัสจะถูกรวบรวมมาจากพื้นที่ป่า แล้วรั่วไหลโดยไม่ได้ตั้งใจจากห้องปฏิบัติการในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งฉากทัศน์นี้พวกเขาพิจารณาแล้วเห็นว่า “ไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง”
รายงานขององค์การอนามัยโลก เน้นย้ำถึงต้นกำเนิดตามธรรมชาติของไวรัส โดยอาศัยหลักฐานที่น่าสนใจเชื่อว่า SARS-CoV-2 เกิดขึ้นในธรรมชาติ และไม่ได้ถูกดัดแปลงและออกแบบมา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หลายคน รวมทั้ง Anthony Fauci ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติสหรัฐ (National Institute of Allergy and Infectious Diseases) ล้วนปฏิเสธแนวคิดที่ว่าไวรัสนี้ถูกผลิตขึ้นเป็นเวลานานมาแล้ว (See Fauci's exclusive interview with National Geographic in which he explained why he thinks SARS-CoV-2 had a natural origin.)
ต่อไปนี้เป็นหลักฐานที่รายงานขององค์การอนามัยโลกระบุเอาไว้ โดยตั้งอยู่บนฐานของทฤษฎี 4 ทฤษฎี และสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเป็นเรื่องราวต้นกำเนิดที่เป็นไปได้สำหรับ SARS-CoV-2 ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคโควิด-๑๙
1. การรั่วไหลจากสัตว์สู่มนุษย์โดยตรง
เรื่องราวของต้นกำเนิดแรกสุดของไวรัส SARS-CoV-2 นั้นดูค่อนข้างเรียบง่าย มีสิ่งบอกเหตุแสดงให้เห็นว่าไวรัสเริ่มต้นจากสัตว์ชนิดหนึ่ง อาจเป็นค้างคาว ที่มาสัมผัสกับมนุษย์ผู้หนึ่ง แล้วก็เกิดการติดเชื้อขึ้นมา เมื่อถึงจุดนั้นไวรัสก็เริ่มแพร่กระจายไปยังมนุษย์คนอื่นๆ ในทันที
รายงานขององค์การอนามัยโลกได้อ้างถึงหลักฐานที่ชัดแจ้งว่าโคโรนาไวรัสส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อในมนุษย์นั้นมาจากสัตว์ รวมถึงไวรัสที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคซาร์สในปี พ.ศ.2546 ด้วย โดยถือได้ว่าค้างคาวเป็นตัวการสำคัญที่น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด เนื่องจากพวกมันเป็นแหล่งฟักเชื้อของไวรัสที่เกี่ยวข้องกับ SARS-CoV-2
รายงานรับทราบถึงความเป็นไปได้ที่ไวรัสจะแพร่กระจายไปยังมนุษย์จากลิ่นหรือมิงค์ แต่ David Robertson หัวหน้าแผนกจีโนมไวรัสและชีวสารสนเทศแห่งมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ กล่าวว่าทีมร่วมของ WHO ได้สุ่มตัวอย่างสัตว์หลายชนิดนอกเหนือจากค้างคาวสำหรับรายงาน การวิเคราะห์ชี้ไปที่ค้างคาวเป็นสายพันธุ์อ่างเก็บน้ำ
“แล้วสิ่งที่คุณต้องกังวลก็คือมันมาจากค้างคาวมาสู่มนุษย์ได้อย่างไร” โรเบิร์ตสันกล่าว “มีใครเข้าไปในพื้นที่ติดเชื้อแล้วขึ้นรถไฟไปหวู่ฮั่นหรือไม่”
