สถานะของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งในวิชาภูมิศาสตร์
พัฒนา ราชวงศ์ อาศรมภูมิวิทยาศาสตร์
สาขาวิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
Source:
Trevor J. Barnes (1984) The place of locational analysis: a selective and interpretive history. Department of Geography,
1984 West Mall, University of British Columbia, Vancouver, BC V6T 1Z2, Canada
บทความนี้มีวัตถุประสงค์สองประการ ประการแรกคือการจัดให้มีการทบทวนแบบเลือกสรรเกี่ยวกับประวัติของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งในวิชาภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ โดยจัดให้มีการตรวจสอบสามช่วงเวลาสำคัญ คือ ช่วงแรกของสำนักทำเลที่ตั้งเยอรมันของ von Thünen, Weber และ Lösch ที่เริ่มต้นขึ้นในช่วงแรกของศตวรรษที่ 19 และสิ้นสุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ช่วงที่สองเป็นสำนักวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่อเมริกัน ที่เริ่มต้นในกลางทศวรรษ 1950 และเสื่อมถอยลงในช่วงปลายทศวรรษ 1970 และสุดท้ายภูมิศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล Paul Krugman ซึ่งเขาได้เปิดตัวโดยหนังสือ ‘ภูมิศาสตร์และการค้า’ ของเขาในปี 1991 ประการที่สองเกี่ยวกับการโต้แย้งเกี่ยวกับระเบียบวิธี การวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งที่มักจะมีความชอบธรรมในแง่ของความบริสุทธิ์ของเหตุผลเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์ ทำให้นักวิจารณ์บางคนสามารถติดตามความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องตลอดประวัติศาสตร์ 175 ปีของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง ทั้งนี้ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวมีพื้นฐานอยู่บนการยอมรับจุดยืนทางปรัชญาที่กว้างขึ้น ตามหลักของลัทธิเหตุผลนิยมที่มีความเชื่อว่ารากฐานของความรู้คือเหตุผล ซึ่งมีรูปแบบที่สมบูรณ์แบบที่สุดในตรรกะและคณิตศาสตร์ อย่างไรก็ตาม อาจถือได้ว่าลัทธิเหตุผลนิยมถูกวิพากษ์วิจารณ์ในรูปแบบต่างๆ ครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เกิดขึ้นมาเพื่อสร้างความรู้ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บาร์นส์ได้เขียนวิพากษ์วิจารณ์การตีความแบบเหตุผลนิยมของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง โดยอาศัยวรรณกรรมสหวิทยาการล่าสุดที่โต้แย้งถึงความสำคัญของความรู้ในท้องถิ่น แนวคิดที่ว่าความรู้หรือแม้แต่ความรู้ทางทฤษฎีเชิงนามธรรมชนิดที่พบในการวิเคราะห์เชิงทำเลที่ตั้ง ไม่ได้ถูกหล่อหลอมโดยสากล แต่ด้วยบริบททางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ที่แปลกประหลาดของการผลิต ข้อโต้แย้งต่อต้านลัทธิเหตุผลนิยมที่สนับสนุนความรู้ในท้องถิ่น ได้รับการยกตัวอย่างโดยการอภิปรายเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งสามช่วงเวลาซึ่งเป็นแกนหลักของบทความนี้
บทนำ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์สองประการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นในการเล่นสำนวนที่เป็นที่มาของชื่อเรื่อง ประการแรก โดยใช้ตัวอย่างที่เลือกสรรมา เพื่อเป็นการทบทวนรูปแบบทางประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงและบทบาทของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งในวิชาภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ คำว่าการวิเคราะห์เชิงทำเลที่ตั้งนั้นมีความเกี่ยวข้องมากที่สุดกับหนังสือชื่อเดียวกันของ Peter Haggett (1965) และหมายถึงการตรวจสอบอย่างเข้มงวดทั้งทางตรรกะและทางคณิตศาสตร์ของ 'การจัดการปรากฏการณ์เชิงพื้นที่' . . และรูปแบบการเลื่อนไหลที่เกี่ยวข้อง' (Johnston, 2000: 464) ความรุ่งเรืองในภูมิศาสตร์เศรษฐกิจคือช่วงทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 อย่างไรก็ตาม รากเหง้าของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งนั้นมีมาก่อนหน้านั้นมาก และเกี่ยวข้องกับการเริ่มต้นของสำนักทำเลที่ตั้งเยอรมัน (German location school) ซึ่งริเริ่มโดยบทความเรื่อง รัฐโดดเดี่ยว (The isolated state) ของ von Thünen ในปี 1826 (von Thünen, 1966) อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้ ในขณะที่นักภูมิศาสตร์เศรษฐกิจที่สนใจการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งมีน้อยลง นักเศรษฐศาสตร์กลับหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้น นักเขียนอย่าง Paul Krugman (2000) ที่ในตอนนี้ได้กล่าวถึง 'ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ – new economic geography' ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่กำหนดได้ว่าเป็นการตรวจสอบการจัดเรียงและกระแสเชิงพื้นที่ใหม่ทางคณิตศาสตร์ ซึ่งก็คือ การวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง ทั้งนี้ ภารกิจแรกของบทความนี้ คือ จัดทำแผนที่แสดงสถานะที่เปลี่ยนแปลงของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งตลอดช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ 175 ปีที่ผ่านมา
รายละเอียดในบทความบทนี้แบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน โดยส่วนแรกจะเป็นการสรุปประวัติและความหมายของคำว่า ‘การวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง - locational analysis’ และทบทวนการให้เหตุผลตามปกติซึ่งครอบคลุมในแง่ของเหตุผลนิยม และกำหนดโดยการใช้ตรรกะที่เข้มงวดและรูปแบบทางคณิตศาสตร์ในการเป็นตัวแทน นี่คือการเชื่อมโยงไปสู่แนวคิดที่อยู่ภายในที่ สันนิษฐานว่าหลักการที่ฝังลึก เป็นอิสระ และเป็นสากล ซึ่งเป็นแนวทางภายในการพัฒนาทางทฤษฎีที่ถูกต้องนั้นคือความมีเหตุผล ความมีเหตุผลในรูปแบบของการให้เหตุผลเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์ทำให้เกิดชุดของรางที่มองไม่เห็นซึ่งเอื้อต่อความก้าวหน้าและความก้าวหน้า อย่างไรก็ตาม ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา การมีจุดร่วมระหว่างลัทธิเหตุผลนิยมและแนวคิดที่อยู่ภายในนี้ ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในงานที่หลากหลายภายในสาขาวิชามานุษยวิทยา (Traweek, 1988; Clifford และ Marcus, 1988), สตรีนิยม (Harding, 1986; Haraway, 1991) วิชาภูมิศาสตร์มนุษย์ (Gregory, 1994; Barnes, 1996) และบางทีอาจสอดคล้องและเป็นระบบมากที่สุดในสังคมวิทยาที่เป็นวิทยาศาสตร์ (Bloor, 1976; Woolgar, 1988) ซึ่งตรงกันข้ามกลับเน้นถึงความสำคัญของความรู้ในท้องถิ่น งานดังกล่าวก่อให้เกิดความรู้ แม้แต่ความรู้ทางทฤษฎีเชิงนามธรรมอย่างเป็นทางการที่พบในการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งตามที่ถูกสร้างขึ้นในท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอก และไม่ใช่ตรรกะภายในที่ไม่อาจยอมรับได้แม้แต่ข้อเดียว แท้จริงแล้ว สำหรับบางคน ตรรกะที่เป็นทางการก็คือ ‘ .. ของลักษณะเฉพาะท้องถิ่นโดยสิ้นเชิง’ (Barnes and Bloor, 1982: 5) รายละเอียดส่วนต่อมาของบทความ จะได้หยิบยกเอาข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความเป็นท้องถิ่นของความรู้ และยืนยันว่า แม้จะมีกับดักที่มีเหตุผล แต่การวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งก็เป็นแนวทางปฏิบัติของท้องถิ่น ตัวอย่างมาจากสามช่วง ส่วนที่สองมุ่งเน้นไปที่การกำหนดรูปแบบโรงเรียนที่ตั้งของเยอรมันในศตวรรษที่ 19 และ 20 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของ von Thünen, Weber และ Lösch ส่วนที่สามจะเป็นการตรวจสอบวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่ของอเมริกา (American spatial science) ในช่วงปีหลังสงคราม และส่วนที่สี่จะเป็นการทบทวนเฉพาะงานของนักเศรษฐศาสตร์ Paul Krugman เกี่ยวกับภูมิศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ ข้อโต้แย้งของฉันคือในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกันทั้งสามช่วง ลักษณะที่ยืนกรานและโน้มน้าวใจได้มากที่สุดคือความเป็นท้องถิ่นโดยบังเอิญ ไม่ใช่เหตุผลอันแข็งแกร่ง
การวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง
การให้เหตุผล และความรู้ของท้องถิ่น
การวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งและลัทธิเหตุผลนิยม
แม้ว่าคำการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง – location analysis จะปรากฏในชื่อหนังสือของเขา แต่ Haggett (1965) ก็ไม่ได้ให้คำจำกัดความของคำๆ นี้เอาไว้ให้ชัดเจน แต่จากเนื้อหาสาระของบทแรกที่ว่าด้วย 'สมมติฐาน' ก็ชัดเจนว่า ขณะนั้นเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ มันเป็นการศึกษาทางคณิตศาสตร์และมีตัวเลขเป็นเครื่องมือ และเป็นการอธิบายถึงทำเลที่ตั้งและการกระจายเชิงพื้นที่ โดยอาศัยแบบแผนของทฤษฎีทำเลที่ตั้งที่ที่อยู่ภายในเศรษฐศาสตร์ และแบบแผนทางเรขาคณิตที่ละเลยของภูมิศาสตร์ โดยมีการนำเอาส่วนประกอบที่แตกต่างกันเหล่านี้มารวมกันในแนวคิดของแบบจำลอง เพื่อกำหนดให้เป็นการนำเสนอความเป็นจริงทางอุดมคติเพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติบางอย่าง แม้ว่า Haggett จะได้ทำการพินิจพิเคราะห์แบบจำลองประเภทต่างๆ ในภูมิศาสตร์ แต่เนื้อหาในหนังสือของเขายังคงมีความเกี่ยวพันกับสิ่งหนึ่งเดียวเท่านั้น คือ แบบจำลองที่ทำให้ความซับซ้อนของทำเลที่ตั้งและการกระจายเชิงพื้นที่ง่ายขึ้น ด้วยการใช้รูปแบบการนำเสนอทางคณิตศาสตร์ และนำมาเชื่อมโยงกับคุณสมบัติของความเป็นจริงโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์
แม้ว่าจะมีความชัดเจนจากการทบทวนที่กล่าวมา รวมถึงงานของ Haggett เองที่ว่าแบบจำลองของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งนั้น มีมาเป็นระยะเวลายาวนานตั้งแต่อดีต และเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาและความสนใจที่สำคัญหลายประการ เพื่อให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของบทความนี้ คุณลักษณะที่น่าสนใจที่สุดของแบบจำลองเหล่านั้น คือ การพึ่งพาร่วมกันบนรูปแบบทางคณิตศาสตร์ของการเป็นนำเสนอและการตรวจสอบความถูกต้อง (Scott, 1976; 2000; Pooler, 1977; Blaug, 1979; Ponsard, 1983; Beckman, 1987; Gertler, 2000) ซึ่ง Barnes เห็นว่ารูปแบบทางคณิตศาสตร์นี้ ถูกนำมาใช้เพื่อพิสูจน์การวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งอย่างจงใจที่จะให้สอดประสานกับลัทธิเหตุผลนิยม ซึ่งลัทธิเหตุผลนิยมเป็นคำที่ถูกนำมาใช้เพื่อแบกภาระต่างๆ เอาไว้มากมาย (สำหรับการวิจารณ์แบบกว้างๆ สองรายการจากมุมมองที่แตกต่างกันมาก สามารถดูที่งานของ Chisholm, 1966 และ Rorty, 1979) หมายถึงตามสถานะทางญาณวิทยาที่ยืนยันว่ารากฐานของความรู้คือเหตุผล และเป็นเหตุผลที่สมบูรณ์แบบที่สุดตามโครงสร้างนิรนัยของคณิตศาสตร์อย่างมีความเข้มงวดและแน่นอน ซึ่งต้องเป็นไปตามนั้นภายใต้ลัทธิเหตุผลนิยม ' .. เมื่อเคลื่อนย้ายออกจากวิชาหนึ่งไปยังอีกวิชาหนึ่ง เนื้อหาสาระต่างๆ จะเปลี่ยนไป แต่ตราบใดที่ธรรมชาติของจิตใจของผู้รู้ยังคงที่ ฉะนั้น ด้วยวิธีการเดียวกัน .. ก็จะยังคงสามารถใช้ได้ในแต่ละกรณีเช่นกัน’ (Markie, 1998: 78) นี่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง ผู้ปฏิบัติงานเคลื่อนผ่านเนื้อหาและสาขาวิชาที่สำคัญต่างๆ แต่วิธีการแบบเหตุผลนิยมที่มีรากฐานมาจากคณิตศาสตร์เป็นสิ่งที่รับประกันความแน่นอน ความก้าวหน้า และความจริง เอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
โดยพื้นฐานแล้ว ความเชื่อในถูกกำหนดเอาไว้ตามปรัชญาเหตุผลนิยมในสามสำนักวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง ที่บทความนี้มุ่งเน้น แรกสุดเลยเป็นสำนักทำเลที่ตั้งเยอรมัน ซึ่งประกอบด้วยผลงานของ Johnann von Thünen ที่ปราฎออกมาในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 และงานของ Alfred Weber และ August Lösch’s ตามมาในช่วงแรกของศตวรรษที่ 20 ซึ่งล้วนแล้วต่างก็ใช้วิธีทางคณิตศาสตร์และตัวเลขอย่างไม่หยุดยั้ง คณิตศาสตร์ถูกใช้เพื่อหาสมการเชิงนามธรรมเกี่ยวกับทำเลที่ตั้ง เช่น วงแหวนของรูปแบบการเพาะปลูก (rings of crop patterns) ของ von Thünen หรือสามเหลี่ยมตำแหน่ง (location triangles) ของ Weber หรือรูปหกเหลี่ยมของพื้นที่ตลาด (hexagons of market areas) ของ Lösch ในกรณีของ Weber การสืบค้นทางคณิตศาสตร์มีความซับซ้อนมากจนเขาขอความช่วยเหลือจาก Georg Pick นักคณิตศาสตร์ผู้ชาญฉลาดชาวเยอรมัน ซึ่งต่อมาได้ช่วย Einstein สร้างนิยามในทฤษฎีสัมพัทธภาพ นอกจากนี้ ทั้งสามยังใช้หลักฐานและวิธีการเชิงตัวเลขเพื่อทดสอบสมการเชิงนามธรรม von Thünen เก็บบันทึกตัวเลขอย่างพิถีพิถันในที่ดินย่านเทลโลว์ของเขาเองที่ตั้งอยู่ในเมคเคลนเบอร์ก โดยบันทึกราคา ผลผลิต รูปแบบการปลูกพืช และต้นทุน ตลอดระยะเวลาเก้าปี แล้วใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อคำนวณแนวทางแก้ไขปัญหาการจัดการที่เหมาะสมที่สุด ในความเป็นจริง von Thünen กล่าวว่าการบันทึกเชิงตัวเลขและการคำนวณเพียงอย่างเดียว ได้พิสูจน์แล้วว่ามันมีขนาดใหญ่มากจนกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการศึกษาอย่างอื่นๆ เกือบทั้งหมด (von Thünen, 1966: xvii) ขณะที่ Lösch (1954) เองก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทุนการเดินทางของร็อคกี้เฟลเลอร์สองทุนที่สนับสนุนให้ได้เดินทางไปสหรัฐอเมริกาก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับรูปแบบการตั้งถิ่นฐานและตลาด ซึ่งเขานำมาใช้เป็นตัวอย่างในส่วนที่สี่ของหนังสือ The economics of location
