หน้าเว็บ

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ความหิวซ่อนเร้นที่โหดร้าย

ความหิวซ่อนเร้นที่โหดร้ายของหลายร้อยล้านคนทั่วโลก - The hidden hunger affecting billions

BY MICHAEL MARSHALL



เมื่อเด็กๆ ไม่ได้รับธาตุเหล็กอย่างพอเพียงจากอาหารที่พวกเรารับประทานเข้าไปในแต่ละมื้อ ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก็คือ “ภาวะอารมณ์ที่รุนแรงหรือการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่รุนแรง ที่เรียกว่า heartbreaking” ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาต่อการใช้ภาษาสื่อสาร มีภาวะความจำสั้น ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง และไม่มีความพร้อมที่จะไปโรงเรียน


“เด็กๆ เหล่านั้นไม่สามารถมีชีวิตเติบโตได้ตามศักยภาพทางกายและจิตใจได้” Wolfgang Pfeiffer ผู้อำนวยการองค์กรวิจัยและพัฒนาปรับปรุงพืชผลเพื่อส่งเสริมโภชนาการ HarvestPlus แห่งวอชิงตัน ดีซี กล่าว “หากว่าพวกเขายังตกอยู่ในภาวะขาดแคลนตั้งแต่วัยเด็ก พวกเขาจะสามารถเรียนรู้ได้น้อยกว่าเด็กปรกติถึงร้อยละ 20”


ในประเทศยากจนที่สุดอย่างจีนและอินเดีย เด็กๆ หลายล้านคนมีชีวิตอยู่ในสภาพที่ขาดธาตุเหล็ก ขณะมีตัวเลขประมาณการว่าในเอเชียใต้มีสตรีตั้งครรภ์ราวร้อยละ 50 ที่ไม่ได้รับสารอาหารที่มีธาตุเหล็กพอเพียง ลักษณะแบบเดียวกันนี้บังคงปรากฎอยู่ทั่วไปในอเมริกาใต้และเขตแห้งแล้งของแอฟริกา


แต่ว่าธาตุเหล็กเป็นเพียงส่วนเดียวเล็กๆ ของเรื่องที่กำลังกล่าวถึงนี้ เพราะยังมีธาตุอาหารระดับจุลภาคอีกหลายสิบอย่างที่ร่างกายจำเป็นต้องบริโภคเข้าไป แม้ว่าจะเป็นความต้องการในปริมาณเพียงน้อยนิด แต่ต้องได้รับอย่างเป็นระบบตามเกณฑ์ ร่างกายจึงจะสมบูรณ์ ธาตุอาหารเล็กๆ เหล่านั้นประกอบด้วย สังกะสี ทองแดง วิตามิน และโฟเลตส์ต่างๆ เช่น กรดโฟลิก และวิตามินบี ๙


ประมาณสองพันล้านคน หรือราว 30% ของประชากรโลก ที่ขาดจุลธาตุอาหารสำคัญอย่างน้อยหนึ่งอย่าง นั่นทำให้หลายคนประสบปัญหาสุขภาพร้ายแรงและยาวนาน ขณะที่จำนวนประชากรของโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่นี้ จึงกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนไม่เพียงเพื่อเพิ่มปริมาณอาหารเท่านั่น หากแต่ยังจะต้องปรับปรุงคุณภาพของอาหารควบคู่กันไปอีกทางหนึ่งด้วย หากไม่มีจุลธาตุอาหารอย่างเพียงพอ จะเกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นแคระแกรน ร่างกายผิดปรกติ และตาบอด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความเสี่ยงอันสำคัญยิ่งของชีวิต


แต่ว่าการสู้รบตบมือกับภาวะการขาดจุลธาตอาหาร อย่างเช่นการขาดธาตุเหล็ก เพิ่งจะเริ่มต้นเปลี่ยนภาพลักษณ์ของการเผชิญปัญหา โดยปี 2012 HarvestPlus ได้ส่งเสริมการปลูกลูกเดือยไข่มุก พืชผลรูปแบบใหม่ที่ใช้เป็นอาหารจานหลักของคนอินเดีย ภาษาท้องถิ่นที่นั่นเรียกกันว่า “ดานาชัคติ” เป็นลูกเดือยพันธุ์ผสมที่ให้ธาตุเหล็กในอาหารสูง (link to: http://oar.icrisat.org/8602/) เมื่อปี 2017 มีเกษตรกรกว่า 7 หมื่นรายที่สามารถส่งผลผลิตเข้าสู่ตลาด ส่วนใหญ่ของทั้งหมดนี้อยู่ในรัฐมหาราชตระ ทำให้เด็กชาวอินเดียหลายหมื่นคนมีอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็กรับประทาน