การแพร่กระจายโดยตรงระหว่างค้างคาวกับมนุษย์มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ซึ่งจากการศึกษาพบว่า คนที่อาศัยอยู่ใกล้ถ้ำค้างคาวในมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีแอนติบอดีต่อโคโรนาไวรัสจากค้างคาว แต่โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับค้างคาวมากนัก เว้นแต่พวกเขาจะเป็นนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับค้างคาว (ซึ่งปกติแล้วก็จะสวมอุปกรณ์ป้องกัน) ดังนั้นจึงไม่ค่อยแน่ชัดนักว่าเพราะเหตุใด หากไวรัสกระโดดข้ามจากค้างคาวสู่มนุษย์โดยตรง การระบาดครั้งแรกจึงเกิดขึ้นในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งอยู่ห่างจากถ้ำค้างคาวของของมณฑลยูนนานนับพันไมล์
นอกจากนี้ รายงานฉบับดังกล่าวยังตั้งข้อสังเกตว่า ต้องใช้เวลาหลายทศวรรษกว่าที่โคโรนาไวรัสจากค้างคาวที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดจะพัฒนาเป็น SARS-CoV-2 เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ยังไม่พบไวรัสค้างคาวชนิดใดชนิดหนึ่งที่จะทำให้การเชื่อมโยงที่ขาดหายไป คณะทำงานขององค์การอนามัยโลกจึงประเมินทฤษฎีนี้ว่า "มีความเป็นไปได้"
2. การรั่วไหลจากสัตว์สู่มนุษย์ผ่านแหล่งฟักเชื้อ
ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานแวดล้อมที่แน่นหนาซึ่งแสดงว่าค้างคาวเป็นตัวส่งผ่านไวรัสไปยังมนุษย์โดยตรง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าทฤษฎีที่มีแนวโน้มมากกว่านี้ ก็คือ ไวรัสจะเดินทางผ่านจากสัตว์อื่นๆ ในตอนแรก เช่น มิงค์ หรือตัวนิ่ม ซึ่งมีลักษณะแตกต่างออกไปจากค้างคาว สัตว์เหล่านี้มีการติดต่อและสัมผัสกับมนุษย์เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากพวกมันถูกเลี้ยงในฟาร์มหรือถูกลักลอบค้าสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย
หากไวรัสแพร่กระจายมาจากสัตว์ชนิดอื่นก่อน นั่นอาจอธิบายได้ด้วยว่าไวรัสปรับตัวให้เป็นอันตรายต่อมนุษย์ได้อย่างไร แม้ว่า Robertson จะบอกว่าไวรัสไม่น่าจะต้องเปลี่ยนแปลงมากนัก การวิเคราะห์จีโนมแนะนำว่า SARS-CoV-2 เป็นไวรัสที่มีลักษณะทั่วไปมากกว่าจะเป็นไวรัสที่สามารถปรับให้เข้ากับมนุษย์โดยเฉพาะ โดยอธิบายว่าทำไมมันจึงสามารถกระโดดข้ามไปมาระหว่างตัวนิ่ม มิงค์ แมว และสายพันธุ์อื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย
รายงานขององค์การอนามัยโลกชี้ให้เห็นว่า นี่เป็นเส้นทางของโคโรนาไวรัส ก่อนที่นำไปสู่การติดเชื้อในมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่น เชื่อกันว่าไวรัสซาร์สแพร่จากค้างคาวไปยังตัวอีเห็น ก่อนที่จะทำให้เกิดการระบาดในมนุษย์ในปี 2002 ขณะเดียวกันไวรัสที่ทำให้เกิดเมอร์สก็ถูกพบในอูฐหนอกที่มีอยู่ทั่วพื้นที่แถบตะวันออกกลาง
Daniel Lucey ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านโรคติดเชื้อของ Georgetown University Medical Center กล่าวว่า ความคล้ายคลึงกันระหว่าง SARS-CoV-2 กับญาติของมัน คือ SARS และ MERS เป็นข้อถกแถลงที่น่าสนใจว่า มันอาจจะมีจุดเริ่มต้นในลักษณะเดียวกัน
