อาหารสมัยใหม่
พัฒนา ราชวงศ์ อาศรมภูมิวิทยาศาสตร์
สาขาวภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ในภาวะที่ประชากรโลกเพิ่มมากเหลือเกิน โลกส่วนเหนือของผู้คนร่ำรวยต้องการอาหารที่หลากหลาย ส่วนโลกด้านใต้ของผู้ยากไร้ต้องเพียงแค่มีอาหารประทังชีวิตของตนและครอบครัว การเกษตรสมัยใหม่จึงเร่งเพิ่มผลผลิตเพื่อสนองตอบความต้องการของทั้งสองส่วน
อีกทางหนึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า การเพิ่มผลผลิตอาหารเกษตรนับตั้งแต่ปฏิวัติเขียว ทำได้แค่เพียงเพิ่มผลผลิต แต่คุณค่าทางโภชนาการจากอาหารเกษตรกลับลดลง
ราเชล ลอเวลล์ เขียนบทความ เรื่อง How modern food can regain its nutrients เอาไว้ใน BBC, Follow Food น่าสนใจมาก มาหาคำตอบกันยาวๆ ว่า
เราจะช่วยฟื้นธาตุอาหารที่ลดลงได้อย่างไร
คุณค่าทางโภชนาการของผักยอดนิยมบางชนิด ตั้งแต่หน่อไม้ฝรั่งไปจนถึงผักโขม ลดลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ทศวรรษ 1950 จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2004 พบว่า สารอาหารที่สำคัญในพืชสวนบางชนิดต่ำกว่าที่เคยมีในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ถึงร้อยละ 38 จากการวิเคราะห์ผัก 43 ชนิด ปริมาณสารอาหารโดยเฉลี่ยลดง ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียมที่ลดลง ร้อยละ 16 ธาตุเหล็ก ลดลงร้อยละ 15 และฟอสฟอรัส ลดลงร้อยละ 9 วิตามินไรโบฟลาวิน และกรดแอสคอร์บิก ทั้งคู่นี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ระดับโปรตีนลดลงเล็กน้อย พบการลดลงที่คล้ายกันในสารอาหารที่มีอยู่ในข้าวสาลี แล้วอย่างนี้มันเกิดอะไรขึ้น ?
ด้วยภาวะขาดแคลนอาหารในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นักวิทยาศาสตร์จึงได้พัฒนาพันธุ์พืชและปศุสัตว์เพื่อให้ได้ผลผลิตสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาปุ๋ยสังเคราะห์ ยาฆ่าแมลง และสารกำจัดวัชพืช เพื่อเพิ่มการผลิตอาหาร ที่สำคัญมากอีกสองอย่าง คือ การปรับปรุงระบบชลประทาน และผลิตรถแทรกเตอร์ที่มีราคาไม่แพง เกษตรกรสามารถจับต้องได้ ทำให้ผลผลิตพืชผลเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยระหว่างปี 1961-2014 ผลผลิตธัญพืชเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ 175 ดูข้าวสาลีเป็นตัวอย่าง เดิมข้าวสาลีมีผลผลิตเฉลี่ย 1.1 ตันต่อเฮกตาร์ เพิ่มขึ้นเป็น 3.4 ตันต่อเฮกตาร์ ในช่วงเวลานั้น
ในขณะที่ผลผลิตเพิ่มขึ้น ระดับสารอาหารในพืชผลบางชนิดกลับลดลง ทำให้เทคนิคการทำการเกษตรแบบเข้มข้นอยู่ภายใต้การพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เป็นไปได้หรือไม่ที่บางคนอ้างว่า “เป็นผลมาจากการใช้สารกำจัดศัตรูพืช ปุ๋ย และสารเคมีอื่นๆ ที่เพิ่มมากขึ้น” ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสมดุลของสิ่งมีชีวิตต่างๆในดิน สุขภาพของพืชผล และส่งผลต่อคุณภาพของอาหารที่เรากินหรือไม่
การศึกษาเกี่ยวกับข้าวสาลีที่ปลูกโดยใช้เทคนิคการทำฟาร์มแบบต่างๆ ในสหราชอาณาจักรมาเป็นเวลากว่า 170 ปี ชี้ว่า ยังมีอีกหลายสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
"การทดลองบรอดบาลด์ (broadbald experiment) เป็นหนึ่งในการทดลองทางการเกษตรต่อเนื่องที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1843 ด้วยการเปรียบเทียบผลอันเกิดจากการใช้ปุ๋ยอนินทรีย์กับและปุ๋ยอินทรีย์ในการเพาะปลูกข้าวสาลีช่วงฤดูหนาว โดยได้ตรวจสอบระดับธาตุเหล็กและสังกะสีในข้าวสาลีที่ปลูกด้วยวิธีการทำฟาร์มแบบต่างๆ” สตีฟ แมคกราธ ศาสตราจารย์ด้านปฐพีวิทยาและพืชศาสตร์แห่งสถาบันวิจัยรอธัมสเตด (Rothamsted Research) ในสหราชอาณาจักรอธิบาย
"ประการแรก การค้นพบของเราแสดงให้เห็นว่า มันไม่ใช่การขาดธาตุอาหารรองในดิน ที่จะไปเป็นตัวขับเคลื่อนสารอาหารที่มีอยู่จำนวนน้อยนิดในพืชผล หากแต่เป็นธาตุที่มีคุณค่าทางชีวภาพที่ทำให้พืชสามารถดูดซึมธาตุอาหารต่างๆ ได้ โดยไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการทำการเกษตรเป็นแบบเข้มข้น”
แล้วถ้าหากดินยังคงดีเหมือนเดิม จะเกิดอะไรขึ้นอีก? พืชจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่?