ผลลัพธ์ที่ได้ “มันดูดีมากเลย” Pfeiffer กล่าว “ธาตุเหล็กจะช่วยปรับสถานะเหล็กในร่างกาย ทำให้สุขภาพกายและสมรรถนะทางความคิดของวัยรุ่นดีขึ้น” ความนิยมรับประทานลูกเดือยไข่มุกดานาชัคติ จะทำให้เด็กหลายพันคนเติบโตขึ้นมาพร้อมกับสุขภาพกายและสมองที่ดี  พวกเขามีโอกาสที่จะเข้าถึงการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่เต็มพร้อม


ความจริงแล้ว การปรับปรุงพันธุ์ลูกเดือยไข่มุกนี้ เป็นเพียงหนึ่งหลายสิบพืชผลใหม่ที่อยู่ในโครงการสร้างสรรค์ของ HarvestPlus และกลุ่มวิจัยพืชผลกลุ่มอื่นๆ พืชผลเหล่านี้ได้รับการปรุงพันธุ์ ดัดแปลงพันธุกรรม หรือต่อเติมให้มีธาตุอาหารมากขึ้น เพื่อให้สามารถทนโรค และเพื่อให้เตืบโตได้ในสภาพอากาศเลวร้ายจากภัยแล้งและคลื่นความร้อน อย่างระมัดระวังรอบคอบ เป้าหมายเพื่อสนับสนุนการมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนส่วนที่ยากจนและเปราะบางที่สุดในโลก


ตัวอย่างเช่น สตรีมีครรภ์ในหลายประเทศจะได้รับกรดโฟลิกเติมเข้าไปในร่างกายเพื่อให้มีโฟเลตส์เพียงพอต่อทารกในท้อง อาหารเช้าประเภทซีเรียลหลายชนิด ถูกเสริมธาตุเหล็กและวิตามินต่างๆ เข้าไป ขณะที่บางประเทศได้เพิ่มไอโอดีนลงไปในเกลือเพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนจะได้รับสิ่งจำเป็นเหล่านั้นอย่างเพียงพอ


แต่กลยุทธ์เหล่านี้มีข้อจำกัด หากผู้คนไม่สามารถเข้าถึงธาตุอันจำเป็นนั้น หรือไม่สามารถเข้าถึงร้านขายได้พวกเขาจึงอาจยังคงไม่ได้รับจุลธาตุอาหารนี้เพียงพอ ยิ่งไปกว่านั้น การเพิ่มสารจุลธาตุลงไปในอาหารเป็นกระบวนการปรกติ อาหารเช้าประเภทซีเรียลทุกชุด จะต้องได้รับการเติมธาตุเหล็กและวิตามินต่างๆ ลงไปอยู่แล้ว


วิธีที่ง่ายกว่านั้นมาก คือ การกลับไปที่พืชผลที่ทำจากธัญพืช และตรวจสอบให้แน่ใจว่ามันเต็มไปด้วยจุลธาตุอาหารเหล่านี้ในตอนแรก หรือไม่อย่างไร


และนี่คือความคิดที่อยู่เบื้องหลังการเสริมจุลธาตุอาหารแบบชีวภาพ (biofortification) ที่เป็นกระบวนการทำให้พืชผลมีระดับของจุลธาตุอาหารสูง เช่น ธาตุเหล็กสูงขึ้นกว่าที่มีอยู่ตามธรรมชาติ โดย HarvestPlus เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2003 โดย Howarth Bouis นักเศรษฐศาสตร์ หลังจากที่ใช้เวลานานหนึ่งทศวรรษทำการล็อบบี้และหาเงินเพื่อเสริมสร้างพืชผลทางชีวภาพ และทำให้พืชผลเหล่านั้นมีธาตุอาหารครบถ้วนตามความต้องการของร่างกายมนุษย์ ทุกวันนี้ HarvestPlus มีสมาชิกกว่า 20 ประเทศทั่วโลก และได้รับเสริมจุลธาตุแบบชีวภาพให้กับพืชผลกว่าสิบชนิด ไม่ว่าจะเป็นข้าวไปจนถึงมันฝรั่งหวาน


