หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

demographic transition I

แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงประชากร


แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงประชากร (DTM: demographic transition model) ถูกนำเสนอเมื่อปี 1945 โดย Frank Wallace Notestein นักประชากรศาสตร์อเมริกัน โดยความสนใจของ Notestein ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงประชากรทำใหบท้เขานำเสนอเป็นบทความในหนังสือ Food for the World ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1945 ของ Theodore William Schultz นักเศรษฐกิจเกษตรชาวอเมริกัน ด้วยความที่ Notestein กลัวว่าความก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุขจะนำไปสู่การลดลงของระดับการตาย (mortality level) ในประเทศด้อยพัฒนาอย่างมากจนไม่น่าเชื่อ พร้อมๆ กับความไม่ใส่ใจทำให้อัตราการเกิด (fertility level) ลดลง เพื่อให้เกิดสมดุลของจำนวนประชากร Notestein จึงนำเสนอภาพให้เห็นว่า การเพิ่มขึ้นอย่างมากของประชากร จะนำมาซึ่งผลสืบเนื่องต่างๆ มากมาย ไม่เพียงแต่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ด้วยความกังวลนี้ทำให้ John D.Rockefeller 3rd นักอุตสาหกรรมผู้ใจบุญชาวอเมริกัน จัดตั้ง “สภาประชากร” (population council) เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อส่งเสริมการควบคุมการเพิ่มประชาขึ้นมา โดย Notestein ได้รับแรงสนับสนุนให้เป็นประธานสภาแห่งนี้เป็นคนแรก ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานสภาประชากรในช่วงปี 1959-68 Notestein พยายามอย่างยิ่งที่จะช่วยหามาตรการต่างๆ มาควบคุมและยับยั้งอัตราการเกิดที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศด้อยพัฒนา (global south) 


ภาพที่แสดงข้างซ้ายมือนี้ เป็นการฉายภาพรวมของแบบจำลองการเปลี่ยนแปลงประชากรที่มีลักษณะเป็นภาพปรกติที่เกิดขึ้น ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศทั้งหลายสร้างความเป็นสมัยใหม่ และ/หรือ มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า และ/หรือ ทำการพัฒนา และ/หรือ สร้างความเป็นเมือง ทั้งหมดนี้ ประชากรของประเทศเหล่านั้น ได้ผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นขั้นตอนทั้ง 4 ขั้นตอน ที่อาจถือได้ว่านี่เป็นขั้นตอนทั่วไปของการเปลี่ยนแปลงประชากร


ขั้นที่ 1 - ช่วงเวลาที่อัตราการเพิ่มสูงคงที่ (high stationary period) มีอัตราการตายสูงเนื่องจากความอดอยากและโรคระบาด เช่นเดียวกับที่มีอัตราการเกิดสูง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ส่งผลสืบเนื่องทำให้ประชากรมีน้อยและคงที่


ขั้นที่ 2 - ช่วงเวลาเริ่มต้นของขยายจำนวนประชากร (early expanding phase) บ่งบอกถึงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เพื่อตอบสนองต่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม โดยระดับการตายลดลง ในขณะที่ระดับการเจริญพันธุ์ยังคงสูง และการเติบโตของประชากรเริ่มขึ้นอย่างจริงจัง


ขั้นที่ 3 - ช่วงเวลาสุดท้ายของการขยายจำนวนประชากร (late expanding phase) อัตราการตายยังคงลดลงต่อเนื่อง ลงสู่จุดต่ำสุด แต่ว่าอัตราการเกิดยังคงตอบสนองความเป็นสมัยใหม่และการพัฒนา อัตราการเกิดในปัจจุบันยังตอบสนองต่อการก้าวสู่ความทันสมัยและการพัฒนา และอัตราการเกิดลดลง ทำให้ยังคงมีอัตราการเพิ่มประชากร


ขั้นที่ 4 - ช่วงเวลาที่จำนวนประชากรลดต่ำลง (low stationary period) ทั้งอัตราการเกิดและการตายจะอยู่ ณ ค่าล่างของเกณฑ์และเกิดการหักล้างกันเอง และจำนวนประชากรคงที่