ทศวรรษ 1950 นอร์แมน บอร์ลาจ นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ซึ่งทำงานในเม็กซิโก ได้ผลิตข้าวสาลีแคระที่มีความสามารถต้านทานโรคได้ดี ขึ้นมาด้วยการลดความสูงของต้นลง ร้อยละ 20 ทำให้พืชมีโอกาสล้มได้น้อยกว่าเดิมมาก ทั้งนี้การล้มของต้นเป็นปัญหาหลักที่เรียกว่า "ที่พักโรค" ซึ่งลดประสิทธิภาพการผลิตและทำให้โรคต่างๆ มีโอกาสเกิดมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้การเก็บเกี่ยวด้วยเครื่องจักรมีประสิทธิภาพน้อยลงมาก
แมกกรัธกล่าวว่า "ข้อดีเพิ่มเติมของการค้นพบยีนแคระเหล่านั้น คือ แทนที่จะให้พลังงานแก่ลำต้นที่ยาวขึ้น พืชจะใส่เข้าไปในหนามแหลม [หูที่เมล็ดข้าวสาลีเติบโต]" แมกกรัธกล่าวต่อ "พืชที่มีขนาดเล็กกว่าจะสูบคาร์โบไฮเดรตเข้าไปในเมล็ดพืชแทน ทำให้เพิ่มปริมาณเมล็ดพืชต่อต้น"
มันทำได้ด้วยการขยายขนาดเอนโดสเปิร์มเมล็ดข้าวสาลีขึ้น ซึ่งเมล็ดใช้เลี้ยงตัวอ่อนของพืชที่กำลังเติบโต เหมือนกับไข่แดงที่เลี้ยงลูกไก่ที่กำลังเติบโต ซึ่งเต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรตในรูปของแป้งซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแป้ง
การผลิตธัญพืชที่อุดมด้วยเมล็ดเป็นการปรับปรุงที่น่ายินดีในช่วงเวลาที่ประชากรในประเทศกำลังพัฒนาขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีความอดอยากเป็นภัยคุกคาม อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นตามมา คือ ขณะที่ข้าวสาลีผลิตเมล็ดต่อต้นมากขึ้น แต่ระดับสารอาหารกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นในลักษณะเดียวกัน
"สิ่งที่เราจบลง คือ สถานการณ์ที่ในขณะที่สารอาหารยังคงอยู่ในระดับเดียวกันในเมล็ดข้าวสาลีเดียว แป้งจะเพิ่มขึ้นสองหรือสามเท่า หมายความว่า เมื่อข้าวสาลีถูกแปรรูปเป็นแป้ง คุณจะได้รับผลที่เจือจางลง อัตราส่วนของคาร์โบไฮเดรตต่อสารอาหารลดลง” แมกกรัธกล่าว
และในขณะที่คาร์โบไฮเดรตมีความสำคัญต่อสุขภาพของมนุษย์ แต่ก็ให้พลังงานที่ช่วยให้เราเคลื่อนไหวและทำงานได้ในแต่ละวัน เรายังต้องการอาหารเพื่อให้โปรตีน แร่ธาตุ และวิตามิน ซึ่งมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและกระบวนการทางชีวเคมีในร่างกาย ตัวอย่างเช่น ธาตุซีลีเนียมจำเป็นในกระบวนการสร้างดีเอ็นเอ ธาตุสังกะสีช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายใหทำงานอย่างถูกต้อง ในขณะที่ธาตุแมกนีเซียมช่วยรักษาเส้นประสาท กล้ามเนื้อและการทำงานของหัวใจ และช่วยให้กระดูกยังคงแข็งแรง
ขณะที่การปฏิวัติเขียวช่วยจัดการกับความหิวโหยของโลก แต่ทุกวันนี้ เราพบว่าระบบอาหารระดับโลกนั้นในบางกรณีได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งต่อแคลอรี่และความสมบูรณ์แบบของเครื่องสำอาง แต่ไม่จำเป็นต้องมีแค่เพียงให้ได้รับสารอาหาร เท่านั้น สิ่งนี้มีส่วนทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ความหิวซ่อนเร้น” ซึ่งปรากฎการณ์แบบนี้เป็นการที่ “ผู้คนรู้สึกอิ่มแต่อาจไม่แข็งแรง” เนื่องจากอาหารของพวกเขามีแคลอรีสูงแต่ขาดสารอาหาร เรื่องนี้ตอนแรกอาจฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่คนอ้วนอาจขาดสารอาหารได้ แล้วคุณภาพทางโภชนาการของอาหารของเราจะกลับคืนมาได้หรือไม่?
ขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางคนรู้สึกว่า ระดับสารอาหารในอาหารของเราลดลงในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมานั้น น้อยเกินกว่าที่จะมีความสำคัญ เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของความพร้อมด้านอาหารที่ได้จากผลผลิตที่ปรับปรุงแล้ว สุขภาพของดินของเรายังคงมีความสัมพันธ์ที่สำคัญกับคุณภาพทางโภชนาการของอาหารของเรา แต่ว่าการทดลองในสหรัฐอเมริกาได้ทำการตรวจสอบผักที่ปลูกโดยใช้เทคนิคการทำฟาร์มแบบต่างๆ เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นว่าความเชื่อมโยงที่ว่านี้คืออะไร
"การทดลองระบบผักเริ่มขึ้นในปี 2016 และเป็นการเปรียบเทียบพืชผลที่ปลูกในดินที่ได้รับการจัดการอย่างเข้มข้นและการปฏิบัติการไถพรวนแบบอินทรีย์" นักวิทยาศาสตร์ด้านดิน กลาดิส ซินาติ จากสถาบันวิจัยโรดาลในเพนซิลเวเนียกล่าว
เป้าหมายของการศึกษานี้ ซึ่งออกแบบมาเพื่อดำเนินการอย่างไม่มีกำหนด คือ การเชื่อมโยงการทำฟาร์มกับสุขภาพของดินกับความเข้มข้นของสารอาหารในพืช (หรือปริมาณสารอาหารในอาหารเทียบกับปริมาณแคลอรี) และสุขภาพของมนุษย์
การวิจัยของซินาติชี้ให้เห็นว่า ยิ่งเชื้อราและจุลินทรีย์ที่ทำงานอยู่ในดินมีมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งได้รับสารอาหารจากพืชและอาหารมากขึ้นเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ดินที่เต็มไปด้วยเชื้อราและแบคทีเรียสามารถย่อยสลายสารอาหารให้อยู่ในรูปแบบที่พืชผลดูดซึมได้ง่ายกว่า
ดินประกอบด้วยธาตุสำคัญ 4 ชนิด ผสมอยู่ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน ได้แก่ แร่ธาตุอยู่รูปของอนุภาคหิน อินทรียวัตถุ (พืช เชื้อรา และวัสดุจากสัตว์ รวมทั้งจุลินทรีย์ และหนอนขนาดเล็ก ไม่ว่าจะตายหรือมีชีวิต) อากาศ และน้ำ สิ่งสำคัญที่สุด คือ องค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ มีการโต้ตอบกันและกันอย่างไร
ความจริงแล้ว ดินหนึ่งช้อนชามีจุลินทรีย์มากกว่าจำนวนมนุษย์ที่มีอยู่บนโลก ณ เวลานี้เสียอีก เรากำลังพูดถึงว่ามันมีจำนวสหลายพันล้านตัว และมีมากถึง 10,000 สปีชีส์ ชนิดพันธุ์กับทุกๆ ชีวิตที่มีอยู่นั้น คือ โครงข่ายของเส้นใยเชื้อราที่เรียกว่า “ไมคอร์ไรซา - mycorrhiza” ความสัมพันธ์ทางชีวภาพของพืชกับจุลินทรีย์ที่ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของรากของพวกเขา มีการเต้นของสารอาหารที่ส่งผ่านจากดินสู่พืชอย่างต่อเนื่อง ด้วยการขับเคลื่อนของวิถีทางชีวเคมีที่ซับซ้อน มีทางด่วนของเชื้อรา และมีสารหลั่งคล้ายน้ำมูกของรากที่กระตุ้นหรือกดทับกิจกรรมทางชีวภาพมากมายในดิน
อิทธิพลของไมคอร์ไรซาถูกควบคุมในเชิงพาณิชย์เพื่อปรับปรุงผลผลิตพืชผล กราวนด์เวิร์กไบโอแอกในอิสราเอลได้ผลิตหัวเชื้อดินโดยอาศัยเชื้อราไมคอร์ไรซาที่มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ ซึ่งมาจากทะเลทรายในอิสราเอล