“ตอนนี้เรามีพืชผลต่างๆ มากกว่า 300 สายพันธุ์ที่วางจำหน่ายในกว่า 35 ประเทศ” Pfeiffer กล่าว “ซึ่งมีประชาชนมากกว่า 50 ล้านคนทั่วโลก กำลังบริโภคพืชผลเหล่านั้นอยู่แล้ว”


เพื่อทำการเพาะปลูกพืชผล Pfeiffer กล่าวว่า HarvestPlus จะต้องตอบคำถามสามข้อ อย่างแรก เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะเพาะพันธุ์พืชที่มีสารอาหารที่ต้องการในระดับที่สูงขึ้น โดยไม่ทำอันตรายต่อลักษณะอื่นๆ เช่น ผลิตภาพหรือความทนทานต่อความแห้งแล้ง


อย่างที่สอง ผู้คนที่รับประทานพืชผลแบบใหม่เหล่านี้เข้าไป จะสามารถดูดซึมสารอาหารพิเศษได้จริงหรือไม่ สิ่งนี้ไม่สามารถทำได้ “superfoods” มักจะออกวางตลาดพร้อมกับการกล่าวอ้างสรรพคุณว่าอุดมไปด้วยสารอาหารบางอย่างผิดปกติ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าร่างกายของเราสามารถรับประทานได้ทั้งหมด


และอย่างที่สาม เกษตรกรและผู้บริโภคยินดีที่จะนำพืชผลทางชีวภาพมาใช้หรือไม่? ปัจจัยทางวัฒนธรรมมีความสำคัญ หากพืชผลมีสีหรือรูปร่างที่แตกต่างไปจากที่คุ้นเคย พวกเขาจะต้องระมัดระวัง แม้ว่าการปฏิเสธอาหารเพื่อสุขภาพด้วยเหตุเพราะรูปร่างหน้าตาของมัน อาจดูเขลาไปหน่อย แต่เราทุกคนก็คงทำเช่นนั้น ไม่เชื่อลองดูก็ได้ หลายคนคงลังเลที่จะรับประทานพาสต้าสีดำ


ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ HarvestPlus เกิดจากการจัดการกับภาวะการขาดวิตามินเอในทวีปแอฟริกา มีวิตามินเอหลายรุ่นที่สร้างขึ้นมาในพืชผลที่นั่น และ HarvestPlus ก็ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงพันธุ์พืชที่อุดมด้วยธาตุอาหารจุลภาคอันหนึ่งที่เรียกว่า “เบต้าแคโรทีน” (beta-carotene) ที่เป็นเม็ดสีส้ม-แดง ที่พบได้ในแครอท ฟักทอง และมะม่วง


ตัวอย่างการทำงานในประเทศแซมเบีย HarvestPlus  ได้เปิดตัว “ข้าวโพดอุดมวิตามินเอ” Pfeiffer เริ่มต้นวางแผนอย่างรอบคอบ เนื่องจากข้าวโพดที่ได้รับการปรับปรุงอาจมีสีเหลือง ซึ่งเป็นสีที่เคยบ่งบอกว่าข้าวโพดมีคุณภาพต่ำ ที่เคยมีการนำเข้าระหว่างประเทศขาดแคลนอาหาร


“พวกเขาชอบข้าวโพดสีขาวเท่านั้น” Pfeiffer กล่าว “พวกเขาเกลียดข้าวโพดสีเหลืองมาก”


เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ HarvestPlus ได้ปรับปรุงข้าวโพดพันธุ์ใหม่ให้เป็นสีส้ม ซึ่งการศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้คนที่นั่นมีความสุขที่ได้ปลูกและทานข้าวโพดสีส้ม ปี 2015 เมื่อข้าวโพดเสริมธาตุอาหารจุลภาคเริ่มจำหน่ายในประเทศแซมเบีย เด็กๆ ที่ทานข้าวโพดพันธุ์ใหม่มีการตอบสนองได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ทานข้าวโพดนี้ และยังมีคำแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า มันจะช่วยปกป้องพวกเขาจากปัญหาการมองเห็นในอนาคตด้วย


เช่นดียวกับเกษตรกรในประเทศรวันดา ที่ได้ปลูก “ถั่วเสริมธาตุเหล็ก” จากการส่งเสริมสนับสนุนของ HarvestPlus โดย Laura Murray-Kolb จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเพนซิลวาเนียได้ช่วยแสดงให้เห็นว่า ถั่วเหล่านี้ช่วยลดปัญหาการขาดธาตุเหล็กได้ภายใน 128 วัน


“ปัญหาการขาดสารอาหารในทวีปอเมริกาใต้มีความซับซ้อนกว่าในแอฟริกาและเอเชีย” เป็นคำกล่าวของ Marilia Regini Nuti ผู้จัดการ HarvestPlus ภูมิภาคลติอเมริกา เนื่องจากว่าที่นี่ไม่ได้มีอาหารจานหลักเพียงแค่ข้าวโพดอย่างเดียวแบบในประเทศแซมเบีย ผู้คนในอเมริกาใต้บริโภคอาหารจานหลักกันหลากหลายมาก


ประชาชนที่นั่นรับประทานอาหารหลักเป็นข้าว ถั่ว มันสำปะหลัง ข้าวโพด และสิ่งที่ผลิตได้อย่างอื่นอีกมากมาย ที่จะถูกนำมาผสมกันตามแต่วัฒนธรรมของประเทศต่างๆ ดังนั้น Noti และคณะทำงานของเธอ จึงได้พัฒนา “วิธีการทำตะกร้าอาหาร” (food basket approach) เพื่อที่เสริมธาตุอาหารแบบชีวภาพให้กับพืชพรรณหลากหลายเหล่านั้น ด้วยการคัดเลือกพันธุ์ที่ส่งผลต่อคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง


พืชชนิดหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักนัก ที่มีการเสริมจุลธาตุเข้าไปอย่างได้ผลดี คือ ถั่วพุ่ม เป็นพืชพันธุ์ผสมระหว่างถั่วลันเตาและถั่วลิสง มันเป็นพืชตระกูลถั่วที่เป็นแหล่งอาศัยของแบคทีเรียตรงราก ช่วยตรึงไนโตรเจนจากอากาศ ทำให้ถั่วพุ่มมีโปรตีนสูง โดยมีการปลูกอยู่หลายสายพันธุ์ ส่วนพันธุ์ที่นิยมปลูกมากที่สุด คือ ถั่วดำ


“ถั่วพุ่มมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบราซิล เพราะถั่วพุ่มสามารถเติบโตได้ในดินแห้งแล้ง ขณะถั่วลิสงไม่สามารถเติบโตได้ในสภาพแบบนั้น” Nuti กล่าว และนี่เองที่เป็นเหตุให้ถั่วพุ่มกลายเป็นอาหารหลักสำหรับคนยากจนที่อาศัยอยู่ในเขตแห้งแล้งทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ การเสริมปริมาณธาตุเหล็กและสังกะสีเข้าไปในพืชชนิดนี้ จึงเป็นสิ่งที่ดี การศึกษาเมื่อปี 2011 พบว่า การเปลี่ยนแปลงของระดับเหล็กและสังกะสีในถั่วต่างชนิดกันมีความแตกต่างกันมาก ดังนั้นโปรแกรมการผสมพันธุ์จึงมีพืชมากมายหลายชนิดให้ดำเนินการ


ความพยายามในการผสมพันธุ์ของบราซิลนำโดย Embrapa ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยของรัฐบาลบราซิล พวกเขามีปรับปรุงพันธุ์และปล่อยถั่วพุ่มสายพันธุ์ใหม่มีระดับธาตุเหล็กสูงขึ้น 40% ออกมาแล้ว 3 สายพันธุ์ แต่มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มเติมในอเมริกาใต้ บ่อยครั้งที่พบว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองมักจะมีการขาดจุลธาตุอาหารด้วยเช่นกัน ซึ่งแตกต่างจากส่วนอื่นๆ ของโลก ที่มีข้อจำกัดแบบนี้อยู่ในพื้นที่ชนบทเสียเป็นส่วนใหญ่


เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการขาดจุลธาตุอาหารในเขตเมือง Nuti ทำงานอย่างเข้มแข็งเกี่ยวกับพืชที่สามารถใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร อย่างเช่นการเปิดตัวข้าวโพดเสริมจุลธาตุสังกะสีในโคลัมเบีย ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการนำแป้งจากข้าวโพดนี้เป็นวัตถุดิบในการทำอารีปัส (arepas) อาหารท้องถิ่นที่มีลักษณะคล้ายแผ่นขนมปังกลมและแบนที่มีลักษณะคล้ายมัฟฟินของอังกฤษ


“ทาเนยลงไปบนนี้” Nuti กล่าว “มันเป็นอะไรที่คนแถวนี้ชอบทานกันมากเลยละ”


การทำงานร่วมกับบริษัทอาหาร คณะของ Nuti กำลังพัฒนาอารีปัสเสริมจุลธาตุสังกะสี ที่สามารถนำออกจำหน่ายได้ในเขตเมือง ด้วยความคาดหวังว่าจะเป็นอาหารสำเร็จรูปที่ช่วยปรับปรุงคุณค่าทางโภชนาการของประชากรในเขตเมืองในรูปแบบการเสริมจุลธาตุอาหารแบบชีวภาพที่ไม่ได้ทำแค่เพียงเฉพาะพืชใดชนิดหนึ่งเท่านั้น


ความเชื่อที่ว่า การปรุงอาหารให้สุกและการแปรรูปอาหาร เป็นต้นเหตุให้ปริมาณจุลธาตุอาหารลดจำนวนลง ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ความจริงไปเสียทั้งหมด Fabiana de Moura ที่ตอนนี้ทำงานให้กับองค์การอาหารและยา (US Food and Drug Administratio) ของสหรัฐอเมริกา ได้แสดงให้เห็นว่าผู้คนได้รับธาตุเหล็กจากกล้วยปรุงสุกมากพอๆ กับที่ได้จากกล้วยดิบ


Leonardo Silva Boiteux แห่ง Embrapa เองก็ได้พัฒนาการเสริมจุลธาตุแบบชีวภาพลงไปในพืชผลที่จะนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปเช่นกัน เขาใช้เวลาหลายสิบปีในการพัฒนามะเขือเทศพันธุ์ใหม่เพื่อใช้ในผลิตภัณฑ์ซอสมะเขือเทศ Boiteux มีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงคุณค่าทางโภชนาการ และสร้างความยืดหยุ่นทางด้านอาหารให้มากขึ้นเมื่อยามมีภัยคุกคาม ทั้งจากภัยแล้งและโรคระบาด


ความสนใจของ Boiteux มุ่งไปที่ลักษณะทางโภชนาการที่เกิดจากปริมาณไลโคปีน (lycopene) ในมะเขือเทศ โดยไลโคปีนเป็นเม็ดสีแดงที่มีอยู่ในมะเขือเทศ มันมีคุณสมบัติทางเคมีคล้ายกับวิตามินเอ


มีคำแนะนำที่น่าสนใจว่า การรับประทานไลโคปีนมากๆ อาจช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจได้ ในตอนแรกเชื่อว่าไลโคปีนทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถซับสารเคมีที่มีปฏิกิริยาสูงต่ออนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำลายเซลล์ อย่างไรก็ตามมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการเสริมสารต้านอนุมูลอิสระนี้เข้าไป จะมีประโยชน์ไม่มากนัก และอาจเป็นอันตรายหากได้รับมากเกินไป ดังนั้น การเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างง่ายไม่ได้หมายความว่าไลโคปีนดีสำหรับเราทุกอย่าง