“ตอนนี้เรามีโคโรนาไวรัสสามตัวที่ทำให้เกิดโรคปอดบวม ความเจ็บป่วยทางระบบ และการเสียชีวิต” เขากล่าว “อดีตคือสิ่งชี้ความเป็นมาของมัน”
หากทฤษฎีนี้เป็นจริง ก็ไม่ชัดเจนนักว่าสัตว์ตัวกลางนั้นอาจเป็นอะไรสำหรับ SARS-CoV-2 คณะทำงานขององค์การอนามัยโลกทำการวิเคราะห์ตัวอย่างจากสัตว์ในฟาร์มหลายพันตัวทั่วสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งทั้งหมดผลการทดสอบไวรัสมีผลเป็นลบ Lucey โต้แย้งว่าคณะทำงานขององค์การอนามัยโลกว่า ไม่ได้ทดสอบมิงค์ที่เลี้ยงในฟาร์มของจีนอย่างเพียงพอ ซึ่งมิงค์เป็นหนึ่งในตัวการที่อยู่ในข่ายน่าสงสัย แต่ Rasmussen กล่าวว่า รายงานดังกล่าวยอมรับว่ามันเป็นเพียงรอยขีดข่วนบนพื้นผิวเท่านั้น
“นั่นเป็นเศษเสี้ยวของสัตว์ที่เลี้ยงหรือจับหรือขนส่งเพื่อจุดประสงค์นี้ในประเทศจีน” เธอกล่าว “ฉันคิดว่า เราไม่ได้ดำเนินการตรงบริเวณที่ใกล้เคียงของการสุ่มตัวอย่างที่ดีพอ”
มีการรับรู้ที่เป็นที่นิยมว่าเราต้องการความยุติธรรมหรือคำอธิบายบางอย่างและต้องมีคนตอบสำหรับการระบาดใหญ่นี้ แต่เหตุผลที่แท้จริงที่เราต้องค้นหาที่มาก็คือเพื่อให้สามารถแจ้งถึงความพยายามของเราในการป้องกันโรคระบาดเช่นนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก .. Angela Rasmuss นักสิ่งแวดล้อมของศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโลก Georgetown University Medical Center
3. SARS-CoV-2 เดินทางผ่านมาจากอาหารแช่เย็นหรืออาหารแช่แข็ง
อีกทฤษฎีหนึ่งอ้างว่าโคโรนาไวรัสอาจเดินทางมาถึงมนุษย์ผ่านทางห่วงโซ่ของห้องเย็น (cold chain) ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานสำหรับกระจายอาหารแช่แข็งและอาหารแช่เย็น ภายใต้ฉากทัศน์นี้ โคโรนาไวรัสอาจมีต้นกำเนิดจริงนอกสาธารณรัฐประชาชนจีน และมีการนำเข้ามาในรูปของการติดเชื้อบนพื้นผิวของบรรจุภัณฑ์อาหารหรือติดมาในอาหารที่ถูกส่งเข้ามาในประเทศ
ทฤษฎีนี้ได้รับการยอมรับกันมากเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว หลังจากเกิดการระบาดสองครั้งในสาธารณรัฐประชาชนจีน และตั้งแต่นั้นมาก็มีหลักฐานบางอย่างที่บ่งชี้ว่า เชื้อโรคสามารถอยู่รอดได้นานกว่าในอุณหภูมิที่เย็นจัด
ถึงกระนั้น แม้ว่าห่วงโซ่ของห้องเย็นอาจมีบทบาทในการแพร่ระบาดครั้งใหม่ แต่นักวิทยาศาสตร์กลับเห็นว่ามีเหตุผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่จะทำให้เชื่อได้ว่าเป็นสาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาด เพราะไม่มีหลักฐานโดยตรงว่า SARS-CoV-2 มีส่วนทำให้เกิดการระบาดจากอาหาร ขณะที่ Rasmussen ตั้งข้อสังเกตว่าโควิด-๑๙ ไม่ค่อยแพร่กระจายผ่านพื้นผิว ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่เบื่อหน่ายกับการล้างและทำความสะอาดสินค้าที่ซื้อมาจากร้านขายของชำ