เชื้อราในดินชนิดพิเศษเหล่านี้ขยายระบบรากพืชด้วยไมซีเลียมอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นใยของเส้นใยขนาดเล็กที่มีขนาดเล็กมากที่เรียกว่า “ไฮฟาอี - hyphae” พวกมันทำงานโดยมีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับพืช โดยปล่อยสารอาหารจากส่วนลึกในดินในรูปแบบที่พืชสามารถดูดซึมได้
เมื่อใช้ผงที่ผลิตในเชิงพาณิชย์นี้เคลือบรากหรือเมล็ด ผลที่ตามมาต่อผลผลิตของพืชผลทำให้เกษตรกรบางส่วนยอมรับเชื้อราที่โดดเด่นเหล่านี้เหนือสารเคมีทางการเกษตรเทียม
คอร์รี แอตลีย์ เกษตรกรชาวอเมริกัน ทำไร่ข้าวโพดและถั่วเหลือง 8,000 เอเคอร์ (32 ตารางกิโลเมตร) ในรัฐโอไฮโอ และได้ทำการทดลองใช้หัวเชื้อดังกล่าวแล้ว นอกจากจะเห็นการเติบโตที่เพิ่มขึ้นของพืชผลผ่านการปล่อยสารอาหารจากดินแล้ว เขายังพบว่า เขาใช้สารเคมีน้อยลง
“สิ่งที่เราพยายามจะมุ่งเน้นจริงๆ คือ สุขภาพของดิน ดังนั้น เมื่อคุณเข้าใจสภาพดินแล้ว มันก็จะส่งผลถึงสุขภาพของพืช เรายังคงใช้ปุ๋ยสังเคราะห์อยู่ แต่เราใช้น้อยลงเรื่อยๆ ประมาณร้อยละ 25 สิ่งที่เราพยายามทำ คือ แยกส่วนที่มีอยู่แล้วในดินของเราให้มากขึ้น แทนที่จะเพิ่มมากขึ้นในดินอย่างต่อเนื่อง"
ไม่เพียงแต่เชื้อราที่ได้รับการดัดแปลงอย่างมากเท่านั้น ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอาหารและการเคลื่อนที่ของสารอาหาร – พืชที่วิวัฒนาการเพื่อให้อยู่รอดในสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวย ก็พิสูจน์ได้ว่ามีประโยชน์เช่นกัน
ในประเทศเคนยา ปศุสัตว์เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ โดยมีส่วนสนับสนุนประมาณร้อยละ 12 ของ GDP ของประเทศ ในระบบเกษตรผสมผสานของเกษตรกรรายย่อย ปศุสัตว์มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการ การสร้างรายได้ และเป็นแหล่งปุ๋ยคอกสำหรับความอุดมสมบูรณ์ของดินในการผลิตพืชผล
การเลี้ยงโคนมมีความสำคัญอย่างยิ่งในเคนยา และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตโคนมชั้นนำในทวีปนี้ อย่างไรก็ตาม อาหารคุณภาพต่ำและความขาดแคลนตามฤดูกาลจะจำกัดผลผลิต โดยผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8 ลิตร (1.8 แกลลอน) ต่อวัวในแต่ละวัน เทียบกับ 25-50 ลิตร (5.5-11 แกลลอน) ต่อวัวในแต่ละวันที่อื่นๆ ในโลก โดนัลด์ เอ็นจารุย แห่งองค์การวิจัยการเกษตรและปศุสัตว์แห่งเคนยา ได้ค้นคว้าวิธีปรับปรุงสถานการณ์ผ่านการแนะนำอาหารสัตว์ที่ได้รับการปรับปรุง
"เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรายย่อยส่วนใหญ่ในประเทศมีวัวเพียง 2-5 ตัวเท่านั้น" นายเอ็นจารุยกล่าว ดังนั้น การเพิ่มผลผลิตใดๆ อาจส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตของพวกเขา เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรายย่อยกว่า ร้อยละ 90 ต้องพึ่งพาหญ้าเนเปียร์ที่ที่ดำเนินการด้วยระบบการ 'ตัดแล้วขนย้าย' ซึ่งหญ้าจะถูกเก็บเกี่ยวและส่งไปให้สัตว์เหล่านั้น อย่างไรก็ตาม หญ้าเนเปียร์นั้นมีความอ่อนไหวต่อแมลงศัตรูพืชและโรคต่างๆ ซึ่งทำให้ผลผลิตของสิ่งมีชีวิตต่อหน่วยพื้นที่ลดลงอย่างมาก จึงมีความจำเป็นต้องมองหาทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้และยั่งยืน ที่เกษตรกรจะสามารถพึ่งพาโคนมได้"