แต่เช่นเดียวกับศาสตร์ทางด้านโภชนาการที่ซับซ้อน ส่วนใหญ่คณะลูกขุนยังคงออกมา จากการทบทวนงานวิจัยต่างๆ เมื่อปี 2016 สรุปได้ว่า ไลโคปีนอาจช่วยปกป้องหัวใจของเราหลังจากทั้งหมด แม้ว่ากลไกอื่นๆ เช่นลดการอักเสบ ในทำนองเดียวกันการวิเคราะห์ meta-analysis ปี 2015 ที่สรุปว่า ผู้ชายที่รับประทานไลโคปีนมากๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากลง


Boiteux ได้พัฒนาชุดมะเขือเทศที่มีไลโคปีนมากเกินไป สายพันธุ์หนึ่งที่มีไลโคปีน 104 ไมโครกรัมต่อกรัม และเมื่อเร็วๆ นี้ อีกสายพันธุ์หนึ่งที่รู้จักกันในชื่อสายพันธุ์ซามีร์ซึ่งมีไลโคปีน 144 ไมโครกรัมต่อกรัม สายพันธุ์ซามิร์ยังรวมเอายีนส์ที่เพิ่งค้นพบใหม่ที่เรียกว่า bif ซึ่ง Boiteux และเพื่อนร่วมงานของเขาพบในมะเขือเทศจากหมู่เกาะกาลาปากอส ตัวแปร bif ทำให้มะเขือเทศแต่ละต้นออกดอกออกผลเพิ่มมากขึ้นด้วย


“จำนวนผลมะเขือเทศเพิ่มขึ้น 3.3 เท่า” Boiteux กล่าว ทีมงานของ Boiteux ยังคงปรับปรุงพันธุ์มะเขือเทศที่สามารถต้านทานโรคราน้ำค้างใบแข็งซึ่งเป็นโรคที่สำคัญของมะเขือเทศด้วย


แม้ว่าจะมีโครงการเช่นนี้ที่ประสบความสำเร็จอีกมาก แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างพืชที่มีระดับสารอาหารสูงอยู่ดี พืชผลในปัจจุบันจะต้องมีความยืดหยุ่นเมื่อเผชิญกับสภาพอากาศรุนแรง เช่นคลื่นความร้อนและความแห้งแล้ง ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงความสามารถต่อสู้กับโรคและแมลงศัตรูพืชได้


พืชอีกชนิดหนึ่งที่มีศักยภาพมากในการทนต่อสภาวะที่รุนแรง คือ ถั่วชิกพี ทุกวันนี้มีการปลูกถั่วชิกพีทั่วไปในเขตร้อน ทั้งในอินเดียและตะวันออกกลาง แต่ว่ามันเป็นพืชท้องถิ่นของเขตเมโสโปเตเมีย และเป็นพืชพันธุ์ป่าที่ปลูกกันมากในภูมิภาคดังกล่าว


“เมื่อขอบเขตของความหลากหลายของวัตถุดิบที่เป็นอาหาร และต้นกำเนิดของมันยังไม่เป็นที่เข้าใจ แถมยังไม่เป็นที่เข้าใจอีกว่า ความเป็นพืชท้องถิ่นของมันมีผลกระทบกับมันอย่างไร” Douglas Cook หัวหน้าห้องปฏิบัติการนวัตกรรมต่อสู่สภาพอากาศของถั่วชิกเปีย (Climate Resilient Chickpea Innovation Lab) แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส กล่าว “ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครมีความคิดที่ดีเกี่ยวกับการนำพืชป่ามาเพาะปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ ตรงนี้เราใช้เวลาห้าปีที่ผ่านมาในการตอบคำถามเหล่านั้น”


ทีมงานของเขาเดินทางข้ามผืนป่าเพื่อสำรวจสายพันธุ์ถั่วชิกพีป่า ทำให้ได้พบแหล่งพันธุกรรมที่หลากหลายมาก ตอนนี้พวกเขาหวังว่าจะใช้เพื่อปรับปรุงพันธุ์ที่มีอยู่ และพวกเขากำลังมองหาวิธีการที่จะปรับปรุงคุณสมบัติของมันให้สะอาด มีความทนทานต่อความแห้งแล้ง ความร้อน โรค และศัตรูพืช