ขั้นตอนทั้ง 4 ขั้นนี้ ถือเป็นโครงสร้างหลักของแบบจำลองการเปลี่ยนแปลงประชากร ซึ่งได้กลายเป็นแบบแผนทั่วไป และอาจจะเพิ่มขั้นตอนที่ 5 เข้าไปอีก เมื่อปัจจุบันนี้ประชากรกลับมีจำนวนลดลงอย่างมาก เนื่องจากอัตราการเกิดของประชากรมีค่าต่ำมาก และเมื่อการหดตัวดังกล่าวเร่งขึ้นโดยอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากโรคที่เกิดจากความมั่งคั่งและโรคอ้วน โรคระบาดทางสุขภาพจิต และโรคติดเชื้อที่กลับมาระบาดอีกครั้งคร่าชีวิตผู้คนในสังคมที่มั่งคั่งมากขึ้น


ภูมิศาสตร์การเปลี่ยนแปลงประชากร


ในงานเขียนเรื่อง The Demographic Transition: Stages, Patterns, and Economic Implication ของ Jean-Claude Chesnais นักประชากรศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้นำเสนอผลการศึกษาเส้นทางยาวของการเปลี่ยนแปลงประชากรของ 67 ประเทศ ในห้วงปี1720-1984 ทำให้ได้เห็นชัดเจนถึงบางสิ่งบางอย่างของการเปลี่ยนแปลงประชากรที่เกิดขึ้นมากบ้างน้อยบ้าง ช้าบ้างเร็วบ้าง แปรเปลี่ยนไปตามสถานที่แต่ละแห่ง นอกจากนี้ อัตราการเพิ่มสูงสุดก็ยังแปรเปลี่ยนไปแล้วแต่กรณี


Chesnais ยืนยันว่า ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 มีกาคเปลี่ยนแปลงประชากรเกิดขึ้น 3 รูปแบบ คือ 


ประเทศในทวีปยุโรปที่พัฒนาแล้ว การเปลี่ยนแปลงประชากรเป็นไปอย่างน่าพอใจ เพราะประชากรเพิ่มถึงจุดสูงสุดในระดับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ต่อปี มาเป็นเวลานาน 75-200 ปีแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น คือ การเคลื่อนไหวจากยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือสู่ยุโรปตะออกเฉียงใต้ ซึ่ง Chesnais ได้จัดกลุ่มการเปลี่ยนแปลงประชากรในรูปแบบที่น่าสนใจเอาไว้ดังนี้


■ แบบจำลองของนอร์ดิก (Nordic model) มีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนานมากแล้ว นานกว่า 150 ปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วงนั้นมีประชากรเพิ่มขึ้นสูงสุดในประเทศสวีเดนระหว่างปี 1870-80

■ แบบจำลองตะวันตก (Western model) มีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนานราว 100 ปีที่ผ่านมา มีประชากรเพิ่มขึ้นสูงสุดในประเทศเยอรมนีระหว่างทศวรรษ 1900

■ แบบจำลองใต้ (Southern model) มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นอย่างสมบูณ์ระหว่าง 70-90 ปีที่ผ่านมา จากนั้นสภาพการณ์เปลี่ยนแปลงก็คงที่ โดยมีการเพิ่มประชากรสูงสุดระหว่างทศวรรษ 1900 แบบจำลองนี้มีสหภาพโซเวียตรัสเซีย (ในสมัยนั้น) เป็นประเทศตัวอย่าง


Chesnais ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่น่าสนใจตรงนี้ว่า ทั้งประเทศฝรั่งเศสและไอร์แลนด์ ต่างก็อยู่นอกกรอบคำอธิบายทั้งสามแบบจำลองที่กล่าวมา เนื่องจากตามประวัติศาสตร์แล้ว ฝรั่งเศสมีอัตราการเพิ่มประชากรที่ต่ำมาก ส่วนไอร์แลนด์เกิดภาวะอดอยากและขาดแคลนอาหารอย่างหนักนานในช่วง 1848-52 เป็นเหตุให้มีการอพยพออกของประชากรเป็นจำนวนมาก


ประเทศด้อยพัฒนา มีอีกหลายประเทศที่สามารถนำมาอธิบายภายใต้กรอบของแบบจำลองการเปลี่ยนแปลงประชากร ในประเทศต่างๆ เหล่านี้ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นค่อนข้างช้า เป็นปรากฎการณ์ที่ผุกพันกับความก้าวหน้าที่ค่อยก้าวย่างและเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นจังหวะในห้วงเวลา 40-80 ปี และมีความโดดเด่นด้วยอัตราการเพิ่มประชากรตามธรรมชาติราวๆ ร้อยละ 2-4 ต่อปี ในช่วงเวลาแคบๆ แค่ 20 ปี 