ในทำนองเดียวกัน สำนักวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่อเมริกันซึ่งเริ่มต้นราวๆ ปี 1955 โดยเริ่มแรกมีความเกี่ยวพันโดยตรงกับมหาวิทยาลัยวอชิงตันและไอโอวา และต่อมาก็เป็นมหาวิทยาลัยชิคาโก นอร์ทเวสเทอร์น มิชิแกน และโอไฮโอ ถูกกำหนดขึ้นมาด้วยความฉลาดและหลักเฉียบในการใช้สมการทางคณิตศาสตร์ (Barnes, 2000) สมการเหล่านั้นนำมาจากแบบแผนที่เป็นที่ยอมรับ เช่น จากสำนักทำเลที่ตั้งเยอรมัน รวมทั้งมาจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ อย่างกฎทางฟิสิกส์และดาราศาสตร์ อันได้แก่แนวคิดเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง ศักยภาพ และเอนโทรปี ตลอดจนสิ่งประกอบทางคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำความเข้าใจทำเลที่ตั้งของปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจและปฏิสัมพันธ์ต่างๆ อีกหลายๆ อย่าง (Pooler, 1977) นอกจากนี้ วิธีการนี้ยังโดดเด่นด้วยการใช้ชุดเทคนิคทางสถิติที่ซับซ้อนมากขึ้น และการใช้คอมพิวเตอร์และชุดข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อให้สามารถทดสอบและยืนยันเชิงตัวเลขในวงกว้างได้ (Gould, 1969) นอกจากนี้ เมื่อเวลาผ่านไป นักภูมิศาสตร์เศรษฐกิจเริ่มกำหนดแนวทางทางคณิตศาสตร์เฉพาะสาขาวิชาของตนเองในการระบุทำเลที่ตั้งโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ซึ่ง Leslie Curry (1998) และ Michael Dacey (1974) ได้พัฒนาแนวทางที่เป็นนวัตกรรมและทางคณิตศาสตร์ขั้นสูงในการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งโดยอาศัยการแปรผันของสุ่ม ในขณะที่วิธีอื่นๆ เช่น Andrew Cliff และ Keith Ord (1973) พัฒนาสมการดั้งเดิมของสถิติทางภูมิศาสตร์ เช่น การทดสอบเชิงพื้นที่ด้วยวิธีวิเคราะห์ความสัมพันธ์อัตโนมัติ (spatial autocorrelation)
ขณะที่เมื่อไม่นานมานี้ โดยนับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 Paul Krugman นักเศรษฐศาสตร์อเมริกันที่เดินทางข้ามแดนวิชาการ เป็นผู้บุกเบิก ‘ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจใหม่’ (new economic geography) ขึ้นมาเป็นของเขาเอง งานของ Krugman เป็นการดึงเอารากฐานหลายอย่างมาจากสำนักทำเลที่ตั้งเยอรมัน อีกทั้งยังทับซ้อนกับวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่ของอเมริกันในคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960 และขบวนการวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (regional science movement) ของอิซาร์ด (1956) ที่เจริญรุ่งเรืองในเวลาเดียวกัน (สำหรับการอภิปรายเกี่ยวกับงานของ Krugman โดยนักภูมิศาสตร์ โปรดดูที่ Martin และ Sunley , 1996; Martin, 1999; Sheppard, 2000; และเกี่ยวกับความเชื่อมโยงทางวิทยาศาสตร์ภูมิภาค, Isserman, 1996) ข้อโต้แย้งของ Krugman ก็คือ แม้ว่านักทฤษฎีตำแหน่งชาวเยอรมัน นักภูมิศาสตร์เศรษฐศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ล้วนมีเจตนาดี แต่ก็ไม่มีใครจัดการกับการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งได้อย่างน่าพอใจ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงปัญหาที่เป็นแกนหลัก นั่นคือ การจัดหาแบบจำลองเชิงสาเหตุเชิงบูรณาการของตลาด และไม่มีเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ที่เพียงพอ โชคดีที่ความรอดอยู่ใกล้แค่เอื้อม Krugman ให้เหตุผลว่าการประดิษฐ์แบบจำลอง Dixit-Stiglitz ที่มีความซับซ้อนทางคณิตศาสตร์ในช่วงทศวรรษ 1970 เป็นเพียง "เทคนิคในการวิเคราะห์" เท่านั้น (Krugman, 1995a: 84) ที่จำเป็นในการนำเสนอแบบจำลองเชิงสาเหตุที่เข้มงวดและบูรณาการเชิงตรรกะของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งที่ทำให้ตลาดเป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้เป็นที่ยอมรับว่า Dixit-Stiglitz นั้น ไม่มีความสมจริงโดยสิ้นเชิง แต่สำหรับงานวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์เศรษฐกิจที่มีอยู่นั้น แบบจำลองดังกล่าวมีประโยชน์อย่างยิ่ง (Krugman, 1995a: 60)
จุดสำคัญคือ ในแต่ละกรณี ความถูกต้องของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งมีความสมเหตุสมผลในแง่ของตรรกะเชิงเหตุผล von Thünen เรียกวิธีการวิเคราะห์แบบนิรนัยของเขาว่า 'Form der Anschaung' และมองว่าเป็นวิธีที่สำคัญอย่างยิ่ง (Binder-Johnson, 1962: 214) โดยเขาได้เขียนคำอธิบายเอาไว้ว่า 'วิธีการวิเคราะห์นี้ได้ให้ความกระจ่างและแก้ไขได้กับปัญหามากมายในชีวิต และดูเหมือนว่าจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในงานทั้งหมดของผม' (von Thünen , 1966: 4) William Garrison (1956: 428) อาจารย์สอนวิชาภูมิศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เป็นนักวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่อเมริกันคนหนึ่งในจำนวนที่มีอยู่มากมายในช่วงปลายทศวรรษ 1950 ซึ่งริเริ่มอาชีพเป็น 'นักเรียนนายเรือผู้สนใจศึกษาพื้นที่อย่างจริงจัง' กล่าวในการอภิปรายครั้งแรกครั้งหนึ่งในสาขาวิชาเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ในปี 1956 ว่าการใช้สิ่งเหล่านั้นมีเหตุผลเพราะมันเป็นภาษาสากล สุดท้ายนี้ Krugman ให้เหตุผลแก่โครงการของเขาโดยให้แบบจำลองที่เฉียบแหลมของเศรษฐกิจเชิงพื้นที่โดยใช้รากฐานระดับจุลภาคของทฤษฎีการเลือกเหตุผล และเทคนิคทางคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งด้วยเทคนิคการวิเคราะห์และแบบจำลองอันชาญฉลาดเหล่านี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีตอนจบที่มีความสุขเกิดขึ้นแน่นอน (Krugman, 1995a: 88) ซึ่งในโลกของเขาหมายถึงความสามารถในการเข้าใจทางคณิตศาสตร์ ข้อเสนอแนะก็คือมีบางอย่างเกี่ยวกับตรรกะภายในของวิธีการทางคณิตศาสตร์ที่เข้มงวดและแม่นยำซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและนำไปสู่คำตอบที่ถูกต้อง นี่คือวิสัยทัศน์ที่มีเหตุผล
ความรู้ที่มีอยู่ในท้องถิ่น
ตรงกันข้ามกับมุมมองของชุดกระบวนการที่เมื่อใช้แล้วนำไปสู่ความจริงอย่างไม่เต็มใจ ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง นั่นคือแนวคิดเกี่ยวกับความรู้ในท้องถิ่น (local knowledge) ซึ่งเป็นคำที่ถูกบัญญัติขึ้นมาโดยนักปรัชญาชาวอังกฤษ Gordon Ryle และแพร่หลายโดยนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน Clifford Geertz (1983) ความรู้ในท้องถิ่นเป็นแนวคิดที่มีลักษณะสองประการ ประการแรก ระบุว่าความรู้ทั้งหมดแต่ละรุ่นแต่ละสมัยมีขอบเขตทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ของมัน และประการที่สอง เงื่อนไขเกี่ยวกับสถานการณ์ในท้องถิ่นของความรู้ มีผลกระทบอย่างมากต่อธรรมชาติของความรู้ที่ผลิตขึ้นมา ในบริบทนี้ ท้องถิ่นหมายถึงเงื่อนไขในการผลิตความรู้ ไม่ใช่ขอบเขตทางภูมิศาสตร์ที่ใช้ความรู้ ตัวอย่างเช่น ทฤษฎีจักรวาลของ Einstein เป็นความรู้ชิ้นหนึ่งในท้องถิ่น แม้ว่าขอบเขตการอธิบายของทฤษฎีจะมีขนาดใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็ตาม
หากจะให้วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับองค์ประกอบทั้งสองของคำจำกัดความ คงต้องไล่เรียงกันตามลำดับ โดยประการแรก ความรู้ถูกจำกัดในอดีต และความรู้ก็เกิดขึ้นภายในสภาพแวดล้อมทางวัตถุบางอย่าง ตัวอย่างเช่นที่ตั้งทางภูมิศาสตร์แต่ละแห่ง ร่างกายมนุษย์บางประเภท และแม้กระทั่งประเภทอาคาร เครื่องจักร และอุปกรณ์ที่เฉพาะเจาะจง (Livingstone, 2002) คำสำคัญคือคำว่า ‘ได้รับการผลิตขึ้นมา’ ซึ่งตรงกันข้ามกับมุมมองการค้นพบความรู้ (อันหมายถึงการได้รับการเปิดเผยออกมาอย่างแท้จริง) ในแนวทางการค้นพบ สันนิษฐานว่าความรู้มีอยู่แล้ว โดยต้องมีการเปิดเผยเพียงเงื่อนไขที่ถูกต้องเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การจะบอกว่าความรู้นั้นเกิดขึ้นได้นั้น บ่งบอกถึงบางสิ่งที่แตกต่างออกไป นั่นก็คือ มีกระบวนการสร้างสรรค์ที่ดำเนินการอยู่ในบริเวณที่เป็นสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งตามกฎเกณฑ์และข้อมูลเฉพาะของท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น Steven Shapin (1994) กำหนดบริบททางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ในท้องถิ่นที่แจ้งผลงานของ Robert Boyle นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 17 อย่างใกล้ชิด
มันเกี่ยวข้องกับภูมิหลังทางสังคมของ Boyle ที่เขาเป็นบุตรชายของ Earl of Cork ซึ่งทั้งสองมีสถานะเป็นสุภาพบุรุษด้วยกันทั้งคู่ ด้วยความมั่งคั่งร่ำรวยทำให้เขาสามารถสร้างห้องทดลองของตัวเองขึ้นมาและสามารถจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้ช่วยงานของได้หลายคน อีกทั้งยังมีความพร้อมของช่างฝีมือที่ผ่านการฝึกอบรมเพื่อสร้างอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น ปั๊มลม และมีจำหน่ายเฉพาะในบางพื้นที่อย่างในลอนดอนหรืออ็อกซ์ฟอร์ด ไม่ใช่แค่เพียงในมณฑลดอร์เซตที่เป็นย่านของพื้นที่ชนบท หรือไอร์แลนด์ที่พ่อของเขาถือครองที่ดินจำนวนมาก งานของ Boyle และสมการอันโด่งดังซึ่งสร้างขึ้นในท้ายที่สุดนั้น ไม่ใช่สายฟ้าที่แผดออกมาจากท้องฟ้า แต่เกิดขึ้นจากชุดของสภาพทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ที่มีขอบเขตอย่างใกล้ชิด เรียกได้ว่าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นชิ้นหนึ่ง
ต่อมาประการที่สอง สภาพแวดล้อมทางวัตถุและประวัติศาสตร์ และผลประโยชน์ทางสังคมที่เป็นผลสืบเนื่อง เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและได้เข้ามาอยู่ในสายเลือดแห่งความรู้นั่นเอง การผลิตความรู้เป็นกิจกรรมทางสังคม ความรู้ไม่ได้มาจากแรงดลใจของสวรรค์ แต่มาจากการมีส่วนร่วมในแนวทางปฏิบัติทางสังคมบางประเภทที่มีความแปรผันทางประวัติศาสตร์และทางภูมิศาสตร์ Donna Haraway (1991) เคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าความรู้ไม่ได้มาจากเบื้องบน ไม่ได้มาจากที่ไหนเลย และไม่ได้เกิดขึ้นจากความเรียบง่าย แต่ความรู้เกิดขึ้นมาจากระดับพื้นดิน มาจากที่ไหนสักแห่ง และมาจากความซับซ้อน (จุดศูนย์กลางของงานเขียนที่เป็นวิทยาศาสตร์ศึกษาในเรื่องแบบนี้ เป็นงานของ Hess, 1997; Barnes, 2001a) ความรู้เป็นสังคมที่ไม่อาจลดหย่อนได้ ไม่ได้เป็นสิ่งไร้เดียงสา และเป็นสิ่งที่ถูกแต่งแต้มด้วยบริบทของการผลิตเสมอ ดังมีแสดงตัวอย่างที่มีอยู่ในวิชาภูมิศาสตร์มนุษย์สองสามตัวอย่าง ได้แก่ การยอมรับว่าสภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยกำหนดความเป็นไป (environmental determinism) ที่ได้รับแรงกระตุ้นจากกลุ่มแบ่งแยกเชื้อชาติและจักรวรรดินิยมของยุโรปช่วงปลายศตวรรษที่ 19 (Hudson, 1977) วิทยาศาสตร์ภูมิภาค (regional science) ที่เป็นการแสดงออกทางความรู้สึกของกลุ่มนักปรัชญาที่เชื่อมมั่นในเครื่องมือนิยม (instrumentalist) กลุ่มผู้ยึดมั่นในความสูงส่งของผู้ชาย (masculinist) และความศรัทธาในปรัชญาเศรษฐศาสตร์ (economistic sentiments) ของสหรัฐอเมริกาในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ที่มีส่วนร่วมในสงครามเย็น และมุ่งเน้นไปที่การสร้างสังคมเมืองที่มั่งคั่งร่ำรวย (Barnes, 1996: 130–36; Mirowski, 1999) และการพลิกผันทางวัฒนธรรม (cultural turn) ที่สะท้อนถึงระบบทุนนิยมแบบสะท้อนกลับหลังสมัยใหม่ (postmodern reflexive capitalism) ซึ่งวัฒนธรรมและเศรษฐกิจมีความเกี่ยวพันกันจนแยกไม่ออก (Thrift, 1997; Barnett, 1998) ฉะนั้น จึงขอยืนยันเอาไว้ในบทความนี้ตรงนี้ว่า คำยืนยันทั่วไปแบบเดียวกันนี้ถือเป็นเรื่องจริงสำหรับการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง ที่ถูกบริบทของการผลิตในท้องถิ่นหล่อหลอมเช่นกัน อีกทั้งยังไม่ใช่การตกตะกอนของความจริงเชิงตรรกะที่อยู่เหนือกาลเวลาแต่อย่างใด
ดังนั้น ความรู้ทั้งหมดจึงเป็นความรู้ท้องถิ่นที่เกิดจากบริบทเฉพาะ ผลลัพธ์ที่สำคัญคือการอ้างความจริงที่เป็นสากลซึ่งเสนอขึ้นมาตามลัทธิเหตุผลนิยมนั้น ไม่สามารถนำมากล่าวอ้างเพื่อสนับสนุนได้อย่างแท้จริง ความรู้ต่างๆ จึงเกิดขึ้นเฉพาะภายในวงของบริบทท้องถิ่น ไม่มีที่ทางที่จะออกไปบรรยากาศใหม่ข้างนอกเพื่อให้ได้เห็นมุมมองอื่นของพระเจ้าบ้าง อย่างที่ Haraway (1991: 193) เคยกล่าวเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องไม่เชื่อถึงเหตุผลตามปกติของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งซึ่งครอบคลุมอย่างแม่นยำในแง่ของมุมมองสายพระเนตรของพระเจ้าพระองค์เดิม