“ถ้าคุณสนใจในผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการจากเมล็ดพืช ทุกสิ่งเหล่านี้แหละที่เป็นประเด็นที่ว่านั่น” Cook กล่าว “ความแห้งแล้งมีผลต่อการตรึงไนโตรเจนและขับเคลื่อนโปรตีน หากพื้นที่มีความแห้งแล้ง การผลิตโปรตีนจะลดลง” กล่าวอีกนัยหนึ่ง ต้นถั่วชิกพีที่ไม่สามารถจัดการกับความแห้งแล้งได้ ความแห้งแล้งจะทำให้ถั่วชิกพีมีคุณค่าทางโภชนาการน้อยลง “สิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก”


แผนงานเสริมจุลธาตุอาหารแบบชีวภาพ (biofortification ) ทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนพึ่งพาการผสมพันธุ์แบบดั้งเดิม แต่ว่าพืชผลก็สามารถถูกดัดแปลงพันธุกรรมได้ด้วยเช่นกัน สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีการโต้เถียงกันในยุโรป ที่มีบางประเทศประกาศห้ามพืชดัดแปลงพันธุกรรมเข้าประเทศด้วยความกลัวเป็นที่ตั้ง ซึ่งสถาบันวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และการแพทย์แห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Academies of Sciences, Engineering and Medicine) เสนอแนะว่า ทั้งหมดทั้งมวลยังไม่การยืนยันถึงอันตรายที่กับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ชัดเจน


สำหรับบางกรณีนั้น การใช้วิธีการทำพันธุวิศวกรรมหรือวิธีการปรับปรุงยีนส์สมัยใหม่อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงแค่นนั่น ก็ประสบความสำเร็จมากแล้ว หากทุกสายพันธุ์ของพืชมีปริมาณสารอาหารที่กำหนดเท่ากัน การผสมพันธุ์ธรรมดาจะไม่เพิ่มระดับของสารอาหารนั้น


นั่นคือเหตุผลที่ Dominique Van Der Straeten แห่งมหาวิทยาลัยเกนต์ในเบลเยียม และเพื่อนร่วมงานของเธอ ที่ได้ใช้พันธุวิศวกรรมเพื่อเสริมปริมาณโฟเลตลงไปในข้าวขาว ที่แม้จะเป็นอาหารหลักในอินเดียและประเทศอื่นๆ แต่ข้าวขาวทั่วไปกลับมีโฟเลตต่ำมาก


“หญิงมีครรภ์คนหนึ่ง จะต้องรับประทานข้าวขาวหุงสุกมากถึง 12 กิโลกรัมต่อวัน จึงจะได้รับโฟเลตที่เพียงพอ” Van Der Straeten กล่าว “ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอน”


พวกเขาเริ่มต้นด้วยการเพิ่มยีนส์สองตัวที่มีส่วนในการสร้างโฟเลตจากอะราบิดอปซีส ธาลิอานา (Arabidopsis thaliana) ซึ่งเป็นพืชที่มักใช้ในการศึกษาในห้องปฏิบัติการ จากนั้นพวกเขาก็กระตุ้นยีนส์เหล่านี้ให้มันทำงานมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ คือ เมล็ดข้าวที่มีระดับโฟเลตสูงกว่าข้าวขาวธรรมดาถึง 100 เท่า


อย่างไรก็ตามนี่ยังไม่เป็นการเพียงพอ เพราะโฟเลตจะหลุดออกเมื่อข้าวถูกเก็บไว้เป็นเวลาหลายเดือน คณะทำงานจึงต้องเข้ามาดูแลงานด้านวิศวกรรม ด้วยการรวมยีนส์สี่ตัวเข้าด้วยกัน เพื่อให้มันตรึงตัวอยู่ได้นานขึ้น


“เราสามารถรักษาระดับโฟเลตให้คงที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและถึงระดับที่สูงขึ้นเพราะตอนนี้เรามีสายพันธุ์ต้นแบบที่มีโฟเลตมากถึง 150 เท่ามากกว่าโฟเลตชนิดป่า” Van Der Straeten กล่าว หญิงมีครรภ์จะต้องรับประทานข้าวขาวหุงสุก 150 กรัม เพื่อให้ได้โฟเลตเพียงพอ “ข้าวสวยหนึ่งถ้วยจะทำให้พวกเธอมีปริมาณโฟเลตที่เพียงพอ”