“มันเป็นไปไม่ได้” เธอกล่าว “คุณไม่สามารถออกกฎได้ แต่ฉันไม่คิดว่าฐานหลักฐานจะแข็งแกร่งเป็นพิเศษสำหรับสิ่งนั้น” Rasmussen กล่าวอีกว่า วิธีที่เป็นไปได้มากกว่าที่ไวรัสอาจแพร่กระจายผ่านห่วงโซ่อาหาร คือ ไวรัสเดินทางผ่านมาจากสัตว์ป่าที่ถูกนำมาเลี้ยงไว้เพื่อการบริโภคของมนุษย์
มีนักวิจารณ์บางคนอ้างว่า ทฤษฎีนี้เป็นปลาเฮอริ่งแดงที่ผลักความสงสัยออกไปจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ไปยังประเทศอื่นๆ Lucey ถือว่าเส้นทางนี้มีโอกาสน้อยที่สุดในบรรดาสี่เส้นทางที่ระบุมา โดยโต้แย้งว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่ไวรัสจะคงอยู่ในบรรจุภัณฑ์ได้นานตราบเท่าที่นำเข้าจากยุโรปหรือที่อื่นๆ เขายังตั้งคำถามด้วยว่า ทำไมการติดเชื้อเหล่านี้จึงเกิดขึ้นในอู่ฮั่น แต่กลับไม่มีการติดเชื้อที่อื่นที่ไหนเลย
“สำหรับผม นี่คงเป็นเรื่องเกินจริง” เขากล่าว
4. รั่วไหลออกมาจากห้องปฏิบัติการ
สมมติฐานที่ถกเถียงกันมากที่สุดเกี่ยวกับต้นกำเนิดของ SARS-CoV-2 คือ ไวรัสรั่วออกจากห้องปฏิบัติการในอู่ฮั่นที่นักวิจัยศึกษาโคโรนาไวรัสจากค้างคาว โดยนักวิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าในตอนนี้ หลักฐานทั้งที่สนับสนุนและต่อต้านสมมติฐานว่าด้วยการรั่วไหลของห้องปฏิบัติการโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นมีน้อยมาก แต่การระบาดของโคโรนาไวรัสในอดีต ไม่ว่าจะเป็นซาร์สหรือเมอร์ส ล้วนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติผ่านการแพร่เชื้อจากสัตว์สู่มนุษย์
แนวคิดเรื่องการรั่วไหลในห้องปฏิบัติการมีสองรูปแบบ รูปแบบแรกคือนักวิจัยเกิดติดเชื้อในห้องปฏิบัติการโดยไม่ได้ตั้งใจ และอีกรูปแบบหนึ่งเป็นความจงใจของนักวิจัยที่จะจัดการสายพันธุ์โคโรนาไวรัส เพื่อสร้าง SARS-CoV-2 ขึ้นมา อย่างไรก็ดี มีนักวิจัยหลายคนได้หักล้างแนวคิดรูปแบบหลังนี้อย่างถี่ถ้วนว่า SARS-CoV-2 อาจถูกผลิตขึ้น เนื่องจากหลักฐานทางพันธุกรรมแสดงให้เห็นว่าไวรัสเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ องค์การอนามัยโลกจึงมุ่งเน้นไปที่ความเป็นไปได้ที่ไวรัสจะหลุดลอดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจจากห้องทดลองที่กำลังศึกษาตัวอย่างที่ได้มาจากป่า
นักวิจัยหลายคนจากสถาบันไวรัสวิทยาเมืองอู่ฮั่น ได้จัดลำดับสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาจากค้างคาวที่เรียกว่า CoV RaTG13 ซึ่งมีความใกล้เคียงกับ SARS-CoV-2 มากถึงร้อยละ 96.2 และเป็นญาติสนิทที่รู้จักกันมากที่สุด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการป้องกันไม่ให้ไวรัสแพร่จากสัตว์สู่มนุษย์ ห้องปฏิบัติการถูกแยกออกไปอยู่ต่างหากและดำเนินการทำงานเกี่ยวกับโคโรนาไวรัสจากค้างคาวด้วยโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเมืองอู่ฮั่น