อย่างไรก็ตาม เราควรตระหนักว่าการยอมรับธรรมชาติของความรู้ที่ประกอบขึ้นในท้องถิ่นนั้น ไม่ได้จำกัดความรู้ว่าเป็นการปิดผนึกอย่างแน่นหนาภายในบริบทท้องถิ่นดั้งเดิม ความรู้พาเราออกเที่ยว ความรู้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ในรูปแบบของหนังสือ จดหมาย อีเมลแนบไฟล์ และสื่ออนไลน์ประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และเดินทางผ่านการเคลื่อนไหวของผู้คน แต่การให้ความรู้ได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นเป็นเป็นเรื่องสากล ดังที่ Joseph Rouse (1987) ให้เหตุผลต่อเรื่องนี้เอาไว้ว่า สิ่งที่เราคิดว่าเป็นความรู้สากลนั้นเป็นผลมาจากการที่นักวิทยาศาสตร์ได้ย้ายจากความรู้ท้องถิ่นหนึ่งไปยังอีกความรู้หนึ่ง แทนที่จะจากทฤษฎีสากลไปสู่การสร้างตัวอย่างเฉพาะของพวกเขา ดังที่ Barnes จะโต้แย้ง นี่เป็นกรณีของการวิเคราะห์ตำแหน่ง เนื่องจากเป็นองค์ความรู้ในท้องถิ่น จึงดำเนินการอย่างลังเลและชั่วคราวจากสถานที่และประเภทของการปฏิบัติหนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งโดยเฉพาะ แต่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานหรือบรรลุถึงเหตุผลสากล
ทำเลที่ตั้งของสำนักเยอรมัน
ทฤษฎีทำเลที่ตั้งของสำนักเยอรมันมีทั้งความแตกต่างภายในและมีความยืดเยื้อมาตั้งแต่อดีต กล่าวคือมีช่องว่างมากกว่า 100 ปี ระหว่างการตีพิมพ์งานชิ้นหลักของทั้ง von Thünen และ Lösch ทั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่าความล่าช้าดังกล่าวกลายเป็นบ่อนทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของสำนักคิดทฤษฎีทำเลที่ตั้งเยอรมัน ทั้งนี้การที่ถูกมองว่าเป็นสำนักคิดนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้มีส่วนร่วมทั้งหลายที่มีความปรารถนาแตกต่างกัน ถูกสันนิษฐานว่าทุกคนล้วนดำเนินการตามตรรกะแห่งเหตุและผลแบบเดียวกัน ดังนั้น นักประวัติศาสตร์แนวความคิดทางเศรษฐกิจอย่าง Mark Blaug (1979) เชื่อว่าการเชื่อมโยงสมาชิกต่างๆ ของสำนักคิดเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ทั่วไปที่เรียกกันว่าสมมุติฐานนิรนัย (hypothetico-deductive) ทั้งนี้ Claude Ponsard (1983) นักวิทยาศาสตร์ภูมิภาคระบุว่า สำหรับทฤษฎีทำเลที่ตั้งทั้งหลายนั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีเชื่อมโยงการวิเคราะห์ที่เป็นทางการเข้ากับสำนักคิดทฤษฎีทำเลที่ตั้งเยอรมัน ขณะที่ Brian Berry (1978) นักภูมิศาสตร์ก็ได้กล่าวว่า สำหรับนักภูมิศาสตร์รุ่นเยาว์ยุคใหม่ ความก้าวหน้าในด้านภูมิศาสตร์หมายถึงการสร้างทฤษฎี การทดสอบทฤษฎี และการขัดเกลาทฤษฎีที่สั่งสมกันมาเป็นลำดับและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และทฤษฎีที่ว่านั้นก็คือทฤษฎีทำเลที่ตั้งของ von Thünen, Weber, ... และ Lösch ในทางตรงกันข้าม Barnes จะได้ทำการยืนยันความแตกต่างระหว่างสมาชิกของสำนักคิดนี้ ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าความเหมือนกันด้านระเบียบวิธีใดๆ ที่จะทำให้เกิดข้อสงสัยในข้อกำหนดต่างๆ ของสำนักคิดนั้น แทนที่จะสร้างความรู้ที่เป็นสากล สมาชิกแต่ละคนได้ผลิตองค์ความรู้ในท้องถิ่นขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ซึ่งสะท้อนถึงสถานการณ์ในท้องถิ่นที่แปลกประหลาดและความเชื่อมั่นส่วนบุคคลของตน และไม่ใช่การกลั่นกรองเหตุผลอันเหนือชั้นบางอย่าง
Von Thünen, 1783–1850
von Thünen ได้รับการยกย่องว่าเป็นบรรพบุรุษของโรงเรียน ฟอน ทูเนนเป็นสมาชิกคนหนึ่งของชนชั้นที่ดิน (แต่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นสูง) เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยเกษตรกรรมก่อนที่จะซื้อที่ดินเทลโลว์ในเมคเลนบวร์กในปี 1810 แม้ว่าจะมีหลักฐานว่า von Thünen ดำเนินการตามแนวคิดหลักของเขาตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิปี 1803 (Dempsey, 1960: 44: Binder-Johnson, 1962: 213) หลังจากที่เขาซื้อ Tellow เท่านั้น และผลจากการทดลองทางการเกษตรและการบันทึกทางสถิติที่พิถีพิถันทำให้เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ในปี 1826 ซึ่งต่อมาได้สร้างชื่อเสียงให้กับเขา ในการวิเคราะห์ตำแหน่ง สถานะโดดเดี่ยว (von Thünen, 1966)
โดยภายนอกแล้ว von Thünen ใช้ชีวิตสมกับชื่อเสียงของนักวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุมีผลและมีเหตุผลพอๆ กันที่บ้านทั้งในฐานะผู้สังเกตการณ์ผู้ทำการบันทึกผลลัพธ์เชิงตัวเลขของการทดลองของเขาที่ Tellow อย่างพิถีพิถัน และในฐานะนักทฤษฎีที่สามารถใช้เรขาคณิต พีชคณิต และแคลคูลัส เพื่อคาดการณ์เศรษฐกิจเริ่มต้นแบบนีโอคลาสสิกในช่วงเวลา 50 ปี (Blaug, 1990; Niehans, 1987) และทำนายสภาพการณ์ของวิทยาศาสตร์ภูมิภาคในห้วงเวลา 100 ปี (Isard, 1956) หากตีความตามมาตรฐาน (Dempsey, 1960; Blaug, 1979; 1990; Niehans, 1987) ถือได้ว่าความสำเร็จของเขาเป็นผลมาจากการประยุกต์ใช้วิธีเหตุผลนิยม – Form der Anschaung (Binder-Johnson, 1962) – อันเป็นวิธีการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสมมุติฐานเชิงนามธรรมที่ค่อยๆ ผ่อนคลายลงเรื่อยๆ และการอนุมานทางคณิตศาสตร์ซึ่งมีความซับซ้อนให้ดูสมจริงมากขึ้น ดังที่ Schneider กล่าวไว้ในงานของ von Thünen (1966) ว่า ‘ความสำคัญของการสร้างแบบจำลองเพื่อความเข้าใจความเป็นจริงต่างๆ นั้นปรากฏชัดกระจ่างและความเข้มแข็งอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้’ จุดสุดยอดของความชัดเจนและพลังนั้น คือ แบบจำลองการใช้พื้นที่เพื่อการเกษตรที่มีศูนย์กลางร่วมกันของ von Thünen (ภาพที่ 1) และต่อมาได้เชื่อมโยงโดยตรงกับการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ด้วยแบบแผนทางเรขาคณิตที่ภูมิศาสตร์มักละเลย (Haggett, 1965)
แต่วิธีการต่างๆ ที่ใช้เพื่อให้ได้แผนภาพดังกล่าวนั้น
ดูแล้วไม่ค่อยน่าแปลกใจนัก จากการแสดงความเห็นของ Barnes ที่ปรากฏแล้วก่อนหน้านี้
จึงขอแนะนำว่างานของ von Thünen มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับสถานการณ์ในท้องถิ่น
และผลที่ตามมา คือ การบ่อนทำลายแนวคิดเกี่ยวกับการคลี่คลายวิธีการเชิงนามธรรม
ที่มีอยู่เพียงวิธีเดียวที่ช่วยก่อให้เกิดรูปร่างเป็นวงแหวนต่อเนื่องกันออกไปจากศูนย์กลางร่วมกันแห่งเดียว
แม้ว่าภาพนี้จะไม่ได้เขียนขึ้นมาโดย von Thünen หากแต่เป็นภาพเขียนของเพื่อนของ
Barnes คือ Binder-Johnson (1962)ที่เขามักไม่เคยได้เอ่ยชื่อสักเท่าไร
ภาพที่ 1 แบบจำลองการใช้ที่ดินรูปวงแหวนของ von Thünen (von Thünen, 1966: 216)
การวิพากษ์วิธีเป็นความเชื่อพื้นฐานทางปรัชญาและการเมืองของ von Thünen โดยเริ่มต้นจากการละทิ้ง ‘มุมมองต่างๆ ที่สืบทอดมา .. ของชนชั้นที่เป็นเจ้าของที่ดิน’ (von Thünen ใน Dempsey, 1960) และต่อมาก็ได้เดินทางทางของ Hegel ด้วยการสร้างรัฐขึ้นมาที่ไม่เพียงแค่เป็นรัฐโดดเดี่ยวเท่านั้น แต่ยังเป็นรัฐในอุดมคติด้วย (Barnbrock, 1974; Harvey, 1981) กล่าวคือเป็นรัฐที่รวบรวมเอาความสามัคคีระหว่างชนชั้นต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะความกลมเกลียวกันระหว่างกรรมกรกับชนชั้นกระฎุมพี สิ่งที่น่าสนใจมาก คือ von Thünen ตั้งใจที่จะตั้งชื่อหนังสือของเขาว่า The Ideal State แต่ Christian Dietrich von Buttel น้องชายต่างมารดาของเขาท้วงติงและโน้มน้าวให้เปลี่ยนชื่อ (Dempsey, 1960: 49-50; Binder-Johnson, 1962: 214) แล้วนั่นก็น่าจะเป็นชื่อหนังสือที่ดูดีกว่าเดิม เพราะแบบจำลองของ von Thünen สามารถอธิบายโลกได้น้อยกว่าวิสัยทัศน์ที่ควรจะเป็นอย่างไร เพราะเขาคิดว่าสังคมสามารถจัดระเบียบเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของทุกคนได้
หัวใจสำคัญของวิสัยทัศน์ทางการเมืองของเขา คือแนวคิดของ von Thünen เกี่ยวกับค่าจ้างตามธรรมชาติหรือเพียงแค่ค่าจ้าง ซึ่งในทางกลับกันจะผูกติดกับที่ดินชายขอบ และแบบจำลองการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรที่มีศูนย์กลางร่วมกันของเขา ใน 'สถานะอุดมคติ' von Thünen แย้งว่าคนงานทุกคนจะได้รับ 'ค่าจ้างชายขอบ - frontier wage' ซึ่งจะเพิ่มผลผลิตทั้งหมด การสะสมทุน และอัตราค่าจ้างให้สูงสุดไปพร้อมๆ กัน von Thünen ซึ่งแกะสลักไว้บนหลุมศพในสุสานเบลิทซ์ของเขา แย้งว่า ค่าจ้างควรเท่ากับค่าเฉลี่ยทางเรขาคณิตของผลิตภัณฑ์จากความต้องการยังชีพของคนงานและผลิตภัณฑ์สุทธิของพวกเขา ดังสมาการต่อไปนี้
W = ÖA.P, ............................................................ (1)
โดยที่ W เป็นค่าจ้างชายขอบ A แทนความต้องการยังชีพของคนงาน และ P เป็นผลิตภัณฑ์สุทธิต่อคนงาน
เมื่อมีการกำหนดค่าจ้างในระดับนี้ von Thünen เชื่อว่าความสมัครสมานสามัคคีในสังคมจะได้รับชัยชนะ จะทำให้กลายได้’โลกที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้’ ของ Pangloss มา ทั้งนี้แปลงที่ดินตรงบริเวณชายขอบมีความสำคัญต่อการนำเสนอของ von Thünen เนื่องจากเป็นการกำหนดระดับค่าจ้างชายขอบ ที่เป็นตัวแทนของพื้นที่หนึ่งในรัฐโดดเดี่ยว ซึ่งอิทธิพลอันน่าตกตะลึงของชนชั้นเจ้าของที่ดินถูกลบล้าง นั่นคือที่ซึ่งคนงานต้องอยู่คนเดียว เป็นผลให้ von Thünen สามารถคำนวณระดับค่าจ้างที่ยุติธรรมหรือเป็นไปตามธรรมชาติได้ มีการถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องในงานเขียนเกี่ยวกับการวิเคราะห์ที่มาของคำกล่าวอ้างของ von Thünen (ดูบทความต่างๆ ที่รวบรวมไว้ใน Blaug, 1992) แต่ในแง่หนึ่งกลับพลาดประเด็นไป ดังที่ Dickinson (1969) ให้ความเห็นเอาไว้อย่างถูกต้องว่า ค่าจ้างชายขอบ 'ไม่ใช่ข้อเสนอเชิงพรรณนา เพื่อยืนยันว่าค่าจ้างถูกกำหนดไว้อย่างไรจริงๆ แต่เป็นข้อเสนอเชิงบรรทัดฐานที่ยืนยันว่าค่าจ้างจะถูกกำหนดอย่างไรในสังคมที่ยุติธรรมและมีเหตุผล สำหรับ von Thünen ในฐานะนักเสรีนิยมที่มีความก้าวหน้าทางการเมืองในช่วงเวลาของ 'การต่อสู้ครั้งแรก' และ 'การหมักหมม' (von Thünen ใน Dempsey, 1960) ค่าจ้างชายขอบเสนอศักยภาพของรัฐขั้นสุดท้ายที่จะรับประกันว่า 'สภาพความชั่วร้ายทั้งหมดที่สร้างความเจ็บป่วยให้กับสถานการณ์ทางสังคมของยุโรปจะหายไป' (von Thünen ใน Dempsey, 1960) วงแหวนแต่ละวงของ von Thünen ไม่ใช่คำอธิบายว่าโลกเป็นอย่างไร แต่กลับอธิบายว่าโลกควรเป็นอย่างไรเมื่อได้ตระหนักถึงความสามัคคีในสังคม นี่ไม่ได้เป็นการอ้างว่าแนวทางของ von Thünen แนวทางหนึ่งที่รวมเอาลัทธิอุดมคตินิยมเชิงปรัชญาเฮเกลและอันตวิทยาที่เข้ามาเกี่ยวข้องเข้าไว้อย่างเข้มข้น ควรได้รับการยอมรับอย่างไม่มีวิพากษ์วิจารณ์ แต่จะต้องถูกตั้งประเด็นขัดแย้งกับการตีความแบบเหตุผลนิยมที่เป็นตัวแทนงานของเขาในฐานะการสำแดงออกของเพียงนามธรรมตามเหตุผลทางคณิตศาสตร์เท่านั้น ว่ากันว่า von Thünen เป็นคนหัวรุนแรงตลอดมา เขาเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับโลกที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ใครๆ ก็สามารถโต้แย้งเขาได้ และตั้งคำถามที่ขุ้นอยู่กับสถานการณ์และความเชื่อของเขาได้ นั่นจึงทำให้แบบจำลองที่เขาสร้างขึ้นมาไม่ใช่การตกตะกอนของตรรกะที่บริสุทธิ์ แต่มีความผูกพันอย่างใกล้ชิดกับสถานการณ์ในท้องถิ่นของเขา
Alfred Weber, 1869–1958
แม้ว่าการที่ Mark Blaug (1979) เรียก Alfred Weber ว่าเป็น ‘ทายาทที่แท้จริงของ von Thünen’ จะเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในความหมายที่ Blaug ต้องการจะแสดงห้เห็น Barnes มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิ่งที่เขาแบ่งปันกับ von Thünen คือ การฝึกฝนการสร้างแบบจำลองในท้องถิ่น
ในฐานะนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน Weber ทำงานภายใต้บารมีของนักเศรษฐศาสตร์คนดังอย่าง Gustav Schmoller โดยทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเกี่ยวกับคราบเหงื่อในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าเมื่อปี 1897 วิทยานิพนธ์ฉบับนั้นกลับกลายเป็นพื้นฐานของหนังสือของเขาที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1909 ซึ่ง ทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของภูมิศาสตร์เศรษฐกิจจากหนังสือ Über den Standort der Industrien (แปลเป็นทฤษฎีของ Alfred Weber เกี่ยวกับที่ตั้งของอุตสาหกรรม; Weber, 1929) ด้วยความกังวลเกี่ยวกับการระบุปัจจัยที่กำหนดตำแหน่งที่ตั้งของอุตสาหกรรม Weber จึงใช้คณิตศาสตร์และเรขาคณิตจำนวนมาก เพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุดซึ่งแสดงโดยรูปสามเหลี่ยมตำแหน่งที่มีชื่อเสียงของเขา (ภาพที่ 2)
Ponsard
(1983) ตีความสมการคณิตศาสตร์ของ Weber รวมถึงรูปสามเหลี่ยมแสดงตำแหน่งที่ตั้งที่มีต้นทุนต่ำที่สุด
ว่าเป็น ‘ปฏิกิริยาต่อแนวคิดทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ทั่วไป’ ... สำหรับทฤษฎีตามแบบแผนของ Weber
เป็นการฉายภาพของเศรษฐศาสตร์บริสุทธิ์ในขอบเขตเชิงพื้นที่