มีบางประเทศที่ยังคงอยู่วนเวียนอยู่ในขั้นที่ 2 ของการเปลี่ยนแปลง ขณะที่หลายประเทศก้าวไปสู่ขั้นที่ 3 แล้ว เนื่องจากว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังคงดำเนินการอยู่ จึงเป็นการยากที่จะระบุให้แน่ชัดแต่ละประเทศจะเป็นไปอย่างไร และจะดำเนินการเพื่อให้เกิดความแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างไร แต่ว่าอาจบันทึกเอาไว้ตรงนี้ด้วยว่า มีหลายประเทศที่ยังคงมีอัตราการเพิ่มประชากรค่อนข้างสูง อย่างในประเทศอินเดียที่มีอัตราการเพิ่มร้อยละ 2.5 บางประเทศอัตราการเพิ่มสูงอย่างเช่นประเทศอียิปต์ที่มีอัตราการเพิ่มระหว่างร้อยละ 2.5-3 และบางประเทศยังคงมีอัตราการเพิ่มสูงมากๆ อย่างในประเทศเม็กซิโกที่อัตราเพิ่มสูงเกินกว่าร้อยละ 3 ต่อปี


ประเทศหลักๆ ที่มีการอพยพเข้าเป็นจำนวนมาก ภูมิภาคต่างๆ ของโลกใบนี้ Chesnais ชี้ว่าภูมิภาคที่อยู่ตรงกลางระหว่างประเทศพัฒนาแล้วในทวีปยุโรปกับประเทศด้อยพัฒนา คือ ประเทศสำคัญที่มีการอพยพเข้าเป็นจำนวนมาก (principal countries of immigration) เป็นศูนย์กลางรับผู้อพยพเข้าที่เดินทางมาจากยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 18 19 และ 20 ประเทศเหล่านี้ประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อาร์เจนตินา และอุรุกวัย เนื่องจากผู้อพยพออกจากยุโรปส่วนใหญ่เป็นประชากรวัยแรงงาน ประเทศต่างๆ เหล่านี้ จึงถือกำเนิดมาพร้อมๆ กับโปรไฟล์ประชากรที่แปลกประหลาดมาก การเปลี่ยนแปลงประชากรมีแนวโน้มลดลงทั้งเนื่องอัตราการตายและอัตราการเกิดที่มีมาตั้งแต่แรก ทำให้มีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงของประเทศเหล่านี้ก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 3


แน่นอน การเพิ่มขึ้นของประชากรโลกแบบใหม่ ยังคงเกิดขึ้นในหลายๆ ภูมิภาค และมีการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันมากมายและยังคงอยู่ในระหว่างดำเนินการอยู่


อัตราการตายลดลงต่อเนื่อง ตามรายงานการวิเคราะห์ขององค์การสหประชาชาติเมื่อปี 2020 เรื่อง World Population Prospects: 2019 Revision ระบุว่า อายุขัยของประชาชนทั่วทุกภูมิภาคทั้งโลก นับตั้งแต่แรกเกิด เพิ่มขึ้นจาก 47 ปี เมื่อปี 1950 เป็น 65.6 ปี ในปี 2000 และเพิ่มขึ้นอีกเป็น 72.3 ปี หลังปี 2020 ทั้งนี้คาดว่าเมื่อถึงปี 2050 อายุขัยของประชากรเฉลี่ยทั้งโลกจะเป็น 76.8 ปี อีกยังจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น ปี 2100 อายุขัยเฉลี่ยของประชากรจะสูงขึ้นอีกเป็น 81.7 ปี