แม้ว่าในอดีตจะมีการรั่วไหลของห้องปฏิบัติการ แต่รายงานขององค์การอนามัยโลกชี้ว่าพบแบบนี้ได้ยากมาก ตามรายงานขององค์การอนามัยโลกไม่มีบันทึกว่าห้องปฏิบัติการในเมืองอู่ฮั่นใดๆ ทำงานกับไวรัสที่เกี่ยวข้องกับ SARS-CoV-2 อย่างใกล้ชิดมากขึ้นก่อนที่จะมีการวินิจฉัยผู้ป่วยโควิด-๑๙ รายแรกในเดือนธันวาคม 2019 และเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการใดๆ ก็รายงานโควิดว่ามีอาการคล้ายบ่งบอกว่าติดเชื้อแล้ว
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม หนังสือพิมพ์ Wall Street Journal รายงานว่า มีข่าวกรองของสหรัฐอเมริการะบุว่า นักวิจัยสามคนจากสถาบันไวรัสวิทยาแห่งเมืองอู่ฮั่น ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2019 ซึ่งอาจเป็นการแจ้งตามข้อเรียกร้องของกระทรวงการต่างประเทศของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเดือนมกราคม อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศยังระบุด้วยว่าอาการของนักวิจัยเหล่านั้น “สอดคล้องกับทั้งโรคโควิด-๑๙ และโรคตามฤดูกาลทั่วไป”
เมื่อเดือนเมษายนมีการเปิดเผยรายงานขององค์การอนามัยโลก ที่ Lucey กล่าวว่า เขาเชื่อว่าทฤษฎีนี้มีความเป็นไปได้ แม้ว่าจะมีโอกาสน้อยกว่าทฤษฎีที่ว่าด้วยการแพร่จากสัตว์สู่มนุษย์ก็ตาม เนื่องจากไม่มีหลักฐาน เขาชี้ให้เห็นว่าไม่มีการตรวจสอบทางนิติเวชของห้องปฏิบัติการในเมืองอู่ฮั่น เขาจึงตั้งคำถามว่าเหตุใดองค์การอนามัยโลกจึงอนุญาตให้คณะทำงานดำเนินการตรวจสอบห้องปฏิบัติการเลย โดยไม่ต้องมีคำสั่งให้ดำเนินการสอบสวนดังกล่าว หรือมอบหมายให้สมาชิกในคณะทำงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้าไปดำเนินการ
“ไม่มีทางใดที่จะพิสูจน์หรือหักล้างทฤษฎีการรั่วไหลออกมาจากห้องปฏิบัติการได้ หากอิงจากสิ่งที่นำเสนอในรายงานนี้” Rasmussen เห็นด้วย โดยตั้งข้อสังเกตว่า การจะพักเรื่องนี้นี้ได้นั้นจะต้องมีการตรวจสอบทางนิติเวชของบันทึกของห้องปฏิบัติการ เพื่อค้นหาไวรัสต้นกำเนิดกับ SARS-COV-2 “แต่ความเห็นของฉัน คือ ทฤษฎีการรั่วไหลของห้องปฏิบัติการ แม้ว่าจะไม่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นคำอธิบายที่ดีได้ไม่น้อยเลย”
Rasmussen อธิบายว่า ไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่า SARS-CoV-2 เป็นผลมาจากการดัดแปลงพันธุกรรม และไม่น่าจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ เป็นเรื่องยากอย่างเหลือเชื่อที่จะเพาะเชื้อไวรัสที่แข็งแรงพอที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อในมนุษย์จากตัวอย่างค้างคาว ในขณะเดียวกัน ไวรัสที่คล้ายคลึงกันก็มักจะเกิดขึ้นในธรรมชาติ ทำให้เชื่อไก้ว่าเป็นแหล่งที่มีแนวโน้มน่าเชื่อถือมากขึ้น