โดยอธิบายกฎที่เป็นนามธรรม กลไก เป็นอิสระจากระบบเศรษฐกิจใดๆ
และใช้ได้กับโลกสมัยใหม่'
แน่นอนว่า ถ้อยแถลงเกี่ยวกับระเบียบวิธีของ Weber
ในตอนต้นของหนังสือของเขานั้น
ได้มีส่วนอย่างมากต่อการไปสนับสนุนข้อเรียกร้องของ Ponsard โดยที่ Weber
(1929) อธิบายเรื่องนี้ว่า
ในทางระเบียบวิธี เราจะดำเนินการแบบโดดเดี่ยวเสมอมา ไม่เพียงแต่ส่วนแรกที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ในส่วนที่สองด้วย ... สำหรับในงานที่จะต้องสร้างกฎเพื่อบ่งชี้ทำเลที่ตั้งให้ได้อย่างแท้จริง จะสามารถใช้เพื่อการหักลดส่วนต่างๆ ที่ต้องใช้มากเกินไปด้วย เราจะสามารถเริ่มต้นจากสถานที่ที่เรียบง่ายบางแห่ง และอนุมานกฎของทำเลที่ตั้งที่บริสุทธิ์ทั้งหมดจากระบบทั้งหมดได้
เช่นเดียวกับ von Thünen มีข้อความย่อยฝังอยู่ในข้อความของ Weber โดยหนังสือที่ทำให้ Weber มีชื่อเสียงเป็นส่วนหนึ่งของโครงการในท้องถิ่น ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่ขัดแย้งกับการตีความแบบเหตุผลนิยมในหลายแง่ ตามที่ Derek Gregory (1981) กล่าวเอาไว้ว่า Weber ตั้งใจที่จะติดตามและทำให้มุมมองทางประวัติศาสตร์เชิงบริบทของ Schmoller ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดย Schmoller และ Werner Sombart เป็นบุคคลสำคัญในสำนักวิชาการทางประวัติศาสตร์เยอรมันในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่ต่อต้านลัทธิเหตุผลนิยม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่าเหตุใดหาก Weber เป็นผู้อ้างสิทธิ์ของ Ponsard อย่างเป็นทางการ เขาจะทำงานร่วมกับ Schmoller
ภาพที่ 2 สามเหลี่ยมแสดงทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมของ
Weber เขียนขึ้นมาใหม่จากทฤษฎีตำทำเลที่ตั้งของอุตสาหกรรมของ Alfred Weber
(Weber, 1929) โดยได้รับอนุญาตจากสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชิคาโก
แทนที่จะมองว่าสามเหลี่ยมตำแหน่งของเวเบอร์และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกัน เป็นตัวเร่งของชุดของขั้นตอนและแบบผนเชิงตรรกะ-คณิตศาสตร์ที่แยกออกจากกัน จึงเป็นการดีกว่าที่จะวางสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในสภาพแวดล้อมทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์เฉพาะของ Weber และแบบแผนประเพณีของความคิดทางปัญญาโรแมนติกของชาวเยอรมัน
Gregory (1981) ให้เหตุผลว่าบริบทสำคัญของงานของ Weber คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมและการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วในเยอรมนีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมไปพร้อมๆ กัน ดังที่ Weber (1929) กล่าวเอาไว้ในบทนำว่า หน้าที่ของเขา คือ ชี้แจงวิธีการที่จะทำให้ประเด็นสาระเกี่ยวกับทำเลที่ตั้งของอุตสาหกรรมกลายเป็นสาระสำคัญของการรวมตัวกันจำนวนมากของผู้คนในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สภาพทางกายภาพนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวที่มีอิทธิพลเท่านั้น ยังคงมีสิ่งสำคัญไม่แพ้กันอีก คือ บริบททางปัญญา การวิเคราะห์และการมุ่งเน้นที่สำคัญของ Weber ได้รับการกำหนดรูปแบบ เช่นเดียวกับของ von Thünen ด้วยความรู้สึกเชิงวิพากษ์อย่างลึกซึ้งต่อสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากติดตามนักเขียนโรแมนติกและอนุรักษ์นิยมชาวเยอรมันมายาวนาน เขารู้สึกตกตะลึงกับการรวมตัวกันจำนวนมากของผู้คน และกระบวนการของการพัฒนาอุตสาหกรรมที่รับผิดชอบต่อพวกเขา พวกเขาเป็นตัวแทนของวิทยาศาสตร์และอารยธรรมที่ออกมาอาละวาด ทำให้เกิดวิกฤตวัฒนธรรมโดยทั่วไปไม่เพียงแต่ในเยอรมนีเท่านั้น แต่ในโลกตะวันตกโดยรวม (Aron, 1964) สำหรับ Weber แล้ว วิกฤติทางวัฒนธรรมถือเป็นวิกฤต ไม่ใช่ทำเลที่ตั้งของอุตสาหกรรม เขากล่าวถึงสิ่งต่างๆ อีกมากในบทนำ เป็นต้นว่า ‘เราจะเห็นว่าที่ตั้งทางอุตสาหกรรมแบบที่เรามีในปัจจุบันนี้ ไม่ได้อธิบายไว้ตามกฎของทำเลที่ตั้งที่บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง และดังนั้นจึงไม่ใช่เศรษฐกิจล้วนๆ หากแต่มันส่งผลอย่างมากจากแง่มุมทางวัฒนธรรมที่ชัดเจนของระบบทุนนิยมสมัยใหม่ ..’ (Weber, 1929)
งานฉบับต่อมาของ Weber มุ่งเน้นไปที่แง่มุมทางวัฒนธรรมเหล่านั้นมากกว่าการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง (Aron, 1964) ทำเลที่ตั้งของอุตสาหกรรมสำหรับ Weber เป็นเพียงอาการผิวเผินของบางสิ่งที่เป็นพื้นฐานมากกว่านั้นเสมอ อันที่จริง เมื่อนึกถึงงานก่อนหน้านี้ของเขา Weber จะกล่าวถึงทำเลที่ตั้งบนสามเหลี่ยมของเขาว่า มันแขวนอยู่ในอากาศ (Gregory, 1981) ความหมายก็คือ สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องมีพื้นฐาน ซึ่งในบางแง่ Weber ทำในการศึกษาต่อมาของเขาในหัวข้อ 'สังคมวิทยาวัฒนธรรม' (Weber, 1939)
การศึกษาเหล่านี้มีผลกระทบต่อวิทยาศาสตร์และอารยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พบในกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในสมัยของ Weber พวกเขาเป็นตัวแทนของความป่าเถื่อนที่ไม่มีตัวอย่าง .. ซึ่งสังคมและอารยธรรมปกครองโดยไม่มีใครทักท้วง โดยที่แรงกระตุ้นในอัตตาตัวตนของเราพัฒนาอย่างไม่ถูกตรวจสอบ และไม่มีความทะเยอทะยานทางจิตวิญญาณหรือทำให้มนุษย์เคลื่อนไหวได้ (Aron, 1964: 113) ไม่น่าแปลกใจเลยที่ Weber ไม่เคยกลับมาที่การวิเคราะห์ตำแหน่งอีกเลย ตราบใดที่งานก่อนหน้านี้ของเขาแสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ และความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้า ความเป็นเหตุเป็นผล และความเป็นสากล งานชิ้นนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความป่าเถื่อนที่ไม่มีตัวอย่าง ซึ่งต่อมาเขาได้ต่อต้านอย่างฉุนเฉียวในเวลาต่อมา ทั้งนี้ ไม่ว่าใครจะเห็นด้วยกับสังคมวิทยาวัฒนธรรมของเขาหรือไม่ก็ตาม แต่เฉกเช่นเดียวกับ von Thünen สิ่งที่สำคัญคือการยุติการทำงานที่เป็นความพยายามรวบรวมงานของ Weber อีกครั้ง โดยไม่ใช้ทฤษฎีตำแหน่งทางอุตสาหกรรมและรูปสามเหลี่ยมที่เกี่ยวข้องมาเป็นวัตถุในตัวเอง แต่เป็นผลผลิตของการปฏิบัติและความเชื่อในท้องถิ่นโดยเฉพาะ
August Lösch, 1906–1945
ท้ายที่สุดแล้ว ยังมี August Lösch ในฐานะนักวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งที่เฉลียวฉลาด ที่ต้องการจัดหาหลักการและวิธีการ 'บูรณาการสมัยใหม่อย่างเป็นระบบของทฤษฎีทำเลที่ตั้งต่างๆ ก่อนหน้านี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรก ให้เข้ามาอยู่ในโครงสร้างการวิเคราะห์ที่เป็นหนึ่งเดียว' (Ponsard, 1983: 87) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Lösch ได้คิดค้นทฤษฎีสมดุลทั่วไปเชิงบูรณาการของเศรษฐกิจเชิงพื้นที่ (integrative general equilibrium theory of the space economy) โดยปิดท้ายด้วยภูมิทัศน์ทั่วไปที่ได้มาทางคณิตศาสตร์ของที่ตั้งของอุตสาหกรรม และวางอยู่บนรูปของโครงข่ายหกเหลี่ยมที่วางอยู่บนภูมิทัศน์ และนำเสนอในหนังสือของเขาเรื่อง The Economics of Location ซึ่งตีพิมพ์ ในปี 1940 (ดังแสดงในภาพที่ 3)
ด้วยการที่เขาถือกำเนิดและเติบโตขึ้นมาในสวาเบีย - Lösch จึงอุทิศหนังสือ
The economics of location ให้กับดินแดนถิ่นเกิด ดินแดนอันเป็นที่รักยิ่งของเชา
(หน้า xvi) - Lösch เป็นนักศึกษาในภาควิชาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยบอนน์
ที่นั่นเขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนักศึกษาที่ทำงานร่วมกับ Joseph Schumpeter
นักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรีย
ซึ่งต่อมาลาออกไปรับตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Stolper, 1986) อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา Lösch ได้ย้อนกลับมารวมตัวกับ
Schumpeter อีกสองครั้งในปี 1934 และปี
1938 หลังจากได้รับทุนจากมูลนิธิ Rockefeller
Foundation ทำให้ได้รับอนุญาตให้เขาเดินทางไปสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ที่เป็นพื้นที่ที่เขาได้รวบรวมข้อมูลพื้นฐานของส่วนสุดท้ายของหนังสือ
The economics of location ของเขา
ภาพที่ 3 ลำดับศักย์ของย่านกลางในโครงข่ายของ Lösch จากหนังสือ The economics of location (Lösch, 1954: 118)
เช่นเดียวกับหนังสือของ von Thünen และ Weber การตีความในหนังสือ The economics of location ของ Lösch คือ ผู้ยึดมั่นในเหตุผล (Ponsard, 1983) เพียงแต่ว่าซับซ้อนมากกว่า โดยมีความตึงเครียดในหนังสือของ Lösch ระหว่างคำอุปมาอุปมัยสองคำที่แตกต่างกันมาก ที่เขาใช้เพื่อกำหนดลักษณะภูมิทัศน์ของภูมิศาสตร์ทางเศรษฐกิจ โดยแนวคิดอย่างหนึ่งนำมาจากวิชาฟิสิกส์ และเน้นความสัมพันธ์ที่ดูคล้ายกับกฎและลำดับทางคณิตศาสตร์ (Gregory, 1994: 56–58) มุมมองนี้ถูกบันทึกโดย Peter Haggett (1991: 70) ที่ให้ลักษณะเฉพาะของ Lösch เปรียบเสมือน 'นักฟิสิกส์สถานะของแข็ง - solid state physicist' ผู้ให้กำเนิด 'แต่ละการตั้งถิ่นฐานเหมือนอะตอมที่ถูกผูกมัดเข้าด้วยกันในเมทริกซ์ของการเชื่อมต่อระหว่างโมเลกุล' อีกแนวคิดหนึ่งคือการอุปมาให้อินทรียสารช่วยลดความศักดิ์สิทธิ์ โดยมีคุณสมบัติของการเกิดขึ้นและวิวัฒนาการที่คาดเดาไม่ได้ สถานที่ต่างๆ ที่นี่ถูกมองว่ามีความเข้มแข็งที่ประกอบด้วยความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมที่ซับซ้อนซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ในทางกลับกัน คำอุปมาอุปมัยที่แตกต่างกันเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงแบบแผนทางปัญญาที่แตกต่างกันมากในสองประการดังกล่าว และในแง่หนึ่ง ภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันสองอย่างที่เกี่ยวข้องกับ Lösch อย่างแรกมาจากการศึกษาของเขาที่บอนน์ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่เต็มไปด้วยลัทธิเหตุผลนิยม และอย่างที่สองมาจากการถูกเลี้ยงดูในสวาเบียและความผูกพันของเขาที่มีต่อแนวคิดแบบโรแมนติกของชาวเยอรมัน
มีนักวิจารณ์คนอื่นๆ อีกหลายคนที่ตระหนักกันดีว่า มีความตึงเครียดเกิดขึ้นภายในหนังสือของ Lösch แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในรูปแบบเดียวกับที่กล่าวข้างต้นก็ตาม David Harvey (1996: บทที่ 2) ตีความว่า Lösch เป็นนักวิภาษวิธีที่สมบูรณ์แบบซึ่งเคลื่อนไหวไปมาระหว่างสองขั้วตรงข้ามของสิ่งที่เป็นอยู่และสิ่งที่ควรเป็น ในขณะที่ Peter Gould (1986) พรรณนาถึงความตึงเครียดในแง่ของความโน้มเอียงของ Lösch ต่อความแข็งกระด้างและการตอบโต้ที่แข็งแกร่งพอๆ กัน - โดยความโน้มเอียงไปทางนามธรรมมากกว่า อย่างไรก็ตาม ได้มีการกำหนดนิยามไว้แล้ว ทั้งนี้ Barnes แสดงให้เห็นว่าเกิดผลที่ตามมา นั่นคือ ช่องว่างชุดหนึ่งตามความยาวของหนังสือของ Lösch ที่ไม่เคยถูกปิด และสะท้อนถึงความรู้ในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน
ในการปรับใช้คำอุปมาแรก แสดงให้เห็นได้ว่า Lösch มีลักษณะคล้ายกับนักฟิสิกส์ ที่สร้างโลกที่มีเหตุผลและเป็นระเบียบ ซึ่งได้มาจากการประยุกต์ใช้ตรรกะเชิงวิเคราะห์เชิงนามธรรม ในทางกลับกัน ภูมิทัศน์ที่มีเหตุผลที่เขาสร้างขึ้นมาให้ทำหน้าที่เป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบสิ่งอื่นทั้งหมด จำเป็นต้องถูกกำหนดไว้ในความหมายและรูปแบบทางคณิตศาสตร์ 'หนังสือเล่มนี้มีการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เพราะมันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่จะไม่เชื่อถือต่อเหตุผลและเนื้อหาที่มีอยู่ ด้วยการใช้คำอธิบายและความรู้สึกที่คลุมเครือ' (Lösch, 1954: xv)
โดยพื้นฐานแล้ว Lösch ยึดถือเหตุผลกับสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นทางเลือก ซึ่งเป็นได้ทั้งความโกลาหลและความกระอักกระอ่วน (mayhem and tumult) ดังที่ Derek Gregory (1994: 58) เคยเขียนว่าเอาไว้ว่า 'Lösch ต้องการเปิดเผย เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนถึงลำดับที่เป็นระบบหรือภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจที่มีเหตุผล - สิ่งที่เขาเรียกว่าลำดับที่มีเหตุผลและเป็นธรรมชาติ - เพราะเขาเชื่อมั่นว่าการถูกโน้มน้าวดังกล่าวจัดขึ้นแบบไร้เหตุผล ผิดปกติ และไร้กฎเกณฑ์ ส่งผลให้เกิดการทำลายล้างความเป็นจริงอย่างหนึ่งที่ดูสับสนวุ่นวาย' ด้วยเหตุนี้เขาจึงประกาศกร้าวว่า 'หน้าที่ที่แท้จริงของนักเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่การอธิบายความเป็นจริงที่น่าเสียใจของเรา หากแต่เป็นไปเพื่อปรับปรุงหาวิธีการที่จะมาอธิบาย จะต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับทำเลที่ตั้งให้ดีที่สุดอย่างมีเกียรติยศศักดิ์ศรีมากกว่าการกำหนดตำแหน่งที่แท้จริง’ (Lösch, 1954: 4) โดยเกียรติยศศักดิ์ศรีที่ว่านั้นจะได้รับการประสาทจากความเป็นนามธรรมและมีเหตุผลอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่ความเป็นจริงที่เป็นรูปธรรมและสกปรก