และการค้นหานั้นก็เริ่มต้นขึ้นในต่างประเทศ โดยมีหญ้าชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “บราชิอาเรีย - brachiaria”ซึ่งมีจำหน่ายในอเมริกาใต้ ออสเตรเลีย และเอเชีย หญ้าชนิดนี้ได้มีส่วนอย่างมากในการเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมวัวเนื้อและผลิตภัณฑ์นมในภูมิภาคดังกล่าว น่าแปลกที่หญ้าบราชิอาเรียมีต้นกำเนิดมาจากทวีหแอฟริกา แต่ก็ยังไม่ถูกนำไปใช้เป็นอาหารปศุสัตว์ในลักษณะเดียวกันจวบจนถึงปัจจุบัน
เอ็นจารุยกล่าวว่า “ผลผลิตนมเพิ่มขึ้น สุขภาพของโคดีขึ้น ระดับโปรตีนสูงขึ้น เมื่อเทียบกับการใช้หญ้าเนเปียร์” เอ็นจารุยกล่าว และมีเส้นใยน้อยกว่าและย่อยง่ายกว่า ซึ่งหมายความว่าสัตว์ที่กินหญ้าชนิดนี้เข้าไปแล้วจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลงด้วย "เนื่องจากระบบรากที่ใหญ่โต มันจึงมีความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนในดินได้มากกว่าในทุ่งหญ้า"
ความสำเร็จของการนำหญ้าชนิดนี้ที่ถือว่าเป็น supergrass นั้นง่ายมาก เพราะได้ปรับคุณสมบัติทางชีววิทยาของหญ้าให้เข้ากับดินที่มีความแห้งแล้ง และมีสภาพเป็นกรดต่ำโดยการสร้างระบบรากที่ใหญ่และกว้างขวาง จึงมีความสามารถในการดึงสารอาหารจากส่วนลึกในดินได้มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกโดยธรรมชาติหรือโดยมนุษย์ เทคนิคการทำฟาร์มหรือการจัดการสภาพอากาศ ปริมาณสารอาหารในอาหารของเรานั้นได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย การทำให้แน่ใจว่าเราได้รับอาหารที่ดีที่สุดที่เราปลูกนั้น จำเป็นต้องมีความเข้าใจในเชิงลึกเกี่ยวกับเครือข่ายของสารอาหารที่ไหลเวียนอยู่รอบตัวเรา เราสามารถจูงใจเกษตรกรให้ปลูกอาหารที่มีคุณภาพดีกว่าผลผลิตที่สูงขึ้นได้หรือไม่?
สิ่งที่เราต้องการ คือ ระบบการผลิตอาหารที่สามารถตรวจสอบโภชนาการในอาหารและเทียบเคียงได้ในระดับสากล และแบบจำลองเชิงพาณิชย์ที่ให้ความสำคัญกับโภชนาการเหนือสิ่งอื่นใด แมคกรัธกล่าวสรุป วิธีการที่สามารถทำได้ยังคงที่จะเห็น
"เกษตรกรจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่ปริมาณผลผลิต ตอนนี้ รูปแบบของการจ่ายต่อตันของเมล็ดพืชนั้นไม่ได้แตกต่างไปจากมุมมองด้านสุขภาพของมนุษย์" แมคกรัธกล่าว
มีหลายส่วนที่เคลื่อนไหวในการเชื่อมโยงระหว่างโภชนาการกับเกษตรกรรม และยังมีอีกมากที่ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ พูดง่ายๆ ก็คือ จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม แต่ด้วยผู้คนกว่าสองพันล้านคนทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากการขาดสารอาหารรอง ดังนั้นสิ่งที่ดีมากมายอาจมาจากการติดตามเส้นทางของสารอาหาร

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น