อายุขัยของประชากรในภูมิภาคอัฟริกาจะกลายเป็นสิ่งแปลกที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยจะเพิ่มจาก 37.5 ปีในปี 1950 เป็น 62.7 ปีหลังปี 2020 ขณะที่อายุขัยของประชากรเพศหญิงทั่วโลก เพิ่มขึ้นจาก 49.5 ปีในปี 1950 เป็น 75.59 ปี และเพศชายเพิ่มขึ้นจาก 45.2 ปี เป็น 70.81 ปีหลังปี 2020 ทั้งนี้ ณ ปัจจุบัน อายุขัยของประชากรในภูมิภาคแอฟริกา เอเชีย ยุโรป ละตินอเมริกาและแคริบเบียน อเมริกาเหนือ และโอเชียนเนีย  คือ 64.1 74.2 79.0 76.0 79.5 และ 79.2 ปี ตามลำดับ ขณะมีประเทศที่ประชากรมีอายุขัยมากกว่า 82 ปี หลายประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย ไอซ์แลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ สเปน และสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนประเทศที่มีอายุขัยประชากรแค่ 55 ปี หรือน้อยกว่านั้น ได้แก่ สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ชาด โค้ตดิวัวร์ เลโซโธ ไนจีเรีย เซราเลโอล โซมาเลีย และสวาซิแลนด์


การเปลี่ยนแปลงภาวะเจริญพันธุ์ซึ่งเป็นจุดที่อัตราการการเจริญพันธุ์ขึ้นสู่จุดสูงสุด (ค่าเฉลี่ย 7-8 ต่อสตรีหนึ่งคน) หลังจากนั้นพวกเขาก็ทนต่อการลดลงอย่างต่อเนื่องสู่ระดับทดแทนที่ 2.2 ต่อสตรีหนึ่งคนหรือต่ำกว่า ตามรายงานขององค์การสหประชาชาติเมื่อปี 2020 เรื่อง World Population Prospects: 2019 Revision อัตราการเจริญพันธุ์ของสตรีทั้งโลกลดต่ำลงจาก 4.97 ต่อสตรีหนึ่งคนในปี 1950 เป็น 2.42 ต่อสตรีหนึ่งคนในปี 2019 ทั้งนี้ อัตราการเจริญพันธุ์ของสตรีในทวีปแอฟริกาลดลงจาก 6.57 ต่อสตรีหนึ่งคนในปี 1950 เป็น 4.16 ต่อสตรีหนึ่งคนในปี 2019 ตลอดช่วงเวลาเดียวกัน อัตราการเจริญพันธุ์ของสตรีในทวีปเอเชีย ละตินอเมริกาและแคริบเบียน อเมริกาเหนือ ยุโรป และโอเชียเนีย ยังคงลดลง จาก 5.83 5.83 3.34 2.66 และ 3.89 เป็น 2.09 2.04 1.76 1.62 และ 2.20 ตามลำดับ ทั้งนี้ คาดว่าอัตราการเจริญพันธุ์ทั่วโลกจะลดลงจากเดิม 2.42 หลังปี 2020 เป็น 2.18 ในปี 2050 และลดลงอีกเป็น 1.94 ในปี 2100 โดยในปี 2021 มีประเทศต่างๆ ไม่น้อยกว่า 83 ประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำกว่าระดับ 2.2 ต่อสตรีหนึ่งคน 


อัตราการเจริญพันธุ์ได้รับการทำนายว่ามีค่าเพิ่มขึ้นระหว่างปี 2010-2015 และ 2045-2050 จากระดับ 1.60 เป็น 1.78 ในทวีปยุโรป และจาก 1.85 เป็น 1.89 ในอเมริกาเหนือ แต่ว่าในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกาและแคริบเบียน และโอเชียเนีย คาดว่าจะลดลงค่อนข้างมากในช่วงปี 2095-2100


สำนักงานประชากรองค์การสหประชาติ ทำการคาดการณ์ประชากรของโลกในปี 2050 และทำนายไปจนถึงปี 2100 และ 2300 ด้วยความที่การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนั้นมีความอ่อนไหวมากจากระดับการเจริญพันธุ์ โดยสำนักงานประชากรฯ แสดงให้เห็นฉากทัศน์ต่างๆ ที่หลากหลายตามระดับการเจริญพันธุ์ที่ทำนายเอาไว้ ดังนี้


ฉากทัศน์ที่มีความแปรปรวนคงที่ (constant-variant scenario) เป็นฉากทัศน์ที่ตั้งข้อสมมุติฐานเอาไวว่า อัตราการเกิดมีระดับเท่ากับระดับปัจจุบันอย่างต่อเนื่องไปถึงอนาคตข้างหน้า ฉากทัศน์ที่มีความแปรปรวนปานกลาง (medium-variant scenario) อันนี้มีการประมาณค่าระดับอัตราการเกิดเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยที่คาดเอาไว้ และฉากทัศน์ที่มีความแปรปรวนสูง (high-variant scenario) และฉากทัศน์ที่มีความแปรปรวนต่ำ (low-variant scenario) เป็นการคาดประมาณสำหรับแต่ละประเทศที่มีระดับอัตราการเกิด ”สูงกว่าหรือต่ำกว่า“ ระดับที่มีความแปรปรวนปานกลางที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น