แน่นอนละที่กับความรู้สึกอันละเอียดอ่อนแบบเหตุผลนิยมของ Lösch นั้น เป็นชุดของแนวทางแบบโรแมนติกที่เน้นประสบการณ์ที่มีความเป็นรูปธรรมเหนือเหตุผลเชิงนามธรรม มีความสมบูรณ์เหนือการวิเคราะห์ และมีสถานที่ต่างๆ ที่เป็นจริงที่ค่อนข้างยุ่งเหยิง - เป็น 'ความจริงที่น่าเสียใจอย่างยิ่งของพวกเรา' - เพราะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือภูมิทัศน์ที่สร้างขึ้นอย่างมีเหตุผล
ในคำนำของการพิมพ์ครั้งแรก Lösch (1954: xv) กล่าวว่า 'ประสบการณ์วัยเยาว์ในเมืองเล็กๆ ในฐานะชาวสวาเบียน ถือเป็นเบื้องหลังที่แท้จริงของหนังสือเล่มนี้ .. [และ] ประสบการณ์กับที่นั่นก็เป็นสิ่งยืนยันทฤษฎีสุดท้ายของผมได้เป็นอย่างดี ดังนั้น จึงไม่ได้เป็นการทดสอบด้วยสารสีน้ำเงินบนกระดาษทดสอบ หากแต่เป็นความเป็นจริงจากประสบการณ์ของ Lösch ซึ่งเรื่องนี้ Gould (1986: 15) เองก็สามารถสัมผัสได้ถึงความคลุมเครือแบบเดียวกันนี้
ภูมิทัศน์ของ Lösch ไม่ใช่แค่เรขาคณิตเท่านั้น แต่ยังเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนที่เข้าร่วมกับความสัมพันธ์ทางสังคมที่ซับซ้อน อย่างน้อยที่สุดอาจเป็นความรู้สึกหยั่งรากลึกของหยั่งรากลึกลงดินในภูมิภาคนี้เอง ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่เข้าใจถึงความหยั่งรากลึกมากกว่าตัว Lösch โดยที่เขาใช้บ้านเกิดของชาวสวาเบียนเป็นมาตรฐานทางปัญญาอย่างต่อเนื่อง เพื่อทดสอบความจริงของการยืนยันอย่างมีมนุษยธรรม
ในทำนองเดียวกัน หลังจากที่ได้ชื่นชมตรรกะทางคณิตศาสตร์มาก่อนหน้านี้แล้ว Lösch ก็แสดงจุดยืนที่แตกต่างออกไป โดยบอกว่าเขาไม่มีทางที่จะพึงพอใจกับการพิจารณาทางคณิตศาสตร์ที่เย็นชาได้แบบนั้นต่อไปอีกแล้ว นี่จะมีลักษณะคล้ายเปลือกหอยที่ไม่พร้อมออกไปสัมผัสการประกอบอาชีพ เป็นได้แค่เพียงโครงกระดูกที่ไม่มีเนื้อหรือเลือด (Lösch, 1954: xv)
ท้ายที่สุด มีความตึงเครียดระหว่างคำมั่นสัญญาของ Lösch ต่อคำสั่งทางคณิตศาสตร์ที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ซึ่งใช้ในการแสดงออกถึงเศรษฐกิจเชิงพื้นที่ที่มีเหตุผล และความมุ่งมั่นแบบโรแมนติกของเขาต่อความเฉพาะเจาะจงของสถานที่เฉพาะ เขากล่าวขัดแย้งอีกครั้งกับคำพูดของเขาเกี่ยวกับธรรมชาติรองของความเป็นจริงกับอุดมคติที่มีเหตุผลว่า 'ความรู้ที่แท้จริงในพื้นที่จริงเป็นหัวใจสำคัญของการวิจัย เป็นการรับประกันที่ดีที่สุดว่าการสอบสวนจะมุ่งตรงไปยังความเป็นไปได้ที่แท้จริง แทนที่จะสูญเสียตัวเองไปเพียงการเล่นของสติปัญญา’ (Lösch, 1954: 349)
โดยสรุป เช่นเดียวกับงานของทั้ง von Thünen และ Weber Lösch ไม่ใช่การกลั่นกรองตรรกะทางวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์แบบเดียวกับการวิเคราะห์ปริมาณสารละลายด้วยการหยดสารลงบนหน้ากระดาษ Lösch อาจเป็นอัจฉริยะ แต่เขาก็ยังเป็นคนที่ได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดเกี่ยวกับกาลเทศะของบริเวณที่เขาอาศัยอยู่ด้วย นั่นคือความรู้ของเขามีอยู่ในท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Lösch เป็นบุรุษที่ผูกติดอยู่ระหว่างแนวความคิดที่แตกต่างกันมากของโลกสองแนว คือ ทั้งแนวความคิดแบบเหตุผลนิยมและแนวความคิดแบบโรแมนติก นั่นทำให้เขาสามารถระดมคำอุปมาอุปมัยที่แตกต่างกันออกมาเพื่อสร้างความรู้ ความคลุมเครือดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่ที่ Lösch ดังที่ Herf (1984) ให้เหตุผล แต่ยังคงมีลักษณะเฉพาะของลัทธิสมัยใหม่เชิงปฏิกิริยา (reactionary modernism) ของเยอรมนีที่เกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นบริบทที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานของ Lösch อันส่งผลให้งานของเขามีความเป็นท้องถิ่นนิยมอย่างมาก
วิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่ของนักภูมิศาสตร์อเมริกัน
แม้ว่าหนังสือของ Lösch จะเป็นเพียงเกร็ดความรู้ของท้องถิ่น แต่ว่าตัวของหนังสือเองก็ได้เดินทางไปยังสถานที่ที่เป็นท้องถิ่นอื่นๆ ด้วย ทั้งเชิงเปรียบเทียบสถานที่และความรู้ความเข้าใจต่างๆ ในเชิงอักษรศาสตร์ ซึ่ง Peter Gould (1986) เล่าประสบการณ์ที่จำได้ดีว่า เมื่อครั้งที่กำลัง 'อารัมภบทเข้าสู่บทเรียนแรกของภาคเรียนฤดูหนาวในมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทอร์น กับ Charlie Tiebout นักเศรษฐศาสตร์ภูมิภาค ในเดือนมกราคม ปี 1957 เขารู้สึกดีใจมาก ที่ได้หลุดพ้นจากลมแรงที่พัดหิมะที่โปรยปรายทั่วทะเลสาบมิชิแกน' ขณะที่เมื่อสิบแปดเดือนก่อนหน้านี้ Brian Berry (1993) ได้เน้นย้ำถึงความทรงจำของการบรรจงบรรจุหนังสือเล่มนี้ลงในกระเป๋าเดินทาง และอ่านหนังสือเล่มนี้ระหว่างการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ซีแอตเทิล ซึ่งเขากำลังจะเริ่มต้นปีแรกในฐานะนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ นอกจากนี้ การเดินทางดังกล่าวยังสร้างความแตกต่างมากมายด้วย (Shapin, 1998; Barnes, 2002) หนังสือของ Lösch ช่วยสร้างมุมมองที่แตกต่างออกไปมากเกี่ยวกับภูมิศาสตร์เศรษฐกิจในแองโกล-อเมริกา ควบคู่ไปกับหนังสือท่องเที่ยวอื่นๆ ทั้งเรื่องราวของผู้คนและตัวเลข ซึ่งกำหนดโดยการวิเคราะห์เชิงพื้นที่เพื่อค้นหากฎเกณฑ์ (nomothetic) แทนที่จะเป็นเพียงคำอธิบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจในภูมิภาคที่มีลักษณะเฉพาะ (idiographic) ซึ่งมาครอบงำรายวิชาภูมิศาสตร์มาจนบัดนี้ การปฏิวัติเชิงปริมาณและเชิงทฤษฎีของภูมิศาสตร์เศรษฐกิจกำลังจะเริ่มต้นขึ้น โดยการปฏิวัติครั้งนั้นเริ่มต้นจากการเผชิญหน้ากันในท้องถิ่นโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่บุคคลสำคัญหนึ่งหรือสองคนในสถานที่สำคัญทางภูมิศาสตร์ คือ มหาวิทยาลัยไอโอวา และมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ซีแอตเทิล
ทางด้าน Fred Schaefer จากมหาวิทยาลัยไอโอวานั้น เขามักได้รับเครดิตว่าเป็นผู้ริเริ่มการปฏิวัติ และช่วยให้สามารถวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งภายในขอบเขตของภูมิศาสตร์เศรษฐกิจแองโกล-อเมริกันได้ บทความของเขาในวารสารสมาคมนักภูมิศาสตร์อเมริกัน หรือ AAGs ปี 1953 แสดงข้อโต้เถียงเกี่ยวกับกฎทางสัณฐานวิทยา - หากเหตุการณ์ A ในตำแหน่งที่ตั้งอัลฟ่า ทำให้เกิดเหตุการณ์ B ในตำแหน่งที่ตั้งเบต้า - นั่นถือเป็นการโต้แย้งกันที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงของลัทธิภูมิภาคนิยม (Schaefer, 1953) ขณะเดียวกันบทความที่ว่านั้นก็ได้กลายเป็นเรื่องฮือฮาสำหรับคนบางคนไป (Bunge, 1968) Schaefer เป็นคนสันโดษ เขามีเพื่อนไม่กี่คนในภาควิชาภูมิศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยไอโอวา และแน่นอนว่าไม่มีนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่จะเข้ามาทำงานร่วมกับเขา หรือเป็นผู้ช่วยนำเอาคำพูดของเขาไปแพร่กระจาย ยิ่งไปกว่านั้น การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของ Schaefer ด้วยวัยเพียง 48 ปีภายในโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในไอโอวาซิตี เมื่อเดือนมิถุนายน 1953 ทำให้อิทธิพลโดยตรงใดๆ ของเขา ก็ตามปิดตัวลง หากบทความของ Schaefer ยังคงมีความเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง ก็ควรย้อนหลังกลับไปพิจารณาให้ละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่ในเวลาต่อมา พวกเขาล้วนมองหาแบบอย่าง สโลแกน และในบางกรณีก็มองว่าเขาเป็นผู้พลีชีพ (ดู King's, 1979: 128)
คนที่มีอิทธิพลมากกว่า Schaefer ที่มหาวิทยาลัยไอโอวา ในการดำเนินการตามวาระการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง คือ Harold McCarty โดยก่อนที่ McCarty จะก่อตั้งภาควิชาภูมิศาสตร์ขึ้นที่มหาวิทยาลัยไอโอวาในปี 1946 เขาได้ตีพิมพ์หนังสือ The Geographic Based of American Economic Life (1940) โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับภูมิศาสตร์เศรษฐกิจภูมิภาคของสหรัฐอเมริกา McCarty ยืนยันที่จะกำหนดให้ภูมิภาคเป็นหน่วยการวิเคราะห์เพื่อเป็นการโต้แย้งข้อเสนอแบบดั้งเดิมที่ต้องการเพียงเพื่อสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่เท่านั้น แต่ต้องขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นว่ากลไกตลาดจะสามารถทำให้ความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์ทางเศรษฐกิจเป็นเช่นนั้นได้ ดังที่ McCarty (1940: 19) เขียนไว้ว่า 'ได้รับแรงบันดาลใจจากความปรารถนาที่จะทำกำไร ผู้ผลิตในส่วนต่างๆ ของประเทศได้พยายามที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจประเภทเหล่านั้นซึ่งนำมาซึ่งผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เนื่องจากความแตกต่างในด้านทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรมนุษย์ ทำให้ชีวิตทางเศรษฐกิจในส่วนต่างๆ ของประเทศมีรูปแบบที่แตกต่างกัน . . มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นภูมิภาคหรือกระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่โดยเฉพาะ' มีตรรกะทางเศรษฐกิจที่ยากลำบากที่ผลักดันการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งของ McCarty ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับภูมิศาสตร์เศรษฐกิจแองโกลอเมริกัน (แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสำนักทำเลที่ตั้งเยอรมันก็ตาม) ในความคิดของ McCarty วิชาเศรษฐศาสตร์จะให้ทฤษฎีมา ส่วนภูมิศาสตร์จะให้หลักฐานเชิงประจักษ์มายืนยัน ตามที่เขากล่าวไว้ ‘ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจมีแนวคิดมาจากสาขาเศรษฐศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ และวิธีการส่วนใหญ่มาจากสาขาภูมิศาสตร์’ (McCarty, 1940: xiii)
การใช้ถ้อยคำแบบนั้นของ McCarty ดูแล้วมีผลกระทบกว้างขางมาก เนื่องจากวิธีการทางเทคนิคเฉพาะที่เขาใช้ในภายหลังไม่ได้มาจากแค่วิชาภูมิศาสตร์เท่านั้น หากแต่ยังมาจากวิชาสถิติด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเป็นผู้บุกเบิกการใช้คณิตศาสตร์ของการวิเคราะห์การถดถอยและสหสัมพันธ์ในภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงความเป็นระบบระเบียบในภาพของพวกเขา (Barnes, 1998) เหตุผลสำหรับการใช้ความสัมพันธ์และการถดถอย สามารถพบเห็นได้ในหนังสือ Economic Geography ของเขาที่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อปี 1954 ซึ่งเขายืนยันว่า เนื่องจากความซับซ้อนของปรากฏการณ์ทางภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ เราจึงไม่สามารถระบุเหตุได้ง่ายๆ เพียงแค่ทำการตรวจสอบข้อมูล (McCarty, 1954) สิ่งที่ดีที่สุดที่สามารถคาดหวังได้คือการเชื่อมโยงทางภูมิศาสตร์ที่จำกัด ซึ่งสามารถนำมาเปรียบเทียบกับทฤษฎีทำเลที่ตั้งซึ่งได้ผลดีที่สุดและพบความหมายส่วนใหญ่ในเศรษฐศาสตร์ นักภูมิศาสตร์เศรษฐกิจควรจำแนก แยกแยะ ตรวจวัด และรวบรวมข้อมูล และแม้กระทั่งมองหาความสัมพันธ์ทางสถิติ แต่เพื่ออธิบายตามความต้องการแบบที่นักเศรษฐศาสตร์ปฏิบัติ ซึ่งก็ได้เห็นมุมมองที่เข้มแข็งแบบนั้นปรากฏอยู่ในรายงานฉบับรวม เรื่อง The measurement of association in industrial geography (McCarty et al., 1956) ที่ประกอบด้วยการศึกษาการถดถอยจำนวนมากที่เชื่อมโยงตำแหน่งที่ตั้งของอุตสาหกรรมกับตัวแปรต่างๆ จำนวนหนึ่ง พร้อมคำอธิบายที่จัดทำขึ้นโดยอาศัยทฤษฎีของนักเศรษฐศาสตร์
ศูนย์กลางการใช้วิธีการคำนวณสำหรับแสดงทำเลที่ตั้งอีกแห่งหนึ่ง คือ มหาวิทยาลัยวอชิงตันในเมืองซีแอตเทิล ณ มหาวิทยาลัยแห่งนี้กลุ่มนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษากลุ่มหนึ่ง ที่มีอะไรหลายอย่างน่าทึ่งมาก พวกเขาเหล่านี้ประกอบด้วย Brian Berry, Bill Bunge, Michael Dacey, Art Getis, Duane Marble, Richard Morrill, John Nystuen และ Waldo Tobler ได้รวมตัวกันตั้งแต่กลางทศวรรษ 1950 จนกระทั่สิ้นสุดทศวรรษนั้น พวกเขาได้ร่วมกันโจมตีภูมิศาสตร์เศรษฐกิจแบบดั้งเดิมอย่างเด็ดเดี่ยว พวกเขาเน้นการวิเคราะห์เชิงพื้นที่เหนือสิ่งอื่นใด โดยมี William Garrison อาจารย์รุ่นเยาว์ที่เป็นกุญแจดอกสำคัญ ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เป็นผู้คุ้มครอง เป็นนักวิจารณ์ เป็นผู้ไตร่ตรอง และผู้ดูแลการจับจ่ายให้ Garrison ได้เข้ามาทำงานเป็นอาจารย์ที่นั่นเมื่อปี 1950 หลังจากเรียนจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทอร์น และก่อนรับราชการในกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในช่วงสงคราม ซึ่งเขาได้รับความเชี่ยวชาญด้านสถิติและคณิตศาสตร์ที่เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรมในฐานะนักอุตุนิยมวิทยา (Barnes, 2001b)