คณะทำงานพยายามแบบเดียวกันในมันฝรั่ง แล้วก็ประสบความสำเร็จในการเพิ่มโฟเลตให้สูงขึ้นได้ถึง 12 เท่า “นี่ไม่ใช่ละคอนที่น่าตื่นเต้น" Van Der Straete กล่าว “แต่ก็ไม่เลวนะ” ขั้นต่อไป คือ การก้าวข้ามพันธุ์วิศวกรรมท้องถิ่นที่หลากหลาย ด้วยการปรับปรุงให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ เพื่อทำให้เป็นมันฝรั่งที่สามารถปลูกได้ในประเทศอินเดียและประเทศอื่นๆ


“ในขั้นต้น เป้าหมายของเรา คือ การช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง นั่นคือ ผู้ด้อยโอกาสในสังคม” เธอกล่าว


จะเห็นว่าข้าวและมันฝรั่งที่มีโฟเลตสูง ได้รับการปรับปรุงและพิสูจน์จนเป็นที่ยอมรับของเกษตรกร ผู้บริโภค และรัฐบาล ถือเป็นความพยายามอย่างมากมาตั้งแตต้นที่จะทำการเสริมจุลธาตุอาหารแบบชีวภาพ “ข้าวทองคำ” (golden rice) ข้าวพันธุวิศวกรรมที่ออกแบบให้มีวิตามินเอสูง ซึ่งได้กลายเป็นประเด็นเคลื่อนไหวประท้วงกลุ่มอนุรักษ์กรีนพีซและกลุ่มรณรงค์อื่นๆ โดยปี 2013 แปลงทดลองในประเทศฟิลิปปินส์ถูกโจมตีและรื้อถอนโดยเกษตรกรที่เคยเป็นทหารผ่านศึกมาก่อน


อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของบังคลาเทศประกาศว่า ในไม่ช้าข้าวทองคำจะได้รับการอนุมัติให้นำไปใช้ให้มากขึ้น


“และเมื่อข้าวทองคำถูกขยายผลออกไปเป็นวงกว้างขึ้น ประชาชนก็จะเห็นประโยชน์เองว่ามันสามารถทำอะไรได้บ้าง มันจะมีผลดีอย่างไร และประชาชนก็จะปลอดภัยจากโรคตาบอดเพราะได้บริโภคข้าวทองคำเข้าไป ผมจึงคิดว่าจะต้องทำกันอย่างจริงจังในทุกพื้นที่ และหวังว่าจะปรับปรุงให้ดีให้เป็นที่ยอมรับในยุโรปด้วย” Van Der Straeten กล่าว


แม้แต่ในกรณีที่ดีที่สุดไม่มีใครคาดหวังว่าการเสริมจุลธาตุอาหารแบบชีวภาพเพื่อขจัดปัญหาการขาดจุลธาตุอาหาร Nuti ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลทำการควบคุมอย่างเข้มงวดมานานแล้ว และสิ่งนี้ไม่ได้กำจัดข้อบกพร่อง เพราะสาเหตุสำคัญของประเด็น คือ ความยากจน และการจำกัดการเข้าถึงอาหาร


อย่างไรก็ตาม การเสริมจุลธาตุอาหารแบบชีวภาพดูจะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น จึงคาดว่าพืชผลต่างๆ จะมีโปรตีน เหล็ก และสังกะสีต่ำลง จากการตีพิมพ์ผลการศึกษาเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2018 พบว่า มีประชากรโลกที่ขาดธาตุสังกะสีมากกว่า 175 ล้านคน และอีกกว่า 122 ล้านคนที่ขาดโปรตีน


นอกจากนี้ การเสริมจุลธาตุอาหารเข้าไปในพืชผล ยังเป็นการช่วยยับยั้งผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของพวกเรา และทำให้มั่นใจได้ว่าการขจัดความหิวโหยนั้นมีความก้าวหน้า ไม่ได้วนเวียนอยู่กับความล้มเหลวแบบเดิมๆ


ที่มา - http://www.bbc.com/future/bespoke/follow-the-food/the-hidden-hunger-affecting-billions/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น