เท่าที่มีการนำมาพิจารณาเพื่อนำเสนอฉากทัศน์การเปลี่ยนแปลงประชากรบนโลก รายงานการวิเคราะห์ขององค์การสหประชาชาติที่ใช้ความแปรปรวนปานกลาง ที่มีรดับความเชื่อมั่นระหว่างร้อยละ 80-95 ดูจะมีการนำไปใช้มากที่สุด


ตามรายงานเรื่อง World Population Prospects: 2019 Revision ขององค์การสหประชาชาติ ที่คาดว่าประชากรของโลกจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอัตราการเพิ่มจะค่อยๆ ลดลงหลังปี 2050 เป็นต้นไป หากว่าอัตราการเกิดยังคงเป็นไปแบบเดียวกับที่เป็นในช่วงปี 2005-2010 ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.09 หมื่นล้านคนในปี 2050 และสิ้นศตวรรษที่ 22 ในปี 2100 โลกจะมีประชากร 2.16 หมื่นล้านคน โดยการคาดการณ์ประชากรโลกในระดับที่มีความแปรปรวนปานกลาง ตั้งสมมุติฐานเอาไว้ว่า อัตราการเจริญพันธุ์ลดลงจากร้อยละ 2.5 ต่อสตรีหนึ่งคน ระหว่างปี 2045-2050 เป็นร้อยละ 2.2 ต่อสตรีหนึ่งคน ระหว่างปี 2095-2100 ซึ่งตามฐานคิดนี้ จะทำให้ประชากรโลกที่มีอยู่ 7.7 พันล้านคน ณ ขณะนี้ เพิ่มขึ้นเป็น 9.7 พันล้านคน ในปี 2050 และเป็น 1.09 หมื่นล้านคน ในปี 2100 (ดูภาพ 8.3)


คาดการณ์ว่าในปี 2100 มีโอกาสสูงมากๆ ถึงร้อยละ 80 ที่ประชากรโลกจะอยู่ระหว่าง 0.99-1.20 หมื่นล้านคน หากปรับระดับความเป็นไปได้เป็นร้อยละ 95 ขนาดคาดการณ์ของประชากรในปี 2030 จะมีอยู่ระหว่าง 0.85-0.86 หมื่นล้านคน ปี 2050 จะมีอยู่ระหว่าง 0.94-1.01 หมื่นล้านคน และปี 2100 จะมีอยู่ระหว่าง 0.94-1.27 หมื่นล้านคน อย่างไรก็ดี หากเอาระดับความแปรปรวนสูงสุดมาพิจารณา นั่นอาจจะทำให้ได้เห็นประชากรโลกมีจำนวน 1.05 หมื่นล้านคน เร็วขึ้นในปี 2050 ส่วนปี 2100 ประชากรโลกจะมีมากถึง 2.16 หมื่นล้านคน แต่หากเอาตัวเลขความแปรปรวนระดับต่ำมาเป็นตัวตั้ง กลางศตวรรษนี้ โลกจะมีประชากรเพียง 0.88 หมื่นล้านคน และปลายศตวรรษนี้ โลกจะมีประชากรลดลงเหลือแค่ 0.73 ล้านคนเท่านั้น


จะเห็นถึงความแตกต่างกันของการกระจายตัวของประชากรบนโลก ตามแผนที่ 8.1 และภาพที่ 8.5 โดยจะเห็นได้ว่า ประชากรร้อยละ 60 ของโลก อยู่ในต่างๆ ของทวีปเอเชีย (4.6 พันล้านคน) ส่วนที่เหลือ แบ่งเป็นร้อยละ 17 10 9 และ 6 อาศัยอยู่ในภูมิภาคแอฟริกา (1.3 พันล้านคน) ยุโรป (747 ล้านคน) ละตินอเมริกาและแคริบเบียน (653 ล้านคน) อเมริกาเหนือ (369 ล้านคน) และโอเชียเนีย (42.6 ล้านคน) ขณะที่ภาพที่ 8.5 แสดงการกระจายตัวของบริเวณที่มีประชากรมากที่สุด 10 แห่ง พร้อมทั้งนำเสนอปรากฎการณ์เปลี่ยนแปลงประชากรที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ภายใต้ฉากทัศน์ที่เป็นกลางๆ ดังนี้