วิชาสถิติและคณิตศาสตร์เป็นตัวกำหนดโปรแกรมการเรียนการสอนและการทำงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน Garrison เปิดสอนหลักสูตรสถิติขั้นสูงขึ้นเป็นครั้งแรกในภาควิชาภูมิศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1955 สิ่งสำคัญต่อแนวคิดใหม่เกี่ยวกับภูมิศาสตร์เศรษฐกิจที่กำหนดโดยสมการ กราฟ และตัวเลข เหล่านี้ถือเป็นเครื่องจักรที่สำคัญมากๆ และแม้ว่าขณะนั้นมีเครื่องคิดเลข Friden ที่ใช้เครื่องจักรกลไฟฟ้าขนาดใหญ่และมีความยุ่งยากในการใช้งาน แต่กลับกลายเป็นว่า มีคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่กว่าและทำงานยุ่งยากกว่าเข้าไปอีก ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในช่วงแรกสำหรับภาควิชาแห่งนี้ หัวหน้าภาควิชา Donald Hudson (1955) ถึงกับอวดอ้างเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ดิจิทัล IBM604 ในภาควิชา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกระดับชาติด้วย เทคนิคการเขียนโปรแกรมที่เรียกว่าการเดินสายแพตช์ที่เกี่ยวข้องกับการเสียบสายไฟเข้ากับแผงวงจรนั้น ค่อนข้างหยาบและไม่มีประสิทธิภาพ แต่ช่วยกำหนดและรวบรวมวิสัยทัศน์ใหม่ของสาขาวิชาภูมิศาสตร์ที่อิงจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ดีทีเดียว
การตรวจสอบเชิงประจักษ์ภายในวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่ของอเมริกาในยุคแรกๆ ได้ถูกผนวกเข้ากับรูปแบบการวินิจฉัยเชิงตัวเลขและสถิติอย่างแน่นหนา อย่างไรก็ตาม การปฏิวัติที่เกิดขึ้นนั้นไม่เพียงแต่เป็นการปฏิวัติในเชิงปริมาณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปฏิวัติเชิงทฤษฎีด้วย ในขั้นต้น แหล่งที่มาทางทฤษฎีของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งคือแหล่งที่คุ้นเคยกันดี คือ ทฤษฎีของ von Thünen, Weber และ Lösch แต่แหล่งที่มาเหล่านี้เกิดการพอกพูนทบทวีขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากวิชาฟิสิกส์ที่นำเอากฎแรงโน้มถ่วงและแบบจำลองการเพิ่มเอนโทรปีสูงสุดเข้ามา วิชาสังคมวิทยาและเศรษฐศาสตร์ที่ดินที่ช่วยสร้างแบบจำลองการใช้ที่ดินในเมือง ฟิสิกส์สังคม รวมถึงกฎว่าด้วยลำดับขนาด (rank-size rule) และนิเวศวิทยาเมือง (urban factorial ecology) และจากวิชาเรขาคณิตที่ช่วยสร้างทฤษฎีโครงข่ายและทฤษฎีกราฟ และการวิเคราะห์รูปแบบความสัมพันธ์ (analysis of topological forms) ที่รวมอยู่ในการศึกษาด้านการขนส่ง (Pooler, 1977) การทำเครื่องหมายกิจการทางทฤษฎีที่แตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้คือการเน้นไปที่ความแม่นยำของแนวคิด ตรรกะนิรนัย และความเข้มงวดในการวิเคราะห์ นั่นคือเหตุผลนิยม
เช่นเดียวกับสำนักทำเลที่ตั้งเยอรมนี ด้วยลัทธิเหตุผลนิยมเองถือว่ายังไม่เพียงพอที่จะอธิบายการเกิดขึ้นและรูปแบบของวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่ของอเมริกาและการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเป็นผลผลิตจากปัจจัยท้องถิ่นที่เกิดขึ้นในอเมริกาในช่วงทศวรรษ 1950 ซึ่งเป็นปัจจัยทางประวัติศาสตร์ สถาบัน การเงิน และสังคมไปพร้อมๆ กัน
ตามประวัติศาสตร์ อิทธิพลของสงครามโลกครั้งที่สองและต่อมาเป็นอิทธิพลของสงครามเย็น สงครามใหญ่ทั้งสองมีความผูกพันอย่างมากกับวิทยาศาสตร์ สำหรับหลายๆ คน วิทยาศาสตร์ช่วยให้ประเทศชนะสงคราม และจะเป็นพื้นฐานของการชนะสงครามเย็นต่อเนื่องอีก ผลลัพธ์ที่ได้คือสถานะที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสิ่งนี้ทำให้วิทยาศาสตร์ได้รับการหยิบยกขึ้นมาจากวงการสังคมศาสตร์อเมริกัน เพื่อที่จะให้พวกเขาได้มีคำว่าวิทยาศาสตร์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญภายใน ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจก็เป็นแบบเดียวกันนั้น อิทธิพลอีกประการหนึ่งซึ่งจะกล่าวถึงในรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อถัดไป คือ ความสำคัญของการวิจัยปฏิบัติการที่รวบรวมนักวิทยาศาสตร์และนักสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะนักเศรษฐศาสตร์ เพื่อมีส่วนร่วมในการวางแผนเชิงกลยุทธ์ในสงครามโดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์และวิธีการตรวจสอบข้อมูลเชิงประจักษ์ (Mirowski, 1999) หลังสงคราม เทคนิคเดียวกันเหล่านั้น เช่น การเขียนโปรแกรมเชิงเส้นผนวกกับการใช้คอมพิวเตอร์ เริ่มถูกนำมาใช้โดยวิศวกรและนักวางแผนในการจัดการการขยายตัวของเมือง การออกแบบ และการจัดหาโครงสร้างพื้นฐานของอเมริกาหลังสงคราม ในความเป็นจริง แหล่งเงินทุนหลักสำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของ Garrison ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันในช่วงกลางทศวรรษ 1950 คือ สัญญาที่เขาได้รับกับรัฐวอชิงตัน ร่วมกับ Ed Horwood และ Bob Hennes วิศวกรของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เพื่อประเมินผลกระทบของการสร้างระบบทางหลวงในซีแอตเทิลและปริมณฑลโดยรอบ (Garrison et al., 1959) วิธีการสอนนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของ Garrison ในหลักสูตรสถิติขั้นสูงและการสัมมนาภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ เขาอาศัยผลลัพธ์จากงานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคของ Isard (1956) ที่มีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะใช้ตอบคำถามการวางแผนเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับการพัฒนาทางหลวง (Barnes, 2001b)
อิทธิพลที่สำคัญประการที่หนึ่งเกิดขึ้นในช่วงสงคราม คือ การฝึกอบรมทางสถิติทางคณิตศาสตร์ ที่จัดทำโดยกองทัพให้กับนักภูมิศาสตร์จำนวนหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้นำมาใช้กับการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง Edward Taaffe เองก็เช่นกัน ซึ่งได้รับการฝึกฝนให้เป็นนักอุตุนิยมวิทยา เช่นเดียวกับ William Warntz (Warntz, 1984; Janelle, 1997) Warntz (1984) ชี้ว่า Coasts waves and weather เป็นงานเขียนของ J.Q.Stewart (1945) เมื่อเขาประจำการเป็นนักอุตุนิยมวิทยาในเมืองกันเดอร์ รัฐนิวฟันด์แลนด์ ซึ่งนำเขาไปสู่การเปรียบเทียบทางกายภาพ เช่น แรงโน้มถ่วงและแบบจำลองที่เป็นไปได้ และในทางกลับกัน ไปสู่การพัฒนาด้านภูมิศาสตร์มหภาค และปัญหาเชิงพื้นที่ ปฏิสัมพันธ์ ในทำนองเดียวกัน Garrison (Dow, 1972: 2–3) กล่าวว่า 'ผมเองก็มีโอกาสที่โชคดีมากมาย เคยเป็นนักอุตุนิยมวิทยาในสงครามโลกครั้งที่สอง และได้มีโอกาสไตร่ตรองถึงธรรมชาติของระบบบางประเภทซึ่งทำให้ระบบของผมผิดเพี้ยนไป
ประการที่สอง บริบทของสถาบันเกี่ยวข้องกับการบรรลุการกำหนดค่าเฉพาะของบุคลากร ทรัพยากร และการเมือง สิ่งสำคัญในขั้นต้นต่อความสำเร็จของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เช่น Donald Hudson หัวหน้าที่เข้มแข็ง ทรงพลัง และเปิดกว้าง ซึ่งหลังจากได้รับการแต่งตั้งในเดือนเมษายน 1951 มีความกระตือรือร้นที่จะส่งเสริมวัฒนธรรมทางปัญญาที่เข้มแข็งและมีชีวิตชีวา เมื่อไม่มีการฝึกอบรมด้านการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งมาก่อน เขายังคงตระหนักถึงศักยภาพของมัน และให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันเพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองของเรื่องนี้นี้ให้เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเขาทำได้ผ่านการบริหารจัดการการจัดหาบัณฑิต โดยภาควิชาฯ มีผู้ช่วยสอนห้าตำแหน่งที่อนุญาตให้ Hudson จ้างนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ เช่น Brian Berry ในปี 1955 และสองปีก่อนหน้าเขา Duane Marble (Dow, 1971: 2) ส่วนหนึ่งเป็นการสนับสนุนให้มีการอภิปรายภายใน เช่น โดยการอนุญาตให้นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาเข้าถึงเครื่องโรเนียวกระดาษได้อย่างอิสระ และจัดหากระดาษได้ไม่จำกัด สิ่งนี้ทำให้นักศึกษาเช่น Berry และ Marble สามารถจัดเตรียมและเผยแพร่เอกสารแสดงจุดยืนภายใน และตั้งแต่เดือนมีนาคม 1958 ก็สามารถเปิดตัวชุดเอกสารการอภิปรายอย่างเป็นทางการซึ่งส่งไปยังบุคคลที่มีความคิดเหมือนกันทั่วสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก และซึ่งจะช่วยในการเปิดตัวการปฏิวัติในที่อื่นๆ ด้วย สุดท้าย ส่วนหนึ่งเป็นการจัดหาทรัพยากรทางปัญญาในรูปแบบของผู้เยี่ยมชมที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ซึ่ง Hudson นำเข้ามาเพื่อสอนหลักสูตรระยะยาวในภาควิชาเป็นอย่างน้อย ซึ่งรวมถึง Leslie Curry, Ross MacKay (ซึ่งมีอิทธิพลเป็นพิเศษต่องานวิจัยของ Waldo Tobler และ Brian Berry) และ Torsten Hägerstrand ผู้แนะนำเทคนิคใหม่ทั้งสองอย่าง เช่น การจำลองมอนติคาร์โล และมุมมองชั่วคราวที่ก่อนหน้านี้ยังขาดในการวิเคราะห์ตำแหน่งคงที่ของสำนักทำเลที่ตั้งเยอรมัน
ประการที่สาม การที่ผู้คนทั้งหลายดังกล่าวจะถูกนำพาเข้ามาได้ และการที่คนอย่าง Hudson สามารถจ้างนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาแล้วปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีชีวิตชีวากับเครื่องจักรกลที่ทำงานซ้ำกันอยู่อย่างนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกทรัพยากรทางการเงินที่มีอยู่ โดยทุนทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นเหล่านั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการเจริญรุ่งเรืองของการศึกษาระดับอุดมศึกษาในอเมริกาเหนือ อีกส่วนหนึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจในวงกว้าง อันส่งผลให้เกิดการเติบโตขึ้นของผู้คนที่เชื่อมั่นในลัทธิฟอร์ด (Fordism) และรัฐสวัสดิการแบบเคนส์ (Keynesian-welfare state) ที่ช่วยให้ตระหนักถึงสังคมที่ร่ำรวยของกัลเบรธ (Galbraith’s ‘affluent society’) ในอเมริกาช่วงทศวรรษ 1950 (Scott, 2000) แต่ก็มีแหล่งที่มาทางการเงินที่เฉพาะเจาะจงมากกว่านั้นอีกมาก โดยในสหรัฐอเมริกา มีองค์กรที่สำคัญที่สุดองค์กรหนึ่ง คือ สำนักงานวิจัยกองทัพเรือ (ONR: Office of Naval Research) ที่เริ่มเปิดดำเนินกิจการการเมื่อปี 1948 และได้ปฏิวัติการให้ทุนสนับสนุนการวิจัย Evelyn Pruitt (1979: 103) ผู้ดูแลโครงการตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ให้เหตุผลว่า สำนักงานวิจัยกองทัพเรือมีทุนวิจัยไว้สำหรับบุคคล ส่วนใหญ่สำหรับกิจกรรมฤดูร้อนที่เกี่ยวข้องกับโครงการเล็กๆ น้อยๆ และโดยทั่วไปมีมูลค่าเพียงไม่กี่ร้อยดอลลาร์ หลังจากการก่อตั้งสำนักงานวิจัยกองทัพเรือ การวิจัยมีแนวโน้มที่จะมีการทำงานร่วมกันดำเนินการโครงการขนาดใหญ่ตลอดทั้งปี โดยได้รับทุนสนับสนุนในระดับมูลค่าเป็นหมื่นดอลลาร์ สำนักงานวิจัยกองทัพเรือให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการทางภูมิศาสตร์วัฒนธรรมและภูมิศาสตร์ภูมิภาคในช่วงทศวรรษ 1950 แต่รูปแบบการให้ทุนวิจัยที่สนับสนุนนั้นเหมาะสมอย่างยิ่งกับโครงการความร่วมมือขนาดใหญ่ประเภทที่นักภูมิศาสตร์เศรษฐกิจหน้าใหม่ต้องติดตาม ตัวอย่างเช่น การวิจัยเกี่ยวกับย่านกลางของ Berry (1959–61) ก็ได้รับทุนจากสำนักงานวิจัยกองทัพเรือ โครงการดังกล่าวมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้นเมื่อ 'โครงการภูมิศาสตร์ [ที่สำนักงานวิจัยกองทัพเรือ] เริ่มสนับสนุนการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ . . แสวงหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการวัด จัดเก็บ อธิบาย และแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพื้นผิว เงื่อนไข และกระบวนการทางภูมิศาสตร์’ (Pruitt, 1979: 107)
ประเด็นเกี่ยวกับท้องถิ่นที่สำคัญประการสุดท้าย คือ บริบททางสังคม องค์ประกอบทางสังคมของนักวิเคราะห์เชิงปริมาณและนักทฤษฎียุคแรกๆ เป็นกลุ่มเด็ก คนผิวขาว และผู้ชาย โดยแทบไม่มีข้อยกเว้น วัฒนธรรมการซักถามที่เกิดขึ้นนั้นมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การแข่งขัน ความทะยานอยาก และความมั่นใจในตนเอง (ดู Barnes, 2001b สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม) นี่ไม่ได้เป็นการบอกว่าไม่มีเหตุผลทางปัญญาที่ดีสำหรับการเปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์เศรษฐกิจหรือความมุ่งมั่นที่จะทำงานที่ดำเนินการไป แต่ลักษณะทางสังคมของนักภูมิศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ ตัวอย่างเช่น Taylor (1976) ตีความการปฏิวัติเชิงปริมาณในแง่ของการเคลื่อนไหวในอาชีพของผู้เข้าร่วม Peter Gould (1979) ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ก็ส่งสัญญาณถึงธรรมชาติที่กล้าหาญของวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่ เมื่อเขาเรียกช่วงเวลานี้ว่า 'Augean – คอกม้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยของเสีย' ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว Hercules ก็เป็นวีรบุรุษที่เข้ามาทำความสะอาด Augean เสร็จสิ้นเรียบร้อยภายในวันเดียว หลังจากถูกละเลยมานาน 20 ปี