Robertson กล่าวว่า ผู้สนับสนุนทฤษฎีการรั่วไหลของห้องปฏิบัติการให้เหตุผลว่า SARS-CoV-2 ได้ติดต่อผ่านประชากรมนุษย์อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเกินกว่าจะเกิดได้ตามธรรมชาติ แต่ถ้าไวรัสเป็นไวรัสทั่วๆ ไป ตามที่แสดงผลในการศึกษาจีโนม เขาบอกว่าไม่น่าแปลกใจเลยที่ไวรัสจะแพร่ระบาดในมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ผมคิดว่านี่เป็นหลักฐานที่ค่อนข้างดี มันไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายเพื่อที่จะประสบความสำเร็จในการแพร่ระบาดเข้าสู่ร่างกายมนุษย์” เขากล่าว
แนวทางของการวิจัยเรื่องนี้
แม้ว่ารายงานขององค์การอนามัยโลกอาจไม่ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับต้นกำเนิดของ SARS-CoV-2 มากนัก แต่ Robertson กล่าวว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่บางครั้งอาจใช้เวลานาน แต่เขาบอกว่ามีความจำเป็นด้านสาธารณสุขในขณะนี้ที่จะเริ่มการศึกษาติดตามผลอย่างเข้มงวดมากขึ้น
“มีไวรัสอยู่ใกล้ๆ กับ SARS-CoV-2” เขากล่าว “นั่นดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่น่ากลัว”
Rasmussen กล่าวว่ารายงานขององค์การอนามัยโลกได้จัดทำแผนงานสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อค้นหาต้นกำเนิดของไวรัส ขอแนะนำให้เฝ้าระวังสัตว์ที่เลี้ยงและเลี้ยงในฟาร์มให้ดียิ่งขึ้น เพื่อระบุแหล่งกักเก็บหรือแหล่งฟักตัวที่เป็นไปได้ รวมถึงการสุ่มตัวอย่างในค้างคาวให้มากขึ้น ทั้งในสาธารณรัฐประชาชนจีนและที่อื่นๆ เนื่องจากมีหลักฐานของโคโรนาไวรัสที่เกี่ยวข้องที่แพร่กระจายในภูมิภาคต่างๆ เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รายงานยังแนะนำการศึกษาทางระบาดวิทยาในเชิงลึกของผู้ติดเชื้อโควิด-๑๙ รายแรก
การทำความเข้าใจว่า การแพร่ระบาดเริ่มต้นอย่างไร จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์และรัฐบาลระบุวิธีเสริมสร้างการป้องกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการเฝ้าระวังการติดเชื้อในสัตว์และห่วงโซ่อาหารอย่างเข้มงวดมากขึ้น หรือโปรโตคอลความปลอดภัยทางชีวภาพที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในห้องปฏิบัติการ
Rasmussen กล่าวว่า "มีการรับรู้ที่เป็นที่นิยมว่าเราต้องการความยุติธรรมหรือคำอธิบาย และต้องมีคนตอบสำหรับการระบาดใหญ่ครั้งนี้" “แต่เหตุผลที่แท้จริงที่เราต้องค้นหาที่มาก็คือเพื่อให้สามารถแจ้งถึงความพยายามของเราในการป้องกันโรคระบาดเช่นนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก”
หมายเหตุ - ภาพประกอบ The origins and intermediate hosts of SARS-CoV-2, SARS-CoV, and MERS-CoV. จาก Ye Yi, Philip N.P. Lagniton, Sen Ye, Enqin Li and Ren-He Xu. (2020). “COVID-19: what has been learned and to be learned about the novel coronavirus disease”. Int J Biol Sci. 16 (10): pp.1753-1766. doi:10.7150/ijbs.45134

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น