เอเชีย: ทวีปเอเชียในปี 2100 จะยังคงเป็นทวีปที่มีประชากรมากที่สุด เพียงแต่ว่า ประชากรของทวีปนี้จะทะยานขึ้นถึงจุดสูงสุดเป็น 5.3 พันล้านคนในปี 2055 จากนั้นจะค่อยๆ ลดลงเหลือ 4.7 พันล้านคนในปลายศตวรรษ ทั้งนี้ ประเทศจีน (1.44 พันล้านคน) และอินเดีย (1.38 พันล้านคน) ยังคงเป็นสองประเทศที่มีประชากรมากที่สุด ประชากรจำนวนนี้คิดเป็นร้อยละ 19 และ 18 ของประชากรทั้งโลก ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ในปี 2100 อินเดียจะมีประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 1.45 พันล้านคน และแซงขึ้นหน้าประเทศจีน ที่มีประชากรเพียง 1.06 พันล้านคน เป็นอันดับหนึ่งของโลก


แอฟริกา: บางทีปรากฎการณ์ทางประชากรศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในศตวรรษนี้ อาจจะหมายถึงการที่ประชากรของทวีปแอฟริกามีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่มีเพียง 1.26 พันล้านคน ณ วันนี้ กลายเป็น 4.3 พันล้านคน ณ ปีที่สิ้นสุดศตวรรษนี้ โดยเฉพาะอย่างยิงประเทศไนจีเรียที่จะมีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากๆ จาก 206 ล้านคน เป็น 734 ล้านคน นั่นจะทำให้สหรัฐอเมริกาที่เคยมีประชากรมากเป็นอันดับสามของโลก


ยุโรป: ประชากรในทวีปยุโรปพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดเมื่อปี 2020 โดยมีจำนวน 747 ล้านคน และคาดว่าจะลดลงเหลือเพียง 630 ล้านคน ในปี 2100 ทั้งนี้ประชากรของรัสเซียที่ทุกวันนี้มีเพียง 103 ล้านคน เพิ่มขึ้นเป็น 145 ล้านคน ในปี 2100 โดยรัสเซียเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในทวีปยุโรป


ละตินอเมริกาและแคริบเบียน: ประชากรของละตินอเมริกาและแคริบเบียน ได้รับการทำนายว่าจะเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุด 767 ล้านคน ราวๆ ปี 2065 หลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดลงเหลือ 679 ในปี 2100 โดยมีประเทศบราซิลและเม็กซิโกเป็นสองประเทศที่มีประชากรมากที่สุด 213 และ 142 ล้านคน ตามลำดับ ทั้งนี้ในปี 2100 แม้ว่าสองประเทศนี้จะมีประชากรลดลงเป็น 181 และ 129 ล้านคน ตามลำดับ แต่ก็ยังคงเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุด 


อเมริกาเหนือ: ประชากรในทวีปเอมริกาเหนือ จะเพิ่มสูงขึ้นจาก 330 ล้านคนในปี 2020 เป็น 425 ล้านคนในปี 2050 และท้ายที่สุดจะเพิ่มขึ้นเป็น 490 ล้านคนในปี 2100 โดยในปี 2100 สหรัฐอเมริกา ที่มีประชากร 434 ล้านคน ซึ่งมากที่สุดของทวีปอเมริกาเหนือ จะถอยลงมาเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นลำดับที่ 4 ของโลก


โอเชียเนีย: ประชากรของภูมิภาคโอเชียเนีย เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงปี 2020 ที่มี 42.6 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 57 ล้านคน และ 75 ล้านคน ในปี 2050 และ 2100 ตามลำดับ ประชากรในประเทศออสเตรเลียที่มีมากที่สุดในภูมิภาคนี้ จะเพิ่มขึ้นจาก 25.5 ล้านคน เป็น 43 ล้านคน ในปี 2100  แต่ว่าภูมิภาคนี้จะยังคงเป็นภูมิภาคที่มีประชากรน้อยที่สุดในโลกต่อไป เพราะมีสัดส่วนประชากรเพียงร้อยละ 0.6 เท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น