โดยสรุปแล้ว การวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งที่เป็นวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่ของอเมริกา ไม่ได้มีต้นกำเนิดที่ไม่ชัดเจนแต่อย่างใด ผู้คนมากมายล้วนได้เห็นความจริงนี้ทันที หลังจากพวกเขาได้สัมผัสกับลำแสงแห่งความเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ที่พวยพุ่งขึ้นมา เป็นกระบวนการที่ผู้คนค่อนข้างลังเล มีความซับซ้อน และเป็นเรื่องในท้องถิ่นมากๆ ซึ่งในการให้ความเห็นเชิงโต้แย้งนี้ Trevor Barnes ชี้ว่าเขาไม่ได้ดูแคลนความสำเร็จของการเคลื่อนไหวเหล่านี้ ตัวละครเอกทั้งหลายที่เกี่ยวข้องล้วนเป็นนักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ และมีจินตนาการสูงมากๆ งานของพวกเขาหลายๆ ด้านยังคงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของทฤษฎีภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม สำหรับบทความบทนี้ Barnes อกว่า เขาไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับข้อดีของสิ่งที่พวกเขาทำในการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง และที่เกี่ยวข้องกับเหตุผลของสิ่งที่พวกเขาทำ หากต้องการนำทุกอย่างไปสู่ความสิ้นหวังตามหลักเหตุผลสากล คือ การประเมินสถานที่ทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ของพวกเขาต่ำเกินไป นั่นคือ ความรู้ในท้องถิ่นของพวกเขา
ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจใหม่
ข้อเสนอล่าสุดสำหรับการวิเคราะห์ตำแหน่งมาจากนักเศรษฐศาสตร์ และได้รับการขนานนามว่าเป็นภูมิศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ ผู้สนับสนุนที่กระตือรือร้นที่สุดคือ Paul Krugman นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน นักเขียนที่มีผลงานมากมายและปัจจุบันเป็นบุคคลสาธารณะ – หน้าเว็บของเขาอ้างว่าเขาเขียนเป็น 'หนังสือสิบแปดเล่ม (ฉันคิดว่า) และบทความหลายร้อยบทความ' (Krugman, http://web.mit.edu/krugman/www/) และใช้จ่าย 'หนึ่งหรือสองชั่วโมงในแต่ละวัน . . ทางโทรศัพท์กับนักข่าว' (Krugman, 1995b: 37) - Krugman กล่าวว่าเขามี 'ภูมิหลังที่ธรรมดาที่สุด' โดยเติบโตที่ Long Island ในนิวยอร์ก ตามมาด้วยระดับปริญญาตรีที่ Yale และปริญญาเอกที่ MIT (Krugman, 1995b : 30). ที่ MIT เมื่อสมัยเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา เขามี "นิมิตบนเส้นทางสู่ดามัสกัส" ที่ชัดเจน (Krugman, 1995b: 33) เมื่อทำงานเกี่ยวกับทฤษฎีการค้า เขาตระหนักว่าโมเดลทั่วไปซึ่งอาศัยผลตอบแทนต่อขนาดและการแข่งขันที่สมบูรณ์แบบคงที่นั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยโมเดล Dixit-Stiglitz ที่คิดค้นขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ซึ่งทำให้ได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นและการแข่งขันที่ไม่สมบูรณ์ ผลก็คือ ดังที่เขากล่าวไว้ว่า 'โมเดลเล็กๆ ที่น่ารักของ Dixit และ Stiglitz' . . จะเป็นแก่นแท้ของชีวิตการทำงานของฉัน' (Krugman, 1993) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โมเดลเล็กๆ ที่น่ารักนั้นทำให้ Krugman สามารถโต้แย้งได้ว่าผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเป็นแรงจูงใจสำหรับความเชี่ยวชาญและการค้า แม้ว่าจะไม่มีข้อได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบก็ตาม 'ทฤษฎีการค้าใหม่' จึงถือกำเนิดขึ้น ซึ่งทำให้ครุกแมนก้าวขึ้นสู่แถวหน้าในอาชีพของเขา เขาได้รับรางวัลเหรียญ John Bates สำหรับนักเศรษฐศาสตร์ที่ดีที่สุดอายุต่ำกว่า 40 ปีในปี 1991 (Dixit, 1993) และงานเขียนยอดนิยมเกี่ยวกับตัวเขาบรรยายว่าเขาเป็น 'Nobel-bound' (Hirsh, 1996)
ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เขาค้นพบภูมิศาสตร์เศรษฐกิจหลังจากอ่านหนังสือของ Michael Porter เรื่อง The Competitive Advantage of Nations (Krugman, 1995b: 40) นี่เป็นประสบการณ์เส้นทางสู่ดามัสกัสครั้งที่สองของเขา ในที่สุดเขาก็ 'ตระหนักว่า [เขามี] . . ใช้เวลา [ของเขา] ตลอดชีวิตการทำงาน . . คิดและเขียนเกี่ยวกับภูมิศาสตร์เศรษฐกิจโดยไม่รู้ตัว’ (Krugman, 1991: 1) ผลก็คือ ดังที่เขากล่าวไว้ว่า 'ผมได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเปลี่ยนศาสนาในนามของฉันอย่างเป็นระบบ ความตั้งใจของผม คือ การสถาปนาภูมิศาสตร์เศรษฐกิจให้เป็นสาขาหนึ่งของเศรษฐศาสตร์ที่จริงจังพอๆ กับการค้าระหว่างประเทศ และเชื่อว่าผมจะประสบความสำเร็จในแผนนั้น' (Krugman, 1995b: 40)
บนพื้นฐานของวิสัยทัศน์ใหม่ของเขาเกี่ยวกับภูมิศาสตร์เศรษฐศาสตร์คือผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น
ดังที่เขากล่าวว่า สิ่งเหล่านี้เป็น 'ข้อแก้ตัวหลักที่ฉันมีสำหรับการดำรงอยู่ของฉัน'
(Krugman, 1995b: 41) 'ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ
เช่นเดียวกับทฤษฎีการค้าใหม่ ส่วนใหญ่แล้ว
เกี่ยวกับการเพิ่มผลตอบแทนและความสมดุลหลายประการ
เทคนิคทางเทคนิคที่จำเป็นในการทำให้แบบจำลองสามารถลากจูงได้มักจะเหมือนกัน’
(Krugman, 1995b: 41) ด้วยเหตุนี้
เขาจึงเริ่มการสร้างแบบจำลองทางภูมิศาสตร์ทางเศรษฐกิจด้วย Dixit-Stiglitz ซึ่งเขาเพิ่มต้นทุนการขนส่งโดยใช้ 'แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง'
ของ Samuelson เมื่อใช้ร่วมกับแล็ปท็อปของเขาที่ทำให้เขาจำลองผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ที่หลากหลาย
(สมดุลหลายประการ) เขาจึงทำการวิเคราะห์ตำแหน่งในระดับภูมิภาค สำหรับภูมิภาคใดๆ
ก็ตาม
จะมีผลกระทบจากการรวมตัวกันหรือการกระจายตัวซึ่งขึ้นอยู่กับจุดแข็งของต้นทุนการขนส่งเทียบกับความคล่องตัวด้านแรงงาน:
'ยิ่งต้นทุนการขนส่งต่ำลง พลังของการรวมตัวกันเชิงพื้นที่ก็จะยิ่งมีชัยเหนือการกระจายตัวมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งแรงงานเคลื่อนที่ไม่ได้มากเท่าไร การกระจายตัวก็จะยิ่งมีชัยเหนือการจับกลุ่มมากขึ้นเท่านั้น' (Martin, 1999: 68) ครุกแมนเน้นย้ำว่ากระบวนการดังกล่าวเปิดกว้างเสมอสำหรับอุบัติเหตุในอดีต ซึ่งทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะมีความสมดุลหลายประการ อย่างไรก็ตาม เมื่อภูมิภาคใดได้รับข้อได้เปรียบ ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจะได้รับการซื้อ ส่งผลให้เกิดการพึ่งพาเส้นทางและการล็อคอิน แม้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะมีความสมดุล แต่คนนิรนัยก็ไม่รู้วิธีแก้ปัญหาที่แม่นยำและไม่รู้ว่าจะเหมาะสมที่สุดหรือไม่ ครุกแมน (1996) ใช้แบบจำลองผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นแบบเดียวกันนี้เพื่อแสดงถึงการเติบโตและการกระจายเชิงพื้นที่ของระบบเมือง ซึ่งช่วยให้เขาได้รับมาภายใต้เงื่อนไขทางคณิตศาสตร์บางประการ เช่น สิ่งที่เขาเรียกว่าระบบสถานที่ศูนย์กลาง (สำหรับการตีความที่แตกต่างกัน ดู Sheppard, 2000)
แบบจำลองคำมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อครุกแมน โดยสิ่งนี้เขาหมายถึงการเป็นตัวแทนของโลกที่มีสไตล์และเป็นทางการอย่างมากซึ่งมีความสามารถในการทำให้ง่ายขึ้นและชี้แจง (สะท้อนคำจำกัดความก่อนหน้าของ Haggett) ต่างจาก Haggett (1965: บทที่ 1) ผู้ซึ่งตระหนักถึงกลยุทธ์หลายประการของการสืบสวนทางภูมิศาสตร์ที่ถูกต้อง ครุกแมนระบุเพียงกลยุทธ์เดียวเท่านั้น 'การที่จะพิจารณาแนวคิดอย่างจริงจังจะต้องเป็นสิ่งที่คุณสามารถสร้างแบบจำลองได้' (Krugman, 1995a: 5; เน้นต้นฉบับ) อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่รุ่นเก่าๆ เท่านั้นที่จะใช้งานได้ แต่จะต้องทำให้เป็นทางการเป็น 'การเขียนอักษรกรีก' (Krugman, 1990: ix) แบบจำลองจะต้องเป็นทางการ เพราะถ้าไม่ใช่ เราจะไม่รู้ว่าแบบจำลองนั้นสอดคล้องกันในเชิงตรรกะหรือไม่ และจำเป็นต้องมีความสอดคล้องกันในเชิงตรรกะด้วย ดังที่ Gary Dymski (1996: 442) เขียนไว้ สำหรับ Krugman 'คำอธิบายจะมีประโยชน์หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าคำอธิบายนั้นสามารถเข้าใจได้หรือไม่และมีความสอดคล้องกันทางตรรกะหรือไม่ และวิธีเดียวที่จะตัดสินอย่างหลังคือการประเมินความสอดคล้องทางคณิตศาสตร์ของมันเมื่อมันถูกทำให้เป็นทางการ'
นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับภูมิศาสตร์เศรษฐกิจภูมิภาคแบบดั้งเดิมที่มีมาก่อนวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่และวิทยาศาสตร์หลังอวกาศในปัจจุบัน ในขณะที่ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจแบบดั้งเดิม 'เป็นสาขาที่เต็มไปด้วยข้อมูลเชิงลึกเชิงประจักษ์ เรื่องราวที่ดีและความสำคัญเชิงปฏิบัติที่ชัดเจน' แต่ก็ 'ถูก' ละเลย [นั่นคือ ละเลยโดยนักเศรษฐศาสตร์] . . เพราะไม่มีใครเคยเห็นวิธีที่ดีในการทำให้มันเป็นทางการ' (Krugman, 1995a: 41) แนวทางวิทยาศาสตร์หลังอวกาศในภูมิศาสตร์เศรษฐกิจซึ่งปัจจุบันครอบงำระเบียบวินัยนั้นยิ่งแย่ลงไปอีก นำเสนอด้วยความสนใจใน 'ลัทธิหลังฟอร์ด' . . [ริเริ่มโดย] โรงเรียนนักกำหนดกฎเกณฑ์ที่ได้รับอิทธิพลจาก Derridida' ภูมิศาสตร์เศรษฐศาสตร์วิทยาศาสตร์หลังอวกาศผลิตเฉพาะ 'ภูมิศาสตร์แบบ destructorist!' เท่านั้น (Krugman, 1995a: 85) แม้ว่าจะเป็นที่น่าสงสัยว่า Derrida มีความสนใจหรือความเชี่ยวชาญอย่างมากในระบบการสะสมและรูปแบบของการควบคุม (ดู Eagleton's, 1995, การส่งต่อความเฉียบแหลมทางเศรษฐกิจของ Derrida) ประเด็นสำคัญสำหรับ Krugman (1993) ก็คือทั้งแบบเก่าและแบบ ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจรูปแบบใหม่ละทิ้งแบบจำลองที่เป็นทางการ และในการทำเช่นนั้นก็หลีกเลี่ยง "มุมมองทางวิทยาศาสตร์และสติปัญญาที่ถือเป็นความรุ่งโรจน์ที่แท้จริงของอารยธรรมของเรา"
อย่างไรก็ตาม ครุกแมนยังวิพากษ์วิจารณ์นักสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ในภูมิศาสตร์เศรษฐกิจด้วยซ้ำ เช่น นักวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่ชาวอเมริกัน และนักวิทยาศาสตร์ระดับภูมิภาค ปัญหาคือพวกเขาไม่ใช่นักคณิตศาสตร์ที่ดีเท่ากับนักเศรษฐศาสตร์ และไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ไม่เคยมีเทคนิคการวิเคราะห์ที่ถูกต้องในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น Krugman (1995a: 87) เขียนว่า: 'ไม่มีใครตำหนินักภูมิศาสตร์ได้สำหรับความล้มเหลวในการพัฒนาแบบจำลองการขยายสูงสุดและสมดุลอย่างเต็มที่ แม้ว่าใครๆ ก็สามารถบ่นเกี่ยวกับความล้มเหลวของพวกเขาในการเข้าใจว่าพวกเขากำลังล้มเหลวจากอุดมคตินั้นไปมากเพียงใด และใครๆ ก็สามารถเข้าใจความไม่เต็มใจของนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่จะบดบังความชัดเจนของกระแสหลักนั้นด้วยความพยายามในการสร้างแบบจำลองที่ค่อนข้างคลุมเครือของนักภูมิศาสตร์' ดังนั้น โครงการของ Krguman คือการนำผลงานของนักภูมิศาสตร์เศรษฐศาสตร์มาใช้งานและทำให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างมีสติปัญญาโดยการแสดงออกใน คำศัพท์อย่างเป็นทางการของแบบจำลองทางเศรษฐกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำศัพท์ของ Dixit-Stiglitz ซึ่งเป็นสายเลือดทางคณิตศาสตร์ที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ ขณะที่เขาเขียนว่า "เราจะบูรณาการประเด็นเชิงพื้นที่เข้ากับเศรษฐศาสตร์ผ่านแบบจำลองอันชาญฉลาด" . . ที่ทำให้เข้าใจถึงความเข้าใจเชิงลึกของนักภูมิศาสตร์ในลักษณะที่ตรงตามมาตรฐานที่เป็นทางการของนักเศรษฐศาสตร์ (Krugman, 1995a: 88)
Krugman (1995a: 37–55) พูดถึงที่นี่เกี่ยวกับ 'ประเพณีห้าประการในภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ' ที่สูญหายไป: ทฤษฎีสถานที่ศูนย์กลาง ความสม่ำเสมอทางสถิติ เช่น กฎลำดับขนาดของ Zipf สาเหตุสะสม เศรษฐกิจภายนอกในท้องถิ่น และแบบจำลองการเช่าที่ดิน พวกเขาสูญหายไป (ซึ่งก็คือ กลายเป็น 'อุปกรณ์ต่อพ่วงของวิชาชีพเศรษฐศาสตร์'; Krugman, 1991: 3) เนื่องจากไม่เคยมีการแสดงออกอย่างเป็นทางการในแง่ของหลักการทั้งสองที่เป็นหัวใจสำคัญของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมด: 'โอกาสในการได้รับผลประโยชน์ที่ชัดเจนนั้นแทบจะไม่มีเลย ทิ้งไว้โดยอธิบายไม่ได้ และสิ่งต่างๆ ก็เพิ่มมากขึ้น (หรืออย่างที่ฉันพูดในบางครั้ง ธนบัตร 20 ดอลลาร์ไม่ได้อยู่นานนัก และการขายทุกครั้งก็ถือเป็นการซื้อเช่นกัน)’ (Krugman, 1995a: 74–75) หลักการทั้งสองนี้ – 'การเพิ่มให้สูงสุด (ของบางสิ่ง) และความสมดุล (ในบางแง่มุม)' (Krugman, 1995a: 75) - จะต้องปรากฏอยู่ในแบบจำลองทางภูมิศาสตร์ทางเศรษฐกิจทางคณิตศาสตร์ที่เป็นทางการใดๆ เสมอ และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ครุกแมนจะบรรลุผลสำเร็จผ่าน 'การวิเคราะห์' ของเขา เทคนิค' และ 'แบบจำลองที่ชาญฉลาด' ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจสามารถ 'ฟื้นคืนชีพได้ . . เป็นสาขาวิชาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ (Krugman, 1991: 7; เน้นของฉัน)
Gary Dymski (1996) ให้เหตุผลว่า ครุกแมนยังคงรักษาหลักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักอย่างดุลยภาพทางเลือกอย่างมีเหตุผล (RCE: Recursive Competitive Equilibrium) โดยยึดมั่นในหลักการแฝดของการเพิ่มสูงสุดและความสมดุล อย่างไรก็ตาม ดังที่ Dymski (1996: 445) ตั้งข้อสังเกตไว้เช่นกันว่า RCE Economics ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด และนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ก็มีหลายเวอร์ชัน เช่นของ Krugman ที่ผ่อนคลายสมมติฐานคลาสสิกบางประการของเวอร์ชั่นแรกที่นำเสนอในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เป็นครั้งแรกโดย Léon Walras แม้ว่าสมมติฐานที่เฉพาะเจาะจงจะแตกต่างกัน แต่ความเชื่อในการเพิ่มสูงสุดและสมดุล (แม้แต่สมดุลพหุคูณ) และความเหมาะสมของคณิตศาสตร์ในการนำเสนอนั้น ยังคงไม่ต้องสงสัย ในแง่นี้ เศรษฐศาสตร์ของครุกแมนยังคงพันธนาการอยู่กับแนวทางออร์โธดอกซ์
แม้ว่าจุดยืนของครุกแมนอาจถูกตีความว่าเป็นการวางตัว หรือแม้แต่ลัทธิจักรวรรดินิยม แต่ประเด็นสำหรับบทความนี้ก็คือ สามารถตีความได้ว่าเป็นความรู้ในท้องถิ่นหรือไม่ ฉันคิดว่ามันสามารถ บทความล่าสุดโดย Nigel Thrift ให้เบาะแส การเขียนต่อต้านการยึดครองภูมิศาสตร์เศรษฐกิจใดๆ โดยนักเศรษฐศาสตร์ อย่างเช่น Krugman ที่ Thrift (2000: 701) ได้ทำให้เกิดประเด็นของวัฒนธรรมเศรษฐศาสตร์ขึ้นมาเอง ในขณะที่เขาพูดสั้นๆ ว่า 'ภูมิศาสตร์วัฒนธรรมของเศรษฐศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์? ตอนนี้เป็นความคิดแล้ว' ในที่นี้ Thrift หยิบยกประเด็นเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางปัญญาที่แทรกซึมเข้าไปในเศรษฐศาสตร์ แม้ว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้ได้ไม่มากนัก แต่คนอื่นๆ ก็ทำอย่างนั้น บางทีผู้อธิบายที่ดีที่สุดก็คือ Philip Mirowski นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันเกี่ยวกับความคิดทางเศรษฐกิจ กังวลอย่างยิ่งกับการค้นหาต้นกำเนิดในท้องถิ่นของความหลงใหลในเศรษฐศาสตร์ด้วยลัทธิระเบียบนิยมทางคณิตศาสตร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแนวคิดเรื่องการขยายให้สูงสุดและการได้มาของความสมดุล ซึ่งเป็นจุดเด่นของงานของ Krugman และแบบจำลอง RCE โดยทั่วไปมากขึ้น - เขาพบพวกมันในตอนแรกในฟิสิกส์ยุโรปปลายศตวรรษที่ 19 และต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่สองในการวิจัยปฏิบัติการ (OR: Operations Research) (Mirowski, 1989; 1998; 1999)
เพื่อความกระชับ ไม่สามารถให้รายละเอียดได้ สาระสำคัญก็คือ การใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์และชีวประวัติบวกกับข้อโต้แย้งเชิงวิเคราะห์และคณิตศาสตร์ Mirowski (1989: บทที่ 5) ติดตามการใช้งานเบื้องต้นของวิทยานิพนธ์การขยายสูงสุด และสมมุติฐานสมดุลที่เกี่ยวข้อง ไปยังสาขาฟิสิกส์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ที่เรียกว่าพลังงานซึ่ง จากนั้นนักเศรษฐศาสตร์ยุคนีโอคลาสสิกยุคแรกๆ เช่น วอลราส ก็นำไปรวมเข้ากับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เชิงเปรียบเทียบ ภายในคำอุปมาทางกายภาพดังกล่าว นักเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิกในยุคแรกๆ ได้ใช้แทนยูทิลิตี้สำหรับพลังงานในสมการการเพิ่มขีดสูงสุดที่มีข้อจำกัดของนักฟิสิกส์ และทำให้เหตุผลเป็นสมมุติฐานที่เทียบเท่ากับหลักการของนักฟิสิกส์ที่ใช้ความพยายามน้อยที่สุด เช่นเดียวกับเทคนิคการเพิ่มขีดจำกัดสูงสุดเผยให้เห็นเส้นทางของความพยายามน้อยที่สุดในการเคลื่อนที่ของอนุภาค ดังนั้นเทคนิคเดียวกันนี้จึงถูกใช้เพื่อค้นหาการกระทำที่มีประสิทธิภาพสูงสุด (มีเหตุผล) ของผู้ผลิตและผู้บริโภค และผลลัพธ์ของจุดหยุดนิ่งที่สมดุล ประเด็นที่กว้างขึ้นของ Mirowski ก็คือว่ามันอยู่นอกบริบททางวัฒนธรรมและทางปัญญาที่แปลกประหลาดของยุโรปปลายศตวรรษที่ 19 ที่เศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิกเกิดขึ้น โดยสะท้อนให้เห็นถึงไม่ใช่ความจริงที่เป็นสากล แต่เป็นการผสมผสานของสถานการณ์ในท้องถิ่นที่แปลกประหลาด
เมื่อเร็วๆ นี้ Mirowski (1998; 1999) แย้งว่าความชื่นชอบอย่างสุดขีดของเศรษฐศาสตร์อเมริกันในช่วงหลังสงครามที่จะคงไว้ซึ่งคุณธรรมของการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์และทฤษฎีเชิงนามธรรม ซึ่งได้รับการยกตัวอย่างจากถ้อยคำและแบบจำลองอันกรุณาที่ครุกแมนหยิบยกขึ้นมา ได้รับแรงผลักดันเพิ่มเติมโดย เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ชุดหนึ่งซึ่งกระตุ้นโดยสงครามโลกครั้งที่สองและต่อมาคือสงครามเย็น สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในบริบทท้องถิ่นที่ก่อให้เกิดนีโอคลาสสิกหลังสงครามที่เป็นทางการอย่างมาก เพื่อสรุปข้อโต้แย้งที่ซับซ้อนของ Mirowski อย่างหยาบๆ: เพื่อประเมินและบรรลุจุดสิ้นสุดทางยุทธศาสตร์ทางทหารทั้งในสงครามโลกครั้งที่สองและที่สำคัญกว่านั้นภายในช่วงสงครามเย็น นักวิทยาศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์ถูกนำมารวมกันภายใต้รูบริกของ OR ซึ่งบางทีอาจเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดซึ่งก็คือ RAND เปิดตัวในปี 1948 ในซานตาโมนิกาในฐานะคลังสมองของกองทัพอากาศสหรัฐฯ สำหรับ Mirowski (1999: 690) OR เป็น 'การประชุมเชิงปฏิบัติการที่ความสัมพันธ์หลังสงครามระหว่างนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและรัฐได้รับการกำหนดค่าใหม่ และสถานที่ที่เศรษฐศาสตร์ถูกบูรณาการเข้ากับแนวทางทางวิทยาศาสตร์เพื่อภาครัฐ การจัดการองค์กร และสังคม' โดยการติดตามการทำงานและวิถีชีวิตของนักเศรษฐศาสตร์โดยเฉพาะ เช่นเดียวกับอิทธิพลของสถาบันหลักและแหล่งเงินทุนที่มักเป็นทางการทหาร และซึ่งยังตัดกับนักภูมิศาสตร์เช่น ONR มิโรว์สกี้ให้เหตุผลว่า OR และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'RAND คือ แรงบันดาลใจสำหรับการจัดรูปแบบทางคณิตศาสตร์ขั้นสูงของนีโอคลาสสิกออร์ทอดอกซ์ในยุคหลังสงคราม แต่นอกเหนือจากนั้น.. . . RAND ถูกสร้างขึ้นอย่างมีสติเพื่อทำลายอุปสรรคทางวินัยระหว่างวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและสังคมศาสตร์ และเพื่อเผยแพร่ข่าวประเสริฐแห่งความซับซ้อน . . . เครื่องมือที่ระบุสำหรับโจมตีปัญหาประเภทใหม่นี้ [คือ] .. คอมพิวเตอร์’ (Mirowski, 1999: 704) เศรษฐศาสตร์สมัยใหม่เริ่มกลายเป็นสิ่งที่ Mirowski (1998: 14) เรียกว่า "วิทยาศาสตร์ไซบอร์ก" ซึ่งต้องการประสิทธิภาพทั้งของมนุษย์และเครื่องจักร และนั่นเป็นลักษณะเฉพาะของความพยายามในช่วงแรกๆ ในการวิเคราะห์ตำแหน่งโดยนักวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่ชาวอเมริกันอีกครั้ง ประเด็นที่กว้างขึ้นของเรื่องราวหลังสงครามของ Mirowski เช่นเดียวกับเรื่องก่อนหน้าของเขาคือการขัดขวางประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์ภายในที่แสดงให้เห็นว่ามันเป็นการเดินขบวนที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของเหตุผลสากล ตราบใดที่ครุกแมนพูดถึงความไร้ที่ติของคณิตศาสตร์ การใช้ทฤษฎีนามธรรมและการพึ่งพาแล็ปท็อปของเขา ถือเป็นทายาทของเหตุการณ์ที่มิโรว์สกี้อธิบาย มันยังขัดขวางประวัติศาสตร์ภายในของการวิเคราะห์ตำแหน่งล่าสุดอีกด้วย โดยสรุป ข้อโต้แย้งเชิงวิพากษ์ที่ฉันได้ทำเกี่ยวกับภูมิศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ของครุกแมนนั้นแตกต่างจากข้อโต้แย้งที่นักภูมิศาสตร์เศรษฐศาสตร์คนอื่นๆ สร้างขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ นักวิจารณ์เช่น Ron Martin (1999), Peter Sunley (Martin and Sunley, 1996) และ Eric Sheppard (2000) แย้งว่าแนวทางที่สนับสนุนของ Krugman ดำเนินการโดยนักภูมิศาสตร์ทางเศรษฐกิจและพบว่าต้องการเมื่อ 20 ปีที่แล้วเป็นอย่างน้อย และตอนนี้จึงผลิตเพียง 'ความรู้สึกน่าเบื่อของเดจาวู' (Martin, 1999: 70) แทนที่จะอยู่หลังโค้ง นักภูมิศาสตร์ทางเศรษฐกิจกลับอยู่ตรงหน้า พวกเขาเคยไปที่นั่นและทำสิ่งนั้นมาแล้ว แม้ว่าข้อโต้แย้งของพวกเขาจะโน้มน้าวใจ แต่คำวิจารณ์ของฉันก็แตกต่างออกไป ครุกแมนเสนอเฉพาะเวอร์ชันสุดโต่งของสิ่งที่มีลักษณะเฉพาะของการวิเคราะห์เชิงตำแหน่งมาโดยตลอด นั่นคือ การให้เหตุผลแบบเหตุผลนิยม แต่การให้เหตุผลดังกล่าวยังไม่เพียงพอ แต่ครุกแมนกลับคืนมาให้เราเฉพาะวัฒนธรรมท้องถิ่นของเขาเอง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของเศรษฐศาสตร์กระแสหลักในอเมริกาเหนือที่เรียนที่มหาวิทยาลัยเยลและเอ็มไอที ซึ่งในตอนแรกมีพื้นฐานอยู่บนฟิสิกส์สมัยศตวรรษที่ 19 ที่ล้าสมัยซึ่งปัจจุบันล้าสมัยซึ่งเน้นการขยายขีดสูงสุดและความสมดุล และต่อมา ในช่วงหลังสงครามเกี่ยวกับการบูรณาการเศรษฐศาสตร์ภายในศูนย์อุตสาหกรรมการทหารของสหรัฐฯ
บทสรุป
ในประวัติศาสตร์ทั่วไปของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง (Blaug, 1979; Ponsard, 1983) วิถีมีความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง หากครุกแมนมองเห็นได้ไกลกว่า Garrison นั่นเป็นเพราะเขายืนอยู่บนไหล่ของเขา เช่นเดียวกับที่ Garrison ยืนอยู่บนไหล่ของ von Thünen การที่สิ่งนี้เป็นไปได้ แนะนำประวัติศาสตร์ดังกล่าว เป็นเพราะการปรับปรุงอย่างไม่หยุดยั้งในและการขยายเทคนิคทางคณิตศาสตร์ ซึ่งเพิ่มความเป็นเหตุเป็นผลเป็นสองเท่า ดังนั้น ในขณะที่ von Thünen ยังคงจัดการกับค่าเฉลี่ยทางเรขาคณิต Garrison กำลังต่อสู้กับเวกเตอร์ลักษณะเฉพาะและค่าลักษณะเฉพาะ และ Krugman กำลังทำงานผ่านการแปลงฟูริเยร์ ในทำนองเดียวกัน เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดการทางคณิตศาสตร์ดังกล่าวเองก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความก้าวหน้าที่ไม่สามารถจินตนาการได้ในรุ่นก่อนๆ Von Thünen เขียนด้วยลายมือและคำนวณด้วยมือในบันทึกมากมายของเขา Garrison ให้นักเรียนของเขาติดตั้งคอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆ และ Krugman ไปทุกที่พร้อมกับแล็ปท็อปของเขา ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ฉันผลิตกระดาษได้ ไม่ว่าจะเป็นสมการ การจำลอง และอื่นๆ ทั้งหมดในห้องพักของโรงแรม ในช่วงสุดสัปดาห์ . .’ (ครุกแมน, 1995b: 37)
วัตถุประสงค์ของบทความนี้คือเพื่อทำลายประวัติศาสตร์ที่ก้าวหน้าเช่นนี้ มันดีเกินกว่าที่จะเป็นจริง ในขณะที่ประวัติของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งนั้นจริงเกินกว่าจะดีได้ แต่ประวัติการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งของฉันกลับเน้นย้ำถึงการหยุดชะงักของปัจจัยท้องถิ่นที่เกิดขึ้นที่หล่อหลอมมัน แทนที่จะเป็นปัจจัยสากล เช่น ตรรกะของคณิตศาสตร์ นี่ไม่ใช่วิธีที่ตัวละครเอกส่วนใหญ่คิดและคิดเกี่ยวกับงานของพวกเขา พวกเขาเชื่อและเชื่อว่าพวกเขาได้พบหลักการทางคณิตศาสตร์ที่ไม่อาจต้านทานได้ซึ่งจะรับประกันความจริง อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งของฉันก็คือว่าหลักการที่ควบคุมงานของพวกเขา แทนที่จะสะท้อนความจริงเหนือประวัติศาสตร์ เป็นหลักการในท้องถิ่น ซึ่งสะท้อนถึงสถานการณ์เฉพาะของต้นกำเนิดของพวกเขา นอกจากนี้ ระยะเวลาของหลักการเหล่านั้น คือ ระยะเวลาที่ผู้คนเต็มใจใช้และขยายรายละเอียดต่อไป ส่งต่อและปกป้องหลักการเหล่านั้น ก็เป็นกระบวนการทางสังคม (และทางภูมิศาสตร์) เช่นกัน และมีส่วนเกี่ยวข้องกับท้องถิ่นไม่มากก็น้อย บริบทในฐานะคุณภาพโดยธรรมชาติของหลักการเอง
ในการโต้แย้งนี้ ฉันกำลังประณามทั้งความคุ้มค่าทางปัญญาของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งหรือผู้ที่ปฏิบัติการวิเคราะห์ดังกล่าว ผู้คนทั้งหมดที่ฉันได้พูดคุยนั้นมีความสดใส มีจินตนาการ มีสติปัญญาที่มีชีวิตชีวาและสร้างสรรค์อย่างมาก อย่างไรก็ตาม ปัญหาอยู่ที่ลักษณะเฉพาะของความคิดสร้างสรรค์นี้ ในมุมมองแบบเหตุผลนิยม ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวข้องกับการยึดมั่นในตรรกะทางคณิตศาสตร์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และปฏิบัติตามตรรกะนั้นไปจนถึงข้อสรุปที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม ข้อโต้แย้งของฉันคือมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการผ่านสมการ นั่นเป็นทักษะที่จำเป็นเช่นกัน แต่ก็มีอะไรเกิดขึ้นอีกมากมาย ซึ่งฉันพยายามอธิบายไว้ในบทความนี้
Peter
Haggett (1965: 310) กล่าวสรุปหนังสือของเขาเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งด้วยข้อความที่เขียนว่า
'แม้ว่าเราอาจเขินอายจากระบบที่ขู่ว่าจะลด ‘Ophelia รัก Hamlet’ ลงเหลือเพียง H <- O แต่ความเข้มงวดของวิธีการตามสัจพจน์ก็มีแรงดึงดูดที่ทรงพลัง’ อำนาจและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
บทบาทที่สำคัญและความสำคัญเชิงปฏิบัติที่วิธีสัจพจน์ในรูปแบบของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งได้เล่นในประวัติศาสตร์ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจนั้นไม่อาจปฏิเสธได้
ในเวลาเดียวกัน ฉันได้โต้เถียงในบทความนี้ว่า
เราต้องหลีกเลี่ยงจากการลดประวัติศาสตร์นั้นลงไปสู่วิธีการเชิงสัจพจน์เสียเอง
เช่นเดียวกับที่แฮมเล็ตเป็นมากกว่า H <- O ประวัติของการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งจึงมีมากกว่าตัวเลขและสมการมาก
แฮมเล็ตกล่าวว่า: 'มีสิ่งต่างๆ ในสวรรค์และโลก Horatio
มีอะไรมากกว่าที่คุณฝันถึงในปรัชญาของคุณ' สิ่งเดียวกันนี้ถือเป็นจริงในความฝันของเรื่องราวเชิงปรัชญาเชิงเหตุผลนิยมเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น